พุทธวจน : มรรควิธีที่ง่าย

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย Sirisuk, 25 มิถุนายน 2011.

  1. Sirisuk

    Sirisuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +445
    มรรควิธีที่ง่าย

    (หนังสือธรรมะที่เป็นพุทธวจน)

    (พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล)

    คำนำ

    ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในยุคแห่งเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร ที่ผู้คนแข่งกันรู้ให้ได้เร็วที่สุดไว้ก่อนนั้น
    ได้นำพาสังคม ไปสู่วิถีชีวิตแบบที่ “เสพติด” ในความง่ายเร็วลัด ของขั้นตอนของการเรียนรู้
    โดยละทิ้งความถูกต้องตรงจริงในการรู้นั้น ไว้เป็นอันดับรอง

    -----------------------------------------------------------------------

    ในแวดวงของชาวพุทธยุคใหม่
    แม้ในส่วนที่มีปัญญาพอเห็นโทษภัยในทุกข์ กระทั่งมีจิตน้อมไปในการภาวนาแล้วก็ตาม
    ก็ยังไม่พ้นที่จะมีการพูดถึง และคาดหวัง เกี่ยวกับมรรควิธีที่ง่ายลัดสั้น

    ปัญหามีอยู่… คือ การหมายรู้ ในคำว่า “ง่าย” โดยในแง่ที่คนส่วนใหญ่เข้าใจนั้น
    มีความหมายไม่ตรง กับรายละเอียดในมรรควิธีที่ง่าย ซึ่งบัญญัติโดยพระตถาคต
    เมื่อนิยามตั้งต้นไม่ตรงกันเสียแล้ว จะต้องกล่าวไปใยในรายละเอียดอื่นๆ ที่ตามมา

    -----------------------------------------------------------------------

    เมื่อพูดถึงคำว่า “ง่าย”
    โดยทั่วไป มักจะถูกเข้าใจในลักษณะว่า เป็นอะไรสักอย่างที่ได้มาโดยไม่มีขั้นตอนยาก
    ได้มาโดยไม่ต้องลงแรง โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมาก ใช้การขวนขวายน้อย
    ใช้ข้อมูลน้อย ใช้การใคร่ครวญน้อย ใช้การกระทำน้อย …กระทั่งไม่ต้องทำอะไรเลย

    ในขณะที่ ปฏิปทาไปสู่การบรรลุมรรคผล ซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงอธิบายไว้นั้น
    ประกอบด้วยหลักการที่วางต่อกันอยู่ 2 ส่วน คือ

    1. ส่วนของมรรควิธีที่เลือกมาใช้ ซึ่งเป็นตัวกำหนด ระดับความสบายในการปฏิบัติ
    2. ส่วนของเหตุในความเร็วช้าของการบรรลุ ซึ่งแปรผันตามระดับความอ่อนแก่ของอินทรีย์ 5

    -----------------------------------------------------------------------

    ในส่วนแรก คือ มรรควิธีที่เลือกมาใช้นั้น
    ทรงแบ่งออกไว้เป็น 2 แบบคือ ทุกขาปฏิปทา และ สุขาปฏิปทา

    ทุกขาปฏิปทา คือมรรควิธีที่ไม่ได้สุขวิหารในขั้นตอนปฏิบัติ
    เพราะเน้นการใช้ทุกข์เป็นเครื่องมือในการรู้แจ้งซึ่งอริยสัจ

    ส่วน สุขาปฏิปทา คือการอาศัยสุขเป็นเครื่องมือในการรู้
    ผู้ปฏิบัติจึงได้สุขวิหารไปด้วยในระหว่างปฏิบัติเพื่อสิ้นทุกข์

    -----------------------------------------------------------------------

    ในส่วนของเหตุที่บรรลุเร็วหรือช้านั้นคืออินทรีย์ห้า ( ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา )

    ผู้มีศรัทธาในตถาคตมาก ( อินทรีย์ คือ ศรัทธา) ก็ย่อมจะเชื่อในพุทธปัญญาญาณ
    ย่อมจะศึกษา ทรงจำ สั่งสมสุตตะเฉพาะที่เป็นพุทธวัจน์ไว้มาก จึงรู้แง่มุมต่างๆของจิต
    และวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องตรงจุดไว้มาก

    บุคคลผู้มีปัญญาเห็นได้เร็ว (อินทรีย์ คือ ปัญญา) เลือกหนทางที่สะดวก เห็นอริยสัจได้เร็ว
    ก็ย่อมจะบรรลุไปถึงจุดหมายได้เร็วกว่า และ แม้รู้หนทางที่ถูกแล้ว แต่มีความเพียรน้อย
    (มีอินทรีย์ คือวิริยะน้อย) มิได้ปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม ฝึกสติน้อย ทิ้งสมาธิ
    เหินห่างจากฌาน ก็ย่อมถึงที่หมายได้ช้า…ดังนี้เป็นต้น


    -----------------------------------------------------------------------

    อีกทั้ง แง่มุมที่ควรให้ความสำคัญว่าเป็นมรรควิธีที่ง่าย
    คือ สิ่งที่พระตถาคตทรงแสดงสอนบ่อยๆ, บอกตรงๆว่าเป็นวิธีที่สะดวกต่อการเข้ามรรคผล,
    หรือ ที่ทรงใช้สอนกับคนชรา คนเจ็บป่วย ใกล้ตาย มีกำลังน้อย มีเวลาในชีวิตเหลือน้อย
    หรือ มรรควิธีที่ตรัสบอกถึงอานิสงส์ไว้มากกว่ามรรควิธีอื่นๆ

    -----------------------------------------------------------------------

    ดังนั้น มรรควิธีที่ง่าย จึงไม่ใช่ว่า ง่าย ในแบบที่เข้าใจกันโดยทั่วๆไป
    ( ว่าง่ายคือ ใช้ความพยายามน้อย ใช้การกระทำน้อย ใช้การขวนขวายน้อย ลัดสั้น ทำปุ๊ปได้ปั๊บ)
    ที่ถูกต้องแล้ว คำว่าง่ายตรงนี้ คือ ง่าย ตามเหตุปัจจัยอันสมควรแก่กรณีนั้นๆ

    -----------------------------------------------------------------------

    ภายใต้ขีดจำกัดของสาวก ซึ่งพระพุทธองค์ทรงยืนยันว่า แม้อรหันต์ผู้ปัญญาวิมุตติ
    ต่างก็เป็นได้เพียงแค่ มัคคานุคา ( ผู้เดินตามมรรคมาทีหลัง ) จึงไม่แปลกที่เราจะได้รู้ ได้ฟัง
    การอธิบายแจงแจกมรรควิธีที่ง่าย ตามแบบของสาวก ในรูปแบบต่างๆ กันไปมากมาย
    ซึ่งตรงกันบ้าง ไม่ตรงกันบ้าง และไม่สามารถนำมาใช้อ้างอิงเป็นหลักมาตรฐานได้

    หากเปรียบการบรรลุมรรคผล คือการถึงจุดหมาย
    หนังสือเล่มนี้ คือ แผนที่ ซึ่งเขียนโดยมัคคโกวิโท ( ผู้ฉลาดในมรรค คือพระตถาคต )

    ชาวพุทธต้องหันกลับมาใช้แผนที่ฉบับถูกต้องนี้ เป็นมาตรฐานเดียวเหมือนครั้งพุทธกาล

    ศึกษามรรควิธีที่ง่าย ตามแบบพระพุทธเจ้า ( ผู้ฉลาดในมรรค )
    ไม่ใช่ มรรควิธีที่ง่าย ตามแบบพระสาวก ( ผู้ตามมรรค )


    <A href="http://watnapp.com/read/easypath/i000/#content">http://watnapp.com/read/easypath/i000/#content
    http://www.buddhaoat.org/hnangsux-2
    http://watnapp.com/

    คำนำ (มรรควิธีที่ง่าย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2011
  2. Sirisuk

    Sirisuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +445
    หนังสือพุทธวจน :
    มรรค(วิธีที่)ง่าย (ละนันทิ จิตหลุดพ้น)

