เรื่องเด่น พุทธทำนาย ยุคกึ่งพุทธกาล จะเกิดภัยพิบัติและสงครามใหญ่ (ปีพ.ศ. 2560 เป็นต้นไป)

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 25 สิงหาคม 2016.

  1. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +24


    The king of mantra.

    ในคำสอนของพระพุทธเจ้า "Shurangama Mantra" ถือเป็นราชาแห่งมนต์ทั้งหมดเพราะเป็นบทที่ยาวที่สุดและสำคัญที่สุด ความเจริญรุ่งเรืองหรือการเสื่อมสลายของพระพุทธศาสนาขึ้นอยู่กับ "Shurangama Mantra" นี้

    ที่มาของ "Shurangama Mantra" คือตอนที่พระอานนท์กำลังบิณฑบาตซึ่งกำลังสะสมอาหารที่ได้รับจากการบริจาคได้ผ่านบ้านโสเภณีแห่งหนึ่ง น่าเสียดายที่เขาถูกมนต์ของ Kapila ท่องโดยลูกสาวของ Matangi พระอานนท์กำลังจะสิ้นสภาพความเป็นพระภิกษุเนื่องจากอารมณ์ทางเพศที่มีต่อสตรีผู้นี้ เมื่อตระหนักว่าพระอานนท์กำลังตกอยู่ในอันตราย พระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงเปล่งแสงจากเพดานพระเศียร และพระกายที่แปลงร่างได้ก็ประกาศมนต์สำคัญนี้ เขาได้ส่ง "Shurangama Mantra" ให้กับ Manjusri Bodhisattva และขอให้ช่วย Ananda เมื่อพระอานนท์หลุดพ้นจากมนตร์อันชั่วร้ายและเข้าร่วมกับพระพุทธเจ้า เขาได้สำนึกผิดและขอให้พระพุทธเจ้ากล่าวซ้ำ "Shurangama Mantra" อีกครั้งต่อหน้าพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระอรหันต์ และเทวดา ดังนั้น,

    "Shurangama" แปลว่า "แข็งแกร่งและแข็งแกร่งในที่สุด" เนื้อหาของ "Shurangama Mantra" ปราบปีศาจสวรรค์และควบคุมคนภายนอก ทุกบรรทัดตั้งแต่ต้นจนจบมาจากยอดธรรมของพระพุทธเจ้า แต่ละบรรทัดมีหน้าที่ของตัวเอง ความพิศวงลึกลับ และพลังอันเหลือเชื่อ ท่องมนต์ทั้งหมดทำให้สวรรค์สั่นสะเทือนและแผ่นดินสั่นสะเทือน แม้ว่าปีศาจจะมีการแทรกซึมทางวิญญาณและมนต์ของมันเอง แต่ “Shurangama Mantra” ก็สามารถทะลวงมนต์ทั้งหมดของมันและไร้ผลได้ พลังของ “Shurangama Mantra” สามารถทำให้ปีศาจลดและเลิกพฤติกรรมได้ ดังนั้นผีและวิญญาณจึงคร่ำครวญ ปีศาจจะรักษาระยะห่าง และผีสางภูเขาและแม่น้ำจะซ่อนตัวอยู่ห่างๆ อานุภาพแห่งมนตราสามารถขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง และทำให้ผู้คนสามารถสั่งสมบุญและคุณงามความดีได้ทุกประเภท

    ดังนั้น ตราบใดที่มีคนท่อง “Shurangama Mantra” เพียงคนเดียว ปีศาจ ผี และสิ่งที่แปลกประหลาดก็ไม่กล้าแสดงตัวในโลกนี้ พวกเขากลัวพลังของ “Shurangama Mantra” เพื่อป้องกันไม่ให้สวรรค์และโลกถูกทำลาย อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่มีใครท่อง “Shurangama Mantra” อีกต่อไป ปีศาจและผีจะออกมาจากที่ซ่อนและธรรมะที่ถูกต้องจะไม่ถูกยึดถืออีกต่อไป เมื่อนั้นโลกจะถูกทำลายอย่างรวดเร็ว

    ทุกบรรทัดของ “Shurangama Mantra” มีความหมายไร้ขีดจำกัดและอานุภาพมากมาย ภูติผี วิญญาณ เทวดาผู้รักษาธรรม พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า ทันทีที่สวดชื่อสมาชิกในครอบครัวทุกคนจะปฏิบัติตามกฎและไม่กล้าทำร้ายใคร

    ชูรังกามะสูตรย่อ
    (ปัดเป่าอสัทธรรมทั้งมวล)
    จากบทสวดที่ยาวที่สุดของมหายาน

    โอม อนาเล อนาเล
    วิซาเด วิซาเด
    วิรา ไว จรา ดาเร
    บัณฑะ บัณฑะนี
    ไว จรา ปานี พัท
    ฮุม ภรุม พัท
    สวาหะ

