พ่อเหนื่อยมามากแล้ว

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 15 เมษายน 2011.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    <table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" width="95%"><tbody><tr><td style="HEIGHT: 35px" height="35"></td></tr> <tr> <td>
    <table style="WIDTH: 693px; HEIGHT: 148px" bgcolor="#fcfcfc" cellpadding="0" cellspacing="0" height="148" width="693"> <tbody> <tr> <td>
    <table style="WIDTH: 686px; HEIGHT: 139px" align="right" cellpadding="0" cellspacing="0" width="686"> <tbody> <tr> <td>[​IMG]ฉะนั้น ขณะใดที่กำลังใจปรารถนาพุทธภูมิ จิตต้องคิดเสมอว่า ทุกข์ของตนไม่มีความหมาย แต่ทุกข์ของชาวประชาทั้งหลายเป็นภาระของเรา เขาทำกำลังใจกันแบบนี้ หมายความว่า เราจะทุกข์แค่ไหนนั้นมันเป็นเรื่องของเรา ไม่มีความสำคัญ จิตของเรานั้นคิดว่า เราจะพ้นทุกข์ได้เพราะว่า เราช่วยเหลือความสุขแก่บรรดาประชาชนที่มีความทุกข์ ถ้าเราเปลื้องความทุกข์ของเขาได้ เราก็เป็นคนหมดทุกข์ เราสร้างให้เขาเป็นคนมีความสุขได้ เราก็เป็นคนมีความสุข จิตของพระโพธิสัตว์มีอารมณ์อย่างนี้ แต่ทว่าให้เป็นไปตามบารมี...โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน</td></tr></tbody></table>​
    </td></tr></tbody></table>​
    <hr id="null"> </td></tr> <tr> <td>
    </td></tr> <tr> <td valign="top">
    </td></tr> <tr> <td>
    ในหลวงของเรา ราชาผู้ทรงราชธรรม พระเจ้าธรรมมิกราชตามพุทธพยากรณ์
    [​IMG]
    <table style="WIDTH: 656px; HEIGHT: 530px" align="center" bgcolor="#568156" cellpadding="0" cellspacing="0" height="530" width="656"> <tbody> <tr> <td>
    [​IMG]
    </td></tr> <tr> <td>
    พ่อเหนื่อยมามากแล้ว ผลตอบแทนที่พ่อต้องการสูงสุด คือ ความสุขของปวงประชา พ่อไม่หวังอะไรตอบแทนส่วนตัว เพราะพ่ออิ่มแล้ว พ่อเต็มแล้วซึ่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ จิตใจพ่อมีแต่พรหมวิหารธรรมต่อลูกทุกคน พ่อครับ พ่ออย่าร้องไห้ พ่อพักเถอะนะ พ่อเหนื่อยมามากแล้ว พ่อรู้ไหมลูกที่มีความจงรักภักดีและกตัญญูต่อพ่อมีมากเหลือเกิน ลูกกราบแทบพระบาทพ่อที่เหนื่อยมาเพื่อลูกๆ ตลอดชีวิต ...ไอ้พวกลูกทรพีกลุ่มเล็กๆ ที่ทำเสียงดังให้พ่อระทมทุกข์ พวกเอ็งหยุดได้แล้ว
    </td></tr></tbody></table>
    <table style="WIDTH: 686px; HEIGHT: 258px" bgcolor="#008156" cellpadding="0" cellspacing="0" height="258" width="686"> <tbody> <tr> <td>
    [​IMG]
    </td> <td>
    [​IMG]
    </td></tr></tbody></table>​
    <table style="WIDTH: 722px; HEIGHT: 20px" cellpadding="0" cellspacing="0" width="722"> <tbody> <tr> <td>
    <table style="WIDTH: 692px; HEIGHT: 429px" align="right" cellpadding="0" cellspacing="0" width="692"> <tbody> <tr> <td>

    ...บทสนทนาที่ผมชอบที่สุด บทหนึ่ง เห็นจะเป็นบทสนทนาระหว่างหลวงพ่อฤาษีลิงดำกับในหลวง

    ในหลวง-.....ผมเหน็ด เหนื่อยมาก..มีผู้มีความรู้รู้บอกว่า ผมจะต้องเหน็ดเหนื่อยมาก คนที่มีความรู้เขาบอกว่า ผมจะไม่มีโอกาสจะหายความเหน็ดเหนื่อยเลย

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ- เรื่องนี้เป็นธรรมดาของพระมหากษัตริย์ที่มีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกร บรรดาพสกนิกรมีความทุกข์ร้อนทุกข์ยากอยู่ที่ไหน ก็ต้องมีความเหน็ดเหนื่อย ต้องไปเยี่ยมไปเยือน ไปให้ความสุขเขา อย่างน้อยไปให้กำลังใจเขา ให้ความช่วยเหลือเท่าที่จะช่วยได้... เรื่องนี้เป็นที่ประทับใจของประชากรทั้งหลายโดยทั่วไป เราปฏิเสธกันไม่ได้

    ถ้าหากว่าข้าราชการของ พระองค์ (หมายถึง ข้าราชการทุกคน)ปฏิบัติอย่างพระองค์บ้าง ประเทศจะมีความสุข การที่จะมีผู้ก่อการร้ายหาไม่ได้แน่ เพราะเราไปทางไหน เราก็จะเจอะแต่ผู้ก่อการดี จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต่อข้าราชการแล้วคนทั้งหมดนั้นก็จะมีความจงรักภักดีเป็นปึกแผ่นอยู่ในแผ่น ดินไทย.....

    ......ถ้าหากว่าข้าราชการของพระองค์ปฏิบัติอย่างพระองค์บ้างเป็นผู้เสียสละ ความจริงเงินเดือนเราก็มีแล้วเงินเดือนทุกเดือน บรรดาพุทธบริษัท เขาให้ใช้พอเดือน แต่ที่ไม่พอใช้เพราะไม่รู้จักประมาณการใช้ ทะเยอทะยานมากเกินไป เลยเมื่อมันไม่พอใช้ก็ต้องหาทางอื่นที่มันไม่ตรงกับระเบียบราชการ ถ้า ทุกคนอยู่ในระเบียบ อยู่ในวินัย ตัดความละโมภในด้านวัตถุเสียและทำตัวให้เหมาะสมกับระเบียบราชการ นี่ทุกคนทำได้ตามนี้ รับรองว่าไม่มีแตกแยก ไม่มีผู้ก่อการร้าย

    ข้าราชการต้องอยู่ในระเบียบ หมายถึงปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา อย่าละเลยการปฏิบัติหน้าที่อย่าเกียร์ว่าง รับรองไม่มีผู้ก่อการร้ายในเมืองหลวง และทั่วประเทศ

    มาร่วมกันทำเพื่อพ่อหลวง ให้พระองค์หายเหนื่อย

    จาก หนังสือชื่อ มหาบพิตร-ในหลวงถามพระอรหันต์ตอบ เรียบเรียงโดย วีระวัฒน์ ชลสวัสดิ์ http://www.oknation.net/blog/hrd/2010/05/11/entry-1


    </td></tr></tbody></table>​
    </td></tr></tbody></table>​
    <table style="WIDTH: 732px; HEIGHT: 1237px" bgcolor="#818100" cellpadding="0" cellspacing="0" height="1237" width="732"> <tbody> <tr> <td>
    [​IMG]
    </td> <td>
    [​IMG]
    </td> <td>[​IMG]</td></tr> <tr> <td>
    [​IMG]
    </td> <td>
    [​IMG]
    </td> <td>
    [​IMG]
    </td></tr> <tr> <td>
    [​IMG]
    </td> <td>
    [​IMG]
    </td> <td>
    [​IMG]
    </td></tr> <tr> <td>
    [​IMG]
    </td> <td>
    [​IMG]
    </td> <td>
    [​IMG]
    </td></tr> <tr> <td>
    [​IMG]
    </td> <td>
    [​IMG]
    </td> <td>
    [​IMG]
    </td></tr> <tr> <td>
    [​IMG]
    </td> <td>
    [​IMG]
    </td> <td>
    [​IMG]
    </td></tr></tbody></table>​
    <table style="WIDTH: 738px; HEIGHT: 1014px" bgcolor="#56812b" cellpadding="0" cellspacing="0" height="1014" width="738"> <tbody> <tr> <td>
    [​IMG]
    </td> <td>[​IMG]</td></tr> <tr> <td>
    [​IMG]
    </td> <td>
    [​IMG]
    </td></tr> <tr> <td>
    [​IMG]
    </td> <td>
    [​IMG]
    </td></tr></tbody></table>​
    <table style="WIDTH: 744px; HEIGHT: 20px" cellpadding="0" cellspacing="0" width="744"> <tbody> <tr>
    <td>
    <table style="WIDTH: 716px; HEIGHT: 36px" align="right" cellpadding="0" cellspacing="0" width="716"> <tbody> <tr> <td>
    ตั้งแต่เกิดมาไม่เคย
    เห็น นักการเมืองคนไหน ผู้มีอำนาจรับผิดชอบบ้านเมืองคนไหน ที่ทุ่มเททั้งกายใจ ตรากตรำเหนื่อยเพื่อปวงประชา หายใจเข้าออกมีแต่ความห่วงทุกข์สุขประชาชน เช่น พ่อหลวงของเรา ขอพระองค์ทรงพระเจริญพระพุทธเจ้าข้า

    </td></tr></tbody></table>​
    </td></tr></tbody></table>​
    <table style="WIDTH: 746px; HEIGHT: 995px" bgcolor="#81ac56" cellpadding="0" cellspacing="0" height="995" width="746"> <tbody> <tr> <td>
    [​IMG]
    </td> <td>
    [​IMG]
    </td> <td>
    [​IMG]
    </td></tr> <tr> <td>
    [​IMG]
    </td> <td>
    [​IMG]
    </td> <td>
    [​IMG]
    </td></tr> <tr> <td>
    [​IMG]
    </td> <td>
    [​IMG]
    </td> <td>
    [​IMG]
    </td></tr> <tr> <td>
    [​IMG]
    </td> <td>
    [​IMG]
    </td> <td>[​IMG]</td></tr> <tr> <td>
    </td> <td>
    </td> <td>
    </td></tr></tbody></table>​
    <table style="WIDTH: 792px; HEIGHT: 20px" cellpadding="0" cellspacing="0" width="792"> <tbody> <tr> <td>
    <table style="WIDTH: 745px; HEIGHT: 1200px" align="right" cellpadding="0" cellspacing="0" width="745"> <tbody> <tr> <td>
    พระราชจริยวัตรของพระเจ้าอยู่หัวคือพระโพธิสัตว์พระเจ้าธรรมิกราชองค์จริง

    หากเราไม่ดูตามความอัศจรรย์ที่ตรงตามคำพยากรณ์ หันดูตามหลักมาตรฐานของพระโพธิสัตว์จริงๆ ก็สอดคล้องทุกอย่าง ซึ่งไม่ใช่มาตรฐานธรรมดา แต่เป็นมารตรฐานของพระโพธิสัตว์ที่พระบารมีขั้นปรมัตถบารมี กล่าวคือขั้นของบารมีพระโพธิสัตว์ ถ้าเริ่มนับตั้งแต่ได้รับพุทธพยากรณ์เป็นนิยตพระโพธิสัตว์ครั้งแรก เขานับบารมี ๓ ขั้น คือ บารมี ๑๐ รอบแรก หรือทัสแรก เรียกว่า บารมีขั้นต้น (สมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเสวยพระชาติเป็นท่าน สุเมธดาบส ก็อยู่ในบารมีขั้นต้น) ซึ่งก่อนจะได้รับพุทธพยากรณ์ต้องได้ ธรรมสโมทาน ๘ ประการ ครบ ถ้วนเสียก่อน เช่น เคยผ่านการให้ทานชีวิต อวัยวะ เลือดเนื้อมาแล้ว หรือได้สมาธิสมาบัติ ๘ เป็นต้น ต่อจากขั้นต้นก็มาเป็นบารมี ๑๐ รอบที่ ๒ หรือ ทัศที่ ๒๐ คือบารมีเข้มข้นขึ้น เรียกว่า อุปบารมี จากนั้นก็มาเป็นทัศที่ ๓๐ คือบารมี ๑๐ รอบที่ ๓ ถือว่าเข้มข้นที่สุดบารมีใกล้เต็ม เรียกว่า ปรมัตถบารมี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา พระองค์อยู่ในขั้น ปรมัตถบารมี ใกล้เต็มแล้ว ซึ่งพระองค์ใช้เวลาบำเพ็ญมา ๑๖ อสงไขย กับแสนมหากัป เนื่องจากบำเพ็ญบารมีประเภทวิริยาธิกะ เหตุที่บำเพ็ญบารมีนาน คนที่บำเพ็ญติดตามเป็นสาวกก็นานไปด้วย (ปกติสาวกภูมิบำเพ็ญเพียง ๒ อสงไขยกับแสนกัป ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ได้) บุญบารมีจึงมากเป็นพิเศษ ดังนั้นสมัยบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ คนเกิดในสมัยนั้นจึงมีแต่ความสุข ไม่มีคนยากจน เหมือนกับศาสนาพระศรีอาริย์ เพราะก็บำเพ็ญแบบวิริยาธิกะ ๑๖ อสงไขยกับแสนกัปเหมือนกันพระสุปฏิปันองค์หนึ่งท่านบอกว่า พสกนิกร และราชบริพารคือสาวก และพุทธบริษัทในสมัยนั้น



