พุทธภูมิและพระโพธิสัตว์ ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ และปฏิปทาของพระโพธิสัตว์ : หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 22 ตุลาคม 2016.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    smflogo.jpg



    a.jpg


    ผู้ถาม :- “หลวงพ่อครับ ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมินี่จะทราบได้อย่างไรเขาบำเพ็ญบารมีแบบไหนครับ…? ”

    หลวงพ่อ :- “ ตัวของเขาทราบเอง เหมือนคุณกินเกลือ คุณรู้ว่าเค็มหรือเปล่า…?

    ผู้ถาม :- (หัวเราะ) “แล้วเหตุใดพระโพธิสัตว์บางองค์จึงลาจากพุทธภูมิครับ…?

    หลวงพ่อ :- “ เพราะอยากลา นี่ตอบไม่ยาก คือภาระของพุทธภูมินี่เวลาเขาทำๆ ไป ถ้าตั้งระยะไว้ไม่ยาว พวกนี้เขาช่วยพระพุทธศาสนา เขาก็ทำกิจของพุทธภูมิเช่นกัน แต่ว่าถ้าหากจะช่วยพระพุทธศาสนา ถ้าความเข้มแข็งไม่มี มันช่วยไม่ได้ เพราะพวกนี้อารมณ์ของเขามีอย่างเดียว คือไม่ห่วงตัวเอง ถ้าตัวเองไม่มีกิน ถ้าคนอื่นกินได้ ไอ้นี่เขาพอใจ แต่พวกที่ลาจริง ๆ ส่วนใหญ่ก็ใกล้พระนิพพานแล้ว ถ้าไม่ใกล้เขาไม่ลา ลาแล้วไม่กี่วันก็ได้พระอรหันต์ เพราะกำลังเขาเกิน อย่างคุณเรียนเตรียมอุดม ถ้ากลับไปทำงานประเภทหลักสูตรแค่ ม.๓ คุณไม่ต้องใช้กำลังมาก ใช่ไหม…? ”

    ผู้ถาม :- “ ใช่ครับ ”

    หลวงพ่อ :- “ เหมือนกัน คนที่ปรารถนาพระโพธิญาณเรียกว่า พระโพธิสัตว์ ทีนี้พวกที่ใกล้ที่สุด อย่างเช่น ถ้าเป็นปัญญาธิกะอย่างน้อยที่สุดก็ต้องอสงไขยที่ ๔ ในกัปนั้นแหละ ท่านจะบรรลุมรรคผลหรือกัปนั้นแหละที่บารมีจะเต็ม สำหรับพวกที่ปรารถนาเป็นสาวกภูมินี่ใช้เวลาอย่างน้อย ๑ อสงไขยกับแสนกัป ส่วนอัครสาวกหรือพระปัจเจกพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างน้อย ๒ อสงไขยกับแสนกัป เข้าใจไหม…? ”

    ผู้ถาม :- “ เข้าใจครับ…หลวงพ่อครับ หลวงปู่ปาน โสนันโท ท่านก็บำเพ็ญบารมีเพื่อปรารถนาพระโพธิสัตว์ เหมือนกันใช่ไหมครับ…? ”

    หลวงพ่อ :- “หลวงปู่ปาน โสนันโท รู้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ตอนแรกๆ ไม่รู้ว่าเต็มหรือไม่เต็ม เต็ม หมายความว่า ปรมัตถบารมีเต็ม มารู้ทีหลัง คือว่าเวลาทำบุญ ท่านเปล่งวาจาปรารถนาพระโพธิญาณ กลางที่ชุมนุมชน คือท่ามกลางสมาคม ท่านเปล่งชัดออกมาเลยว่า ผลงานนี้ ขอให้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ไม่ใช่งุบงิบๆ ถ้างุบงิบละก็ยังอีกนาน กลัวเขาจับได้ ”

    ผู้ถาม :- “ หลวงพ่อคะ ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ จะต้องฝึกอภิญญาไหมคะ…? ”

    หลวงพ่อ :- “ ก็ต้องฝึก ถ้าขั้นอุปบารมี นี่ จะทำงานในเรื่องของอภิญญาเป็นปกติ ถ้าอุปบารมีไม่ต้องห่วงหรอก เหาะเกือบทุกชาติเกิดชาติไหนก็เหาะชาตินั้น ต้องได้อภิญญาทุกชาติ พระโพธิสัตว์นี่ถ้าถึงขั้นปรมัตถบารมีแล้วก็ไม่ลงนรก ตอนนี้เข้าขั้นตัดนรก แต่ถ้าอุปบารมีนี่ยังเป็นลูกผีลูกคน ยังแยกไปได้ ๒ ทาง ถ้าปรมัตถบารมีต้องทำ ๑๐ ชาติ พอถึงชาติสุดท้าย ตีรวมบารมีเลย พอเข้มข้นหมด เต็มอัตราปั๊บ ท่านก็ยิ้มไปอยู่ชั้นดุสิต รอจนกว่าจะถึงวาระ พอถึงวาระแล้วก็ต้องลงมาเกิดเป็นคน ก็ต้องบำเพ็ญบารมีอีก รวบรวมกำลังบารมีแล้วก็ตรัสรู้ บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ก็คือบรรลุอรหันต์ด้วยตัวเอง ”

    จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๒ หน้า ๙๘-๑๐๐ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    ปฏิปทาพระโพธิสัตว์

    a.jpg



    ผู้ถาม :- “ อยากเรียนถามหลวงพ่อว่า ปฏิปทาของพระโพธิสัตว์ ที่เป็นฆราวาสกับพระแตกต่างกันอย่างไร…และจะมีวิธีสังเกตได้อย่างไรครับ…? ”

    หลวงพ่อ :- “ ปฏิบัติคนละทาง ชาวบ้านกินข้าวได้ไม่เลือกเวลา พระต้องเลือกเวลา อย่างอื่นจะต่างกันตรงไหนเล่า…มันเหมือนกันนั่นแหละ จิตใจกว้างขวางเหมือนกัน แต่กำลังบารมีแค่ไหน สังเกตอีกทีนะ พระโพธิสัตว์ไม่หวังความสุขของตัวเอง มุ่งความสุขของผู้อื่น ถ้าหากว่าท่านช่วยให้ผู้อื่นมีความสุขได้ ท่านพอใจมาก ”

    ผู้ถาม :- “ แล้วผู้ที่เป็นพระอริยะแล้ว ถ้าปรารถนาพุทธภูมิ จะสามารถสำเร็จได้ อันนี้จริงหรือเปล่าครับ…? ”

    หลวงพ่อ :- “ ถ้าเป็นพระโสดาบันแล้ว ไม่มีใครเขาปรารถนาพุทธภูมิ จะมีความเข้มแข็งขนาดไหนก็ตาม อย่างเก่งก็แค่ฌานโลกีย์เท่านั้น ถ้าเป็นพระอริยะไปแล้วก็ถือว่าเป็นสาวกไปแล้ว…ไม่มีทาง !

    ก็คิดปรารถนาให้โง่ทำไมล่ะ พระพุทธเจ้าก็ปรารถนานิพพาน พระสาวกก็ปรารถนานิพพาน เราก็ปรารถนานิพพานเสียเลยไม่ดีรึ…ถ้าแม้ยอมเสียเวลาก็เป็นไม่ได้ เพราะว่าเป็นพระอริยะแล้ว ”
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    ผู้ชายปรารถนาพุทธภูมิ

    ผู้ถาม :- “ หลวงพ่อครับ ผมดูหนังทางโทรทัศน์เรื่อง พระเวสสันดร ดูแล้วเกิดความเลื่อมใส นั่งดูด้วยความเคารพ โดยคิดว่าเป็นพระเวสสันดรองค์จริง เมื่อท่านให้ทานต่างๆ เพื่อปรารถนาพระโพธิญาณ ผมก็ยกมืออนุโมทนาด้วยความยินดี และตั้งจิตอธิษฐานว่า…

    “ ด้วยกุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าได้อนุโมทนา ในการสร้างบารมีของพระเวสสันดรในครั้งนี้ แม้พระเวสสันดรได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเพียงไร ขอให้ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญบารมีจนครบถ้วน ๓๐ ทัศ และได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลองค์หนึ่ง เหมือนกับพระเวสสันดรด้วยเถิด ”

    กระผมอยากจะทราบว่า การตั้งใจปรารถนาของกระผมจะสำเร็จสมความตั้งใจไหมครับ…? ”

    หลวงพ่อ :- “ จะเริ่มเป็นพุทธภูมิทันทีเมื่อตัดสินใจ คือว่าเรื่องปรารถนาพุทธภูมินี่นะ คนที่ถามนี่ใครนะ เข้มแข็งมากนี่ คือว่าเรื่องความปรารถนาพุทธภูมินี่ไม่ใช่เรื่องเล็กนะ ถ้าตั้งใจที่จะปรารถนาพุทธภูมิเป็นพระโพธิสัตว์เดี๋ยวนั้นนะ แล้วก็ถ้าตั้งใจแบบนี้นะ ถ้าคิดว่าจะไปนิพพานชาตินี้ต้องลาพุทธภูมิ

    ความจริงปรารถนาพุทธภูมิดี…ดีมาก จะเล่านิทานให้ฟังเรื่องหนึ่งเอาไหม แต่เคยเล่าทีไรมันได้แสนบาทนี่…(หัวเราะ)

    คือว่ามีพระอรหันต์องค์หนึ่ง เป็นปฏิสัมภิทาญาณในสมัยพระพุทธเจ้า ฉันก็จำชื่อไม่ได้เสียแล้ว ท่านมีสามเณรองค์เล็กๆ อายุ ๗ ขวบอยู่องค์หนึ่ง เวลาไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ท่านก็เอาเณรไปด้วย เวลาไปหาพระพุทธเจ้า ท่านก็กราบพระพุทธเจ้าหลายครั้ง

    ต่อมาเวลาขากลับ เณรน้อยก็เดินตามหลัง เณรน้อยก็คิดว่าอาจารย์ของเราเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ เป็นอรหันต์อันดับสูงสุด ในด้านของความสามารถอรหันต์อีก ๓ เหล่าสู้ไม่ได้ แต่ทว่าอาจารย์ของเรายังต่ำกว่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านั่งสูงกว่า…สู้ไม่ได้ ต่อไปนี้เราปรารถนาพุทธภูมิดีกว่า เราคิดว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าต่อไป