    แม้ในปฎิสัมภิทา ๔ นั้น อรรถะคือผลธรรมอันเกิดแต่ปัจจัย ย่อมปรากฏดุจทุกขสัจจะ และเป็นธรรมอันใครๆ จะพึงรู้ได้โดยง่าย เพราะฉะนั้น ท่านจึงยกอรรถปฏิสัมภิทาญาณ ขึ้นแสดงก่อน, ต่อแต่นั้นก็ยกธรรมปฏิสัมภิทาญาณขึ้นแสดง เพราะอรรถะนั้นเป็นวิสัยแห่งธรรมอันเป็นเหตุ, ต่อแต่นั้นจึงยกเอานิรุตติปฎิสัมภิทาญาณ เพราะอรรถะและธรรมทั้ง ๒ นั้นเป็นวิสัยแห่งนิรุตติ, และต่อจากนิรุตติปฏิสัมภิทาญาณนั้น ท่านก็ยกเอาปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณขึ้นแสดง เพราะเป็นไปในญาณแม้ทั้ง ๓ เหล่านั้น.

    อรรถกถาวิหารัฏฐสมาปัตตัฏฐญาณุทเทส
    ว่าด้วยวิหารัฏฐญาณและสมาปัตตัฏฐญาณ
    ญาณทั้งหลายอื่นจากนี้ ๓ ญาณมีวิหารัฏฐญาณเป็นต้น ท่านยกขึ้นแสดงต่อจากปฏิสัมภิทาญาณ เพราะเกิดแก่พระอริยบุคคลเท่านั้น และเพราะเป็นประเภทแห่งปฏิสัมภิทา.
    จริงอยู่ วิหารัฏฐญาณเป็นธรรมปฏิสัมภิทา, สมาปัตตัฏฐญาณเป็นอรรถปฏิสัมภิทา.
    แท้จริง ญาณในสภาวธรรม ท่านกล่าวไว้ในปฏิสัมภิทากถาว่า๑-ธรรมปฏิสัมภิทา.
    ส่วนญาณในนิพพานเป็นอรรถปฏิสัมภิทานั่นแหละ.

    ผู้ได้พบได้เห็นพระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ธรรมแม่บท ย่อมจักเป็นผู้ได้เสวยวิมุตติธรรมตั้งแต่ระดับ วิกขัมภนวิมุตติ ตทังควิมุตติ ตลอดจนขึ้นไปถึง สมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ นิสสรณวิมุตติ

    9A7F4AEB-F421-4ACA-B868-B2F30FE08650.jpeg

    ศึกษาพื้นฐาน ต้นกำเนิดแห่งศรัทธา และจึง ผนวกเอา ๙ นวังคสัตถุศาสตร์ จะดึงดูด หลอมรวม แยกแยะ จัดสรร จำแนก แบ่งออก แตกแขนง ก่อปัจจัย {มหาปัฎฐาน}


    ชัดเจนขนาดนี้ จะไปไหมพระนิพพาน!


    เมื่อไหร่? จะศึกษา เมื่อไหร่? จะพิจารณา จะให้ใครที่ไหนมาบอกในตอนนี้!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2022
  2. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +24
    แม้ว่า “Shurangama Mantra” จะได้ผลแน่นอน แต่เราต้องรักษาศีล ละเว้นจากความคิดที่เป็นมลทิน และเลิกยุ่งกับกิจกรรมที่ไม่บริสุทธิ์ มิฉะนั้นจะไม่มีอานิสงส์ในการสวดและพระโพธิสัตว์จะไม่คุ้มครองผู้สวด ดังนั้น ห้ามใช้พลังของ “Shurangama Mantra” ในทางที่ผิดเพื่อกดขี่คนอื่น ปีศาจ อสูรกาย เปรต หรือภูตผีเพื่อประโยชน์ส่วนตน แต่ต้องมีปณิธานที่ไม่มีใครเทียบได้สำหรับโพธิ ความเมตตา ความเห็นอกเห็นใจ การให้ และการสละ



    เพราะในพระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมว่า

    “ใน2500ปีหลังจากนั้น พระสูตรชูรังกามะสูตรและพระปริยัติปันนา-สมาธิจะหายไปก่อน และหลังจากนั้นไม่นาน หมวดสิบสองหมวดของหลักมหายานก็จะถูกทำลายทั้งหมดเช่นกัน และจะไม่ปรากฏอีก”

    ==============================
    8A3915FD-4543-44CF-AEF1-67603B4BF76F.jpeg
    ประโยชน์