    [​IMG]

    ดาวน์โหลดหนังสือ
    http://www.buddhaoat.org/hnangsux-2
    http://watnapp.com/media/book/p4.pdf
    http://watnapp.com/



    คลิกเพื่ออ่าน
    สารบัญ
    คำนำ (มรรควิธีที่ง่าย)
    ภพแม้ชั่วขณะดีดนิ้วมือก็ยังน่ารังเกียจ (มรรควิธีที่ง่าย)
    ผู้เข้าไปหาเป็นผู้ไม่หลุดพ้น (มรรควิธีที่ง่าย)
    การอยู่แบบมีตัณหาเป็นเพื่อน (มรรควิธีที่ง่าย)
    พรหมจรรย์นี้ ก็เพื่อการละขาดซึ่งภพ (มรรควิธีที่ง่าย)
    สิ้นนันทิ สิ้นราคะ สิ้นทุกข์ (มรรควิธีที่ง่าย)
    นันทิดับ ทุกข์ดับ (มรรควิธีที่ง่าย)
    ผู้ไม่อบรมทำให้มากในกายคตาสติ (มรรควิธีที่ง่าย)
    กายคตาสติ เสาหลักของจิต (มรรควิธีที่ง่าย)
    วิธีปิดกั้นไม่ให้ช่องแก่มารใจบาป (มรรควิธีที่ง่าย)
    ประคองจิต ดุจประคองหม้อน้ำมัน (มรรควิธีที่ง่าย)
    อานาปานสติ มีผลใหญ่ มีอานิสงค์ใหญ่
    1472 หนึ่ง สี่ เจ็ด สอง
    อานาปานสติ สติปัฏฐาน4
    สติปัฏฐาน4 โพชฌงค์ 7
    โพชฌงค์7 วิชชา วิมุตติ
    ปฏิปทาสบายแก่การบรรลุนิพพาน นัยที่ 1
    ปฏิปทาสบายแก่การบรรลุนิพพาน นัยที่ 2
    ปฏิปทาสบายแก่การบรรลุนิพพาน นัยที่ 3
    ปฏิปทาสบายแก่การบรรลุนิพพาน นัยที่ 4
    กระจายผัสสะ
    มรรค 8 แบบลัดสั้น
    ไม่หวั่นไหว ไม่น้อมไป
    สักแต่รู้ นัยที่ 1
    สักแต่รู้ นัยที่ 2
    มีสติ มีสัมปชัญญะ รอคอยการตาย
    วิธีละอวิชชาโดยตรง 1
    วิธีละอวิชชาโดยตรง 2
    ปฏิปทาสำหรับผู้ป่วยหนัก
    ปฏิปทาสำหรับผู้ยังไม่ป่วย นัยที่ 1
    ปฏิปทาสำหรับผู้ยังไม่ป่วย นัยที่ 2
    ปฏิปทาสำหรับผู้ยังไม่ป่วย นัยที่ 3
    ปฏิปทาสำหรับผู้ยังไม่ป่วย นัยที่ 4
    ผู้ทำความเพียรอยู่เนืองนิจ
    ผู้มีความเกียจคร้านอยู่เนืองนิจ
    ปฏิปทา 4 แบบ


    ขอบคุณที่มา
    <A href="http://watnapp.com/read/easypath/">http://watnapp.com/read/easypath/
    http://www.buddhaoat.org/hnangsux-2
    http://watnapp.com/

    มรรควิธีที่ง่าย (พุทธวจน์) (พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล) สารบัญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2011
  3. Sirisuk

    Sirisuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +445
    ภพแม้ชั่วขณะดีดนิ้วมือก็ยังน่ารังเกียจ (มรรควิธีที่ง่าย)

    ภพแม้ชั่วขณะดีดนิ้วมือก็ยังน่ารังเกียจ


    ภิกษุทั้งหลาย !
    คูถ แม้นิดเดียว ก็เป็นของมีกลิ่นเหม็น ฉันใด,
    ภิกษุทั้งหลาย !
    สิ่งที่เรียกว่า ภพ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน,
    แม้มีประมาณน้อยชั่วลัดนิ้วมือเดียว ก็ไม่มีคุณอะไรที่พอจะกล่าวได้.

    ....................
    เอก. อํ. 20/46/203.
    ( พระสูตรต่อไป ทรงตรัสถึง มูตร น้ำลาย หนอง โลหิต ด้วยข้อความเดียวกัน)


    <A href="http://watnapp.com/read/easypath/i001/">http://watnapp.com/read/easypath/i001/
    http://www.buddhaoat.org/hnangsux-2
    http://watnapp.com/

    ภพแม้ชั่วขณะดีดนิ้วมือก็ยังน่ารังเกียจ (มรรควิธีที่ง่าย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2011
  4. Sirisuk

    Sirisuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +445
    ผู้เข้าไปหาเป็นผู้ไม่หลุดพ้น

    ผู้เข้าไปหาเป็นผู้ไม่หลุดพ้น (มรรควิธีที่ง่าย)

    ภิกษุทั้งหลาย ! ผู้เข้าไปหาเป็นผู้ไม่หลุดพ้น ;
    ผู้ไม่เข้าไปหาเป็นผู้หลุดพ้น.
    ..................
    ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณ ซึ่งเข้าถือเอารูป ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้
    เป็นวิญญาณที่มีรูปเป็นอารมณ์ มีรูปเป็นที่ตั้งอาศัย
    มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ได้

    ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณ ซึ่งเข้าถือเอาเวทนา ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้
    เป็นวิญญาณที่มีเวทนาเป็นอารมณ์ มีเวทนาเป็นที่ตั้งอาศัย
    มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ได้

    ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณ ซึ่งเข้าถือเอาสัญญา ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้
    เป็นวิญญาณที่มีสัญญาเป็นอารมณ์ มีสัญญาเป็นที่ตั้งอาศัย
    มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ได้

    ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณ ซึ่งเข้าถือเอาสังขาร ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้
    เป็นวิญญาณที่มีสังขารเป็นอารมณ์ มีสังขารเป็นที่ตั้งอาศัย
    มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ได้

    .......................

    ภิกษุทั้งหลาย ! ผู้ใดจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า
    “เราจักบัญญัติ ซึ่งการมา การไป การจุติ การอุบัติ
    ความเจริญ ความงอกงาม และความไพบูลย์ ของวิญญาณ
    โดยเว้นจากรูป เว้นจากเวทนา เว้นจากสัญญา และเว้นจากสังขาร”
    ดังนี้นั้น. นี่ ไม่ใช่ฐานะที่จักมีได้เลย.

    .....................

    ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าราคะในรูปธาตุ ในเวทนาธาตุ ในสัญญาธาตุ
    ในสังขารธาตุ ในวิญญาณธาตุ เป็นสิ่งที่ภิกษุละได้แล้ว
    เพราะละราคะได้ อารมณ์สำหรับวิญญาณก็ขาดลง ที่ตั้งของวิญญาณก็ไม่มี
    วิญญาณอันไม่มีที่ตั้งนั้น ก็ไม่งอกงาม หลุดพ้นไปเพราะไม่ถูกปรุงแต่ง
    เพราะหลุดพ้นไป ก็ตั้งมั่น
    เพราะตั้งมั่น ก็ยินดีในตนเอง
    เพราะยินดีในตนเอง ก็ไม่หวั่นไหว
    เมื่อไม่หวั่นไหว ก็ปรินิพพานเฉพาะตน
    ย่อมรู้ชัดว่า “ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
    กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก” ดังนี้.

    ........................

    ขนฺธ. สํ. 17/66/105.

    <A href="http://watnapp.com/read/easypath/i002/#content">http://watnapp.com/read/easypath/i002/#content
    http://www.buddhaoat.org/hnangsux-2
    http://watnapp.com/

    ผู้เข้าไปหาเป็นผู้ไม่หลุดพ้น (มรรควิธีที่ง่าย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2011
  5. Sirisuk

    Sirisuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +445
    การอยู่แบบมีตัณหาเป็นเพื่อน

    การอยู่แบบมีตัณหาเป็นเพื่อน (มรรควิธีที่ง่าย)

    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ
    ภิกษุจึงชื่อว่า เป็นผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสอง พระเจ้าข้า ?”