    พอแกคิดเสร็จ อาจารย์ก็หยุด บอก “เณร! เดินข้างหน้า” เณรก็เดินไปเดินมาแล้วก็นึก เอ…เป็นพระพุทธเจ้าต้องบำเพ็ญบารมีมาก เป็นอรหันต์ปกติสาวกบำเพ็ญบารมีแค่ ๑ อสงไขยกับแสนกัปถึงจะเป็นอรหันต์ได้ พระพุทธเจ้าขั้น ปัญญาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขยกับแสนกัป ศรัทธาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมี ๘ อสงไขยกับแสนกัป วิริยาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมี ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป จึงเข้านิพพาน เราเป็นอรหันต์ธรรมดาดีกว่า อาจารย์บอก “ เณร! เดินหลัง ”

    อาจารย์ทำแบบนี้ ๓ เที่ยว เณรก็ถามว่า “ อาจารย์ครับ ประเดี๋ยวให้ผมเดินหน้า ประเดี๋ยวให้ผมเดินหลัง มันเรื่องอะไรกันครับ ? ”

    อาจารย์ก็ถามว่า “ ขณะที่ฉันให้เธอเดินหน้า เธอคิดอะไร? ”

    เณรบอก “ ผมคิดอยากเป็นพระพุทธเจ้าครับ ”

    อาจารย์บอก “ นั่นแหละ…มันเป็นกันตั้งแต่ตอนนี้ เริ่มเป็นเมื่อคิด ” ไปๆ มาๆ ไม่เอาดีกว่า เป็นสาวกดีกว่า ก็รวมความว่า ถ้ามีความตั้งใจปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า เริ่มเป็นพระโพธิสัตว์ตั้งแต่เริ่มตัดสินใจ อย่าไปคิดว่ายังไม่เป็นนะ ”
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    ผู้หญิงปรารถนาพุทธภูมิ

    ผู้ถาม :- “ หลวงพ่อเจ้าขา ถ้าผู้หญิงจะปรารถนาพุทธภูมิบ้าง อย่างนี้จะปรารถนาแบบไหน…นานไหมเจ้าคะกว่าจะได้เป็น ? ”

    หลวงพ่อ :- “ สองวันก็ได้เป็น ! ”

    ผู้ถาม :- “ พุทธภูมินี่นะ…”

    หลวงพ่อ :- “ ใช่…ความจริงประเดี๋ยวเดียวนะ แป๊บเดียวได้เลย ”

    ผู้ถาม :- “ ก็ไหนเขาบอกว่าต้องบำเพ็ญบารมีเป็นอสงไขยกับแสนกัป? ”

    หลวงพ่อ :- “ ไม่ใช่หรอก…มีปากกาด้ามหนึ่ง กระดาษแผ่นหนึ่งเขียน พุทธภูมิ ได้เลย ก็บอกแค่ปรารถนานี่…ไม่ได้บรรลุนี่ ”

    ผู้ถาม :- “ แหม…เสียท่า! ”

    หลวงพ่อ :- “ คือ ปรารถนาพุทธภูมิได้ จะบรรลุเมื่อไร ฉันพยากรณ์ไม่ได้หรอก ถ้าเราปรารถนาพุทธภูมิยังว่าลอยๆ ยังไม่พบพระพุทธเจ้าพยากรณ์ใช่ไหม…

    ยังไม่ถือว่ามีคติแน่นอน ต้องพบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์น่ะ…
    มีคติแน่นอน

    ถ้าเป็น ปัญญาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมีต่อไป ๔ อสงไขยกับแสนกัป
    ถ้าเป็น ศรัทธาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมี ๘ อสงไขยกับแสนกัป
    ถ้าเป็น วิริยาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมี ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป

    สบายมาก…จะเป็นไหม…?

    ก็เป็นสาวกภูมิก็พอแล้ว รีบไปดีกว่า แต่อย่าไปขัดคอกันนะ ถ้าคนที่เขามีวิสัยพุทธภูมิอยู่ ก็พูดกันไม่รู้เรื่องเหมือนกัน อย่าไปคิดว่าของเขาจะช้า เพราะกำลังเขาพอใช่ไหม…”

    ผู้ถาม :- “ครับ ๆๆ มิน่าเล่าเจอพระบางองค์ พอคุยถึงเรื่องมโนมยิทธิ โอ๊ย ! ไม่ดีหรอก…เราปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ อย่าไปคุยเรื่องนั้นเลย ”

    หลวงพ่อ :- “ ดี…ดีมาก ”

    ผู้ถาม :- “ แสดงว่า…”

    หลวงพ่อ :- “ พระยายม เขาจะได้ไม่ว่างไง ! ”

    ผู้ถาม :- “ ทำไมล่ะครับ…? ”