    จาก Shurangama Sutra :มนต์ขาว มงกุฎเพชร ร่มฯ เกราะฯ

    “ท่านทั้งหลายที่ยังเหลือให้ศึกษาซึ่งยังไม่หมดวัฏสงสารและยังตั้งปณิธานแน่วแน่ว่าจะเป็นพระอรหันต์ จะพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะนั่งในโพธิมันดา ห่างไกลทั้งกายและใจจาก การกระทำปีศาจทั้งหมดหากคุณไม่ถือมันตรานี้ 6:123

    “ดูก่อนอานนท์ ขอให้สรรพสัตว์ในประเทศใดๆ ในโลก คัดลอกมนต์นี้เป็นลายลักษณ์อักษรบนวัสดุพื้นเมือง เช่น เปลือกต้นเบิร์ช ปัทตรา กระดาษธรรมดา หรือผ้าฝ้ายขาว แล้วเก็บไว้ในย่ามที่บรรจุเครื่องหอม ถ้าบุคคลนั้นสวมย่ามไว้ที่ตัว หรือหากเขาเก็บสำเนาไว้ในบ้าน คุณควรรู้ว่าแม้ว่าเขาจะเข้าใจน้อยมากจนไม่สามารถท่องมันจากความทรงจำได้ แต่เขาจะไม่ได้รับอันตรายจากยาพิษใดๆ ตลอดชั่วชีวิตของเขา ชีวิต. 6:124

    “ดูก่อนอานนท์ บัดนี้เราจะบอกท่านให้ทราบเพิ่มเติมว่ามนต์นี้จะช่วยคุ้มครองโลกได้อย่างไร ช่วยให้มนุษย์ได้รับความปลอดภัยจากความกลัวอย่างใหญ่หลวงได้ และนำปัญญาทิพย์ของสิ่งมีชีวิตไปสู่ความสำเร็จ 6:125

    “ท่านทั้งหลายพึงทราบเถิดว่า ภายหลังปรินิพพานของเราแล้ว ถ้ายังมีสัตว์ในยุคสุดท้ายที่ท่องมนต์ได้เองหรือสอนผู้อื่นให้ท่องได้ คนเช่นที่ท่องไว้ย่อมไม่ถูกไฟเผา ไม่จมน้ำตาย น้ำและไม่สามารถรับอันตรายจากพิษที่ไม่รุนแรงหรือมีฤทธิ์รุนแรงได้ 6:125

    ” และมันก็เป็นเช่นนั้นในทุก ๆ กรณี พวกเขาไม่สามารถถูกครอบงำโดยมนต์ชั่วร้ายใด ๆ หรือมังกรสวรรค์ ผีหรือวิญญาณใด ๆ หรือโดยแก่นแท้ใด ๆ สัตว์แปลก ๆ หรือผีปีศาจ จิตใจของคนเหล่านี้จะได้รับการต้อนรับที่เหมาะสม ดังนั้นคาถาใด ๆ เวทมนตร์ที่ทำให้เป็นอัมพาตใด ๆ ยาพิษหรือทองพิษใด ๆ เงินพิษใด ๆ ต้นไม้ต้นไม้แมลงหรืองูและไอพิษทุกชนิดจะกลายเป็นหวาน น้ำค้างเมื่อเข้าปาก 6:126

    “ไม่มีดาวร้าย ไม่มีผีหรือวิญญาณใดที่แฝงความอาฆาตพยาบาทไว้ในใจและพิษร้ายที่มนุษย์สามารถกระทำให้ร้ายต่อคนเหล่านี้ได้ Vinayaka ตลอดจนราชาภูตผีชั่วร้ายและบริวารของพวกเขาจะถูกนำด้วยความเมตตาอย่างลึกซึ้งเพื่อพิทักษ์และปกป้องพวกเขาเสมอ 6:128

    “ดูก่อนอานนท์ เธอพึงรู้ว่า ทรายโกฏิแห่งแม่น้ำคงคาแปดหมื่นสี่พันนายุตของพระวัชระคลัง-พระโพธิสัตว์และบริวารพร้อมด้วยวัชระเป็นอันมาก เป็นบริวาร อยู่เนืองนิตย์ตามมนต์นี้ทั้งกลางวันและกลางคืน 6:129

    “หากสรรพสัตว์ที่มีจิตใจกระเจิดกระเจิงและไม่มีสมาธิจำและท่องมนต์ได้ เหล่าวัชระจะห้อมล้อมพวกเขาอยู่เสมอ ดังนั้น คนดีทั้งหลาย สำหรับผู้ที่ตั้งปณิธานอย่างแน่วแน่ในโพธิก็จริงยิ่งกว่า พระคลังวัชระ-พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์จะคอยเอาใจใส่และเร่งเปิดจิตสำนึกทางจิตวิญญาณของพวกเขาอย่างลับๆ 6:130

