ภิกษุใดด่าบริภาษ ติเตียนพระอริยเจ้า(พึงถึงความฉิบหาย ๑๑ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย thepkere, 28 เมษายน 2013.

แท็ก: แก้ไข
  1. thepkere

    thepkere เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,018
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,449
    [​IMG]
    พยสนสูตร
    [๒๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดด่าบริภาษเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายติเตียนพระอริยเจ้า
    ข้อนี้มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส ที่ภิกษุนั้นจะไม่พึงถึงความฉิบหาย ๑๑ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง
    ความฉิบหาย ๑๑ อย่างเป็นไฉน คือ

    (๑)ไม่บรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ ๑
    (๒)เสื่อมจากธรรมที่บรรลุแล้ว ๑
    (๓)สัทธรรมของภิกษุนั้นย่อมไม่ผ่องแผ้ว ๑
    (๔)เป็นผู้เข้าใจว่าได้บรรลุในสัทธรรม ๑
    (๕)เป็นผู้ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ ๑
    (๖)ต้องอาบัติเศร้าหมองอย่างใดอย่างหนึ่ง ๑
    (๗)บอกลาสิกขาเวียนมาเพื่อหินภาพ ๑
    (๘)ถูกต้องโรคอย่างหนัก ๑
    (๙)ย่อมถึงความเป็นบ้า คือ ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ๑
    (๑๐)เป็นผู้หลงใหลทำกาละ ๑
    (๑๑)เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติวินิบาต นรก


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดด่าบริภาษเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายติเตียนพระอริยเจ้า
    ข้อนี้มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส ที่ภิกษุนั้นจะไม่พึงถึงความฉิบหาย ๑๑ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งนี้ ฯ

    จบสูตรที่ ๖

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๔
    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๖ อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต
    หน้าที่ ๒๙๔/๓๓๓



    [๑๘๗] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน
    ใกล้พระนครราชคฤห์ ครั้งนั้นแล วัสการพราหมณ์มหาอำมาตย์ของแคว้นมคธ เข้าไปเฝ้าพระผู้
    มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว
    นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อสัตบุรุษ
    จะพึงรู้อสัตบุรุษด้วยกันได้หรือหนอว่า ท่านผู้นี้เป็นอสัตบุรุษ
    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
    ดูกรพราหมณ์ ข้อที่อสัตบุรุษจะพึงรู้อสัตบุรุษด้วยกันว่าท่าน ผู้นี้เป็นอสัตบุรุษ ดังนี้ ไม่ใช่ฐานะไม่ใช่โอกาสที่จะเป็นได้เลย ฯ

    ว. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อสัตบุรุษจะพึงรู้สัตบุรุษได้หรือหนอว่า ท่านผู้นี้เป็นสัตบุรุษ ฯ
    พ. ดูกรพราหมณ์ แม้ข้อที่อสัตบุรุษจะพึงรู้สัตบุรุษว่า ท่านผู้นี้เป็นสัตบุรุษ ดังนี้ ก็ไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาสจะพึงเป็นได้ ฯ

    ว. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สัตบุรุษพึงรู้สัตบุรุษด้วยกันได้หรือหนอแลว่า ท่านผู้นี้เป็นสัตบุรุษ ฯ
    พ. ดูกรพราหมณ์ ข้อที่สัตบุรุษพึงรู้สัตบุรุษด้วยกันว่า ท่านผู้นี้เป็นสัตบุรุษ ดังนี้เป็นฐานะเป็นโอกาสที่มีได้ ฯ

    ว. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สัตบุรุษพึงรู้อสัตบุรุษได้หรือหนอว่า ท่านผู้นี้เป็นอสัตบุรุษ
    พ. ดูกรพราหมณ์ แม้ข้อที่สัตบุรุษพึงรู้อสัตบุรุษว่า ท่านผู้นี้เป็นอสัตบุรุษ ดังนี้ ก็เป็นฐานะเป็นโอกาสที่มีได้ ฯ