    หลวงพ่อ :- “ ปรารถนาพุทธภูมิไม่มีความเป็นพระอริยะ มีแต่ฌานโลกีย์เพื่อคุ้มครอง ถ้าคนจะเป็นพระพุทธเจ้า ต้องพิสูจน์ทุกอย่าง ตั้งแต่นรกอเวจีขึ้นมาต้องรู้หมด ”

    ผู้ถาม :- “ รู้หมดที่หลวงพ่อว่านี่หมายความว่า…”

    หลวงพ่อ :- “ คือหมายความว่า ถ้า บารมียังต่ำ ขั้นต่ำฌานโลกีย์ยังคุมไม่ถึง ฌานขั้นต้นฌานก็ไม่มั่นคง ใช่ไหม…ยังมีโอกาสพลาดลงอบายภูมิ ต่อมาถ้าบารมีเป็น อุปบารมี ก็ปลอดบ้างไม่ปลอดบ้าง ถ้าเป็น ปรมัตถบารมี นี่ปลอดหมด กว่าจะเลื้อยได้แต่ละบารมีนี่ โอ้โฮ ! ฉันลองดูแล้ว ”

    ผู้ถาม :- “ เป็นยังไงครับ…? ”

    หลวงพ่อ :- “ แหม…ไม่มีเหงื่อจะไหล มันไหลเสียจนหาเหงื่อไหลไม่ได้ ”

    ผู้ถาม :- “ โอ หนักจริงๆ นะ ”
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    พระเวสสันดรบริจาคลูกเมียเป็นทาน

    ผู้ถาม :- “ หลวงพ่อเจ้าขา ลูกดูโทรทัศน์เรื่อง พระเวสสันดร ดูแล้วก็สงสารจับจิตจับใจ นึกถึงพระพุทธเจ้าว่าจะบำเพ็ญบารมีทั้งที ทำไมถึงทำให้ภรรยาเดือดร้อน ลูกชายเดือดร้อน ลูกสาวเดือดร้อน ทานบารมี ทำให้คนอื่นเดือดร้อน เราจะได้ผลสมบูรณ์แบบหรือเปล่าเจ้าคะ ? ”

    หลวงพ่อ :- “ ได้…สมมุติว่าคนอื่นเขาเก็บสตางค์ไว้แสนบาท เราก็ขโมยไปแสนบาท เราก็มีความสุข แต่เจ้าของสตางค์ก็เดือดร้อน ใช่ไหม…เรื่องนี้เป็นของ พระโพธิสัตว์ ถ้าหากว่าไม่ได้บริจาคลูกเมียให้เป็นทาน ไม่สามารถจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณได้ มีความจำเป็น ความจริงเรื่องความเดือดร้อนเป็นกฎของกรรมเก่า แต่ความจริงเทวดาเขาช่วยอยู่แล้วนะ แต่เรื่องกฎของกรรมไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ อย่าง กัณหา และ ชาลี ท่านยกให้ ชูชก ใช่ไหม…ความจริงชูชกควรจะถนอมน้ำใจเด็ก กลับมัดมือแล้วก็เฆี่ยนตี มันเป็นกฎของกรรมเดิม อยากทราบไหมล่ะ…? ”

    ผู้ถาม :- “ แหม…ดีครับ ยังไม่มีใครเล่าเลยครับ ”

    หลวงพ่อ :- “ เจ้าของปัญหาต้องจ่ายมา ๑๐๐ บาท ”

    ผู้ถาม :- “ อ๋อ…ยกครูหรือครับ…? ”

    หลวงพ่อ :- “ ไม่ใช่ยกครู ใส่ย่ามครู ยกครูไม่ไหว ดีไม่ดีครูคอหักตาย…
    คือกรรมเก่า สมัยหนึ่งทั้งกัณหาและชาลี (เวลานี้ท่านไปนิพพานหมดแล้วนะ)

    ทั้งสองท่านเคยเกิดเป็นลูกชาวนา แล้วก็คุณเตี่ยชูชกเป็นควายแก่ ทีนี้พ่อแม่ตกกล้าไว้ เจ้าควายแก่ก็ย่องมากินเสมอ พ่อแม่ก็ยกหน้าที่ให้ลูกเล็กทั้งสองคอยไล่ควาย ไล่ไปเผลอๆ ก็มาใหม่ พ่อแม่ก็ดุหลายครั้งเข้า ก็นัดกันว่า ถ้าพรุ่งนี้ควายมากินข้าวกล้าใหม่ จะเอาไปจับผูกกับต้นไม้ไว้แล้วก็เฆี่ยนตี ก็ทำตามนั้นจริงๆ ตีจนเป็นที่ชอบใจแล้วก็ปล่อยไป ไอ้กรรมอันนี้แหละ…ที่เข้ามาสนอง

    แต่ว่านั่นเป็นกรรมของกัณหาและชาลีท่านนะ ไม่ใช่พระเวสสันดร แต่ว่าอาศัยที่พระเวสสันดรซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์จะเป็นพระพุทธเจ้า ก็เป็นปัจจัยให้เทวดาต้องเข้ามาประคับประคองเด็กทั้งสอง ตอนชูชกหนีขึ้นไปนอนบนยอดไม้ก็ปล่อยเด็กทั้งสองไว้ข้างล่าง เทวดาก็แปลงกายเป็นพระเวสสันดรและพระนางมัทรีเข้ามาประคับประคอง และหลังจากนั้นเทวดาก็นำเข้าไปหาพระเจ้าปู่ ดลใจทำให้ชูชกหลงป่า ส่วนพระนางมัทรีท่านก็ยกให้พราหมณ์ คือ อินทรพราหมณ์ รู้จักไหม…?