    “เมื่อเหตุนั้นเกิดขึ้น คนเหล่านั้นย่อมระลึกเหตุการณ์ของกัลปได้มากเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาแปดหมื่นสี่พันองค์ รู้หมดสิ้นหมดสงสัย 6:131

    “ตั้งแต่กัลปนั้นเป็นต้นไป ทุกภพทุกชาติ จนกว่าจะจุติกายสุดท้าย จักไม่เกิดในที่ซึ่งมียักษะ รักษะ สัทธา กตปุตตะ กุมภัณฑ์ ปิชาชะ เป็นต้น ที่ใดมีผีผู้หิวโหยชนิดใด ๆ ไม่ว่าจะมีรูปร่างหรือไม่มีรูปร่างหรือด้วยความคิดหรือขาดความยั้งคิดหรือในที่ชั่วร้ายใด ๆ 6:131

    “ถ้าคนดีเหล่านี้อ่าน สาธยาย คัดลอก หรือเขียนมนต์ ถ้าพวกเขาถือไว้หรือเก็บสมบัติไว้ ถ้าพวกเขาถวายมัน กัลปแล้วกัลป พวกเขาจะไม่ยากจนหรือต่ำต้อย พวกเขาจะไม่ได้เกิด ในสถานที่ไม่พึงประสงค์ 6:133

    “หากสรรพสัตว์เหล่านี้ไม่เคยสั่งสมบุญใด ๆ มาก่อน เจ้าทิศทั้งสิบย่อมจะอำนวยผลบุญและคุณงามความดีให้แก่ตนเหล่านี้ 6:134

    เพราะเหตุนั้น ตลอดอสงคเยยะที่มีกัลปจำนวนมากมายเหลือคณานับ มากเท่ากับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา พวกเขาจึงอยู่ร่วมกับพระพุทธเจ้าเสมอ พวกเขาเกิดในที่เดียวกันเนื่องจากบุญและคุณงามความดีอันไร้ขอบเขตของพวกเขา และเช่นเดียวกับกลุ่มผลไม้อมาลา พวกเขาอยู่ในที่เดียวกัน เต็มไปด้วยการเพาะปลูกและไม่เคยแยกจากกัน 6:135

    ” ดังนั้นจึงสามารถช่วยให้ผู้ที่ทำผิดศีลสามารถคืนความบริสุทธิ์ของแหล่งที่มาของศีลได้ สามารถทำให้ผู้ที่ไม่ได้รับศีลสามารถรับได้ อาจทำให้คนที่ไม่มีแรงกลายเป็นคนมีแรงได้ ย่อมทำให้คนที่ขาดปัญญาเกิดปัญญาได้ สามารถทำให้ผู้ที่ไม่บริสุทธิ์กลับมาบริสุทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว อาจทำให้ผู้ที่ไม่ถือศีลกินเจกลายเป็นมังสวิรัติโดยธรรมชาติได้ 6:136

    “ดูก่อนอานนท์ ถ้าคนดีที่รักษาศีลนี้ล่วงละเมิดศีลอันบริสุทธิ์ก่อนที่จะได้รับมนต์ ความผิดอันมากซึ่งเกิดขึ้นเพราะละเมิดศีล ไม่ว่าจะน้อยหรือใหญ่ ก็สามารถถูกกำจัดได้พร้อมๆ กัน หลังจากที่พวกเขาเริ่มรักษามนต์แล้ว 6:138

    “แม้พวกเขาจะดื่มของมึนเมาหรือกินพืชที่มีรสฉุนทั้งห้าและของโสโครกต่างๆ ในอดีต พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ วัชระ เทพเจ้า อมตะ ภูตผี และภูติผีปีศาจก็ไม่ถือโกรธพวกเขา 6:139

    “ถ้าพวกเขาไม่สะอาดและสวมเสื้อผ้าเก่าขาดรุ่งริ่งเพื่อประกอบพิธีกรรมเดี่ยวและพักอาศัยคนเดียว พวกเขาก็บริสุทธิ์ได้เหมือนกัน แม้ไม่ตั้งแท่น ไม่เข้าพระโพธิมัณฑ์ ไม่ปฏิบัติธรรม แต่ท่องมนต์นี้ไว้ อานิสงส์ผลบุญจะเท่าที่ได้จากการเข้าแท่นบำเพ็ญธรรม 6:139