    .................

    มิคชาละ !
    รูปทั้งหลายอันจะพึงเห็นได้ด้วยจักษุ
    อันเป็นรูปที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก
    เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจ มีอยู่.

    ถ้าหากว่าภิกษุย่อมเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ สยบมัวเมา ซึ่งรูปนั้นไซร้ ;
    แก่ภิกษุผู้เพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ สยบมัวเมา ซึ่งรูปนั้นอยู่ นั่นแหละ,
    นันทิ (ความเพลิน) ย่อมเกิดขึ้น

    เมื่อ นันทิ มีอยู่, สาราคะ (ความพอใจอย่างยิ่ง) ย่อมมี ;
    เมื่อ สาราคะ มีอยู่, สัญโญคะ (ความผูกจิตติดกับอารมณ์) ย่อมมี :

    มิคชาละ !
    ภิกษุผู้ประกอบพร้อมแล้วด้วยการผูกจิตติดกับอารมณ์ด้วยอำนาจแห่งความเพลิน
    นั่นแล เราเรียกว่า “ผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสอง”

    .......................

    (ในกรณีแห่งเสียงทั้งหลายอันจะพึงได้ยินดีด้วยหู,
    กลิ่นทั้งหลายอันจะพึงดมด้วยจมูก,
    รสทั้งหลายอันจะพึงลิ้มด้วยลิ้น,
    โผฏฐัพพะทั้งหลายอันจะพึงสัมผัสด้วยผิวกาย,
    และธรรมารมณ์ทั้งหลายอันจะพึงรู้แจ้งด้วยใจ, ก็ทรงตรัสอย่างเดียวกัน).

    มิคชาละ !
    ภิกษุผู้มีการอยู่ด้วยอาการอย่างนี้
    แม้จะส้องเสพเสนาสนะอันเป็นป่าและป่าชัฏ ซึ่งเงียบสงัด มีเสียงรบกวนน้อย
    มีเสียงกึกก้องครึกโครมน้อย ปราศจากลมจากผิวกายคน เป็นที่ทำการลับของมนุษย์
    เป็นที่สมควรแก่การหลีกเร้น เช่นนี้แล้ว ก็ตาม
    ถึงกระนั้น ภิกษุนั้นเราก็ยังคงเรียกว่า ผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสองอยู่นั่นเอง.

    ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ? ข้อนั้นเพราะเหตุว่า
    ตัณหานั่นแล เป็นเพื่อนสองของภิกษุนั้น.
    ตัณหานั้น อันภิกษุนั้น ยังละไม่ได้แล้ว
    เพราะเหตุนั้น ภิกษุนั้นเราจึงเรียกว่า “ผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสอง” ดังนี้.

    .......................

    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอแล
    ภิกษุจึงชื่อว่า เป็นผู้มีการอยู่อย่างอยู่ผู้เดียว พระเจ้าข้า !”

    มิคชาละ !
    รูปทั้งหลายอันจะพึงเห็นได้ด้วยจักษุ
    อันเป็นรูปที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก
    เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจ มีอยู่.
    ถ้าหากว่าภิกษุย่อมไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่สยบมัวเมา ซึ่งรูปนั้นไซร้
    แก่ภิกษุผู้ไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่สยบมัวเมา ซึ่งรูปนั้น นั่นแหละ
    นันทิ ย่อมดับ
    เมื่อ นันทิ ไม่มีอยู่, สาราคะ ย่อมไม่มี
    เมื่อ สาราคะ ไม่มีอยู่, สัญโญคะ ย่อมไม่มี

    มิคชาละ !
    ภิกษุผู้ไม่ประกอบพร้อมแล้วด้วยการผูกจิตติดกับอารมณ์ด้วยอำนาจแห่งความเพลิน
    นั่นแล เราเรียกว่า “ผู้มีการอยู่อย่างอยู่ผู้เดียว”

    (ในกรณีแห่งเสียงทั้งหลายอันจะพึงได้ยินดีด้วยหู,
    กลิ่นทั้งหลายอันจะพึงดมด้วยจมูก,
    รสทั้งหลายอันจะพึงลิ้มด้วยลิ้น,
    โผฏฐัพพะทั้งหลายอันจะพึงสัมผัสด้วยผิวกาย,
    และธรรมารมณ์ทั้งหลายอันจะพึงรู้แจ้งด้วยใจ, ก็ทรงตรัสอย่างเดียวกัน)

    มิคชาละ !
    ภิกษุผู้มีการอยู่ด้วยอาการอย่างนี้
    แม้อยู่ในหมู่บ้าน อันเกลื่อนกล่นไปด้วยภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย
    ด้วยพระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชาทั้งหลาย
    ด้วยเดียรถีย์ สาวกของเดียรถีย์ทั้งหลาย ก็ตาม
    ถึงกระนั้น ภิกษุนั้นเราก็เรียกว่า ผู้มีการอยู่อย่างอยู่ผู้เดียวโดยแท้

    ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ? ข้อนั้นเพราะเหตุว่า
    ตัณหานั่นแล เป็นเพื่อนสองของภิกษุนั้น ;
    ตัณหานั้น อันภิกษุนั้น ละเสียได้แล้ว
    เพราะเหตุนั้น ภิกษุนั้นเราจึงเรียกว่า “ผู้มีการอยู่อย่างอยู่ผู้เดียว” ดังนี้ แล.

    ...........................

    สฬา.สํ. 18 / 43 – 44 / 66-67

    http://www.buddhaoat.org/hnangsux-2
    http://watnapp.com/

    http://truthoflife.fix.gs/index.php?topic=4490.0
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2011
  6. Sirisuk

    Sirisuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +445
    พรหมจรรย์นี้ ก็เพื่อการละขาดซึ่งภพ

    พรหมจรรย์นี้ ก็เพื่อการละขาดซึ่งภพ (มรรควิธีที่ง่าย)

    สัตว์โลกนี้ เกิดความเดือดร้อนแล้ว มีผัสสะบังหน้า
    ย่อมกล่าวซึ่งโรคนั้น โดยความเป็นตัวเป็นตน
    ................
    เขาสำคัญสิ่งใด โดยความเป็นประการใด
    แต่สิ่งนั้นย่อมเป็นโดยประการอื่นจากที่เขาสำคัญนั้น
    .................

    สัตว์โลกติดข้องอยู่ในภพ
    ถูกภพบังหน้าแล้ว
    มีภพโดยความเป็นอย่างอื่น
    จึงได้เพลิดเพลินยิ่งนักในภพนั้น
    ..................

    เขาเพลิดเพลินยิ่งนักในสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นภัย
    เขากลัวต่อสิ่งใด สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์
    ..................

    พรหมจรรย์นี้ อันบุคคลย่อมประพฤติ ก็เพื่อการละขาดซึ่งภพ.
    ..................
    สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด กล่าวความหลุดพ้นจากภพว่ามีได้เพราะภพ
    เรากล่าวว่า สมณะหรือพราหมณ์ทั้งปวงนั้น มิใช่ผู้หลุดพ้นจากภพ.
    ถึงแม้สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด กล่าวความออกไปได้จากภพว่า มีได้เพราะวิภพ
    เรากล่าวว่า สมณะหรือพราหมณ์ทั้งปวงนั้น ก็ยังสลัดภพออกไปไม่ได้.
    ..................
    ก็ทุกข์นี้มีขึ้น เพราะอาศัยซึ่ง อุปธิทั้งปวง.
    เพราะความสิ้นไปแห่งอุปาทานทั้งปวง ความเกิดขึ้นแห่งทุกข์จึงไม่มี.
    ท่านจงดูโลกนี้เถิด สัตว์ทั้งหลายอันอวิชชาหนาแน่นบังหน้าแล้ว
    และว่าสัตว์ผู้ยินดีในภพอันเป็นแล้วนั้น ย่อมไม่เป็นผู้หลุดพ้นไปจากภพได้
    ก็ภพทั้งหลายเหล่าหนึ่งเหล่าใด
    อันเป็นไปในที่ หรือในเวลาทั้งปวง เพื่อความมีแห่งประโยชน์โดยประการทั้งปวง
    ภพทั้งหลายทั้งหมดนั้น
    ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา.
    ...................