    เพื่อให้เข้าใจมากขึ้นขอยกเรื่องประเภทพระโพธิสัตว์ พอพอสังเขปดังนี้

    ๑ ปัญญาธิกะ :บำเพ็ญ บารมี ๔ อสงไขยกัปแสนกัป (ไม่รวมก่อนได้รับพุทธพยากรณ์ ซึ่งอาจมากกว่านี้หลายเท่า เช่น พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันก็ปรารถนาประเภท ปัญญาธิกะ ก่อนได้รับพุทธพยากรณ์ บำเพ็ญบารมีทั้งคิดในใจ กล่าวด้วยวาจา และปฏิบัตินานถึง ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป และรวมเวลาทั้งสิ้นปรามาณ ๒๐ อสงไขยกับแสนกัป) พระโพธิสัตว์ประเภทนี้เน้นการรวบรัดใช้ปัญญาเป็นหลัก ดังนั้นสมัยที่บรรลุเป้นพระพุทธเจ้า คนที่เกิดในสมัยนั้นจึงมีทั้ง คนรวย คนจน คนพิการ คือมีครบทุกอย่างเหมือนปีจจุบัน ซึ่งพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันก็เป็น พระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ

    ๒. ศรัทธาธิกะ :บำเพ็ญ บารมี ๘ อสงไขยกับแสนกัป และรวมเวลากับก่อนได้รับพุทธพยากรณ์ทั้งสิ้น ประมาณ ๔๐ อสงไขยกัปอีกแสนกัป คนที่เกิดในสมัยที่บรรลุเป็นพระพุทธเจ้า จะมีแต่ความสุขความรำรวย

    ๓. วิริยาธิกะ :บำเพ็ญบารมี ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป และรวมเวลากับก่อนได้ รับคำพยากรณ์ ประมาณ ๘๐ อสงไขยกับอีกแสนกัป สมัยที่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าจะไม่มีคนยากจนเข็ญใจ มีแต่ความร่ำรวย มีต้นไม้กัลปพฤษกเกิดขึ้นทั่วไป รูปร่างหน้าสวยทุกคนไร้คนพิการ ไม่มีโจรผู้ร้าย อากาศสบายไม่ร้อนไม่หนาว ฯลฯ

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของพวกเราก็ จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าประเภทวิริยาธิกะนี้ คนที่เกิดในประเทศไทยทั้ง ยกเว้นพวกต่อต้าน อาจเปรียบเป็นเทวทัตในสมัยที่พระพุทธเจ้าสร้างบารมี และชาติที่ตรัสรู้ ดังนั้นถ้าเรากราบไหว้ในหลวงก็เหมือนกราบว่าที่พระ พุทธเจ้า หรือดวงจิตที่จะเป็นพระพุทธเจ้า จึงเป็นมงคลอย่างยิ่ง ได้อานิสงส์คล้ายกราบพระ ต่างจากการไหว้ปุถุชนทั่วไป การ มีเหรียญก็ดี พระบรมฉายาลักษณ์ก็ดีมีไว้บูชาจึงมีผลคล้ายเราบูชารัชกาลที่ ๕ เพราะพระองค์ก็ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าวิริยาธิกะบารมีปรมัติใกล้เต็มเหมือน กันเหมือนกัน เพื่อให้เรามั่นใจว่า ในหลวงของเราเป็นพระโพธิสัตว์จริงๆ จึงขอยกตัวอย่างผลงานที่เป็นรูปธรรมเทียบบารมี ๑๐ สัก ๓ บารมี เพื่อให้ท่านลองพิจาณาว่าพระองค์เป็นของจริง มิใช่เพียงคำเทิดทูนสรรเสริญที่ไม่มี่ที่มาที่ไปไร้เหตุผล ดังนี้

    ๑. อธิษฐานบารมี : “เราจักครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม” เป็นความตั้งใจ เป็นเป้าหมาย เป็นนโนบายที่พระองค์จะต้อง บำเพ็ญบารมีอื่นอีก ๙ บารมีมาช่วยเสริมให้สำเร็จ ขณะเดียวกันก็เป็นการพัฒนาหรือบำเพ็ญบารมีอื่นไปพร้อมกันด้วย รูปธรรมที่ปรากฏให้เห็น คือโครงการพระราชดำริต่างๆ ดังที่พวกเราทราบดีว่ามีผลประการใด

    ๒. ทานบารมี :การ สงเคราะห์ช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ปวงพสกนิกรทั้งไทยและต่างประเทศของพระองค์ ไม่ต้องหลับตานึกก็เห็นภาพพระราชกรณียกิจชัด ไหลมาขาดสาย ทั้งในศาสนา และกับปวงพสกนิกรของพระองค์ ซึ่งเราได้พบเห็นจนเจนตาเป็นเรื่องปกติ ที่ยิ่งกว่าคนทั่วไปอย่างไม่มีใครเทียบได้

    ๓. เมตตาบารมี :อันนี้ก็อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้อีก แค่ดูผลของความเมตตา และพรหมวิหารสี่ ออกมาทางทานบารมีก็คงไม่ต้องอธิบายให้เสียเวลาเพราะรับรู้กันเป็นปกติอยู่แล้ว

    จะเห็นว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันของพวกเรา นอกจากจะทรงทศพิธราชธรรมตามที่กล่าวมาแล้ว ยังทรง ทศบารมี ๑๐ หรือบารมี ๑๐ ประการที่อยู่ในขั้น “ปรมัตถบารมี” ของพระโพธิสัตว์ ได้แก่ อธิษฐานบารมี ทานบารมี ศีลบารมี ปัญญาบารมี สัจจะบารมี เนกขัมมะบารมี เมตตา บารมี อุเบกขาบารมี และขันติบารมี ถ้าเรามานั่งไล่เรียงทีละบารมีกันจริงๆ ไม่มีบารมีไหนพร่องเลย จะยกพระราชจริยวัตรใดมาเทียบก็ตรงทั้งนั้น ถ้าใช้ภาษาวัยรุ่นจะสะท้อนตรงที่สุด คือล้วนแต่ “โดนๆ” หรือ “ใช่เลย” ทั้ง นั้น พยายามจะดูว่าบารมีไหนเด่นที่สุดก็หาไม่เจอะ เพราะล้วนอยู่ในขั้นปรมัตถแบบเต็มๆ ทุกบารมี เพราะเหตุนี้จึงทำให้พระองค์เหมือนเป็นพระที่อยู่ในร่างกายมนุษย์ เป็นสมมุติเทพจริงด้วยคุณสมบัติจริงๆ เป็นปูชนียบุคคลจริงๆ ที่กราบไหว้ได้สนิทใจ และได้อานิสงส์สูงจริงๆ เป็นที่ทราบและยอมรับกันโดยทั่วไปเป็นปกติในกลุ่มผู้ปรารถนาพุทธภูมิว่า พระเจ้าอยู่หัวเป็นพุทธภูมิปรมัตถบารมีจริงๆ และบรรดาพระเกจิอาจารย์ที่เป็น พระสุปฏิปันโนที่ทรงคุณพิเศษ ไม่มีองค์ไหนที่ไม่ยอมรับ บารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    ศ.ธรรมทัสสี
    </td></tr></tbody></table>​
    </td></tr></tbody></table>​
    </td></tr></tbody></table>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2011
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    พระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าธรรมิกราชยุคปัจจุบัน

    ในหลวงเป็น ปูชนียบุคคลจริงๆ เป็นพระในร่างฆราวาส ที่กราบได้สุดใจ

    ------------------------

    ผมเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง เมื่อสมัยวัยรุ่นเคยตั้งคำถามกับตนเองเหมือนกันว่า "ทำไมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ซึ่งเป็นคนธรรมดาเหมือนเรา จึงมีคนกราบไหว้บูชาได้อย่างสุดใจ" ผมถามคุณแม่คุณพ่อท่านก็บอกว่า “คน มีบุญมาเกิด ถ้าไม่มีบุญจะมาเกิดเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้อย่างไร ถ้าไม่มีบุญคนจะเกิด ศรัทธายอมรับเคารพอยู่โดยไม่ถามหาเหตุผลได้อย่างไร” ผมก็ยังนึกค้านในใจตามประสาวัยรุ่นที่ผ่านโลกมาน้อย มีข้อมมูลน้อยแต่คิดว่าตนเองฉลาด

    สมัยนั้นประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ผกค. ชุกชุมมาก ผมอยู่บ้านนอกชนบท เห็น ผกค.มาล้างสมองชาวบ้านในหมู่บ้านบ่อยๆ เขาใช้ชุดคำพูดเหมือนที่คนบางกลุ่มนำมาล้มล้างระบบอำมาตย์ในปัจจุบันว่า ชาวไร่ ชาวนา คนยากจน ถูกกดขี่ข่มแหง เป็นเบี้ยล่าง ถูกเอารัดเอาเปรียบจากระบบนายทุน และอำมาตย์ พาดพิงไปถึงสถาบันเบื้องสูงว่า เป็นระบบศักดินาแบ่งชนชั้น ซึ่งเป็นชุดวาทะกรรมที่โดนใจชาวบ้านมากๆ พูดกี่ครั้งก็ถูก เพราะคนพวกนี้มีจิตวิทยาการพูดจูงใจสูงมาก เขาสามารถใช้ทฤษฏีมาร์คมาอธิบายได้อย่างกลมกลืน ความจริงคนพวกนี้ก็ไม่ได้เก่งอะไรมากมายในสายตาผม เพียงแต่เขาใช้หลักวิชาการพูดแบบพื้นฐานธรรมดาๆ คือ “วิเคราะห์ผู้ฟัง” แต่เขาวิเคราะห์ได้ลึกถึงแก่นเลย เพราะเขาเป็นคนในพื้นที่ ทำให้ชาวบ้านหลงเชื่อส่งข้าวส่งน้ำ สิ่งของเครื่องใช้ และเป็นสายข่าวให้ สิ่งหนึ่งที่เขาพูดโดนใจผมคือ เขาพูดถึงทั้งสองพระองค์ได้ตรงกับความคิดผมในตอนนั้น ทำให้ผมคล้อยตามได้โดยง่าย จิตใจต่อต้านสถาบันหนักขึ้น แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกเพราะกลัวติดคุก

    ต่อมาผมได้พบพระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งเป็นพระนักปฏิบัติที่เคร่งครัดมาก ท่านเทศน์สอนผมเหมือนรู้วาระจิต (เจโตปริยญาณ) ท่านพูดโดนใจไปหมดทุกเรื่อง แบบทะลุปรุโปร่ง ไม่ว่าผมไปกราบท่านกี่ครั้งท่านก็สอนผม เหมือนเอาใจผมมาวางแล้วชำแหละเป็นชิ้นๆ จนผมยอมรับและถวายตัวเป็นศิษย์ถึงปัจจุบัน (ปกติผมจะเชื่ออะไรยากมาก เคยกราบนมัสการพระสุปฏิปันโนที่เก่งๆ มาหลายองค์ ท่านก็ดีทุกองค์ผมเคารพทุกองค์ แต่ยังไม่ยอมรับเป็นครูบาอาจารย์แบบสุดใจ) และต่อมาพระภิกษุรูปนี้ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมากทางด้านปฏิบัติธรรมและรู้ วาระน้ำจิต แม้แต่ทั้งสองพระองค์ก็ยังยอมรับในเวลาต่อมา สิ่งหนึ่งที่พระภิกษุรูปนี้ ท่านแสดงออกกายวาจาใจโดยเน้นสอนญาติโยมพุทธบริษัทเสมอคือ เทิดทูนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีมากเป็นพิเศษ ท่านบอกว่าทั้ง สองพระองค์เป็นคนดีที่บูชาได้สุดใจ เพราะเป็นพระมหากษัตริย์ที่คิดถึงแต่ประโยชน์ ความผาสุกของปวงประชา แม้อยู่ในพระราชฐานก็คิดแต่งานวางแผนทำโครงการต่างๆ เพื่อความผาสุกของปวงชนชาวไทย พระองค์ไม่มีวันหยุดพักเลย ไม่เคยบ่นว่าเหนื่อย ท้อ เบื่อการทำงานให้พสกนิกรเลยท่านบอกอีกว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีทำงานหนักมาก อาตมายังไม่ได้เสี้ยวหนึ่งของทั้งสองพระองค์เลย พอได้ฟังผมถึงกับสดุ้ง เพราะเห็นพระภิกษุรูปนี้ท่านก็ทำงานหนักมากๆ ทำทั้งๆ ที่ท่านเจ็บป่วยอย่างหนัก ผมน้ำตาไหลร้องไห้สงสารอยู่บ่อยๆ ที่เห็นท่านทำงานหนัก เพื่อสงเคราะห์ญาติโยมพุทธบริษัท แต่พอท่านบอกว่า ทั้งสองพระองค์ทำงานหนักกว่าท่านหลายเท่า ผมก็เลยตะลึง ทัศนะของผมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง หันมาพิจารณาดูที่ท่านสอนให้ดูพระราชจริยวัตร พระราชการณียกิจ โครงการในพระราชกำริต่างๆ และปฏิปทาที่งดงามของทั้งสองพระองค์ทั้งทางโลกและทางธรรมอย่างจริงจัง เป็นไปตามที่พระภิกษุรูปนี้ท่านพูดไว้ทุกอย่างจริงๆ จนยอมรับว่า ไม่มีใครในโลกที่เสียสละความสุขส่วนตัว ทำงานหนัก มีจิตใจงดงาม เต็มไปด้วยเมตตา ห่วงใยมองหาแต่สิ่งที่จะปลดเปลื้องทุกข์ สร้างความสุขให้แก่ปวงประชาเป็นหลักใหญ่ตลอดเวลาได้ขนาดนี้ ที่มีคนทั้งประเทศเรียกทั้งสองพระองค์ว่า พ่อหลวงแม่หลวง ไม่ผิดเลยเป็นตามนั้นจริงๆ ผมสามารถกราบแทบพระบาททั้งสองพระองค์ได้อย่างสนิทใจ ตั้งแต่นั้นมาคำพูดของพระภิกษุรูปนี้คือ “ความถูกต้องของผม เป็นมาตรฐานของผม รวมถึงที่พูดถึงทั้งสองพระองค์ด้วย”