    “หากทำอกุศลธรรม ๕ ประการ มีอาบัติหนักมีโทษไม่ขาดสาย หรือเป็นภิกษุหรือภิกษุณีที่ล่วงละเมิดปาราชิก ๔ หรือปาราชิก ๘ ประการ กรรมหนักเช่นนี้จะสลายไปเมื่อท่องมนต์นี้แล้วเหมือนเม็ดทราย เนินทรายที่กระจัดกระจายในพายุจนไม่เหลือแม้แต่อนุภาค 6:140
    99922DB2-079E-4A65-A351-3E7CCBB3A83E.jpeg
    “ดูกรอานนท์ ถ้าสัตว์ผู้ไม่เคยกลับใจไม่แก้ไขอาบัติที่ขัดขวางไม่ว่าหนักหรือเบาที่เคยทำตลอดกัปที่ผ่านมานับไม่ถ้วน ตลอดชาตินี้ ยังอ่าน ท่อง คัดลอกได้ หรือเขียนมนต์นี้หรือสวมบนร่างกายหรือวางไว้ในบ้านหรือในสวนแล้วกรรมที่สั่งสมมาจะละลายหายไปเหมือนหิมะในน้ำร้อน ไม่นานนักพวกเขาจะได้รับการปลุกให้มีความอดทนต่อการไม่สร้างธรรม 6:143

    “อนึ่ง พระอานนท์ ถ้าสตรีที่ไม่มีบุตรและต้องการมีบุตร ท่องมนต์นี้ด้วยความจริงใจ หรือพกมนต์ Syi Dan Dwo Bwo Da La ไว้บนร่างกาย ก็สามารถให้กำเนิดบุตรชายหรือบุตรสาวที่ได้รับพร คุณธรรมและปัญญา 6:144

    “ผู้แสวงหาอายุยืนย่อมมีอายุยืนยาว ผู้ที่พยายามทำให้รางวัลของตนสมบูรณ์อย่างรวดเร็วจะได้รับความสมบูรณ์แบบอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับผู้ที่แสวงหาบางสิ่งเกี่ยวกับร่างกาย ชีวิต รูปร่างหน้าตา หรือความแข็งแกร่ง 6:145

    “เมื่อสิ้นอายุขัยจะได้ไปเกิดในทิศใดตามปรารถนา ย่อมไม่เกิดในถิ่นทุรกันดารหรือต่ำต้อย พวกเขาจะเกิดใหม่ในรูปแบบที่แปลกประหลาดแม้แต่น้อย 6:146

    “ดูก่อนอานนท์ ถ้าเกิดทุพภิกขภัยในชนบท จังหวัด หมู่บ้าน หรือมีกองทหาร กองโจร การรุกราน สงคราม หรือภัยคุกคามหรือภยันตรายอื่น ๆ ในท้องที่ พึงเขียนมนต์บทนี้และ วางไว้ที่ประตูเมืองทั้งสี่ หรือบนชัยฏะ หรือบนเทวาลัย แล้วสั่งให้ประชาชนทั้งประเทศเพ่งดูมนต์นั้น กราบไหว้ เคารพ และถวายเครื่องบูชาด้วยใจจดใจจ่อ ; เราสามารถสั่งให้ประชาชนทุกคนสวมมันบนร่างกายหรือวางไว้ในบ้านของพวกเขา แล้วหายนะและหายนะดังกล่าวก็จะมลายหายไปสิ้น 6:146
    34DCE44F-DF85-4734-83EB-8D2671CE6D46.jpeg
    “ดูก่อนอานนท์ ในแต่ละประเทศที่ผู้คนท่องคาถานี้ มังกรสวรรค์ก็ดีใจ ลมฝนต้องตามฤดูกาล พืชผลก็อุดมสมบูรณ์ ประชาชนก็ร่มเย็นเป็นสุข 6:148

    "นอกจากนี้ยังสามารถยับยั้งดาวร้ายทั้งหมดที่อาจปรากฏในทิศทางใดก็ได้และเปลี่ยนตัวเองไปในทางที่ลึกลับ ภัยพิบัติและอุปสรรคจะไม่เกิดขึ้น ผู้คนจะไม่ตายโดยไม่ได้ตั้งใจหรือโดยไม่คาดคิด และพวกเขาจะไม่ถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวน โซ่ตรวน หรือล็อก พวกเขาจะมีความสุขทั้งกลางวันและกลางคืน และไม่มีฝันร้ายมารบกวนการนอนหลับของพวกเขา 6:149

    “ดูกรอานนท์ สหภพนี้มีดาวร้ายแปดหมื่นสี่พันดวง ดาวร้ายใหญ่ 28 ดวงเป็นผู้นำ และในจำนวนนี้มีดาวร้ายใหญ่ 8 ดวงเป็นผู้ปกครอง พวกมันมีรูปทรงต่างๆ และเมื่อพวกมันปรากฏตัวขึ้นในโลก พวกมันจะนำหายนะและเหตุการณ์แปลกประหลาดมาสู่สิ่งมีชีวิต 6:150

    “แต่พวกเขาทั้งหมดจะถูกกำจัดให้หมดทุกที่ที่มีมนต์ เขตแดนจะปลอดภัยสำหรับสิบสอง yojanas รอบ ๆ และไม่มีภัยร้ายหรือโชคร้ายเข้ามา 6:152