    เมื่อบุคคลเห็นอยู่ซึ่งข้อนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามที่เป็นจริงอย่างนี้อยู่
    เขาย่อมละ ภวตัณหา ได้
    และไม่เพลิดเพลิน วิภวตัณหา ด้วย.
    ....................

    ความดับเพราะความสำรอกไม่เหลือ
    เพราะความสิ้นไปแห่งตัณหาโดยประการทั้งปวง นั้นคือนิพพาน.

    ภพใหม่ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ผู้ดับเย็นสนิทแล้ว เพราะไม่มีความยึดมั่น.
    ภิกษุนั้นเป็นผู้ครอบงำมารได้แล้ว ชนะสงครามแล้ว
    ก้าวล่วงภพทั้งหลายทั้งปวงได้แล้ว เป็นผู้คงที่

    ดังนี้ แล.
    ....................

    อุ.ขุ. 25 / 121 / 84.


    <A href="http://watnapp.com/read/easypath/i004/#content">http://watnapp.com/read/easypath/i004/#content
    http://www.buddhaoat.org/hnangsux-2
    http://watnapp.com/

    พรหมจรรย์นี้ ก็เพื่อการละขาดซึ่งภพ (มรรควิธีที่ง่าย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2011
  7. Sirisuk

    Sirisuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +445
    สิ้นนันทิ สิ้นราคะ สิ้นทุกข์

    สิ้นนันทิ สิ้นราคะ สิ้นทุกข์ (มรรควิธีที่ง่าย)

    ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุเห็นจักษุอันไม่เที่ยงนั่นแล ว่าไม่เที่ยง
    ความเห็นเช่นนั้น เป็นสัมมาทิฏฐิ ของเธอนั้น.

    ( สมฺมา ปสฺสํ นิพฺพินฺทติ )
    เมื่อเห็นอยู่โดยถูกต้อง ย่อมเบื่อหน่าย

    ( นนฺทิกฺขยา ราคกฺขโย )
    เพราะความสิ้นไปแห่งนันทิ จึงมีความสิ้นไปแห่งราคะ

    ( ราคกฺขยา นนฺทิกฺขโย )
    เพราะความสิ้นไปแห่งราคะ จึงมีความสิ้นไปแห่งนันทิ

    ( นนฺทิราคกฺขยา จิตฺตํ สุวิมุตฺตนฺติ วุจฺจตีติ )
    เพราะความสิ้นไปแห่งนันทิและราคะ กล่าวได้ว่า “จิตหลุดพ้นแล้วด้วยดี” ดังนี้


    -------------------------------

    ( ทรงตรัสอย่างเดียวกันทุกประการ
    ในกรณีแห่งอายตนะภายในที่เหลืออีก 5 คือ โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ มโน
    และในกรณีแห่งอายตนะ ภายนอก 6 คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ )


    -------------------------------

    สฬา.สํ. 18/179/245-6

    <A href="http://watnapp.com/read/easypath/i005/#content">http://watnapp.com/read/easypath/i005/#content
    http://www.buddhaoat.org/hnangsux-2
    http://watnapp.com/

    สิ้นนันทิ สิ้นราคะ สิ้นทุกข์ (มรรควิธีที่ง่าย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2011
  8. Sirisuk

    Sirisuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +445
    นันทิดับ ทุกข์ดับ

    นันทิดับ ทุกข์ดับ (มรรควิธีที่ง่าย)

    ปุณณะ !

    รูป ที่เห็นด้วย ตา ก็ดี,
    เสียง ที่ฟังด้วย หู ก็ดี,
    กลิ่น ที่ดมด้วย จมูก ก็ดี,
    รส ที่ลิ้ม ด้วย ลิ้น ก็ดี,
    โผฏฐัพพะ ที่สัมผัสด้วย กาย ก็ดี,
    ธรรมารมณ์ ที่รู้แจ้งด้วย ใจ ก็ดี,

    อันเป็นสิ่งที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ
    เป็นที่ยวนตายวนใจให้รัก เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่
    เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจ มีอยู่ ;

    ภิกษุย่อมไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมก ซึ่งอารมณ์มีรูป ( เป็นต้นนั้น )
    เมื่อภิกษุไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมก ซึ่งอารมณ์มีรูป ( เป็นต้นนั้น ) อยู่;
    นันทิ (ความเพลิน) ย่อมดับไป.

    ปุณณะ ! เรากล่าวว่า
    “ความดับไม่มีเหลือของทุกข์มีได้ เพราะความดับไม่เหลือของนันทิ” ดังนี้ แล.


    -----------------------

    อุปริ. ม.14/482/756.


    <A href="http://watnapp.com/read/easypath/i006/#content">http://watnapp.com/read/easypath/i006/#content
    http://www.buddhaoat.org/hnangsux-2
    http://watnapp.com/

    นันทิดับ ทุกข์ดับ (มรรควิธีที่ง่าย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2011
  9. Sirisuk

    Sirisuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +445
    ผู้ไม่อบรมทำให้มากในกายคตาสติ

    ผู้ไม่อบรมทำให้มากในกายคตาสติ (มรรควิธีที่ง่าย)

    ภิกษุทั้งหลาย !
    เปรียบเหมือนบุรุษจับสัตว์หกชนิด อันมีที่อยู่อาศัยต่างกัน
    มีที่เที่ยวหากินต่างกัน มาผูกรวมกันด้วยเชือกอันมั่นคง
    คือ เขาจับงู มาผูกด้วยเชือกเหนียวเส้นหนึ่ง,
    จับจระเข้…จับนก…จับสุนัขบ้าน…จับสุนัขจิ้งจอก…
    จับลิง มาผูกด้วยเชือกเหนียวเส้นหนึ่งๆ
    แล้วผูกรวมเข้าด้วยกัน เป็นปมเดียวในท่ามกลาง ปล่อยแล้ว.


    ---------------------------------

    ภิกษุทั้งหลาย !
    ครั้งนั้น สัตว์เหล่านั้นทั้งหกชนิด มีที่อาศัยและที่เที่ยวต่างๆ กัน
    ก็ยื้อแย่งฉุดดึงกันเพื่อจะไปสู่ที่อาศัยที่เที่ยวของตนๆ :
    งูจะเข้าจอมปลวก, จระเข้จะลงน้ำ, นกจะบินขึ้นไปในอากาศ,
    สุนัขจะเข้าบ้าน, สุนัขจิ้งจอกจะไปป่าช้า, ลิงก็จะไปป่า.