    ต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าของพระภิกษุรูปนี้ ส่วนตัวผมเชื่อว่าท่านเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ซึ่งลาพุทธภูมิ (พระโพธิสัตว์) หากท่านบำเพ็ญบารมีต่อจริงๆ จะเต็มชาตินี้ ผมจะขอเล่าเท่าที่จำได้อาจไม่แม่นยำในรายละเอียดมากนัก และก็เล่าตามสำนวนของผม แต่คิดว่าแก่นเนื้อหาส่วนใหญ่ครบถ้วน ท่านเล่าดังนี้

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นอกจากพระองค์จะเป็นพระราชาที่ทรง ทศพิธราชธรรม แล้ว ยังทรง บารมี ๑๐ ตามแบบฉบับของพระโพธิสัตว์ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ และเป็นพระบรมโพธิสัตว์ประเภทวิริยาธิกะ ที่บำเพ็ญพระบารมีมาแล้ว ๑๖ อสงไขย กับแสนกัป ลงมาเกิดเพื่อบำเพ็ญพระบารมีต่ออีก ๕ ชาติก็จะเต็ม หลังจากนั้นก็จะไปจุติสวรรค์ชั้นดุสิตรอลงเกิดเป็นชาติสุดท้าย เพื่อมาตรัสรู้เป็นพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาล สำหรับสวรรค์ชั้นดุสิตคนที่จะขึ้นมาจุติในชั้นนี้ได้ มีข้อจำกัดเฉพาะ คือ

    ๑. จะต้องบรรลุเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาปัตติผลขึ้นไปถึงอรหัตมรรค (หากท่านปรารถนาจะมาอยู่)
    ๒. ผู้ที่มีจิตใจและปฏิปทาแบบพระโพธิสัตว์ หรือคล้ายพระโพธิสัตว์
    ๓. ผู้ปรารถนาเป็นพุทธบิดา และพุทธมารดา
    ๔. นิยต พระโพธิสัตว์ ที่บำเพ็ญพระบารมีถึงขั้นปรมัตถบารมีแล้วเท่านั้น ถ้ายังไม่ถึงขั้นปรมัตถบารมีส่วนส่วนใหญ่จะเกิดที่พรหมโลก หรือตามอัธยาศัยของท่าน

    ดังนั้นสิ่งที่พวกเราสัมผัสได้ พบเห็นได้เป็นปกติในปฏิปทา พระราชจิรยวัตร หรือพระราชกรณีกิจของพระองค์โดยแก่นแท้แล้วก็คือการ มีแต่ ให้เท่านั้น กล่าวคือจริยาของพระองค์เป็นแบบพระโพธิสัตว์ หรือพุทธภูมิ คือ ความสุขของปวงประชามาก่อน ความสุขส่วนพระองค์ หรือ ยอมทุกข์เพื่อแลกความสุขคนอื่น แตกต่างจากจิตใจของผู้ปรารถนาเป็นบริวาร หรือเป็นสาวกภูมิที่ตนเองต้องอิ่มก่อนแล้วจึงแบ่งเพื่อนบ้าน

    สมัย ใดที่ชาติไทยเกิดวิกกฤตย่ำแย่อย่างหนัก เช่น เสียเอกราช พระพุทธศาสนาถูกบิดเบือนทำลาย คนในชาติแตกความสามัคคี เศรษฐกิจย่ำแย่ ฯลฯ พระโพธิสัตว์จะลงมาเกิดเพื่อบำเพ็ญพระบารมี ในการกอบกู้เอกราชเพื่อรักษาพุทธศาสนา ความผาสุกของปวงประชา และเสริมสร้างความมั่นคงด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองการปกครองให้เกิดความปกติสุข ส่วนใหญ่พระโพธิสัตว์มักจะเกิดมาเป็นกษัตริย์ หรือผู้นำ เพื่อกอบกู้และเสริมสร้างทุกครั้ง เพราะจิตใจของพระโพธิสัตว์มีความเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว กล้าหาญ เสียสละแม้คนที่รัก สิ่งที่รัก อวัยวะ และชีวิต มากกว่าคนทั่วไป และไม่ทำอะไรเพื่อตัวเอง จะทำเพื่อความสุขของส่วนรวมเท่านั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ลงมาเกิดชาตินี้ เพื่อมากอบกู้จรรโลงชาติศาสนาให้คงอยู่จนครบห้าพันปี ในสมัยอดีตพระองค์ก็ เคยเกิดเป็นนักรบฝีมือดีในสมัยสุโขทัย เคยเกิดในสมัยพระธรรมราชาลิไท สมัยสมเด็จพระนเรศวร และเคยลงมากอบกู้ชาติไทยหลายวาระพระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคือพระเจ้าธรรมิกราชองค์ปัจจุบัน เพราะพระองค์เป็นพระราชาผู้ทรงธรรมจริงๆ ทั้งด้านปริยัติและปฏิบัติ ทรงมีวินิจเรื่องธรรมะละเอียดลึกซึ้งมาก เช่น ท่านเคยตรัสถามว่า ทาน กับ เสียสละ อันไหนมีค่าสูงกว่ากัน ท่านอธิบายให้ฟังว่า ทานที่เต็มใจมีค่าสูงกว่า การเสียสละ เพราะการเสียสละยังมีความเสียดายเหลืออยู่ ยังมีความจำใจอยู่ จิต ใจของพระองค์จะทรงธรรมานุสสติเป็นปกติ เช่น เวลาปกติพระองค์จะฟังเทศน์ที่หูฟังตลอดเวลา ทรงได้กีฬาสมาธิ หรือความสามารถพิเศษทางสมาธิตั้งแต่ทรงพระเยาว์ เช่น มีทิพจักขุญาณแจ่มใส ปัจจุบันทรงกรรมฐานได้ครบสี่สิบกอง (พระโพธิสัตว์เท่านั้นที่ทำได้ครบ) ถ้าสังเกตพระองค์ตรัสในวันเฉลิมพระชนม์พรรษาของทุกปีจะแม่นยำมาก แสดงว่าทรงมีทิพจักขุญาณแจ่มใสมาก

    ด้านการวางพระองค์เวลาเข้าไปนมัสการ ปฏิสัณฐานกับพระสุปฏิปันโน พระองค์ไม่เคยนั่งขัดสมาธต่อหน้าพระเลย มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านนั่งพับเพียบสนทนาธรรมกับท่าน (พระภิกษุรูปนี้) โดยไม่เปลี่ยนท่าเลยหลายชั่วโมง ทรงอดทนมาก ท่านขอให้บรรดาลูกศิษย์ของท่าน เอาปฏิปทาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาเป็นแบบอย่าง ที่เป็นรูปธรรมที่สุดคือ บรรดาลูกศิษย์ลูกหาของท่านนับล้านจะนับถือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาก เป็นพิเศษ และที่วัดของท่านเอง ยังเคยสร้างเหรียญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคู่กับท่าน ให้ญาติโยมบูชา ผมเองตลอดชีวิตเคยไปกราบพระสุปฏิบัติโนหลายองค์ พระเหล่านี้ทุกองค์พระยอมรับความสามารถในทางธรรม และบุญบารมีของพระองค์ว่ามีมากจริงๆ พระองค์เป็นนักปฏิบัติธรรมที่เก่งมาก มีปฏิปทาเหมือนพระในร่างฆราวาส ผมเชื่อว่าใครมีเหรียญในหลวงห้อยคอมีผลไม่ต่างจากในหลวงรัชกาลที่ ๕

    ท่านเล่าให้ฟังอีกว่า สมัยสุวรรณภูมิ พ.ศ.๒๔๖ พระโพธิสัตว์ทั้ง ๒พระองค์นี้ (พระมหาเถระโพธิสัตว์ และพระมหากษัตริย์ธรรมิกราช) ได้บำเพ็ญบารมีร่วมกันพระเจ้าตะวันอธิราช (พระมหาเถระโพธิสัตว์)เกิดพระมหากษัตริย์ปกครองกรุงสุวรรณภูมิ มีพระราชโอรสพระนามว่า พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า (พระมหากษัตริย์ธรรมิกราช)พระองค์ได้วางรากฐานการสร้างพระบารมีไว้ให้พระราชโอรสของพระองค์ที่จะเป็นกษัตริย์ปกครองต่อจากพระองค์อาทิ

    ด้านการสร้างบ้านแปลงเมืองให้เจริญรุ่งเรือง ได้ทรงปรับปรุงกองทัพให้เข้มแข็งส่งเสริมอาชีพ สร้างโรงพยาบาลเพื่อสงเคราะห์พสกนิกร ฯลฯอีกทั้งพระองค์ได้เสด็จประพาสไปยังนานาประเทศทั้งประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง และที่อยู่ห่างไกลออกไปส่วนภายในประเทศที่เป็นอาณาเขตของพระองค์ ก็เสด็จเยี่ยมเยือนไปตามหัวเมืองต่าง ๆ

    ส่วนด้านพระพุทธศาสนาได้โปรดสร้างวัดโรงเรียนปริยัติธรรมสำหรับพระภิกษุสามเณร โดยมีพระโสณะกับพระอุตตระเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ มีการมอบ "พัศยศ" สำหรับผู้สอบบาลีได้และได้แต่งตั้งพระสงฆ์ไทยขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชเป็นพระองค์แรกของเมืองไทยจนได้สืบต่อวัฒนธรรมประเพณีต่าง ๆมาจนถึงทุกวันนี้ และในสมัยนั้นได้กำเนิด ขนบธรรมเนียมประเพณีในด้านพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นอุบายดึงคนเข้าวัดและการเผยแพร่ธรรมะ เช่นพิธีกวนข้าวทิพย์การสวดมนต์หรือพิธีการนิมนต์พระไปเจริญพระพุทธมนต์ที่บ้านตลอดถึงพิธีกรรมต่าง ๆตามโบราณราชประเพณี ซึ่งสืบทอดวัฒนธรรมอันเป็น มรดกมาถึงปัจจุบัน

    เป็นที่น่าสังเกตว่า พระราชจริยวัตรของพระเจ้าตวันอธิราชนี้ทรงปฏิบัติคล้ายกับพระราชจริยวัตรของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ของพระเจ้ากรุงสยามมากต่อมาหลังจากพระเจ้าเดือนเด่นฟ้า ได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติก็ทรงมีพระราชหฤทัยที่ดำเนินรอยตามพระยุคคลบาทของสมเด็จพระราชบิดาในฐานะที่พระองค์ก็ทรงเป็นพระโพธิสัตว์เช่นเดียวกับพระราชบิดา และก่อนที่พระโสณะจะนิพพาน ก็ยังได้พยากรณ์ไว้อีกว่า

    "
    พระเจ้าเดือนเด่นฟ้าจะมาเกิดที่"กรุงเทพมหานคร"เมื่อนั้น"สุวรรณภูมิ"จะฟื้นชื่อมีคนรู้ทั่ว..."
    ซึ่งตรงกับ พุทธพยากรณ์ของสมเด็จพระบรมศาสดาองค์ปัจจุบันที่ได้ทรงตรัสพยากรณ์ไว้ดังนี้

    "
    ดูก่อนอานนท์..ตถาคตสงสารสัตว์เป็นล้นพ้น ที่มีอายุขัยอยู่ใกล้ยุคกึ่งสมัยคือในหลังพุทธกาลนี้ แต่ในเวลานั้น จะมี"พระมหากษัตริย์ธรรมิกราช"ผู้เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งจะเกิดภายในอุปถัมภ์ของ"พระมหาเถระโพธิสัตว์"พระโพธิสัตว์สองพระองค์นั้น จะเสด็จเข้ามาบำรุงพระพุทธศาสนาของตถาคตสมณชีพราหมณ์จะตามเสด็จเป็นอันมาก ในระยะนี้จะเป็นยุค"ชาวศรีวิไล"ดังนี้

    สรุปก็คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยเกิดใน พ.ศ. ๒๔๖ สมัยสุวรรณภูมิในหลวงเกิดเป็นพระราชโอรส องค์แรก ของพระเจ้าตวันอธิราชมีพระนามว่าพระเจ้าเดือนเด่นฟ้า และต่อมา พ.ศ. ๙๐๐ สมัยเชียงแสนพระเจ้าตวันอธิราช เกิดเป็น" พระเจ้าพรหมมหาราช" ส่วนพระเจ้าเดือนเด่นฟ้าตามไปเกิดเป็นพระราชโอรสองค์แรกนามว่า"พระเจ้าเดือนแจ่มฟ้า" แต่สิ้นพระชนม์ในสมัยทรงพระเยาว์