    ผู้ถาม :- “ ไม่รู้จักครับ ”

    หลวงพ่อ :- “ อินทรพราหมณ์ พราหมณ์ชื่อ พระอินทร์ พระอินทร์ท่านแปลงมา ท่านพิจารณาเห็นว่า พระนางมัทรีไม่คู่ควรกับคนอื่น เพราะว่าอาศัยเป็นคู่บารมีของพระเวสสันดรมานาน จึงแปลงเป็นพราหมณ์มาขอพระนางมัทรี
    เมื่อพระเวสสันดรยกให้ ท่านก็แสดงตัวเป็นพระอินทร์ แล้วบอกว่า เวลานี้พระนางมัทรีเป็นของท่านแล้ว ขอฝากไว้ก่อน ถ้าจะยกให้ใครก็ต้องขออนุญาตท่านก่อน ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไร ”

    ผู้ถาม :- ก็ตกลงว่าเรื่องนี้จะไปโทษว่า สร้างบารมีให้คนอื่นเดือดร้อนไม่ได้ เขาเดือดร้อนเพราะกรรมของเขา ”

    หลวงพ่อ :- “ ใช่…ที่พระนางมัทรีต้องสลบ ก็เพราะอาศัยตีพระเวสสันดรในสมัยที่เป็น นกกระจาบ ”

    ผู้ถาม :- “ โอ้โฮ…เคยตีกันมาก่อนหรือนี่ ! ”

    หลวงพ่อ :- “ ใช่…เคยตุ้บตั้บกันมาก่อนเหมือนกัน ”

    ผู้ถาม :- “ แหม…เห็นแจ๋วๆ อย่างนี้ ก็มีเหมือนกันนะ ”

    หลวงพ่อ :- “ มี…สมัยก่อน ”

    ผู้ถาม :- “ ฉะนั้น ลูกหลานที่ตุ้บตั้บกันสมัยนี้ ก็เพราะตามรอยยุคลบาทนะ ”

    หลวงพ่อ :- “ ดีนะ…รักษาคุณความดีของบิดามารดาไว้ เป็นลูกตัญญูรู้คุณปฏิบัติตามท่านได้ ”

    ผู้ถาม :- “ บางรายกตัญญูแรงหน่อย เล่นเอาไม้ตีพริกตีหัวแบะเลย ”

    หลวงพ่อ :- “ นั่นน่ะดี หัวน่ะ…มันรับน้ำหนักทุกอย่าง แดดมาก็ร้อน น้ำค้างตกก็รดหัวก่อน ไม่เคยกินกับข้าวเลย วันนั้นได้กินกับข้าว ต้นกับข้าวเลยนะ ”
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    พระโพธิสัตว์ทำไมยากจน

    ผู้ถาม :- “ หลวงพ่อขอรับ ผมอยากทราบว่า พระโพธิสัตว์ที่เกิดมาเป็น มหาทุคคตะ นั้น ทำกรรมอะไร…ทำไมถึงยากจน เพราะคำว่า โพธิสัตว์ น่าจะร่ำรวยนี่ขอรับ ? ”

    หลวงพ่อ :- “ ถ้าพระโพธิสัตว์รวยอย่างเดียวก็โง่ เวลาที่เป็นพระพุทธเจ้าก็เทศน์สอนเขาไม่ได้ ต้องจนมากมาก่อน ทดลองก่อนนะ ถ้าจะเล่าให้ฟังเล่าไม่ได้

    เพราะบาลีตอนนั้นท่านไม่ได้บอกนะ พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสไว้ เป็นอันว่ากฏของกรรมบางอย่าง บางชาติอาจจะเป็นคนขี้เหนียว คนที่จนเพราะขาดการให้ทาน โกงเขา แต่พระโพธิสัตว์คงไม่โกง แต่ว่าอาจจะผ่านมาเป็นพันๆ ชาติก็ได้ กรรมประเภทนี้ไม่ใช่ทำชาตินี้ ชาติหน้ารับผล มันไม่ได้ กรรมบางอย่างต้องรอ เป็นพันชาติก็มี ตามไม่ทัน คือว่าก่อนที่จะรู้จักบุญกุศลมันทำมาแล้ว ก่อนที่จะเป็นพระโพธิสัตว์ ลองคิดดู ยังไม่รู้บาปบุญคุณโทษ แต่กรรมประเภทนั้นยังไม่มีผล และทำทุกชาติ ทำกี่อย่างกี่ครั้ง แต่ละคราวจะให้ผลไม่เสมอกัน ไม่พร้อมกัน ”
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    คู่บารมีพุทธภูมิ

    ผู้ถาม :- “ ลูกทำบุญทุกอย่างที่วัดท่าซุง โดยลูกกระทำคนละครึ่งกับผู้ปรารถนาพุทธภูมิ…”