    ครั้นเหนื่อยล้ากันทั้งหกสัตว์แล้ว สัตว์ใดมีกำลังกว่า
    สัตว์นอกนั้นก็ต้องถูกลากติดตามไป ตามอำนาจของสัตว์นั้น

    ข้อนี้ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย !
    ภิกษุใดไม่อบรมทำให้มากในกายคตาสติแล้ว

    ตา ก็จะฉุดเอาภิกษุนั้นไปหารูปที่น่าพอใจ
    รูปที่ไม่น่าพอใจก็กลายเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง

    หู ก็จะฉุดเอาภิกษุนั้นไปหาเสียงที่น่าฟัง
    เสียงที่ไม่น่าฟังก็กลายเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง

    จมูก ก็จะฉุดเอาภิกษุนั้นไปหากลิ่นที่น่าสูดดม
    กลิ่นที่ไม่น่าสูดดมก็กลายเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง

    ลิ้น ก็จะฉุดเอาภิกษุนั้นไปหารสที่ชอบใจ
    รสที่ไม่ชอบใจก็กลายเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง

    กาย ก็จะฉุดเอาภิกษุนั้นไปหาสัมผัสที่ยั่วยวนใจ
    สัมผัสที่ไม่ยั่วยวนใจก็กลายเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง

    และใจ ก็จะฉุดเอาภิกษุนั้นไปหาธรรมารมณ์ที่ถูกใจ
    ธรรมารมณ์ที่ไม่ถูกใจก็กลายเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง

    ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน


    <A href="http://watnapp.com/read/easypath/i007/#content">http://watnapp.com/read/easypath/i007/#content
    http://www.buddhaoat.org/hnangsux-2
    http://watnapp.com/

    ผู้ไม่อบรมทำให้มากในกายคตาสติ (มรรควิธีที่ง่าย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2011
  10. Sirisuk

    Sirisuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +445
    กายคตาสติ เสาหลักของจิต

    กายคตาสติ เสาหลักของจิต (มรรควิธีที่ง่าย)

    ภิกษุทั้งหลาย !
    เปรียบเหมือนบุรุษจับสัตว์หกชนิด อันมีที่อยู่อาศัยต่างกัน
    มีที่เที่ยวหากินต่างกัน มาผูกรวมกันด้วยเชือกอันมั่นคง
    คือ เขาจับงูมาผูกด้วยเชือกเหนียวเส้นหนึ่ง
    จับจรเข้… จับนก… จับสุนัขบ้าน…จับสุนัขจิ้งจอก…
    และ จับลิงมาผูกด้วยเชือกเหนียวเส้นหนึ่งๆ
    ครั้นแล้ว นำไปผูกไว้กับเสาเขื่อน หรือเสาหลักอีกต่อหนึ่ง


    ------------------------------------

    ภิกษุทั้งหลาย !
    ครั้งนั้น สัตว์ทั้งหกชนิดเหล่านั้น มีที่อาศัยและที่เที่ยวต่างๆ กัน
    ก็ยื้อแย่งฉุดดึงกัน เพื่อจะไปสู่ที่อาศัยที่เที่ยวของตนๆ
    งูจะเข้าจอมปลวก จระเข้จะลงน้ำ นกจะบินขึ้นไปในอากาศ
    สุนัขจะเข้าบ้าน สุนัขจิ้งจอกจะไปป่าช้า ลิงก็จะไปป่า

    ภิกษุทั้งหลาย !
    ในกาลใดแล ความเป็นไปภายในของสัตว์ทั้งหกชนิดเหล่านั้น
    มีแต่ความเมื่อยล้าแล้ว ในกาลนั้น มันทั้งหลายก็จะพึงเข้าไป
    ยืนเจ่า นั่งเจ่า นอนเจ่า อยู่ข้างเสาเขื่อนหรือเสาหลักนั้นเอง

    ข้อนี้ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย !
    ภิกษุใดได้อบรมทำให้มากในกายคตาสติแล้ว

    ตา ก็จะไม่ฉุดเอาภิกษุนั้นไปหารูปที่น่าพอใจ
    รูปที่ไม่น่าพอใจ ก็ไม่เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง

    หู ก็จะไม่ฉุดเอาภิกษุนั้นไปหาเสียงที่น่าฟัง
    เสียงที่ไม่น่าฟัง ก็ไม่เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง

    จมูก ก็จะไม่ฉุดเอาภิกษุนั้นไปหากลิ่นที่น่าสูดดม
    กลิ่นที่ไม่น่าสูดดม ก็ไม่เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง

    ลิ้น ก็จะไม่ฉุดเอาภิกษุนั้นไปหารสที่ชอบใจ
    รสที่ไม่ชอบใจ ก็ไม่เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง

    กาย ก็จะไม่ฉุดเอาภิกษุนั้นไปหาสัมผัสที่ยั่วยวนใจ
    สัมผัสที่ไม่ยั่วยวนใจก็ไม่เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง

    และใจ ก็จะไม่ฉุดเอาภิกษุนั้นไปหาธรรมารมณ์ที่ถูกใจ
    ธรรมารมณ์ที่ไม่ถูกใจก็ไม่เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง


    --------------------------

    ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน. ภิกษุทั้งหลาย !
    คำว่า “เสาเขื่อน หรือเสาหลัก” นี้ เป็นคำเรียกแทนชื่อแห่ง กายคตาสติ


    --------------------------

    ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ พวกเธอทั้งหลายพึงสำเหนียกใจไว้ว่า

    “กายคตาสติของเราทั้งหลาย จักเป็นสิ่งที่เราอบรม กระทำให้มาก
    กระทำให้เป็นยานเครื่องนำไป กระทำให้เป็นของที่อาศัยได้
    เพียรตั้งไว้เนืองๆ เพียรเสริมสร้างโดยรอบคอบ เพียรปรารภสม่ำเสมอด้วยดี” ดังนี้.

    ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอทั้งหลาย พึงสำเหนียกใจไว้ด้วยอาการอย่างนี้แล.


    --------------------------

    สฬา.สํ.18/348, 350.

    http://watnapp.com/read/easypath/i008/#content
    http://www.buddhaoat.org/hnangsux-2
    http://watnapp.com/

    กายคตาสติ เสาหลักของจิต (มรรควิธีที่ง่าย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2011
  11. Sirisuk

    Sirisuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +445
    วิธีปิดกั้นไม่ให้ช่องแก่มารใจบาป

    วิธีปิดกั้นไม่ให้ช่องแก่มารใจบาป (มรรควิธีที่ง่าย)

    ภิกษุทั้งหลาย !
    เรื่องเคยมีมาแต่ก่อน เต่าตัวหนึ่งเที่ยวหากินตามริมลำธารในตอนเย็น
    สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง ก็เที่ยวหากินตามริมลำธารในตอนเย็นเช่นเดียวกัน.

    เต่าตัวนี้ได้เห็นสุนัขจิ้งจอกซึ่งเที่ยวหากินแต่ไกล,
    ครั้นแล้ว จึงหดอวัยวะทั้งหลาย มีศีรษะเป็นที่ห้า
    เข้าในกระดองของตนเสีย เป็นผู้ขวนขวายน้อยนิ่งอยู่.

    แม้สุนัขจิ้งจอกก็ได้เห็นเต่าตัวที่เที่ยวหากินนั้นแต่ไกลเหมือนกัน,
    ครั้นแล้ว จึงเดินตรงเข้าไปที่เต่า คอยช่องอยู่ว่า
    “เมื่อไรหนอ เต่าจักโผล่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งออก
    ในบรรดาอวัยวะทั้งหลาย มีศีรษะเป็นที่ห้า
    แล้วจักกัดอวัยวะส่วนนั้นคร่าเอาออกมากินเสีย” ดังนี้.


    ---------------------------

    ภิกษุทั้งหลาย ! ตลอดเวลาที่เต่าไม่โผล่อวัยวะออกมา
    สุนัขจิ้งจอกก็ไม่ได้โอกาส ต้องหลีกไปเอง ;

    ภิกษุทั้งหลาย ! ฉันใดก็ฉันนั้น ;
    มารผู้ใจบาป ก็คอยช่อง ต่อพวกเธอทั้งหลายติดต่อไม่ขาดระยะอยู่เหมือนกันว่า
    “ถ้าอย่างไร เราคงได้ช่อง ไม่ทางตา ก็ทางหู หรือทางจมูก
    หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ”, ดังนี้.


    --------------------------

    ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้
    พวกเธอทั้งหลาย จงเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลายอยู่เถิด ;

    ได้เห็นรูปด้วยตา, ได้ฟังเสียงด้วยหู, ได้ดมกลิ่นด้วยจมูก,
    ได้ลิ้มรสด้วยลิ้น, ได้สัมผัสโผฏฐัพพะด้วยกาย, หรือได้รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว
    จงอย่าได้ถือเอาโดยลักษณะที่เป็นการรวบถือทั้งหมด,
    อย่าได้ถือเอาโดยลักษณะที่เป็นการแยกถือเป็นส่วนๆ เลย,
    สิ่งที่เป็นบาปอกุศลคือ อภิชฌาและโทมนัส จะพึงไหลไปตามบุคคล
    ผู้ไม่สำรวม ตา หู จมูกลิ้น กาย ใจ เพราะการไม่สำรวมอินทรีย์เหล่าใดเป็นเหตุ.
    พวกเธอทั้งหลายจงปฏิบัติเพื่อการปิดกั้นอินทรีย์นั้นไว้,
    พวกเธอทั้งหลายจงรักษา และถึงความสำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เถิด.