    (
    กระเบื้องจารที่ขุดได้จากซากเมือง คูบัว จ.ราชบุรีเป็นหลักฐานชิ้นหนึ่งที่ได้ยืนยันว่า ทั้งพระเจ้าเดือนเด่นฟ้า กับพระราชบิดาคือพระเจ้าตวันอธิราชทรงเป็นหน่อเนื้อพระบรมพงศ์พระโพธิสัตว์ทั้งสองพระองค์ ได้ตั้งความปรารถนา"พุทธภูมิ"ประเภทวิริยาธิกะคือจะต้องบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า ใช้เวลา ๑๖ อสงไขย กับแสนกัปจึงจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ)
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    พระเจ้าแผ่นดินองค์ปัจจุบันคือ พระเจ้าธรรมิกราช ตามพุทธพยากรณ์

    "ดูก่อนอานนท์..ตถาคตสงสารสัตว์เป็นล้นพ้น ที่มีอายุขัยอยู่ใกล้ยุคกึ่งสมัยคือในหลังพุทธกาลนี้ แต่ในเวลานั้น จะมี"พระมหากษัตริย์ธรรมิกราช"ผู้เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งจะเกิดภายในอุปถัมภ์ของ"พระมหาเถระโพธิสัตว์"พระโพธิสัตว์สองพระองค์นั้น จะเสด็จเข้ามาบำรุงพระพุทธศาสนาของตถาคตสมณชีพราหมณ์จะตามเสด็จเป็นอันมาก ในระยะนี้จะเป็นยุค"ชาวศรีวิไล"
    พุทธพยากรณ์ ตามข้างต้นสอดคล้องกับคำพยากรณ์ในหนังสือสมุดข่อยของ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ลำใย) ซึ่งเป็นพระอรหันต์ในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้ทำนายชะตาบ้านเมืองก่อนกรุงศรีอยุธยาแตกเสียอิสรภาพให้แก่พม่า โดยท่านได้เขียนทำนายว่า กรุงศรีอยุธยาจะต้องถูกข้าศึกตีแตกแต่จะเสียอิสรภาพไม่นานนัก จะมีคนดีของกรุงศรีอยุธยามากู้ชาติแต่เมื่อกู้ชาติได้แล้วจะต้องไปตั้งเมืองหลวงอยู่ใหม่ เหตุการณ์เป็นจริงตามคำทำนายทุกอย่าง และได้พยากรณ์กรุงเทพมหานครซึ่งจะเกิดขึ้นในภายหน้าและกล่าวถึงพระเจ้าแผ่นดินของกรุงเทพมหานครไว้ด้วยเรียงตามรัชกาลดังนี้๑. มหากาฬผ่านมหายักษ์ ๒. รู้จักธรรม ๓. จำต้องคิด ๔. สนิทธรรม ๕. จำแขนขาด๖. ราษฎร์ราชาโจร ๗. นั่งทนทุกข์ ๘. ยุคทมิฬ ๙. ถิ่นกาขาว ๑๐. ชาววิไล...

    รัชกาลที่ ๙ ถิ่นกาขาว มี หลายท่านให้ความหมายไว้มากมาย บ้างก็ว่าฝรั่งเข้ามาเยอะ หรือ รับอารยะธรรมฝรั่งมาเป็นวิถีชีวิต หรือมีคนเข้าวัดแต่งชุดขาวมามายหมายถึงคนดีเยอะหลังจากนั้นจะเข้าสู่สมัย ชาววิไล ส่วนผมสนใจกับความหมายที่ว่า กาปกติสีดำ ถ้ามีสีขาวก็ย้อมสีหลอกคน จึงตีความหมายได้ว่า ยุคนี้เป็นยุคคนชั่วครองเมืองนิยมกลับดำเป็นขาว ขาวเป็นดำ คนทั่วไปยอมรับคนชั่วมีเงินมีอำนาจที่สร้างภาพให้ตนเองเป็นดี หลอกชาวบ้าน สอดคล้องกับคำพยากรณ์เพลงยาวกรุงศรีตอนหนึ่งที่ว่า กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม หรือ ผู้ดีเดินตรอก ขี้ครอกเดินถนนหรือ ผีเมืองจะเข้าป่า ผีป่าจะเข้าเมือง เป็นต้น ท่านลองพิจารณาดูว่าตรงไหม

    รัชกาลที่ ๑๐. ทำนายว่า ชาววิไล หมายความว่าบ้านเมืองเราได้ผ่านยุคเข็ญมาแล้ว จะได้ประสบความเจริญรุ่งเรืองกันเสียทีเราจะมั่งคั่งสมบูรณ์เหมือนนานาอารยะประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลายมีพระสุปฏิปันชื่อดังองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วไปว่าท่านเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาณานยุคปัจจุบัน ได้สงสัยว่า ทำไม พระพุทธโฆษาจารย์พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณสมัยกรุงศรีอยุธยา จึงได้ทำนายเหตุการณ์บ้านเมืองไว้เพียง ๑๐ รัชกาลเท่านั้น กรุงเทพมหานครจะมีพระมหากษัตริย์เพียง ๑๐ พระองค์เท่านั้นหรือ ท่านได้สนใจเป็นพิเศษ ได้สอบถามกับหลวงพ่อปานวัดบางนมโค และพระอาจารย์ต่างๆ ที่ทรงอภิญญาหลายองค์ และพระทุกองค์ก็ตอบยืนยันตรงกันว่า พระมหากษัตริย์จะยังดำรงอยู่คู่กับชาติไทยต่อไปอีกนาน ไม่ใช่เพียง ๑๐ องค์ เพียงแต่ ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑๐ เป็นต้นไปบ้านเมืองจะมั่งคั่งสมบูรณ์ ร่มเย็นผาสุก ประชาชนในชาติจะร่ำรวยจะเป็นประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่ง ซึ่งจะมีแต่ความเจริญตลอดไปไม่ล้มลุกคลุกคลานดังที่แล้วมา จึงไม่จำเป็นจะต้องพยากรณ์ต่อไปอีก

    พระ ภิกษุรูปนี้ ท่านยังยืนยันว่าประเทศไทยจะไม่ว่างจากพระมหากษัตริย์ โดยท่านได้สลักจารึกในแผ่นทองฝังไว้ใต้พระอุโบสถของวัดเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ พอสรุปคร่าวๆ ได้ว่า ประมาณปี พ.ศ. ๒,๗๐๐ ปลายๆ คงราวๆ ปี พ.ศ. ๒,๗๘๐ เป็นต้นไป จะมีพระมหากษัตริย์ที่เป็นพระเจ้าธรรมิกราช ทรงพระนามว่า ศิริธรรมราชา ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากเชียงแสนและสุโขทัย จะทรงร่วมกับพระอรหันต์มาบูรณะวัดนี้สืบพระพุทธศาสนาต่อไป (ข้อความเต็มๆ ให้ท่านลองไปหาอ่านที่วัดดู จะได้เนื้อหาและอรรถรสมากกว่านี้มาก)

    พระภิกษุรูปที่ผมกล่าวถึง ปัจจุบันท่านมรณภาพไปนานเกือบยี่สิบปีแล้ว ท่านจำพรรษาที่วัดหลวงปู่จันทร์ ตั้ง อยู่ริมแม่น้ำสะแกกรัง เป็นวัดเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา (มีมาก่อนการสร้างหลวงพ่อโตวัดพนัญเชิง) ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมากมีลูกศิษย์ลูกหาทั่วประเทศ เชื่อกันเป็นปกติในบรรดาลูกศิษย์ที่ผมได้สัมผัสว่า ท่านเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ เคยปรารถนาพุทธภูมิประเภทวิริยาธิกะมาก่อน และถ้าบำเพ็ญจริงๆ บารมีจะเต็มชาตินี้ เพราะบารมีท่านขั้นปรมัตถบารมีแล้ว แต่ท่านลาพุทธภูมิเพื่อช่วยสืบต่อพระพุทธศาสนาเสียก่อน ท่านทำนุบำรุงวัดนี้เจริญ ก้าวหน้ารุ่งเรืองอย่างรวดเร็วน่าอัศจรรย์ยิ่ง ทั้งทางด้านถาวรวัตถุ ธรรมะ และงานสาธารณะประโยชน์ ที่สำคัญวัดนี้เป็นศูนย์สงเคราะห์คนยากจนในถิ่นทุรกันดารในพระบรมราชูปถัมภ์ อีกด้วย กล่าวกันว่าท่านคือ พระมหาเถระโพธิสัตว์ คู่กับพระมหาโพธิสัตว์ที่ลงมาเกิดเป็น พระมหากษัตริย์ธรรมิกราช ตามพุทธพยากรณ์ จะจริงหรือไม่ประการใดก็ตามแต่สติปัญญาของแต่ละท่าน จะพิจารณาว่าสอดคล้องกับข้อเท็จจริงประการใด

    อ่านแล้วรู้สึกสบายใจมากครับ สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นความจำเป็นของสังคมไทย จะขาดไม่ได้เด็ดขาด เพราะเป็นศูนย์ความดี ศูนย์รวมจิตใจ ให้คนไทยเป็นเอกภาพหนึ่งเดียว จึงเป็นสถาบันแห่งความมั่นคงของชาติ หากใครหมิ่นประมาทหรือทำลายก็เท่ากับทำลายความมั่นคงของชาติ พระองค์ไม่ใช่เป็นกษัตริย์เพราะตำแหน่งที่แต่งตั้ง แต่เป็นเพราะคุณสมบัติที่เป็นธรรมราชา คือ พระราชาผู้ทรงธรรมที่เรียกว่าทศพิศราชธรรม ที่อิ่มแล้วซึ่งลาภ ยศ สรรเสริญ มองประชนชนเหมือนลูก มีพรหมวิหารธรรมประจำใจ

    ยุคนี้เป็นยุคชาววิไลตรงตามคำพยากรณ์ เพราะฉะนั้นมหาโพธสัตว์ที่เป็น พระเจ้าธรรมิกราช ก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ของพวกเรา ส่วนพระมหาเถระโพธิสัตว์เป็นพระคุณเจ้าองค์ใดนั้น ก็ต้องดูว่าในหลวงของเราพระองค์นับถือ พระเถระองค์ใดเป็นอาจารย์มากเป็นพิเศษ ซึ่งถ้าท่านอยากรู้จริงๆ ก็คงค้นหาไม่ยากนัก คำถามที่ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราเป็นพระ โพธิสัตว์จริงหรือไม่ ส่วนตัวที่ปรารถนาพุทธภูมิเหมือนกัน และได้ศึกษาปฏิปทาของพระโพธิสัตว์มาจนเป็นเรื่องปกติ สามารถสรุปได้อย่างไม่ลังเลเลยว่า ในหลวงของเราคือพระโพธิสัตว์ที่บารมีขั้นปรมัตถ์ เป็นพระในร่างมนุษย์ ตั้งแต่จำความได้ถึงอายุ ๕๐ ปี เห็นแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงงานหนักเพื่อประชาชน มีแต่งาน งาน และงาน มีแต่คำว่าให้ ให้ และให้ พระองค์มีศีล สมาธิ ปัญญา สมบูรณ์ทุกอย่าง และถ้าผู้ใดไปปรามาสโจมตีก็เท่ากับไปว่าพ่อแม่ตนเอง หรือตำหนิพระอรหันต์ (พระโพธิสัตว์ที่บารมีเต็มเทียบเท่าพระอรหันต์ปกติ แต่บารมีมหาศาล) จะเป็นบาปมหันต์และจะให้ผลชาตินี้ทันที

    นอกจากปฏิปทา และพระจริยวัตรว่าเป็นพระโพธิสัตว์แล้ว ข้อเท็จจริงบางอย่างที่ยืนยันได้คือมีพระสุปฏิปันองค์หนึ่งที่บรรดาลูกศิษย์ และบุคคลทั่วไปเชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ได้ตอบคำถามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ถามว่าพระองค์เป็นพุทธภูมิจริงไหม เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ ณ พระตำหนัก พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ตอนหนึ่งว่าพระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปรารถนาพุทธภูมิ (พระโพธิสัตว์) มานาน จนบารมีถึงขั้นปรมัตถบารมีแล้ว เหลือเพียง เกิดมาบำเพ็ญอีก ๕ ชาติก็เต็มแล้ว และที่ปฏิบัติเลยแล้ว ในหลวงปรารถนาพุทธภูมิแบบวิริยาธิกะได้ สร้างพระบารมีมาแล้ว ๑๖ อสงไขย กับอีกแสนกัป ...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นนักรบฝีมือดีมาจากสมัยสุโขทัย มาเกิดคราวนี้ เพื่อจรรโลงให้ชาติร่มเย็นเป็นสุข จะตายเพราะคมอาวุธไม่มีแน่
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    พระราชจริยวัตรของพระเจ้าอยู่หัวคือพระโพธิสัตว์พระเจ้าธรรมิกราชองค์จริง