    “เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงประกาศมนตร์นี้ว่า มนตร์ที่จะคุ้มครองคนในอนาคตที่เพิ่งเริ่มศึกษา ตลอดจนผู้เจริญทั้งหลาย ให้เข้าสมาธิ มีความสงบสุขทั้งกายและใจ . 6:152

    “ปีศาจ ภูติผี วิญญาณ หรือศัตรู ภัยพิบัติ หรือเคราะห์ร้ายอันเนื่องมาจากชาติปางก่อนซึ่งย้อนไปสู่เวลาอันไม่มีจุดเริ่มต้น หรือกรรมเก่าหรือหนี้ในอดีตจะมาก่อกวนและทำร้ายพวกเขาแม้แต่น้อย 6:153

    “ส่วนท่านและทุกคนในสภาที่ยังศึกษาอยู่ และนักพรตในอนาคตที่อาศัยฐานของข้าพเจ้า จงถือศีลตามธรรม รับศีลจากสังฆะผู้บริสุทธิ์ และถือมนต์บทนี้ - มีใจปราศจากความเคลือบแคลง บุรุษดี ๆ เช่นนี้ไม่พึงมีจิตหยั่งรู้ในกายอันเกิดจากบิดามารดาของตนได้ เมื่อนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสมุสาแล้ว! 6:154

    เมื่อจบคำอธิบายนี้แล้ว อัศวินผู้มีพลังวัชระจำนวนนับแสนนับไม่ถ้วนมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ประนมมือประนมมือ โค้งคำนับ และกล่าวว่า “ด้วยใจจริง เราจะคุ้มครองผู้ปลูกโพธิด้วยวิธีนี้ ตาม ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้” 6:155

    ลำดับนั้น ท้าวมหาพรหม ท้าวศากยะ และท้าวมหาพรหมทั้ง ๔ เสด็จเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าถวายบังคมแล้วกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “หากมีบุรุษผู้เจริญศึกษาอย่างนี้จริง เราจะทำทุก เราสามารถปกป้องพวกเขาอย่างจริงจังและทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่พวกเขาต้องการตลอดชีวิต” 6:155

    อนึ่ง ยักษ์ยักษ์ผู้ยิ่งใหญ่นับไม่ถ้วน กษัตริย์รักชา กษัตริย์ปุตตะ กษัตริย์กุมพันธะ กษัตริย์พิชาชะ วินยากะ ราชาผีผู้ยิ่งใหญ่ และแม่ทัพภูติผีทั้งหมด เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ประนมมือถวายบังคม “เรายังให้คำมั่นว่าจะปกป้องคนเหล่านี้และทำให้ปณิธานของพวกเขาที่มีต่อโพธิสมบูรณ์โดยเร็ว” 6:156

    อนึ่ง เทพแห่งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จำนวนนับไม่ถ้วน เจ้าแห่งฝน เจ้าแห่งเมฆ เจ้าแห่งฟ้าร้อง เจ้าแห่งฟ้าแลบซึ่งลาดตระเวนตลอดทั้งปี และบริวารของดวงดาวทั้งหมดซึ่งอยู่ในที่ชุมนุมก็โค้งคำนับที่ กราบพระบาทพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “เราจักคุ้มครองผู้เจริญทั้งหลาย ให้พระโพธิมัณฑ์อยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากความกลัว” 6:156

    ยิ่งกว่านั้น วิญญาณแห่งขุนเขา วิญญาณแห่งท้องทะเล และวิญญาณแห่งผืนดินจำนวนนับไม่ถ้วน - สิ่งมีชีวิตมากมายและแก่นแท้ของน้ำ ผืนดิน และอากาศ - เช่นเดียวกับราชาแห่งวิญญาณแห่งลมและเทพเจ้าแห่งสวรรค์ไร้รูปแบบ ต่อพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้วกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “เราจักคุ้มครองผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้จนกว่าจะบรรลุโพธิ และจักไม่ให้มารใดมาล่วงเกินได้” 6:157

    ครั้งนั้น พระวัชระคลัง-พระโพธิสัตว์ในชุมนุมใหญ่ซึ่งมีทรายจำนวนประมาณแปดหมื่นสี่พันโกฏิในแม่น้ำคงคา ลุกขึ้นจากที่นั่ง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของเราในการเจริญภาวนาเป็นอย่างนี้ แม้เราบรรลุโพธิมานานแล้ว ก็ไม่บรรลุถึงพระนิพพาน แต่คอยติดตามผู้ถือมนต์นี้เสมอ คอยคุ้มครองรักษาคนในยุคสุดท้ายที่เจริญสมาธิอย่างถูกต้อง . 6:158