    ว. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาแล้ว ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้อที่
    พระโคดมตรัส ชอบแล้วว่า ข้อที่อสัตบุรุษจะพึงรู้อสัตบุรุษด้วยกันว่า ท่านผู้นี้เป็นอสัตบุรุษ ดังนี้
    ไม่ใช่ฐานะไม่ใช่โอกาสที่จะเป็นได้ข้อที่ อสัตบุรุษจะพึงรู้สัตบุรุษว่า ท่านผู้นี้เป็นสัตบุรุษ ดังนี้ ก็ไม่
    ใช่ฐานะไม่ใช่โอกาสที่จะเป็นได้ ข้อที่สัตบุรุษจะพึงรู้สัตบุรุษด้วยกันว่า ท่านผู้นี้เป็นสัตบุรุษ ดังนี้
    เป็นฐานะเป็นโอกาสที่มีได้ และข้อที่สัตบุรุษ จะพึงรู้อสัตบุรุษว่า ท่านผู้นี้เป็น อสัตบุรุษ ดังนี้
    ก็เป็นฐานะเป็นโอกาสที่มีได้ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สมัยหนึ่ง ในบริษัทของโตเทยยพราหมณ์
    พวกบริษัทกล่าวติเตียนผู้อื่นว่า พระเจ้าเอเฬยยะผู้ทรงเลื่อมใสยิ่งนักในสมณรามบุตร เป็นพาล
    ทรงกระทำความเคารพอย่างยิ่ง เห็นปานนี้ คือ ทรงอภิวาท ทรงลุกรับ ทรงกระทำอัญชลีกรรม และ
    สามีจิกรรม ในสมณรามบุตร แม้ข้าราชบริพารของพระเจ้าเอเฬยยะเหล่านี้ คือ ยมกะโมคคัลละ อุคคะ
    นาวินากี คันธัพพะ และอัคคิเวสสะ ผู้เลื่อมใสยิ่งนักในสมณรามบุตร ก็เป็นพาล และกระทำความ
    เคารพอย่างยิ่งเห็นปานนี้ คือ อภิวาทลุกรับ อัญชลีกรรม และสามีจิกรรม ในสมณรามบุตร ส่วน
    โตเทยยพราหมณ์แนะนำบริษัทเหล่านั้นโดยนัยนี้ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย จะสำคัญความข้อนั้นเป็น
    ไฉน พระเจ้าเอเฬยยะเป็นบัณฑิต ทรงสามารถเล็งเห็นประโยชน์ยิ่งกว่าผู้สามารถเล็งเห็นประโยชน์
    ในกิจที่ควรทำและกิจที่ควรทำอันยิ่ง ในคำที่ควรพูดและคำที่ควรพูดอันยิ่ง พวกบริวารรับว่า เป็น
    อย่างนั้น ท่านผู้เจริญ โตเทยยพราหมณ์กล่าวต่อไปว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย เพราะเหตุที่สมณ
    รามบุตรเป็นผู้ฉลาดกว่าพระเจ้าเอเฬยยะ เป็นผู้สามารถเล็งเห็นประโยชน์ยิ่งกว่า ฉะนั้น พระเจ้า
    เอเฬยยะจึงทรงเลื่อมใสยิ่งนักในสมณรามบุตร และทรงกระทำความเคารพอย่างยิ่งเห็นปานนี้ คือ
    ทรงอภิวาท ทรงลุกรับ ทรงทำอัญชลีกรรม และสามีจิกรรมในสมณรามบุตร ท่านผู้เจริญทั้งหลาย
    จะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ข้าราชบริพารของพระเจ้าเอเฬยยะ คือ ยมกะ โมคคัลละ อุคคะ
    นาวินากี คันธัพพะอัคคิเวสสะ เป็นผู้ฉลาดสามารถเล็งเห็นประโยชน์ยิ่งกว่าผู้สามารถเล็งเห็น
    ประโยชน์ ในกิจที่ควรทำและกิจที่ควรทำอันยิ่ง ในคำที่ควรพูดและคำที่ควรพูดอันยิ่ง พวกบริวาร
    รับว่าเป็นอย่างนั้นท่านผู้เจริญ โตเทยยพราหมณ์กล่าวต่อไปว่าเพราะเหตุที่สมณรามบุตร เป็นบัณฑิต
    ยิ่งกว่าข้าราชบริพารผู้เป็นบัณฑิตของพระเจ้าเอเฬยยะ เป็นผู้สามารถเล็งเห็นประโยชน์ยิ่งกว่าผู้
    สามารถเล็งเห็นประโยชน์ ในกิจที่ควรทำและกิจที่ควรทำอันยิ่ง ในคำที่ควรพูดและคำที่ควรพูด
    อันยิ่ง ฉะนั้นพวกข้าราชบริพารของพระเจ้าเอเฬยยะ จึงเลื่อมใสยิ่งนักในสมณรามบุตร และ
    กระทำความเคารพอย่างยิ่งเห็นปานนี้ คือ อภิวาท ลุกรับ อัญชลีกรรม และสามีจิกรรม ใน
    สมณรามบุตร ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาแล้ว ข้อที่พระโคดมผู้เจริญตรัสนั้น
    ชอบแล้ว...ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ บัดนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายขอทูลลาไป ข้าพระองค์ทั้งหลาย
    มีกิจมาก มีกรณียะมาก ฯ

    พ. ดูกรพราหมณ์ ท่านจงรู้กาลอันควรในบัดนี้เถิด ฯ
    ครั้งนั้นแล วัสการพราหมณ์มหาอำมาตย์ของแคว้นมคธ ชื่นชม อนุโมทนา ภาษิตของ
    พระผู้มีพระภาค ลุกจากอาสนะแล้วหลีกไป ฯ

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๑
    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
    หน้าที่ ๑๗๓/๒๔๐
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. evatranse

    evatranse เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +571
    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...