    หากเราไม่ดูตามความอัศจรรย์ที่ตรงตามคำพยากรณ์ หันดูตามหลักมาตรฐานของพระโพธิสัตว์จริงๆ ก็สอดคล้องทุกอย่าง ซึ่งไม่ใช่มาตรฐานธรรมดา แต่เป็นมารตรฐานของพระโพธิสัตว์ที่พระบารมีขั้นปรมัตถบารมี กล่าวคือขั้นของบารมีพระโพธิสัตว์ ถ้าเริ่มนับตั้งแต่ได้รับพุทธพยากรณ์เป็นนิยตพระโพธิสัตว์ครั้งแรก เขานับบารมี ๓ ขั้น คือ บารมี ๑๐ รอบแรก หรือทัสแรก เรียกว่า บารมีขั้นต้น (สมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเสวยพระชาติเป็นท่าน สุเมธดาบส ก็อยู่ในบารมีขั้นต้น) ซึ่งก่อนจะได้รับพุทธพยากรณ์ต้องได้ ธรรมสโมทาน ๘ ประการ ครบ ถ้วนเสียก่อน เช่น เคยผ่านการให้ทานชีวิต อวัยวะ เลือดเนื้อมาแล้ว หรือได้สมาธิสมาบัติ ๘ เป็นต้น ต่อจากขั้นต้นก็มาเป็นบารมี ๑๐ รอบที่ ๒ หรือ ทัศที่ ๒๐ คือบารมีเข้มข้นขึ้น เรียกว่า อุปบารมี จากนั้นก็มาเป็นทัศที่ ๓๐ คือบารมี ๑๐ รอบที่ ๓ ถือว่าเข้มข้นที่สุดบารมีใกล้เต็ม เรียกว่า ปรมัตถบารมี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา พระองค์อยู่ในขั้น ปรมัตถบารมี ใกล้เต็มแล้ว ซึ่งพระองค์ใช้เวลาบำเพ็ญมา ๑๖ อสงไขย กับแสนมหากัป เนื่องจากบำเพ็ญบารมีประเภทวิริยาธิกะ เหตุที่บำเพ็ญบารมีนาน คนที่บำเพ็ญติดตามเป็นสาวกก็นานไปด้วย (ปกติสาวกภูมิบำเพ็ญเพียง ๒ อสงไขยกับแสนกัป ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ได้) บุญบารมีจึงมากเป็นพิเศษ ดังนั้นสมัยบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ คนเกิดในสมัยนั้นจึงมีแต่ความสุข ไม่มีคนยากจน เหมือนกับศาสนาพระศรีอาริย์ เพราะก็บำเพ็ญแบบวิริยาธิกะ ๑๖ อสงไขยกับแสนกัปเหมือนกันพระสุปฏิปันองค์หนึ่งท่านบอกว่า พสกนิกร และราชบริพารคือสาวก และพุทธบริษัทในสมัยนั้น

    เพื่อให้เข้าใจมากขึ้นขอยกเรื่องประเภทพระโพธิสัตว์ พอพอสังเขปดังนี้

    ๑ ปัญญาธิกะ :บำเพ็ญ บารมี ๔ อสงไขยกัปแสนกัป (ไม่รวมก่อนได้รับพุทธพยากรณ์ ซึ่งอาจมากกว่านี้หลายเท่า เช่น พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันก็ปรารถนาประเภท ปัญญาธิกะ ก่อนได้รับพุทธพยากรณ์ บำเพ็ญบารมีทั้งคิดในใจ กล่าวด้วยวาจา และปฏิบัตินานถึง ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป และรวมเวลาทั้งสิ้นปรามาณ ๒๐ อสงไขยกับแสนกัป) พระโพธิสัตว์ประเภทนี้เน้นการรวบรัดใช้ปัญญาเป็นหลัก ดังนั้นสมัยที่บรรลุเป้นพระพุทธเจ้า คนที่เกิดในสมัยนั้นจึงมีทั้ง คนรวย คนจน คนพิการ คือมีครบทุกอย่างเหมือนปีจจุบัน ซึ่งพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันก็เป็น พระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ

    ๒. ศรัทธาธิกะ :บำเพ็ญ บารมี ๘ อสงไขยกับแสนกัป และรวมเวลากับก่อนได้รับพุทธพยากรณ์ทั้งสิ้น ประมาณ ๔๐ อสงไขยกัปอีกแสนกัป คนที่เกิดในสมัยที่บรรลุเป็นพระพุทธเจ้า จะมีแต่ความสุขความรำรวย

    ๓. วิริยาธิกะ :บำเพ็ญบารมี ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป และรวมเวลากับก่อนได้ รับคำพยากรณ์ ประมาณ ๘๐ อสงไขยกับอีกแสนกัป สมัยที่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าจะไม่มีคนยากจนเข็ญใจ มีแต่ความร่ำรวย มีต้นไม้กัลปพฤษกเกิดขึ้นทั่วไป รูปร่างหน้าสวยทุกคนไร้คนพิการ ไม่มีโจรผู้ร้าย อากาศสบายไม่ร้อนไม่หนาว ฯลฯ

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของพวกเราก็ จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าประเภทวิริยาธิกะนี้ คนที่เกิดในประเทศไทยทั้ง ยกเว้นพวกต่อต้าน อาจเปรียบเป็นเทวทัตในสมัยที่พระพุทธเจ้าสร้างบารมี และชาติที่ตรัสรู้ ดังนั้นถ้าเรากราบไหว้ในหลวงก็เหมือนกราบว่าที่พระ พุทธเจ้า หรือดวงจิตที่จะเป็นพระพุทธเจ้า จึงเป็นมงคลอย่างยิ่ง ได้อานิสงส์คล้ายกราบพระ ต่างจากการไหว้ปุถุชนทั่วไป การ มีเหรียญก็ดี พระบรมฉายาลักษณ์ก็ดีมีไว้บูชาจึงมีผลคล้ายเราบูชารัชกาลที่ ๕ เพราะพระองค์ก็ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าวิริยาธิกะบารมีปรมัติใกล้เต็มเหมือน กันเหมือนกัน เพื่อให้เรามั่นใจว่า ในหลวงของเราเป็นพระโพธิสัตว์จริงๆ จึงขอยกตัวอย่างผลงานที่เป็นรูปธรรมเทียบบารมี ๑๐ สัก ๓ บารมี เพื่อให้ท่านลองพิจาณาว่าพระองค์เป็นของจริง มิใช่เพียงคำเทิดทูนสรรเสริญที่ไม่มี่ที่มาที่ไปไร้เหตุผล ดังนี้

    ๑. อธิษฐานบารมี : “เราจักครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม” เป็นความตั้งใจ เป็นเป้าหมาย เป็นนโนบายที่พระองค์จะต้อง บำเพ็ญบารมีอื่นอีก ๙ บารมีมาช่วยเสริมให้สำเร็จ ขณะเดียวกันก็เป็นการพัฒนาหรือบำเพ็ญบารมีอื่นไปพร้อมกันด้วย รูปธรรมที่ปรากฏให้เห็น คือโครงการพระราชดำริต่างๆ ดังที่พวกเราทราบดีว่ามีผลประการใด

    ๒. ทานบารมี :การ สงเคราะห์ช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ปวงพสกนิกรทั้งไทยและต่างประเทศของพระองค์ ไม่ต้องหลับตานึกก็เห็นภาพพระราชกรณียกิจชัด ไหลมาขาดสาย ทั้งในศาสนา และกับปวงพสกนิกรของพระองค์ ซึ่งเราได้พบเห็นจนเจนตาเป็นเรื่องปกติ ที่ยิ่งกว่าคนทั่วไปอย่างไม่มีใครเทียบได้

    ๓. เมตตาบารมี :อันนี้ก็อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้อีก แค่ดูผลของความเมตตา และพรหมวิหารสี่ ออกมาทางทานบารมีก็คงไม่ต้องอธิบายให้เสียเวลาเพราะรับรู้กันเป็นปกติอยู่แล้ว

    จะเห็นว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันของพวกเรา นอกจากจะทรงทศพิธราชธรรมตามที่กล่าวมาแล้ว ยังทรง ทศบารมี ๑๐ หรือบารมี ๑๐ ประการที่อยู่ในขั้น ปรมัตถบารมี ของพระโพธิสัตว์ ได้แก่ อธิษฐานบารมี ทานบารมี ศีลบารมี ปัญญาบารมี สัจจะบารมี เนกขัมมะบารมี เมตตา บารมี อุเบกขาบารมี และขันติบารมี ถ้าเรามานั่งไล่เรียงทีละบารมีกันจริงๆ ไม่มีบารมีไหนพร่องเลย จะยกพระราชจริยวัตรใดมาเทียบก็ตรงทั้งนั้น ถ้าใช้ภาษาวัยรุ่นจะสะท้อนตรงที่สุด คือล้วนแต่ โดนๆ หรือ ใช่เลย ทั้ง นั้น พยายามจะดูว่าบารมีไหนเด่นที่สุดก็หาไม่เจอะ เพราะล้วนอยู่ในขั้นปรมัตถแบบเต็มๆ ทุกบารมี เพราะเหตุนี้จึงทำให้พระองค์เหมือนเป็นพระที่อยู่ในร่างกายมนุษย์ เป็นสมมุติเทพจริงด้วยคุณสมบัติจริงๆ เป็นปูชนียบุคคลจริงๆ ที่กราบไหว้ได้สนิทใจ และได้อานิสงส์สูงจริงๆ เป็นที่ทราบและยอมรับกันโดยทั่วไปเป็นปกติในกลุ่มผู้ปรารถนาพุทธภูมิว่า พระเจ้าอยู่หัวเป็นพุทธภูมิปรมัตถบารมีจริงๆ และบรรดาพระเกจิอาจารย์ที่เป็น พระสุปฏิปันโนที่ทรงคุณพิเศษ ไม่มีองค์ไหนที่ไม่ยอมรับ บารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    ทำไมจึงเรียกว่า “พระเจ้าแผ่นดิน”

    พระเจ้าแผ่นดิน หมายถึง ผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินเนื่องจากผืนแผ่นดินนี้กว้างใหญ่ไพศาลมาก ผู้เป็นเจ้าของจึงนิยมเรียกว่า “ราชาแผ่นดิน” หรือ “เจ้าแผ่นดิน” (ตามปกติคนที่มีอะไรมากๆ เหนือคนอื่น มักเรียกว่า เจ้า หรือ ราชา นำหน้าเสมอ เช่น ราชาที่ดิน ราชาพระเครื่อง เจ้าพ่อ เจ้าแห่งค้าปลีก เป็นต้น) แต่ด้วยเหตุที่เจ้าของผืนแผ่นดิน มีคุณสมบัติพิเศษคือ ทศพิศราชธรรม หรือ “ธรรมะของปกครอง ๑๐ ประการ” ประจำใจ และใช้ธรรม ๑๐ ประการนี้ในการปกครองปวงชนที่อาศัยแผ่นดินทำมาหากิน จึงเรียกว่าเจ้าของแผ่นดินอีกชื่อหนึ่งว่า พระ ซึ่งเป็นปูชนียบุคคลที่ประชาชนสามารถกราบไหว้บูชาได้อย่างสนิทใจ จึงเรียกชื่อรวมสั้นๆ ว่า พระเจ้าแผ่นดิน แปลตามความหมายตรงๆ ว่าพระที่เป็นเจ้าของแผ่นดิน



    พระเจ้าแผ่นดิน เป็นผลิตผลของความดี ที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ

    พระสุปฏิปันโนที่ทรงคุณพิเศษ และผู้ที่มีทิพจักขุญาณแจ่มใสหลายท่านรู้ตรงกัน เกี่ยวกับความเป็นมาของพระเจ้าแผ่นดินในระยะไม่เกิน ๒๕๕๓ ปี (ซึ่งอาจจะตรงหรือแย้งกับนักประวัติศาสตร์บางท่าน ที่เขียนตำราโดยการสมมุติฐาน คาดการณ์ หรือจินตนาการของตนเอง ภายใต้กรอบแนวคิดของหลักวิทยาศาสตร์ ส่วนตัวถือตำราประวัติศาสตร์ประกอบส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะคนที่ท่านเขียนเกิดไม่ทันสมัยนั้นและเขียนผิดบ่อยๆ แม้อดีตชีวิตของท่านเองในชาตินี้ยังจำไม่ค่อยได้) ผลจากทิพจักขุญาณนี้ เกิดจากท่าน ผู้ทรงความดี จากที่ได้ติดตามผลมาหลายปี สิ่งที่ท่านรู้ไม่เคยผิดพลาดเลย ข้อความต่อไปนี้ขอให้ท่านผู้อ่านใช้วิจารณญาณตามหลักกาลามสูตร ในการตัดสินใจรับข้อมูล เจตนารมณ์ที่ยกเรื่องนี้มา ก็เพื่อต้องการให้ท่านเกิดความภาคภูมิใจ มีเจตคติที่ดีต่อสถาบัน (ขอย้ำว่า เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนตัวว่าเป็นเรื่องจริง ท่านใดจะคิดว่าเป็นเรื่องแต่ง ความจริง ความเชื่อ นิทาน หรือตำนาน ก็ได้ตามอัธยาศัย )

