ภาพถ่ายครั้งแรกของหลุมอุกกาบาตชิกซูลับ -- ฆาตกรผู้ฆ่าไดโนเสาร์

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย pongsiri, 28 มิถุนายน 2005.

  1. pongsiri

    pongsiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +638
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD align=left bgColor=#ffffee><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=1 width="100%"><TBODY><TR><TD>[size=+2]ภาพถ่ายครั้งแรกของหลุมอุกกาบาตชิกซูลับ -- ฆาตกรผู้ฆ่าไดโนเสาร์[/size]

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD>[​IMG]
    เมื่อเร็วๆนี้องค์การนาซาภายใต้โครงการที่เรียกว่า Shuttle Radar Topography Mission (SRTM)ได้แถลงข่าว แสดงภาพถ่ายภูมิประเทศความละเอียดสูงที่เป็นหลักฐานบ่งชี้ถึงหลุมอุกกาบาตขนาดยักษ์กว้างประมาณ 180 กิโลเมตร ลึก 900 เมตรซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุแห่งการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของสัตว์โลก
    ทฤษฎีการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์โดยอุกกาบาตชนโลกนั้นถูกเสนอขึ้นตั้งแต่ปี 1980 ซึ่งทำให้สัตว์โลกเมื่อ 65 ล้านปีที่แล้วกว่า 70 % สูญพันธุ์ ในทศวรรษ ที่ 90 ได้มีการค้นหาร่องรอยอุกกาบาตที่ถูกตั้งชื่อว่า Chicxulub นี้โดยใช้ดาวเทียมและการสำรวจภาคพื้นดินพบว่ามันอยู่ตรงคาบสมุทร ยูคาทาน ในเม็กซิโก โดยเห็นได้จากรอยหินปูนที่เป็นขั้นบันไดแต่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่แน่ใจนัก จนกระทั่งได้ภาพจากนาซ่านี้ซึ่งเป็นการทำแผนที่แบบ 3 มิติโดยทำบนกระสวยอวกาศที่โคจรรอบโลก ซากของการชนครั้งนั้นจึงสามารถเห็นได้ชัดเจนอย่างยิ่ง

    จากภาพจะเห็นวงนอกของหลุมอุกกาบาต Chicxulub ที่เป็นแอ่งมีขนาดลึก 3-5 เมตรและกว้าง 5 กิโลเมตร ซึ่งถ้าเราไปเดินแถวๆนั้นเราไม่มีทางรู้เลยว่าเป็นขอบหลุมอุกกาบาตทั้งนี้เนื่องจากมันใหญ่มากนั่นเอง นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าจุดศูนย์กลางของการชนอยู่เลยคาบสมุทรออกไปในทะเลคาริบเบียน การกระแทกอย่างรุนแรงสร้างความไม่คงตัว(instability) ให้แก่ชั้นหินใต้ผิวโลกต่อมาเมื่อเวลาผ่านไปชั้นหินนี้ถูกปกคลุมด้วยตะกอนหินปูนซึ่งถูกกัดกร่อนได้ง่าย ความไม่คงตัวของชั้นหินที่ขอบนี่เองที่ทำให้ชั้นหินปูนยุบตัวตรงขอบ ทำให้เห็นเป็นรอยดังกล่าว

    อย่างไรก็ตามยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าการชนของอุกกาบาตที่ทำให้เกิด ชิคซูลับ นี้ทืให้เหล่าไดโนเสาร์สูญพันธุ์ได้อย่างไร โดยมีที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดมี 3 ทฤษฎีคือ อุกกาบาตชนแล้วทำให้เกิดฝุ่นผงลอยขึ้นปกคลุมชั้นบรรยากาศและบดบังแสงอาทิตย์ทำลายห่วงโซ่อาหารบนโลก อีกทฤษฎีหนึ่งคือการชนทำให้เกิดกำมะถันฟุ้งกระจายกลายเป็นเมฆของกรดกำมะถันที่บดบังแสงอาทิตย์และเกิดฝนกรด สุดท้ายคือประกายไฟจากอุกกาบาตหรือดาวหางที่พุ่งชนก่อให้เกิดไฟป่าขึ้นทั่วโลก

    ภาพนี้ได้จากเก็บข้อมูลจากกระสวยอวกาศ Endeavour ภายใต้โครงการ SRTM และถูกส่งผ่านไปยัง National Imagery and Mapping Agency (NIMA) เพื่อวิเคราะห์และสร้างเป็นแผนที่ขึ้นมา โดยข้อมูลมีขนาดประมาณ 8 terabyte (เทราไบท์ = 1024 GB หรือเท่ากับความจุของแผ่นซีดี 12,500 แผ่น)

    แหล่งอ้างอิง

    http://news.nationalgeographic.com/news/2003/03/0307_030307_impactcrater.html </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD background=/images/dotted_line.gif height=5> </TD></TR><TR><TD>paganini [​IMG] [IP: 161.200.255.161,,] วันที่ 10 มี.ค. 2546 - 11:48:27
    [size=-1](คุณ paganini ช่วยร่วมแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ ผ่านวิชาการ.คอมแล้ว รวมทั้งสิ้น 180 ครั้ง)[/size] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD align=middle bgColor=#ffffee> </TD></TR><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff> </TD><TD align=left bgColor=#ffffff>
    </TD><TD align=middle bgColor=#ffffff> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...