    -------------------------

    ภิกษุทั้งหลาย !
    ในกาลใด พวกเธอทั้งหลาย จักเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลายอยู่ ;
    ในกาลนั้น มารผู้ใจบาป จักไม่ได้ช่องแม้จากพวกเธอทั้งหลาย และจักต้องหลีกไปเอง,
    เหมือนสุนัขจิ้งจอกไม่ได้ช่องจากเต่าก็หลีกไปเอง ฉะนั้น.


    -------------------------

    “เต่าหดอวัยวะ ไว้ในกระดอง ฉันใด,
    ภิกษุพึงตั้งมโนวิตก ไว้ในกระดอง ฉันนั้น.
    เป็นผู้ที่ตัณหาและทิฏฐิไม่อิงอาศัยได้,
    ไม่เบียดเบียนผู้อื่น,
    ไม่กล่าวร้ายต่อใครทั้งหมด,
    เป็นผู้ดับสนิทแล้ว” ดังนี้แล.


    -------------------------

    สฬา. สํ. 18/222/320


    <A href="http://watnapp.com/read/easypath/i009/#content">http://watnapp.com/read/easypath/i009/#content
    http://www.buddhaoat.org/hnangsux-2
    http://watnapp.com/

    วิธีปิดกั้นไม่ให้ช่องแก่มารใจบาป (มรรควิธีที่ง่าย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2011
  12. Sirisuk

    Sirisuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +445
    ประคองจิต ดุจประคองหม้อน้ำมัน

    ประคองจิต ดุจประคองหม้อน้ำมัน (มรรควิธีที่ง่าย)

    ภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนหมู่มหาชนได้ทราบข่าวว่ามีนางงามในชนบทพึงประชุมกัน
    ก็นางงามในชนบทนั้นน่าดูอย่างยิ่งในการฟ้อนรำ น่าดูอย่างยิ่งในการขับร้อง
    หมู่มหาชนได้ทราบข่าวว่านางงามในชนบทจะฟ้อนรำขับร้อง พึงประชุมกันยิ่งขึ้นกว่าประมาณ

    ครั้งนั้น บุรุษผู้อยากเป็นอยู่ ไม่อยากตาย ปรารถนาความสุข เกลียดทุกข์
    พึงมากล่าวกับหมู่มหาชนนั้นอย่างนี้ว่า

    “บุรุษผู้เจริญ !
    ท่านพึงนำภาชนะน้ำมันอันเต็มเปี่ยมนี้ ไปในระหว่างที่ประชุมใหญ่กับนางงามในชนบท
    และ จักมีบุรุษเงื้อดาบตามบุรุษผู้นำหม้อน้ำมันนั้นไปข้างหลังๆ บอกว่า
    ท่านจักทำน้ำมันนั้นหกแม้หน่อยหนึ่งในที่ใด ศีรษะของท่านจักขาดตกลงไปในที่นั้นทีเดียว” .

    ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นอย่างไร ?
    บุรุษผู้นั้นจะไม่ใส่ใจภาชนะน้ำมันโน้น แล้วพึงประมาทในภายนอกเทียวหรือ.
    ( ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ! )


    -----------------------------

    ภิกษุทั้งหลาย ! เราทำอุปมานี้ เพื่อให้เข้าใจเนื้อความนี้ชัดขึ้น เนื้อความในข้อนี้มีอย่างนี้แล
    คำว่า ภาชนะน้ำมันอันเต็มเปี่ยม เป็นชื่อของ กายคตาสติ.


    -----------------------------

    ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ เธอทั้งหลายพึงทำการศึกษาอย่างนี้ว่า
    กายคตาสติ จักเป็นของอันเราเจริญแล้วกระทำให้มากแล้ว
    กระทำให้เป็นดังยาน กระทำให้เป็นที่ตั้ง กระทำไม่หยุด สั่งสมแล้ว ปรารภดีแล้ว.

    ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลาย พึงทำการศึกษาอย่างนี้.


    -----------------------------

    ภิกษุทั้งหลาย ! ชนเหล่าใด ไม่บริโภคกายคตาสติ ชนเหล่านั้นชื่อว่า ย่อมไม่บริโภคอมตะ;

    ภิกษุทั้งหลาย ! ชนเหล่าใด บริโภคกายคตาสติ ชนเหล่านั้นชื่อว่า ย่อมบริโภคอมตะ;

    ภิกษุทั้งหลาย ! ชนเหล่าใด ประมาทกายคตาสติ ชนเหล่านั้นชื่อว่า ประมาทอมตะ;

    ภิกษุทั้งหลาย ! ชนเหล่าใด ไม่ประมาทกายคตาสติ ชนเหล่านั้นชื่อว่า ไม่ประมาทอมตะ;

    ดังนี้ แล.


    -----------------------------

    มหาวาร. สํ 19 / 226-227 / 763–766.
    เอก.อํ 20 / 59 / 235,239.

    <A href="http://watnapp.com/read/easypath/i010/#content">http://watnapp.com/read/easypath/i010/#content
    http://www.buddhaoat.org/hnangsux-2
    http://watnapp.com/

    ประคองจิต ดุจประคองหม้อน้ำมัน (มรรควิธีที่ง่าย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2011
  13. Sirisuk

    Sirisuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +445
    อานาปานสติ มีผลใหญ่ มีอานิสงค์ใหญ่

    อานาปานสติ มีผลใหญ่ มีอานิสงค์ใหญ่

    ภิกษุทั้งหลาย !
    อานาปานสติ อันบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว
    ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่

    ก็อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้วอย่างไร กระทำให้มากแล้วอย่างไร
    จึงมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่?

    -----------------------------------

    ภิกษุทั้งหลาย ! ในกรณีนี้

    ภิกษุไปแล้วสู่ป่า หรือโคนไม้ หรือเรือนว่างก็ตาม
    นั่งคู้ขาเข้ามาโดยรอบ ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า
    เธอนั้น มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก

    เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว
    เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกยาว

    เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น
    เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสั้น

    เธอย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
    ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจเข้า”
    ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก”

    เธอย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
    ว่า “เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับอยู่ หายใจเข้า”
    ว่า “เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับอยู่ หายใจออก”

    เธอย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
    ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ หายใจเข้า”
    ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ หายใจออก”

    เธอย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
    ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจเข้า”
    ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจออก”

    เธอย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
    ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจเข้า”
    ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจออก”

    เธอย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
    ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้รำงับอยู่ หายใจเข้า”
    ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้รำงับอยู่ หายใจออก”

    เธอย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
    ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต หายใจเข้า”
    ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต หายใจออก”

    เธอย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
    ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ หายใจเข้า”
    ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ หายใจออก”

    เธอย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
    ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ หายใจเข้า”
    ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ หายใจออก”

    เธอย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
    ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ หายใจเข้า”
    ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ หายใจออก”

    เธอย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
    ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ หายใจเข้า”
    ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ หายใจออก”

    เธอย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
    ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ หายใจเข้า”
    ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ หายใจออก”

    เธอย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
    ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ หายใจเข้า”
    ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ หายใจออก”

    เธอย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
    ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ หายใจเข้า”
    ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ หายใจออก”

    ภิกษุทั้งหลาย !
    อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล
    ย่อมมีผลใหญ่มีอานิสงส์ใหญ่.

    -------------------------------------

    ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่ออานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้วอยู่อย่างนี้
    ผลอานิสงส์อย่างใดอย่างหนึ่ง ในบรรดาผล 2 ประการ เป็นสิ่งที่หวังได้ ;
    คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือว่าถ้ายังมีอุปาทิเหลืออยู่ ก็จักเป็น อนาคามี.