    ถอยหลังใปในอดีตประมาณสองพันปีมาแล้ว คนไท อาศัยปลูกบ้านอยู่กันป็นกลุ่มๆ มีหัวหน้ากลุ่มเรียกว่า กำนัน ผู้ใหญ่บ้านแต่ละกลุ่มหมู่บ้านจะมีตระกูลต่างๆ อยู่รวมกัน มีตระกูล หนึ่งก่อร่างสร้างตัวจนมีความมั่งคั่ง มีศักยภาพสูงในการปกป้องดูแลตนเองและกลุ่มอื่น มีคนมาขอเป็นบริวารอยู่ในความรับผิดชอบดูแลเลี้ยงดูจำนวนมาก เนื่องจากหัวหน้าตระกูลมีภาวะผู้นำสูงคือ มีความสมารถในการปกครอง มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว เสียสละ โอบอ้อมอารี ช่วยเหลือเกื้อกูลไม่เลือกว่าตระกูล หมู่บ้าน ตำบล และกลุ่มใด จึงเป็นที่ยอมรับนับถือของคนทั่วไป จนพากันเรียกว่า พ่อใหญ่ ต่อมามีกลุ่มต่างๆ พากันเข้ามาขออาศัยภายใต้การปกครองของตระกูลนี้มากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ จึงได้จัดวางระบบการทำงานภายในที่ดี เพื่อให้ง่ายในการบริหารปกครอง จึงกำหนดตำแหน่งต่างๆ ให้ชัดเจนไม่ซ้ำซ้อน คล้ายตำแหน่งในพระราชวัง ซึ่งได้แนวคิดมาจากพระพุทธศาสนาเนื่องเป็นชาวพุทธ ต่อมา พ่อใหญ่ ถูกเรียกว่า พ่อหลวง เพื่อรองรับจำนวนคนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้นำตระกูลจึงนำบริวารและประชาชนผู้อาศัย ช่วยกันบุกเบิกขยายดินแดน หลายครั้งก็ต่อสู้แย่งชิงกับตระกูลอื่นที่มารุกราน ผู้นำตระกูลก็จะทำหน้าที่เป็นผู้นำการรบ และในการปกป้องรักษาในยามปกติ แต่ละครั้งก็มีการสูญเสียชีวิตเลือดเนื้อ ทรัพย์สินจำนวนมาก ผู้นำตระกูลก็จะให้การช่วยเหลือเยียวยาเหมือนพ่อกับลูก เหมือนผู้ใหญ่บ้านกับลูกบ้าน และเมื่อมีหลายๆ หมู่บ้านหลายๆ ตำบล และหลายๆ กลุ่มคนเข้ามาขอรวมอยู่ด้วยมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการปกครอง ประชาชนทั้งหมดจึงรวมใจแต่งตั้งให้เป็น พระเจ้าแผ่นดิน และสร้างพระราชวังให้อยู่ ซึ่งทำด้วยไม้ โดยนำไม้เป็นต้นๆ กะเทาะเปลือกออกขัดมันแต่งลวดลายให้สวยงาม และมีที่ประชุมเรียกว่าท้องพระโรง ถึงแม้จะทำด้วยไม้แต่ก็ดูโอ่อ่าสวยสดงดงามมาก คนในพระราชวังก็มีการวางระเบียบภายใน เช่น การพูด กำหนดวิธีการพูด และสรรพนามต่างๆ การแต่งตัว วางระเบียบการแต่งตัวตามสถานภาพต่างๆ เน้นความเรียบร้อยสวยงาม สะอาดสะอ้าน (ไม่ใช่ถอดเสื้อเหมือนในละครบางเรื่อง) การวางบุคลิกภาพ การ นั่ง ยืน เดิน ให้ดูองอาจสง่างามยิ่งกว่ายุคปัจจุบัน (ไม่หลังค่อม หรือท่าทางจ๋องๆ เหมือนในละครบางเรื่อง) ข้อห้าม ข้อต้องปฏิบัติ รวมทั้งระบบการปกครองภายใน ซึ่งใช้เป็นแม่แบบกับกลุ่มหมู่บ้านต่างๆ (หัวเมือง) พระราชวังนี้พัฒนาให้สวยขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้นประมาณ ๒ ชั่วอายุคน มีความเป็นปึกแผ่นมากขึ้น ประชาชยอมรับวิถีชีวิตและการปกครองแบบ พระราชา เป็นเรื่องปกติ และด้วยเหตุที่พ่อหลวงทำหน้าที่เป็นนักรบปกป้องดูแลมาตลอด ต่อมาปวงประชาจึงพร้อมใจกันเรียกอีกชื่อว่าหนึ่งว่า พระมหากษัตริย์ ซึ่งแปลว่าผู้ปกป้องรักษา ผู้เป็นนักรบนักต่อสู้กษัตริย์สมัยนั้นปกครองแบบพ่อคน พี่คน หรือน้องคน ไม่ใช่แบบนายคน เอาเปรียบคน ประชาชนยอมรับนับถือมาก

    คน ในสมัยนั้น เมื่อครอบครัวใด ตระกูลใด กลุ่มใด หมู่บ้าน และกลุ่มหมูบ้านใด จะเข้ามาขออยู่อาศัย ก็จะยกผืนดินให้เป็นของพ่อหลวง เพื่อเป็นค่าตอบแทนในการปกป้องดูแลทุกด้าน แผ่นดินของพ่อหลวงส่วนใหญ่ก็ขยายโดยวิธีนี้ คือขยายด้วยความดีที่มีแก่ปวงประชาไม่เลือกหน้า หากไม่พออยู่อาศัยทำมาหากิน พ่อหลวงก็จะทำหน้าที่นำปวงประชาบุกเบิกแสวงหาผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ แล้วส่งคน (ทหาร) ไปปกป้องดูแล เมื่อมีข้าศึกมารุกรานยึดที่ดิน คน ทรัพยากร พ่อหลวงก็จะทำหน้าที่เป็น กษัตริย์” เพื่อสู้รบปกป้อง สมัยนั้นปวงประชารับรู้โดยปกติว่า อาศัยแผ่นดินของพระมหากษัตริย์อยู่ แม้พระองค์จะจัดระเบียบ แบ่งปันที่ดินทำมาหากินให้เป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัว มากน้อยตามเหตุผลที่กำหนดไว้
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    พระมหากษัตริย์ กับระบอบธรรมาธิปไตย

    เมื่อสถาบันกษัตริย์พัฒนามาระยะหนึ่ง จนมีความเป็นปึกแผ่นมั่นคง มีระบบบริหารจัดการที่ดีขึ้น เพื่อให้สะดวกในการบริหารปกครอง จึงใช้รูปแบบการปกครองที่ยอมรับว่าดีที่สุดอยู่มาคู่โลกนับนานอสงไขย นั่นคือ ระบอบธรรมาธิปไตยซึ่งแปลว่ามีความดีเป็นใหญ่มีความดีเป็นอำนาจมีความดีควบคุม ระบอบนี้ยึดหลักความดีเป็นแกนกลางในการบริหารปกครอง ซึ่งแบ่งเป็น ๒ อย่าง คือ ทศพิธราชธรรม ผู้ นำจะต้องปฏิบัติตนในหลักราชธรรมนี้ ซึ่งมีทั้งการเคารพสิทธิมนุษยชน ยอมรับความเสมอภาคของความเป็นมนุษย์ มีความรักเมตตาเกื้อกูลด้วยสังคหะวัตถุ ๔ ความมุ่งมั่นอดทนและความเป็นธรรม แบ่งเป็นเป็นข้อๆ ดังนี้

    ๑. ทานํ คือ ทานการให้ การเกื้อกูลสังคหะวัตถุ ๔ ด้วยความเต็มใจ และด้วยความเสียสละ
    ๒. ศีลํ คือ ความสิทธิมนุษยชน งดเว้นการเบียดทั้งกาย วาจา ใจ เคารพกฎเกณฑ์ของสังคม
    ๓. บริจาคํ คือ สละความสุขส่วนตัว เพื่อส่วนใหญ่
    ๔. อาชชวํ คือ ความซื่อตรงต่อหน้าที่ฐานะผู้ปกครอง ทำตามหน้าที่ไม่ทุจรติช่อโกง
    ๕. มัททวํ คือ มีความอ่อนโยนกับคนเสมอกันและตำกว่า สัมมคารวะกับผู้สูงกว่า มีมนุษยสัมพันธ์ดี เปิดใจเคารพเหตุผลคนอื่น
    ๖. ตบํ คือ มีความพอใจ ตั้งใจ ใส่ใจ เข้าใจ ในงานที่ปฏิบัติ
    ๗. อโกธ คือ ความไม่โกรธ ข่มใจไม่แสดงความโกรธ น้ำขุ่นไว้ในน้ำใสไว้นอก ทำหน้าแช่มชื่นอยู่เสมอ
    ๘. อวิหํสาคือ ความไม่เบียดเบียน กดดัน บีบคั้น ทำให้คนอื่นมีความทุกข์
    ๙. ขันติคือ มีความอดทนต่อความทุกข์ยากในการทำความดีทั้งปวง รักษากายวาจาใจให้ปกติ
    ๑๐. อวิโรธนํ คือ มีความเที่ยงธรรม ไม่มีอคติ๔ หนักแน่นไม่หวั่นไหวในความกลัว ความรัก อารมณ์ ลาภสักการะ

    หลักธรรมาภิบาล สำหรับการบริหารได้แก่ หลักเหตุผล หลักความจริง หลักความเป็นธรรม ในการปกครอง และบริหารจัดการต่างๆ หรือสรุปง่ายๆ หลักธรรมาภิบาล คือ หลักที่ทำตามเหตุที่ดี ตามผลของเหตุที่ดี บนพื้นฐานของความดี หรือธรรมะ พูดสั้นๆ คือ กฏของกรรมและ โดยธรรมชาติของระบอบธรรมาธิปไตย จะเป็นทั้งประชาธิปไตย เผด็จการ (อัตตาธิปไตย) และบริการสังคม (โลกาธิปไตย หรือกระแส ข้อเรียกร้อง) ซึ่งระบอบต่างๆ เหล่านี้จะทำหน้าที่ในกาลเทศะที่เหมาะสมอย่างอัตโนมัติ เพียงแต่ผู้นำจะต้องมี ศิลปะ ใน การประยุคใช้ให้เหมาะสมเท่านั้น ธรรมาธิปไตยนี้ได้ใช้เป็นแนวทางในการปกครองคณะสงฆ์มาตั้งแต่สมัยพุทธกาล และผู้ที่จะใช้หลักธรรมาธิปไตยได้ผลดีที่สุด คือผู้ที่อิ่มแล้วซึ่งลาภ ยศ สรรเสริญ มีความกล้าหาญ เสียสละ จิตใจสาธารณะ จิตใจพระโพธิสัตว์ และทรงทศพิธราชธรรม ดังนั้นผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะใช้ระบอบนี้คือพระมหากษัตริย์ และใช้มาตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบัน มีพระนามต่างๆ ของพระเจ้าแผ่นที่ปกครองแบบธรรมาธิปไตย เช่น ธรรมราชาธรรมิกราช มหาธรรมราชา ทรงธรรม
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    สถาบันกษัตริย์ดีที่สุด เก่าแก่ที่สุด มั่นคงเป็นอมตะที่สุด

    สิ่งใดที่ดำรงอยู่ได้นานๆ หลายร้อยหลายพันปี แน่นอนว่าต้องมีอะไรพิเศษเฉพาะตัวซ่อนอยู่ เพราะสามารถปรับตัวได้กับทุกตัวแปรในแต่ละช่วงกาลเวลาที่ผ่านไป ความพิเศษ (คุณสมบัติพิเศษ) นี้อาจกล่าวได้ว่ามีความเป็น สัจธรรม สูง เนื่องจากสามารถปรับตัวอยู่ได้ทุกยุคสมัย เปรียบเหมือนน้ำที่ปรับรูปร่างไปตามพาชนะที่บรรจุ และคงคุณสมบัติของตนเองไว้ได้ตลอดกาล สถาบันพระมหากษัตริย์ถือเป็นสถาบันที่ดำรงอยู่คู่โลกมายาวนาน จนไม่สามารถนับระยะเวลาได้ แม้จะตั้งหน่วยนับเป็นล้านๆ ชาติต่อ ๑ หน่วยก็ตามเพราะมีคุณสมบัติพิเศษ (สัจธรรม) คือ เหมาะสมกับแก่นแท้ของมนุษยชาติทุกสายพันธุ์ รองรับผู้ปกครองที่ทรงคุณธรรม และรองรับความสามารถของนักปกครองที่ดี จะ เห็นว่าสถาบันต่างๆ ที่สถาปนาขึ้นมาปกครองมนุษย์ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และสลายไปภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่ร้อยปี เพราะมีข้อจำกัดด้านคุณสมบัติพิเศษดังกล่าว
    ครูบาอาจารย์ที่ทรงคุณพิเศษองค์หนึ่งท่านบอกว่า สถาบันกษัตริย์ได้ผ่านการขัดเกลาปลูกฝังมานาน ให้มีจิตใจเป็นสาธารณะชั้นสูงสุดแบบพระโพธิสัตว์ มองพสกนิกรเหมือนลูก มีคุณธรรมและความสามารถสูงกว่าปกติ พระมหากษัตริย์จึงอิ่มแล้วซึ่งลาภ ยศ สรรเสริญ เพราะสูงสุดแล้ว ค่าตอบแทนจากการตรากตรำทรงงานหนักยอดปรารถนาคือ ความสุขของปวงชน พระ มหากษัตริย์ที่พระปรีชาสามารถ และทรงธรรม จึงเป็นสุดยอดของนักปกครอง เพราะเป็นทั้งผู้ทรงธรรม นักประชาธิปไตย และการใช้อำนาจเด็ดได้อย่างลงตัวกลมกลืน