    “พระผู้มีพระภาคเจ้า บุคคลเช่นนี้ ผู้เจริญจิตแสวงหาสมาธิโดยชอบ ไม่ว่าในโพธิมัณฑ์หรือเดินจงกรม และแม้ผู้มีจิตฟุ้งซ่าน เที่ยวเล่นอยู่ในหมู่บ้าน ก็จักได้ติดตามและคุ้มครองเราและ ผู้ติดตามของเรา 6:158

    ” แม้ว่าราชาปีศาจและเทพเจ้าแห่งการปลอบประโลมใจอันยิ่งใหญ่จะพยายามเข้ามาหาพวกเขา แต่พวกเขาจะไม่สามารถทำได้ ผีที่ตัวเล็กกว่าจะต้องอยู่ห่างจากคนดีเหล่านี้สิบโยชน์ ยกเว้นผีที่ตัดสินใจว่าต้องการปลูกฝังธยานะ 6:159

    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หากปีศาจร้ายหรือบริวารต้องการทำร้ายหรือรบกวนคนดีเหล่านี้ เราจะทุบหัวพวกมันให้แหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยวัชระสากของเรา เราจะช่วยคนเหล่านี้ให้บรรลุผลตามที่พวกเขาต้องการเสมอ” 6:160

    #รอแก้ไขคำผิด



    BAF63D83-93A0-4E7B-BBAF-E0697FB0B928.jpeg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2022
  3. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +24
    ACEFAF09-4E74-4AFD-BE3C-7659711DD13F.jpeg




    หากเรียน ปฎิสัมภิทา และบรรลุระดับสูง ในอนาคตกาล/ชาติ จะสามารถรอบรู้ทุกศาสตร์ ทุกคัมภีร์ ทุกลัทธิ ความเชื่อ โบราณคดี ไม่เว้นแม้แต่ที่ลับหรือสูญหายล่มสลายไปแล้ว ครอบจักรวาล แม้ในขอบข่าย 4 ทวีป ก็สามารถ

    นอกจากจะกลายเป็นพระไตรปิฏกวิเศษเคลื่อนที่แล้ว
    ยังอาจได้ร่วมสังคายนาพระไตรปิฏกในอนาคตกาล/ชาติ

    พระนิพพาน เป็นที่แน่นอน! อยู่แล้ว ไม่มีทางตกอบายภูมิและกำเนิดติรัจฉานอีกด้วย หากบรรลุตั้งแต่ระดับ ๑/๑๖ เพราะ ไม่ใช่ฐานะ หากแต่ลงไปโปรดสัตว์ ข้อนั้นพึงมีได้

    หากไม่บรรลุ ปฎิสัมภิทา ก็จะเป็นปัจจัยในการเข้าถึงคุณวิเศษอื่นที่ตนสั่งสมบุญบารมีมา ด้วยจักษุ ๕ และวิมุตติ อันเข้าถึงและ ปรากฎในกาล และทั้งชาตินี้และชาติต่อๆไปจะไม่มีทางหลงทางในการปฎิบัติและศึกษาธรรมอีกเป็นอันขาด เกิดใหม่กี่ครั้งก็ได้มรรค เพื่อการสำเร็จมรรคผลเป็นที่สุดจนถึงฝั่งพระนิพพาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2022
  4. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +24
    5DBE56EE-50BF-46F4-B3F1-A2FFBC931B33.jpeg

    อักษรในพระไตรปิฏกพระธรรมคำภีร์ธรรมแม่บททิพย์วิเศษบริสุทธิธรรม

    มีความอัศจรรย์ดังนี้ !

    #เมื่อ ปวารณา

    นักวิชาการภาษาศาสตร์ จงทำความเข้าใจ สามารถพิสูจน์ และวิเคราะห์ข้อนี้ ได้



    มี "พระมหาปกรณ์" อยู่ครับ แต่ ต้องพิจารณาขอบเขต ๒๕๐+ ๓๐๐=๙๐๐ โยชน์ มัชฌิมประเทศที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายมาจุติ และภาษาอื่นที่ทรงเสด็จไปทรงโปรดด้วย จึงจำเป็นต้องถ่ายทอดลงมาเป็นสุทธมาคธี-มาคธี พระมหาปกรณ์นั้น ถ้าเห็นสภาพการเปลี่ยนแปลงก็จะเข้าใจครับ

    และในกาลอื่นๆที่ทรงเสด็จไปโปรด ภาษาที่รักษาไว้ซึ่งพระพุทธวจนะก็ทรงถ่ายทอดลงมาเป็นภาษาอื่นๆเมื่อทรงเสด็จไปโปรดสัตว์ในโลกธาตุที่มีภาษาอื่นอีกด้วยครับ ถ้าเขากล่าวว่า" ไม่ใช่ภาษา" แล้วเขาไม่รู้จัก "ปฎิสัมภิทา มัคโค" วิศิษฐปาฐะ หรือการเปลี่ยนแปลงของพยัญชนะปฎิรูป คือการเปลี่ยนแปลงของภาษาธรรม ที่แม้แต่จะถามด้วยใจก็สามารถตอบด้วยวาจา ถามด้วยความรู้สึกเช่นนั้นเป็นภาษาใด