    ------------------------------------

    ปฐมพลสูตร มหาวาร. สํ. 19 / 396-397 / 1311-1313.

    <A href="http://watnapp.com/read/easypath/i011/#content">http://watnapp.com/read/easypath/i011/#content
    http://www.buddhaoat.org/hnangsux-2
    http://watnapp.com/

    อานาปานสติ มีผลใหญ่ มีอานิสงค์ใหญ่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2011
  14. Sirisuk

    Sirisuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +445
    1472 หนึ่ง สี่ เจ็ด สอง

    1472 หนึ่ง สี่ เจ็ด สอง

    ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมอันเอกนั้นมีอยู่
    ซึ่งเมื่อบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมทำธรรมทั้ง 4 ให้บริบูรณ์
    ครั้นธรรมทั้ง 4 นั้น อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมทำธรรมทั้ง 7 ให้บริบูรณ์
    ครั้นธรรมทั้ง 7 นั้น อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมทำธรรมทั้ง 2 ให้บริบูรณ์ได้.

    ภิกษุทั้งหลาย ! อานาปานสติสมาธินี้แล เป็นธรรมอันเอก
    ซึ่งเมื่อบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมทำสติปัฏฐานทั้ง 4 ให้บริบูรณ์
    สติปัฏฐาน 4 อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมทำโพชฌงค์ทั้ง 7 ให้บริบูรณ์
    โพชฌงค์ทั้ง 7 อันบุคคลเจริญแล้วทำให้มากแล้ว ย่อมทำวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้.

    ----------------------------------------------------

    ปฐมภิกขุสูตร มหาวาร. สํ. 19 / 424 / 1402-1

    <A href="http://watnapp.com/read/easypath/i012/#content">http://watnapp.com/read/easypath/i012/#content
    http://www.buddhaoat.org/hnangsux-2
    http://watnapp.com/

    1472 หนึ่ง สี่ เจ็ด สอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2011
  15. Sirisuk

    Sirisuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +445
    อานาปานสติ สติปัฏฐาน4

    อานาปานสติ สติปัฏฐาน4

    ภิกษุทั้งหลาย !
    ก็อานาปานสติอันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้วอย่างไรเล่า
    จึงทำสติปัฏฐานทั้ง 4 ให้บริบูรณ์ได้ ?

    --------------------------------------------

    ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ภิกษุ

    เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว,
    เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกยาว

    เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น,
    เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสั้น

    ย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
    ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจเข้า”
    ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก”
    ย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
    ว่า “เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับอยู่ หายใจเข้า”
    ว่า “เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับอยู่ หายใจออก”

    ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า
    เป็นผู้ตามเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ
    เป็นผู้มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.

    ภิกษุทั้งหลาย ! เราย่อมกล่าวลมหายใจเข้า และลมหายใจออก
    ว่าเป็นกายอย่างหนึ่งๆ ในบรรดากายทั้งหลาย.

    ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่า
    เป็นผู้ตามเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ
    มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.

    ----------------------------------------

    ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ภิกษุ

    ย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
    ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ หายใจเข้า”
    ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ หายใจออก”
    ย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
    ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจเข้า”
    ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจออก”
    ย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
    ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจเข้า”
    ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจออก”
    ย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
    ว่า “เราเป็นผู้ทำ จิตตสังขารให้รำงับอยู่ หายใจเข้า”
    ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้รำงับอยู่” หายใจออก”

    ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า
    เป็นผู้ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย อยู่เป็นประจำ
    เป็นผู้มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.

    ภิกษุทั้งหลาย ! เราย่อมกล่าวว่า การทำในใจเป็นอย่างดีถึงลมหายใจเข้า และลมหายใจออก
    ว่าเป็นเวทนาอย่างหนึ่งๆ ในบรรดาเวทนาทั้งหลาย.

    ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้ ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่า
    เป็นผู้ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
    มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.

    --------------------------------------

    ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ภิกษุ

    ย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
    ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต หายใจเข้า”
    ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต หายใจออก”
    ย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
    ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ หายใจเข้า”
    ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ หายใจออก”
    ย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
    ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ หายใจเข้า”
    ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ หายใจออก”
    ย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
    ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ หายใจเข้า”
    ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ หายใจออก”

    ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า
    เป็นผู้ตามเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ
    เป็นผู้มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.

    ภิกษุทั้งหลาย ! เราไม่กล่าวว่าอานาปานสติ เป็นสิ่งที่มีได้
    แก่บุคคลผู้มีสติอันลืมหลงแล้ว ผู้ไม่มีสัมปชัญญะ.

    ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้ ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่า
    เป็นผู้ตามเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ
    มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.

    ----------------------------------------

    ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ภิกษุ

    ย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
    ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ หายใจเข้า”
    ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ หายใจออก”
    ย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
    ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ หายใจเข้า”
    ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ หายใจออก”
    ย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
    ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ หายใจเข้า”
    ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ” หายใจออก
    ย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
    ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ หายใจเข้า”
    ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ หายใจออก”

    ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า
    เป็นผู้ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
    มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.

    ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุนั้น เป็นผู้เข้าไปเพ่งเฉพาะเป็นอย่างดีแล้ว
    เพราะเธอเห็นการละอภิชฌาและโทมนัสทั้งหลายของเธอนั้นด้วยปัญญา.

    ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่า
    เป็นผู้ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
    มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.

    ---------------------------------------

    ภิกษุทั้งหลาย !
    อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้วอย่างนี้แล
    ย่อมทำสติปัฏฐาน ทั้ง 4 ให้บริบูรณ์ได้.

    --------------------------------------

    ปฐมภิกขุสูตร มหาวาร. สํ. 19 / 424 / 1402-10

    <A href="http://watnapp.com/read/easypath/i013/#content">http://watnapp.com/read/easypath/i013/#content
    http://www.buddhaoat.org/hnangsux-2
    http://watnapp.com/

    อานาปานสติ สติปัฏฐาน4
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2011
  16. Sirisuk

    Sirisuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +445
    สติปัฏฐาน4 โพชฌงค์ 7

    สติปัฏฐาน4 โพชฌงค์ 7

    ( สติปัฏฐาน 4 บริบูรณ์ ย่อมทำโพชฌงค์ 7 ให้บริบูรณ์ )

    ภิกษุทั้งหลาย !
    ก็สติปัฏฐานทั้ง 4 อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้วอย่างไรเล่า
    จึงทำโพชฌงค์ทั้ง 7 ให้บริบูรณ์ได้ ?

    ---------------------------------------

    ภิกษุทั้งหลาย !

    สมัยใด ภิกษุ
    เป็นผู้ตามเห็นกายในกาย อยู่เป็นประจำก็ดี,
    เป็นผู้ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย อยู่เป็นประจำก็ดี,
    เป็นผู้ตามเห็นจิตในจิต อยู่เป็นประจำก็ดี,
    เป็นผู้ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย อยู่เป็นประจำก็ดี
    มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้

    สมัยนั้น
    สติที่ภิกษุเข้าไปตั้งไว้แล้ว ก็เป็นธรรมชาติไม่ลืมหลง.

    ภิกษุทั้งหลาย !
    สมัยใด สติของภิกษุผู้เข้าไปตั้งไว้แล้ว เป็นธรรมชาติไม่ลืมหลง,
    สมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว
    สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์
    สมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้น ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ

    ภิกษุนั้น เมื่อเป็นผู้มีสติเช่นนั้นอยู่
    ชื่อว่าย่อมทำการเลือก ย่อมทำการเฟ้น ย่อมทำการใคร่ครวญ ซึ่งธรรมนั้นด้วยปัญญา.