    พระเจ้าจักรพรรดิ คือตัวอย่างของความเก่าแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ ที่พวกเราชาวพุทธทราบกันดีว่า เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงบุญญาธิการมากที่สุด และมีคุณสมบัติเลิศกว่ามนุษย์ทั้งปวง ซึ่งเกิดขึ้นจากความดีที่สั่งสมมานานหลายแสนชาติ มีหน้าที่หลักคือสงเคราะห์ปกครองโลกให้สันติสุข ด้วยน้ำพระทัยแบบพระโพธิสัตว์ และเป็นนักปกครองที่ยอดเยี่ยมที่สุด อาจถือได้ว่าเป็นบิดาแห่งพระมหากษัตริย์ทั้งปวง ที่ได้รับการถวายพระนามว่า มหาราช และ ธรรมิกราช หรือ ธรรมราชา

    แทบทุกชาติ ทุกศาสนา ล้วนมีสถาบันกษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจ เป็นความมั่นคงของชาติ เหมือนกันหมด แสดงว่าโดยเนื้อแท้เป็นสถาบันที่ดีที่สุด คัดสรรผู้ปกครองเป็นคนดีและความสามารถได้ดีที่สุด หมายความว่าถ้าเอาทุกสถาบันหลักของแต่ละชาติมาเทียบกัน โดยคัดเอาคนดีมีความสามารถมาบริหารเหมือนกัน สถาบันกษัตริย์ที่ปกครองโดยระบอบธรรมาธิปไตยจะดีที่สุด เพราะโดยธรรมชาติของสถาบันนี้ ผู้ปกครองจะไม่แสวงหาอำนาจวาสนา หากต้องการก็เป็นเพียงเครื่องมือในการเปลื้องทุกข์บำรุงสุขของปวงพสกนิกร เท่านั้น เนื่องจากจิตใจของผู้เป็นกษัตริย์ถูกหล่อหลอมมานานหลายพันปีให้มีความรู้สึก ว่า ประชาชนเหมือนลูก ให้มีทศธรรมกับลูก มีหน้าที่หลักในการปกป้องเลี้ยงดูลูกให้มีความผาสุก พระมหากษัตริย์ที่เป็นธรรมราชา จึงอิ่มแล้วซึ่งลาภ ยศ สรรเสริญ เพราะตำแหน่งกษัตริย์สูงที่สุดแล้ว และใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารปกครองดังกล่าวเท่านั้น

    ในทางพระพุทธศาสนา สถาบันพระกษัตริย์มีมานานคู่กับพระพุทธศาสนา อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า ๒๐ อสงไขยกับอีกแสนกัป (๑ กัป นับหน่วยเป็นปีไม่ได้ ท่านจึงเปรียบภูเขาหินที่ตันไม่มีรู สูง กว้าง ยาว ด้านละ ๑ โยชน์ และ ๑๐๐ ปีเอาผ้าบางๆ ดุจสำลีมาลูบเบาๆ ๑ ครั้ง จนเสมอพื้นดิน แต่ ๑ อสงไขย นับหน่วยเป็นจำนวนกัปไม่ถ้วน) ก็จะปรากฏมีระบอบกษัตริย์ตลอดมา เช่น เมื่อ ๒๐ อสงไขยที่แล้ว พระพุทธเจ้าสมณโคดมเกิดเป็นเจ้าหญิงชื่อ วิสุทธาเทวี เป็นขนิษฐาของพระพุทธเจ้าสมัยนั้น ชื่อ โปราณทีปังกร หรือ แม้แต่เข้าเขตพยากรณ์ใน ๔ อสงไขยกับแสนกัปสุดท้าย เกิดเป็นพระมหากษัตริย์นับครั้งไม่ถ้วน แม้แต่ตอนท้ายๆ ในการสร้างพระบารมีก็เป็นพระเวสสันดรที่ยกเรื่องราวของพระมหากษัตริย์มาค่อนข้างยาว เพราะต้องการยืนยันว่า ระบอบการปกครองที่ดีที่สุด ต้องมีพระหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชา และเป็นธรรมราชาเป็นประมุข ลิทธิการปกครองอื่นๆ ที่เขียนขึ้นโดยนักคิดที่เต็มไปด้วยกิเลส และเขียนด้วยแรงผลักดันของกิเลส ถึงแม้จะมีคนยอมรับนำไปปกครองมากในบางยุคสมัย แต่ปัญหาจากด้านคุณธรรมและความสามารถก็จะปรากฏให้เห็นตลอดมา จึงกัดกินทำลายตัวเองเหมือนงูกินหางและสลายไปในที่สุด
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    ปกครองด้วยระบอบธรรมาธิปไตย ไม่มีศักดินา

    ตามที่กล่าวมาตามข้างต้นตามความเข้าใจของผมคือ เจ้าของผืนแผ่นดิน คือผู้ซึ่งเริ่มต้นบุกเบิก ต่อสู้ แสวงหาดินแดนและทรัพยากร ตลอดจนปกป้องรักษาเอาไว้ ที่แลกมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิต และจะต้องปกครองดูแลปวงชนที่มาขออยู่อาศัยทำมาหากินบนผืนแผ่นดิน ให้มีความผาสุก มิใช่ทำในฐานะเจ้าของแผ่นดินกับผู้อยู่อาศัย แต่ทำในฐานะเจ้าของแผ่นดินที่จะต้องปกครองโดย “ธรรมราชา จึงต้องทรง ทศพิธราชธรรม ทุกพระองค์ซึ่ง เป็นสิ่งควบคุมความประพฤติของพระมหากษัตริย์อย่างเคร่งครัดหนักแน่นยิ่งกว่า กฎหมายใดๆ โดยไม่ต้องมีใครมาบังคับ ต้องฝึกให้มีประจำใจเป็นปกติด้วยเหตุนี้พระองค์จึงปกครองพสกนิกรเหมือน พ่อปกครองลูก ปวงชนที่อยู่อาศัยจึงไม่รู้สึกว่าเป็นผู้อาศัย ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่า พระเจ้าแผ่นดินหรือ พระโพธิสัตว์ที่เป็นเจ้าของแผ่นดิน

    ถึงอย่างไรก็ดีในบางสมัย มีผู้อยู่อาศัยทำมาหากินบางกลุ่มที่หลงผิด ลืมไปว่าตนเองคือผู้อาศัยไป หลงยึดตำราทฤษฏีการเมืองตะวันตกที่คนเขียนยังเป็นปุถุชนศีลห้ายังไม่ครบ ว่าเหนือกว่า ธรรมาธิปไตย และ ทศพิธราชธรรมขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาที่เป็นจอมพระอรหันต์ ผู้ทรงพระสรรพพัญญูวิสัย ทำตัวเนรคุณบังอาจยกตนข่มท่าน ไปกล่าวหาว่าเป็น ระบบศักดินา เอารัดเอาเปรียบ แบ่งชนชั้น ถืออภิสิทธิ์เหนือคนทั้งปวง อ้าง สิทธิความเท่าเทียมของมนุษย์ตามตำราที่ตนยึดถือ ตะแบงเรียกร้องให้คืนอำนาจให้ประชาชน ทั้งที่เขาไม่เคยบอกเลยว่า สถาบันกษัตริย์ยึดอำนาจจากพวกเขาไปตั้งเมื่อไร เพียงแต่ยกทฤษฏีที่โดนใจคนขี้เกียจที่ไม่ยอมใช้โอกาสที่เท่าเทียม เพื่อพัฒนายกระดับสถานภาพตัวเองให้สูงขึ้นตามสิทธิที่มีอยู่ มาเป็นข้ออ้างแบบหลับหูหลับตา ไม่ มองโลกแห่งความเป็นจริงที่เปลี่ยนไปไกลจนลิบลับ เหมือนคนป่าอยู่ถ้ำมาเรียกร้องขอใช้สิทธิในประโยชน์ เช่นเดียวกับกลุ่มคนที่เขาไม่งอมืองอเท้าพัฒนาตนเองจนศิวิไลแล้ว และคนเหล่านี้เขามีสิทธิจะอ้างสิทธิอันชอบธรรมของเขาเช่นกัน

    ถึงอย่างไรก็ดี ด้วยน้ำพระทัยที่ทรงพรหมวิหารธรรมที่มีความรักปวงพสกนิกรเหมือนลูก ถึงแม้จะทราบว่า พสกนิกรยังไม่มีความพร้อมที่รับอำนาจไปปกครองตนเองได้ก็ตาม แต่พระองค์ก็ไม่อ้างสิทธิใดๆ จึงทรงพระราชทานอำนาจให้ ทั้งๆ ที่ยังไม่มั่นใจว่าลูกๆ จะใช้อำนาจดูแลประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วย เหตุที่กลุ่มที่อ้างตัวเป็นตัวแทนปวงชนขาดทศพิธราชธรรม จึงหลงมัวเมาในอำนาจที่ได้รับพระราชทานไปว่าเป็นของกลุ่มตน จนลืมประชาชนที่กลุ่มตนยกเป็นข้ออ้าง มีความโลภเห็นแก่ตัว ใช้อำนาจที่ได้มากลั่นแกล้ง ทุจริตฉ้อโกงอย่างมหาศาล จนมีการแย่งชิงกันไปมา เกิดระบบทุนแบ่งแยกชนชั้นเป็น ระบบศักดินาที่แบ่งโดยทุน อย่างอำมหิต พสกนิกรของพระองค์ก็ยังยากลำบากเหมือนเดิม และยิ่งกว่าเดิม

    ถ้าเปรียบเทียบท่านเป็นเจ้าของบริษัทและวงศ์ตระกูล เช่น พ่อแม่ลูกน้องของท่าน ท่านเป็นคนลงทุนเปิดกิจการและบริหารงานเอง หลายครั้งมีการขาดทุนแทบเอาตัวไม่รอด แต่ก็ประคับประคองจนเจริญก้าวหน้า และได้ขยายกิจการมีเครือข่ายบริษัทออกไปมากมาย จนมีความมั่นคงยาวนานนับร้อย ปี ลูกหลานรุ่นใหม่ก็ผลัดกันเข้าเป็นเจ้าของและบริหารสืบต่อมาเรื่อยๆ ด้วยความเป็นเชื้อสายของวงตระกูลลูกหลานเหล่านี้ทุกคน ก็เป็นธรรมดาอยู่ดีที่จะมีสิทธิและเอกสิทธิ์ในทรัพย์สินทุกอย่างของบริษัท มากกว่าทุกคนในบริษัทในฐานะเจ้าของกิจการ แม้จะเป็นรุ่นลูก หลาน เหลน โหลนแล้วก็ตาม แล้วจู่ๆ วันดีคืนดีมีลูกจ้างบางกลุ่มมากล่าวหา โจมตี ว่า เจ้าของบริษัทเอาเปรียบพวกเขาทั้งๆ ที่เป็นคนเหมือน ไม่น่ามาแบ่งชนชั้น มีอำนาจ มีสิทธิเฉพาะลูกหลานตนเอง ขอมีสิทธิ์บ้าง เจ้าของบริษัทซึ่งมีธรรมาภิบาลสูงก็ใจดี อุตส่าห์ให้ฝ่ายบริหารงานบุคล จัดวางระบบแผนความก้าวในตำแหน่งหน้าที่การงานให้พนักงาน จนมีโอกาสเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นผู้บริหารระดับสูง และจัดสวัสดิการต่างๆ ให้มากมาย แต่พนักงานกลุ่มนี้ก็ไม่พอใจกลับจะขอเป็นเจ้าของกิจการเสียเอง แต่เจ้าของกิจการก็ยังใจดีขอดำรงตำแหน่งแค่ประธานบริษัท ปล่อยให้บริหารแทนทั้งหมด แต่ด้วยเหตุที่ขาดประสบการณ์ ขาดคุณธรรมจึงมีการทุจริตจนบริษัทจะล่มจมหลายวาระ

    ระบอบธรรมาธิปไตย โดยเนื้อหาแล้วเป็นระบอบที่ลดชนชั้นอย่างลึกซึ้งไปถึงจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ปกครองที่เป็นพระมหากษัตริย์ ที่เป็นพระธรรมราชาจริงๆ นอกจากจะทรงทศพิธราชธรรมแล้ว ยังทรงบารมี๑๐ อีกด้วยโดย เฉพาะอย่างยิ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน ถ้าเราจะดูในทศพิธราชธรรม จะไม่พบข้อไหนเลยที่แบ่งชนชั้นล้วนลดความเป็นตัวเอง และเคารพสิทธิมนุษยชนด้วยจิตที่เต็มเปี่ยมด้วยเมตตาทั้งสิ้น โดยภาพรวมแล้วทำให้คนอยู่ใกล้มีความสุข เพราะเป็นที่พึงได้ ผมจะยกตัวอย่างหลักธรรมาภิบาลหนึ่งที่เป็นคุณสมบัติของนักปกครองที่ดีเยี่ยม คือบารมี ๑๐ ว่าเคารพสิทธิมนุษย์ชน และลดชนชั้นอย่างลึกซึ้งอย่างไร

    ๑. อธิษฐานบารมี :การ ตั้งเป้าหมายเป็นเข้มมุ่งว่า เราจะใช้บารมีที่เหลือ ๙ บารมีให้บรรลุผลอย่างไร และในการทำงานในหนึ่งโครงการอาจมีเป้าหมายหลักเป้าหมายรอง หลายสิบเป้าหมายก็ได้