    หลวงพ่อ :- “ เอาละ…หัวมงกุฎท้ายมังกรละทีนี้ ! ”

    ผู้ถาม :- “ ขอต่อนะครับ โดยอธิษฐานให้ลูกเป็นคู่บารมีของเขาตลอดไปจนกว่าจะสำเร็จพระโพธิญาณ ลูกอธิษฐานว่า ถ้าไปนิพพานชาตินี้ไม่ได้ ก็จะขอเป็นคู่ส่งเสริมการสร้างบารมีให้เขาได้สำเร็จ

    ลูกถามว่า ข้อ ๑ ลูกจะไปนิพพานชาตินี้ได้ไหม โดยที่ฝ่ายชายไม่ยอมลาจากพุทธภูมิ ? ”

    หลวงพ่อ :- “ ก็อีท่านั้นมันไปแล้ว เราต้องตัดสินใจให้แน่นอนว่า เราไม่ต้องการปราถนาร่วมกับพุทธภูมิ เราจะไปนิพพานตรง ไอ้ไปแบ่งครึ่งแบบนั้นไปแน่ เพราะกำลังพุทธภูมิเขาแรง ”

    ผู้ถาม :- “ ถ้าอย่างนั้นถ้าไปต้องตัด…”

    หลวงพ่อ :- “ ต้องตัดเลย บอกฉันไม่ต้องการติดตามใครทั้งนั้น ฉันจะไปนิพพานชาตินี้ ต้องตัดแบบนั้นนะ ”

    ผู้ถาม :- “ ข้อ ๒ ถ้าไปไม่ได้ ลูกจะต้องทำอย่างไร จึงจะช่วยเขาสร้างบารมีให้สำเร็จพระโพธิญาณเจ้าคะ ? ”

    หลวงพ่อ :- “ ไม่เป็นไร เป็นเมียเขาเรื่อยไป หมดเรื่องหมดราว…(หัวเราะ) ปัดโธ๋เอ๋ย…ไปถามงั้นได้ ก็ช่วยไม่ใช่เหรอ…ไม่น่าจะถาม ก็สุดแล้วแต่วาระแต่ละชาติจะต้องทำอะไร มันช่วยอยู่แล้วนะ ”
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    ขอลาพุทธภูมิ

    ผู้ถาม :- “ ทีนี้มีอีกคนถามว่า ดิฉันอยากจะลาพุทธภูมิ ไม่ทราบว่าจะลาอย่างไรเจ้าคะ…? ”

    หลวงพ่อ :- “ ลาไปไหนล่ะ…ลาไปขุมไหน…? ”

    ผู้ถาม :- “ ลาแล้วลงขุมหรือครับ…? ”

    หลวงพ่อ :- “ อ้าว…ลาพระพุทธเจ้าก็ไปแน่ ไปอยู่กับเทวทัต ลาพระพุทธเจ้าหรือลาพุทธภูมิ…? ”

    ผู้ถาม :- “ ลาพุทธภูมิครับ ”

    หลวงพ่อ :- “ ถ้าลาพระพุทธเจ้าละเจอะหน้าเทวทัตแหงๆ ลาพุทธภูมิก็ไม่ยาก ก็ไปที่หน้าพระพุทธรูปก็แล้วกัน จุดธูปบูชา ตั้ง นะโม ๓ จบ ว่า พุทธัง…ธัมมัง…สังฆัง…สรณัง คัจฉามิ ว่า อิติปิ โส อีกจบหนึ่ง แล้วก็ขอขมาโทษท่าน เสร็จแล้วกล่าวคำปฏิญาณ “ ข้าพระพุทธเจ้าขอลาพระพุทธภูมิ ขอเป็นสาวกภูมิตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ” เท่านั้น ไม่มีอะไรมาก ถ้าได้มโนมยิทธิให้ไปพระนิพพาน ขอลาพระพุทธเจ้าโดยตรง ถ้าถามว่าปฏิบัติแบบไหนให้เร็วท่านจะบอกให้ดีกว่า ปฏิบัติให้ตรงกับที่เราพร่อง ขอจุดให้ตรงกับที่เราพร่องแล้วไม่ยาก ”
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    พระโพธิสัตว์ที่อยู่ชั้นดุสิต

    a.jpg

    ผู้ถาม :- “ พระโพธิสัตว์ที่อยู่ชั้นดุสิต เมื่อยังไม่ตรัสรู้ อยากเรียนถามหลวงพ่อว่า ท่านมีหน้าที่การงานอย่างไรบ้างหรือเปล่าครับ…? ”

    หลวงพ่อ :- “ ฉันยังไม่เคยอยู่ชั้นนี้เลย ความจริงพระโพธิสัตว์นี่หาเวลาว่างยาก บนสวรรค์ ๖ ชั้น พระโพธิสัตว์ก็เหมือนกับพระ ก็มีหน้าที่สงเคราะห์พวกพรหมเทวดาด้วยการเทศน์ อย่างพระอินทร์ เวลาถึงวันขึ้น ๑๔ ค่ำ หรือวันโกนสิ้นเดือน เทวดาต้องไปประชุมกันที่ เทวสภา แล้วตามปกติพระอินทร์ท่านจะไปเชิญพระโพธิสัตว์มาเทศน์ บางคราวก็หาพระโพธิสัตว์ว่างไม่ได้ พระอินทร์ต้องเทศน์เอง ท่านไม่มีเวลาว่าง ถ้าไม่ได้ไปไหนก็ไม่ว่าง ”