    ภิกษุทั้งหลาย !
    สมัยใด ภิกษุเป็นผู้มีสติเช่นนั้นอยู่ ทำการเลือกเฟ้น ทำการใคร่ครวญซึ่งธรรมนั้นอยู่ด้วยปัญญา
    สมัยนั้น ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว
    สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า ย่อมเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์
    สมัยนั้น ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้น ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ

    ภิกษุนั้น เมื่อเลือกเฟ้น ใคร่ครวญซึ่งธรรมนั้น ด้วยปัญญาอยู่
    ความเพียรอันไม่ย่อหย่อน ก็ชื่อว่าเป็นธรรมอันภิกษุนั้นปรารภแล้ว

    ภิกษุทั้งหลาย !
    สมัยใด ความเพียรอันไม่ย่อหย่อน อันภิกษุผู้เลือกเฟ้น ใคร่ครวญธรรมด้วยปัญญาได้ปรารภแล้ว
    สมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว
    สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า ย่อมเจริญวิริยสัมโพชฌงค์
    สมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้น ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ

    ภิกษุนั้น เมื่อมีความเพียรอันปรารภแล้วเช่นนั้น
    ปีติอันเป็นนิรามิสก็เกิดขึ้น
    ( อามิส = รูป, เสียง, กลิ่น, รส, โผฏฐัพพะ | นิรามัส = ไม่อิงอามิส )

    ภิกษุทั้งหลาย !
    สมัยใด ปีติอันเป็นนิรามิส เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว
    สมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว
    สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า ย่อมเจริญปีติสัมโพชฌงค์
    สมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้น ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ

    ภิกษุนั้น เมื่อมีใจประกอบด้วยปีติ
    แม้กายก็รำงับ แม้จิตก็รำงับ.

    ภิกษุทั้งหลาย !
    สมัยใด ทั้งกายและทั้งจิตของภิกษุผู้มีใจประกอบด้วยปีติ ย่อมรำงับ
    สมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว
    สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า ย่อมเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
    สมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้น ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ

    ภิกษุนั้น เมื่อมีกายอันมีกายอันรำงับแล้ว มีความสุขอยู่
    จิตย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิ.

    ภิกษุทั้งหลาย !
    สมัยใด จิตของภิกษุผู้มีกายอันรำงับแล้ว มีความสุขอยู่ ย่อมเป็นจิตตั้งมั่น
    สมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว
    สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า ย่อมเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์
    สมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้น ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ

    ภิกษุนั้น ย่อมเป็นผู้เข้าไปเพ่งเฉพาะ ซึ่งจิตอันตั้งมั่นแล้วอย่างนั้น เป็นอย่างดี.

    ภิกษุทั้งหลาย !
    สมัยใด ภิกษุเป็นผู้เข้าไปเพ่งเฉพาะ ซึ่งจิตอันตั้งมั่นแล้วอย่างนั้น เป็นอย่างดี
    สมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว
    สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า ย่อมเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์
    สมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ของภิกษุนั้น ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ

    --------------------------------------

    ภิกษุทั้งหลาย !
    สติปัฏฐานทั้ง 4 อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้วอย่างนี้แล
    ย่อมทำโพชฌงค์ทั้ง 7 ให้บริบูรณ์ได้.

    -------------------------------------

    มหาวาร. สํ. 19 / 424 / 1402-1

    <A href="http://watnapp.com/read/easypath/i014/#content">http://watnapp.com/read/easypath/i014/#content
    http://www.buddhaoat.org/hnangsux-2
    http://watnapp.com/

    สติปัฏฐาน4 โพชฌงค์ 7
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2011
  17. Sirisuk

    Sirisuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +445
    โพชฌงค์7 วิชชา วิมุตติ

    โพชฌงค์7 วิชชา วิมุตติ

    ( โพชฌงค์บริบูรณ์ ย่อมทำวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ )

    ดูก่อนอานนท์ !
    โพชฌงค์ทั้ง 7 อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว อย่างไรเล่า ?
    จึงจะทำวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้

    ---------------------------------------

    ดูก่อนอานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้

    ย่อมเจริญ สติสัมโพชฌงค์
    อันอาศัยวิเวก อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ ;

    ย่อมเจริญ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์
    อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ ;

    ย่อมเจริญ วิริยสัมโพชฌงค์
    อันอาศัยวิเวก อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ ;

    ย่อมเจริญ ปีติสัมโพชฌงค์
    อันอาศัยวิเวก อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ ;

    ย่อมเจริญ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
    อันอาศัยวิเวก อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ ;

    ย่อมเจริญ สมาธิสัมโพชฌงค์
    อันอาศัยวิเวก อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ ;

    ย่อมเจริญ อุเบกขาสัมโพชฌงค์
    อันอาศัยวิเวก อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ ;

    ----------------------------------------

    ดูก่อนอานนท์ !
    โพชฌงค์ทั้ง 7 อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล
    ย่อมทำวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้, ดังนี้.

    ---------------------------------------

    - มหาวาร. สํ. 19 / 422-423 / 1398

    วิเวก = ความสงัด, วิราคะ = ความจางคลายจากราคะ, นิโรธ = ความดับสนิท
    โวคสัคคะ = สละคืน ปล่อยคืน


    <A href="http://watnapp.com/read/easypath/i015/#content">http://watnapp.com/read/easypath/i015/#content
    http://www.buddhaoat.org/hnangsux-2
    http://watnapp.com/

    โพชฌงค์7 วิชชา วิมุตติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2011
  18. เพชรกร

    เพชรกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    290
    ค่าพลัง:
    +1,254
    อนุโมทนาบุญด้วยครับ
    การเผยเเพร่คำสอนของพระพุทธองค์นั้นการสืบทอดพระพุทธศาสนามากกว่าอย่างอื่น

    ชอบธรรมข้อนี้มากครับ ประคองจิต ดุจประคองหม้อน้ำมัน<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2011
  19. Sirisuk

    Sirisuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +445
    อนุโมทนาค่ะ :cool:

    ชอบทุกบทเลยค่ะ อ่านแล้วสงบตั้งมั่น

    ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
     
  20. Sirisuk

    Sirisuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +445
    ปฏิปทาสบายแก่การบรรลุนิพพาน นัยที่ 1

    ปฏิปทาสบายแก่การบรรลุนิพพาน นัยที่ 1

    ภิกษุทั้งหลาย !
    เราจักแสดง ปฏิปทาเป็นที่สบายแก่การบรรลุนิพพาน แก่พวกเธอ
    พวกเธอจงฟัง จงทำในใจให้ดี เราจักกล่าว.

    ภิกษุทั้งหลาย !
    ปฏิปทาเป็นที่สบายแก่การบรรลุนิพพานนั้น เป็นอย่างไรเล่า ?

    ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้
    ย่อมเห็นซึ่ง จักษุ ว่า ไม่เที่ยง ;
    ย่อมเห็นซึ่ง รูปทั้งหลาย ว่า ไม่เที่ยง ;
    ย่อมเห็นซึ่ง จักขุวิญญาณ ว่า ไม่เที่ยง ;
    ย่อมเห็นซึ่ง จักขุสัมผัส ว่า ไม่เที่ยง ;
    ย่อมเห็นซึ่ง เวทนา อันเป็นสุข เป็นทุกข์ หรือเป็นอทุกขมสุข (ไม่ทุกข์ไม่สุข)
    ที่เกิดขึ้นเพราะ จักขุสัมผัส เป็นปัจจัย ว่า ไม่เที่ยง.

    ( ในกรณีแห่ง โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และมนะ
    ก็ได้ตรัสต่อไปด้วยข้อความอย่างเดียวกัน ทุกตัวอักษร ต่างกันแต่ชื่อเท่านั้น
    รวมการเห็นว่าไม่เที่ยงทั้งหมด 30 แง่มุม คือ 5 กรณี ต่อ 1 อายตนะ )

    ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล คือปฏิปทาเป็นที่สบายแก่การบรรลุนิพพาน นั้น.

    -----------------------

    - สฬา.สํ. 18/167/232

    http://watnapp.com/read/easypath/i016/#content
    http://www.buddhaoat.org/hnangsux-2
    http://watnapp.com/

    ปฏิปทาสบายแก่การบรรลุนิพพาน นัยที่ 1
     

แชร์หน้านี้

Loading...