    ๒. ศีลบารมี :เคารพ สิทธิมนุษยชน ด้วยการงดเว้นจากการทำความชั่วทั้งปวง หากทำได้สูงสุดนอกจากจะงดเว้นทางกาย และวาจาแล้ว ต้องงดเว้นทางใจด้วย คือต้องมีเมตตาบารมีกำกับ นี่ก็เป็นลดชนชั้นอย่างลึกซึ้ง เพราะรักชีวิตทรัพย์สินของคนอื่นเหมือนตนเอง

    ๓. เมตตาบารมี :รักคนและสัตว์เสมอด้วยตัวเรา และศีลหรือการงดเว้นจากความชั่วจะเกิดขึ้นเองอย่างอัตโนมัติ ตามปกติคนที่มีเมตตาจะเกิดพรหมวิหาร ๔ อย่างอัตโนมัติ กล่าวคือ เมื่อมีเมตตากับคนจำนวนมาก ก็มีความปรารถนาอยากจะเกื้อกูลสงเคราะห์ด้วยสังคหวัตถุ ๔ และอื่นๆ เกิดขึ้นเอง เรียกว่า กรุณา เมื่อเราให้ทานการสงเคราะห์แล้ว เราก็ยินดี หรือยินดีกับคนอื่นที่เขามีความสุข จิตใจมีแต่ความอ่อนโยน ไม่มีอิจฉาริษยา เรียกว่า มุทิตา หากเราพยายามสงเคราะห์เกื้อกูลด้วยวิธีต่างๆ ไม่ได้ผลเราก็ไม่หมั่นใส่ ซ้ำเติม แต่ใจเราจะเกิดความเป็นกลางขึ้นมาเอง รอจังหวะโอกาสที่จะสงเคราะห์ เรียกว่าอุเบกขาเมตตาบารมีนี้เป็นการระงับ และตัดความโกรธได้อย่างเด็ดขาด และถูกวิธีที่สุด นี่เป็นการสร้างความเสมอภาค คนทุกคนมีค่า เห็นใจเข้าใจ ชนชั้นจะไม่เกิดในใจและการกระทำ คนอยู่ข้างหรือคนใกล้ชิดมีแต่ความสุขความชื่นใจ เพราะใบหน้าของคนมีเมตตาจะแช่มชื่นยิ้มแย้มเป็นกันเองตลอดเวลา

    ๔. ทานบารมี :เมือ จิตมีเมตตาบารมี ความรักที่เกิดจากความเมตตาจะผลักดันจิตใจให้ต้องการช่วยเหลือเกื้อกูลอย่าง ให้ทานการสงเคราะห์อย่างไม่เลือกหน้าอย่างอัตโนมัติ เหมือนเรารักลูกโดยธรรมชาติเราก็จะต้องการสงเคราะห์ทุกอย่าง หากเมตตาให้ทานเฉพาะกลุ่มตนเองยังไม่ถือว่ามีเมตตาจริงๆ ทานบารมีทำให้เกิดความรักสามัคคีกันแล้ว ยังเป็นการตัดกิเลสความโลภ หรือความเห็นแก่ตัวอีกด้วย ข้อนี้ก็ยังมองไม่เห็นชนชั้น เห็นแต่ภาพสังคมที่แบ่งปันในอุดมคติยุคพระศรีอาริยเมตรัย

    ๕. สัจจะบารมี : เมื่อมีอธิษฐานบารมีหรือเป้าหมายแล้ว การดำเนินการให้สำเร็จลุล่วงได้ ต้องมีความจริงใจตั้งใจมั่นและทำตามนั้นอย่างจริงจัง เรียกว่า สัจจะบารมี หากกำหนดนโยบาย และวางแผนทำโครงการ จัดคนให้เหมาะกับงานโดยเลือกความสามารถผสานควบคู่กับนิสัยในจริต ๖ ระดับสติปัญญา และคุณธรรมตามหลักบัวสี่เหล่า พัฒนาคนตามหลักธาตุสี่ และมีคุณธรรมในการบริหารคนด้วยพรหมวิหารสี่ บริหารงานตามหลักอริยสัจสี่ และทำงานบนหลักของอิทธิบาทสี่ โดยมีสัจจะบารมีว่าต้องมุ่งมั่นทำจริงๆ ถือเป็นการบริหารตามหลักธรรมาธิปไตย อันนี้ก็หาชนชั้นไม่พบเหมือนกัน มีแต่ระดับตำแหน่งตามความสามารถในการทำงานของแต่ละคน ก็ไม่จัดว่าเป็นชนชั้น

    ๖. ขันติบารมี : อดทนต่อความทุกข์ทางกาย และใจ ทางกาย เช่น ความเหนื่อยยาก ความลำบากต่างๆ ความเจ็บปวดต่างๆ ทนกับความซ้ำซาก ฯลฯ ทางใจ ทนต่ออารมณ์ที่มากระทบจากคำพูด และการกระทำต่างๆ ที่ไม่พอใจ การที่เราจะทำบารมีทุกตัวให้สมบูรณ์ได้ เราต้องมีความอดทนอย่างสูง ไม่ถอดใจง่ายๆ หรือไม่จับจดเพราะความยากลำบาก ความจริงแล้วบารมีทุกตัวจะเอื้อต่อกันช่วยเหลือกัน ขณะเราทำบารมีตัวหนึ่งจะมีตัวอื่นแฝงอยู่เสมอ เช่น ถ้าเราเมตตาจะสงเคราะห์ลูกของเรา และทำงานเหนื่อยยากแสนสาหัสสารพัดทั้งกายใจ แต่ก็อดทนได้เพราะความรักลูกเป็นต้น หากเรามีขันติในการประกอบกิจการงาน จนประสบความสำเร็จ คงจะไม่เรียกร้องหาระบอบลัทธิการเมืองที่สนองใจคนขี้เกียจที่อ้างศักดินา เป็นแน่แท้

    ๗. ปัญญาบารมี :บารมี ทุกอย่างต้องใช้สติปัญญาตรึกตรองปรับปรุงแก้ไข พัฒนาสร้างสรรค์ อยู่ตลอดเวลา ปัญญาทำให้เห็นคุณค่าในความดีของบารมี ๑๐ ที่มุ่งงดเว้นความชั่วทั้งมวล ทำความดีให้ปรากฏ ทำจิตให้แจ่มใส หรือคือปัญญาที่เรียกว่าวิปัสสนาญาณ ในการพิจารณากฎไตรลักษณ์ ได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งเป็นการตัดสังโยชน์ ๑๐ คลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน คลายตัวทิฐิมานะ เพราะเห็นทุกอย่างอยู่ในกฎไตรลักษณ์หมด เมื่อไม่ยึดมั่นตัวตนระบบชนชั้นจะไม่มีในจิตใจเลย เพียงปฏิบัติงานตามหน้าที่เท่านั้น

    ๘. เนกขัมมะบารมี: มี อารมณ์เป็นพรหมจรรย์ บวชใจ หรือทำจิตให้มีความแน่วแน่มั่นคง คือจิตมีสมาธิ คนที่มีจิตเป็นสมาธิได้จะต้องเอาชนะนิวรณ์ห้าได้เป็นปกติ คือ กามฉันทะหมายถึง ไม่มัวเมาในกามฉันทะ หรือไม่เมาในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อยการสัมผัสระหว่างเพศ (ใช้กายคตานุสสติและอสุภกรรมฐานเข้าประหัตประหาร)พยาบาทหมายถึง ความคับแค้นกลัดกลุ้ม อยู่ด้วยความไม่พอใจ โกรธแค้น เกลียดชัง (วิธีระงับการเจริญพรหมวิหาร ๔ หรือ วรรณกสิณ ๔ได้แก่กสิณสีแดง สีเขียว สีเหลือง สีขาว)ถีนมิทธะหมายถึง ความหดหู่ ง่วงนอน เศร้าหมอง อุทธัจจกุกกุจจะหมายถึงความฟุ้งซ่าน รำคาญ กระสับกระส่าย (หากระงับความพยาบาท กามฉันทะลงได้ ความฟุ้งซ่านก็จะคลายตัวไปเกือบหมด) วิจิกิจฉาหมายถึง ความลังเลสงสัย ไม่มั่นใจ ในความหมายสูงสุดคือ ทรงสมาธิได้ระดับอัปนาสมาธิหรือมีอารมณ์เป็นฌาน ๘ (รูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ ที่เรียกกันว่า สมาบัติ ๘ ผู้ปรารถนาพุทธภูมิก่อนได้รับคำพยากรณ์ ต้องได้ธรรมสโมทาน ๘ ประการครบถ้วน หนึ่งในนั้นคือ ทรงสมาบัติ ๘ ให้ได้ก่อน) และจิตบริสุทธิ์จากกิเลสสูงสุดระบบศักดินาชนชั้นคงไม่เกิดกับนักพรต นักบวชที่จิตเข้าถึงจริงๆ แน่นอนครับ

    ๙. อุเบกขาบารมี : คือ วางเฉย ตัวนี้ไม่ใช่แบบในพรหมวิหาร ๔แต่หมายถึง สังขารูเปกขาญาณ คือวางเฉยในขันธ์ ๕ กฎของกรรมต่างๆและโลกธรรม (ไม่หวั่นไหวในโลกธรรม ไม่ติดในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข)เมื่อความทุกข์เกิดขึ้นมีอารมณ์สบายถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา แต่กฎของกรรมใดๆที่มันเกิดมาเป็นผลของความสุขหรือความทุกข์ ก็ถือว่ามันเรื่องปกติไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องคิดอะไร ธรรมดาของชาวโลกเกิดมามันต้องเป็นอย่างนี้แล้วต่อมาถ้าขันธ์ ๕ของเรานี้มันถึงที่ต้องแตกสลายไปเราก็เฉยถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แก่แล้วก็เชิญแก่ป่วยแล้วก็เชิญป่วย จะตายก็เชิญตาย ฉันรู้แล้วว่านายจะเป็นอย่างนี้ระบบชนชั้นจะมีกับคนที่มีอารมณ์จิตแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด

    ๑๐. วิริยะบารมี :มีความตั้งใจที่จะทำบารมี ๑๐ ให้ครบถ้วนไม่ท้อถอย โดยมีอิทธิบาทสี่เป็นเครื่องมือ คือ ฉันทะ (พอใจในการทำความดี) วิริยะ (ตั้งใจเพียรไม่ท้อถอย) จิตตะ (ใส่ใจในบารมี ๑๐ ตลอดเวลา)วิมังสา (ประเมินผล ใคร่ครวญปรับปรุง พัฒนาอยู่เสมอ)

    ตามข้างต้นจะเห็นว่า บารมี ๑๐ มุ่ง เป็นการลดละกิเลส ลดการยึดมั่นในกาย ทรัพย์สิน คนเกี่ยวเนื่อง ให้มีเมตตา เกื้อกูล อดทน นอกจากจะไม่สั่งเสริมชนชั้นแล้ว ยังเป็นตัวทำลายชนชั้นได้ดีกว่า ทฤษฏีชนชั้นที่เขียนขึ้นมาของคนมีกิเลส

    จากข้อความทั้งหมดที่กล่าวมาตามข้างต้น มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการเน้นให้เห็นความสำคัญ ความดี ความจำเป็น ของสถาบันพระมหากษัตริย์ และพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน มุ่งเชื่อมโยงทุกวิถีทางที่จะให้ท่านผู้อ่านภาคภูมิใจ มีความเลื่อมใสศรัทธา และเห็นตามความเป็นจริงว่าพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน เป็น พระมหากษัตริย์แท้ เปรียบเป็น ทองคำแท้บริสุทธิ์ ไม่ ใช่ทองชุบ เพราะพระองค์มีจิตใจสงเคราะห์แบบพระโพธิสัตว์จริงๆ ทรงทศพิธราชธรรมและทรงบารมี ๑๐ ชั้นสูงจริงๆ ทรงเป็นพระในร่างกายมนุษย์และในเพศฆราวาสจริงๆ เป็นพระเจ้าธรรมิกราชจริงๆ เป็นปูชนียบุคคลที่กราบไหว้ได้จริงๆ สามารถนำภาพไปบูชากกราบไหว้เป็นสิริมงคลจริงๆ


    โดย ศ.ธรรมทัสสี
     
  9. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    *
    [​IMG]

    เชิญแวะอ่านธรรมะของหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง ที่
    เฟสบุ๊ค ศูนย์พุทธศรัทธา
    และร่วมกันแบ่งปันธรรมะของหลวงพ่อฯ ไปยังกระดานของท่าน

    <IFRAME style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; WIDTH: 600px; HEIGHT: 300px; OVERFLOW: hidden; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" src="http://www.facebook.com/plugins/likebox.php?href=http%3A%2F%2Fwww.facebook.com%2Fpages%2FBuddhaSattha%2F158726110822792&width=600&connections=20&stream=true&header=false&height=300" frameBorder=0 allowTransparency scrolling=no></IFRAME>
    *<!-- google_ad_section_end -->
    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p

    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
    www.tangnipparn.com
    <O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา

    [​IMG]</O:p>
     
  10. SP6580

    SP6580 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +1,552
    อนุโมทนาสาธุ กับผลบุญทั้งหลายทั้งปวงของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดช รวมทั้งพระบรมราชินีนาถ และเจ้าของกระทู้ด้วยครับ
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,732
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,051
    ขอบคุณมากค่ะ อ่านทีไรคอตีบตันทุกที
     

แชร์หน้านี้

Loading...