    ผู้ถาม :- “ ทำอะไรครับหลวงพ่อ…? ”

    หลวงพ่อ :- “ ต้องนั่งซิ ! ”

    ผู้ถาม :- “ แล้วไม่ได้หลับได้นอนหรือครับ…? ”

    หลวงพ่อ :- “ เอ…นอนหรือเปล่า ไม่เคยเห็นนอนสักที ”

    ผู้ถาม :- “ ลืมตาแจ๋ว…เป็นเหน็บชาแย่ ”

    หลวงพ่อ :- “ เทวดาไม่มีประสาทปวดนะ แล้วก็ประการที่สอง สวรรค์ก็ดี พรหมก็ดี นิพพานก็ดี ไม่มีกลางคืน ไม่มีกลางวัน และไม่มีพระอาทิตย์ ในแดนนรก ก็ไม่มีกลางวันและกลางคืน ไม่มีพระอาทิตย์เหมือนกัน ฉะนั้นก็ไม่มีคำว่าหยุด ไม่มีคำว่าพัก เพราะไม่มีคำว่าเหนื่อย สภาวะของท่านไม่เหนื่อยเลย หนักก็ดี กลุ้มก็ดี ไม่มีสำหรับเทวดา ”

    ผู้ถาม :- “ อย่างนั้นเขาก็มีความสบายอย่างเดียวซิครับ…? ”

    หลวงพ่อ :- “ นั่นเขารับส่วนสบายฝ่ายเดียว คำว่าเหนื่อยหรือเพลียไม่มีสำหรับที่นั้น เพราะท่านมีสภาวะเป็นทิพย์ ไม่มีสภาพหนัก มนุษย์นี่มีธาตุดินจึงทำให้หนัก ของท่านไม่มีทั้ง ๔ ธาตุ ”

    ผู้ถาม :- “ แล้วถ้าธาตุไม่มีนี่จะพูดจากันรู้เรื่องหรือครับ…? ”

    หลวงพ่อ :- “ ก็พูดกันอย่างประสาไม่มีธาตุ เป็นนามธรรมที่เรียกว่า รูปในนาม ไม่มีของหนักอย่างเรา ก็มีสภาพคล้ายอากาศ เบาๆ ทุกอย่าง ฉันตอบได้เพราะว่าฉันเคยตายมาหลายอสงไขยกัป ”
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 364947.jpg
      364947.jpg
      ขนาดไฟล์:
      34.1 KB
      เปิดดู:
      3,317
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    ทำไมหลวงพ่อลาพุทธภูมิ

    ผู้ถาม :- “ ขอกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อมีทุนพุทธภูมิผ่านมากน้อยเพียงไร…ขนาดไหน…และเพราะเหตุใด…จึงกล้าตัดสินใจลา โดยชนิดที่เรียกว่าไม่อาลัยอาวรณ์ต่อไปครับ ? ”

    หลวงพ่อ :- “ ตอบไม่ยาก…อยากลา มันจะไปยากอะไร ศัพท์ภาษาไทยชัดๆ เห็นทุกข์ คือความวุ่นวายของพระ เวลานั้นพระผู้ใหญ่ก็เป็น “พูใหญ่” ไป ร่างกายเราก็ไม่ดี เขาถามว่า ทุนพุทธภูมิขนาดไหน ฉันก็ไม่ตอบหรอกนะ ถ้าขืนตอบเพราะว่าไม่มีสัญลักษณ์ ไม่มีนิมิตเครื่องหมาย เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าจะออกไปเฉยๆ ไม่ได้ ต้องลาก็แล้วกัน

    ทีนี้ประการที่ ๒ ลาก็ต้องมีเงื่อนไข คือว่าจะให้ลาได้ แต่เมื่อบอกว่าจะไม่ตายภายใน ๑๒ ปี ให้ทำงานพุทธภูมิไปก่อน เมื่อครบ ๑๒ ปีก็ต่ออีก เวลานี้ยังต่ออยู่ เป็นนักเรียนทุน ทุนถาวร ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องกำหนดหรอกครับ มันตายเมื่อไรก็เมื่อนั้นแหละ…ขี้เกียจ ถึงกำหนดจริงมันจะป่วยหนัก หนักมาก แล้วท่านก็มาต่อให้ เราก็ขี้เกียจป่วยขนาดนั้นใช่ไหม…ไม่มีความจำเป็น ก็เลยบอกท่านว่า ผมเป็นคนไม่มีทุกข์ ขันธ์ ๕ มีทุกข์จริงแต่ใจผมไม่ได้ทุกข์ไปด้วย ในเมื่อกำลังยังมีอยู่ก็พร้อมทำงานเพื่อพุทธภูมิ แต่ว่าถ้าพูดไม่ออกเมื่อไร ก็อยากจะตายเมื่อนั้น ”

    ผู้ถาม :- “ อ้อ…นี่ที่หลวงพ่ออยู่ได้ ก็เพราะว่าได้พูดได้ ”

    หลวงพ่อ :- “ ใช่…”

    ผู้ถาม :- “ ตกลงว่าไม่ต้องต่อกันแล้วนะ…อายุนะ ”

    หลวงพ่อ :- “ ไม่เอา…ไม่ต้องต่อกันแล้ว คือว่าไม่มีกำหนดแน่นอน เราก็คิดว่าเมื่อวานซืนนี้มันจะตาย ก็บอกว่า คุณ…งานโน้นมีงานนี้มา นี่ไอ้วัดมันไกล้จะเสร็จ ถ้าน้ำไม่ท่วมไม่ถ่วงเวลาเสีย ๔ เดือน ก็เสร็จมีนาคมนี้ ทีนี้พอวัดไม่เสร็จ ท่านก็สั่งเพิ่มต่อ สร้างต่อใช่ไหม… และก็ต่อไปขยายไปสร้างภายนอก โดยให้ทุนเล็กน้อย ๒๕ เปอร์เซ็นต์ ถ้าวัดไหนสามารถจะทำได้ก็ให้ทำ ก็รวมความว่า งานของท่านไม่หยุด ตายหรืออยู่ อยู่หรือตาย ก็ช่างหัวมัน ไม่สนใจ สนใจที่เดียว…นิพพาน ”

    (ด้วยความจริงแล้ว หลวงพ่อไม่อยากอยู่เลย เพราะขันธ์ ๕ ป่วยอยู่เสมอ)
    อาการป่วยของหลวงพ่อ

    หลวงพ่อ :- “ อาการป่วยหนักปีนี้มี ๓ ครั้ง ถึงขนาดต้องไปนั่งคอยไปเลย มันไม่ไหวเแล้ว มันเครียดจริงๆ เส้นประสาทนูนแทบแตก ครั้งที่ ๑,๒ ขึ้นไปคอย

    ครั้งที่ ๓ พระพุทธเจ้ามาพร้อมกัน ถามว่าทำไม บอกน่ากลัวไม่เป็นเรื่องละ ขอถวายบังคมลางาน อีท่านี้ไม่เป็นเรื่อง ชั่วระยะ ๒ เดือน พวกล่อ ๓ ครั้ง ก็แค่วาระที่ ๓ เท่านั้นแหละ ทนสู้เลย ๓ ครั้งไม่ได้แล้ว ท่านก็บอกเดี๋ยวก่อนซิคุยกันก่อน ก็มาเดินเที่ยว ไอ้บ้านเราในบริเวณก็ไม่ค่อยได้ไปเหมือนกัน พอไปถึงนั่งปุ๊บก็มาเต็ม ทีนี้ไม่มีใคร มีแต่พระพุทธเจ้า ๘๔ พระองค์ มาพร้อมไปถึงปั๊บ องค์อื่นท่านไม่ตรัส องค์ปฐมพระพุทธเจ้าท่านตรัสเพียงพระองค์เดียว บอกว่า “ เธอปรารถนาพุทธภูมิมา และก็ทำไมจะมาท้ออาการเพียงเท่านี้ ”

    ก็บอกท่านว่าไม่ได้ท้อ ก็มันจะตายจะสู้มันได้อย่างไร ประสาทใช้อะไรไม่ได้มานานแล้ว เวลาจะใช้งานเพราะท่านช่วย คิดอะไรไม่ออกหรอก มันคิดอะไรไม่ออกจริง ถ้าปล่อยคิด ประสาทเสียหมด ท่านก็เลยบอกว่า “ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ประเดี๋ยวก็คลายตัว ดูท้าวมหาราชกำลังทำอะไรอยู่ ” และก็ต่อมาท่านก็บอกว่า “ จากนี้ไปอีก ๒ วัน นับวันพรุ่งนี้ วันมะรืนนี้อาการจะดีขึ้นมาก ”

    ตรงเลย พอถึงวันมะรืนปั๊บ มันคลายตัวมากจริงๆ พอถึงวันคลายตัว ท่านโกมารภัจจ์ก็มา บอก “ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อาการโรคทั้งหมดจะคลายตัววันละ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ” จริงตามนั้นแฮะ ค่อยดีขึ้น ชัดขึ้นทุกวัน


    ที่มา : หนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๗ หน้า ๘๑-๑๐๐ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)
     
  11. manote

    manote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2006
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +6,000
    สาธุ อนุโมทนามิ กับโพสเรื่องพุทธภูมิของคุณ Vanco ครับ เห็นใครโพสเรื่องพุทธภูมิชอบเข้ามาอ่านครับ ทุกคนปราถนาพุทธภูทิยอะมากขออนุโมทนากับทุกท่านที่ปราถนาพุทธภูมิด้วยครับ
     
  12. a5g1aeka

    a5g1aeka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    728
    ค่าพลัง:
    +1,579
    :cool::cool::cool:สาธุๆๆครับจขกท.ที่ช่วยโพส์ให้ได้รู้ครับ:cool::cool::cool:
     
  13. madeaw23

    madeaw23 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2017
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +188
    กราบสาธุครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...