    ขอให้สหายบัณฑิตผู้เจริญของข้าพเจ้าพิจารณาดูให้ดีนะครับ สิ่งที่ผมกล่าวเป็นทั้ง ปริยัติ ปฎิบัติและปฎิเวธ ของ ผู้เสกขภูมิอยู่ ฉนั้นเมื่อเขาไม่รู้จักการเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่รู้จักปฎิสัมภิทาญาน หากเขาใช้คำพูดแบบนั้น เขากล่าวไม่ถูกต้องครับ และถ้าเขารู้จัก พระมหาปกรณ์อันละเอียด ที่มีอัตลักษณ์ ที่ไม่หยั่งลงสู่ความตรึกนี้ แต่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นภาษาที่เราท่านสามารถเข้าใจทั้ง รูป พยัญชนะ สำเนียง ของอรรถ ในทันที ที่แม้จะไม่เคยได้รู้ได้เรียนมาก่อนเลย โดยในนามปฎิสัมภิทา เขาถือทิฏฐินั้นได้


    ฉนั้นการที่จะเอา ภาษาบาลีหรือพยัญชนะเหล่าใดก็ตาม มาตรวจสอบกับแท่นพิมพ์ ถ้าแท่นพิมพ์หรือแม่แบบ นั้นแปลงสภาพให้ เป็น อักษรนั้นๆ ก็เห็นควรอยู่ ที่จะเป็นหรือเรียกว่า บาลี แต่ถ้าแม่แบบไม่เปลี่ยนให้ หรือเปลี่ยนเป็นภาษาอื่นๆ ท่านก็จะคิดจะรู้ทันทีว่า เห็นที่จะไม่ใช่ ภาษานี้โดยตรง เพราะฉนั้นการที่จะเอา ภาษาใดๆก็ตามมาตรวจสอบกับแท่นพิมพ์ว่า เป็นภาษาที่ตรงกันหรือไม่ ไม่ใช่ฐานะที่จะกระทำได้หรือระบุได้ตายตัว ผมจึงใช้คำว่า ไม่ใช่ พระพุทธวจนะตรงๆจาก พระสัทธรรม แต่เป็นภาษาที่ทรงโปรดนำมาแสดงไว้ ตามความเหมาะสมของเชื้อชาติประเทศราชและท้องถิ่นนั้นๆครับ ก็เพื่อจะให้ชนส่วนใหญ่ได้ล่วงรู้โดยง่าย


    ถ้านำลงมาแสดงไว้ด้วยภาษาอื่นๆก็จะต้องตีความแล้วตีความเล่า เพราะยิ่งด้วยผู้มีปฎิสัมภิทาแล้ว เห็นประโยคเดียว ออกเป็นร้อยนัยพันนัยเลยที่เดียวตามกระแสสกานิรุตติ และเพ่งจิตด้วยวิมุตติญานทัสสนะตามธรรมที่เสวยวิมุตติสุขนั้นๆ ภาษาใจ ภาษาธรรมชาติ ที่เป็น "สัจธรรมมหาปกรณ์" ผมไม่สามารถจะทำให้ท่านได้รู้เห็นได้ ท่านต้องเห็นเอง


    ขอให้เจริญในปฎิสัมภิทาเถิดครับ ด้วยสติปัญญาของบัณฑิต ผู้สั่งสมสุตตะอย่างท่านทั้งหลาย โดยเฉพาะท่านที่ได้อ่านในตอนนี้เมื่อใดที่ท่านได้เข้าสู่ทิพย์ภูมิของพระอริยะ ในปฎิสัมภิทา ท่านจะทราบเลยว่า ขนาดที่มีธรรมละเอียดที่จะทรงสามารถแสดงได้ขนาดนี้เพื่อให้สัตว์โลกได้เข้าใจถึงสภาวะธรรม แต่กลมลสันดานของสัตว์โลกที่ไม่ได้สั่งสมสุตตะมาก่อนไม่เหมาะที่จะตรัสรู้และเข้าใจธรรมอันประเสริฐนี้


    จนทรงท้อพระทัยที่จะทรงตรัสสอน จึงแสดงเพื่อเป็นพลวปัจจัยเป็นอันมาก จึงทรงกล่าวธรรมแม้บทเดียวโดยที่เขาเข้าใจก็เป็นสุขแก่สัมปราภพของสัตว์นั้นอย่างยาวนานจวบจนพระนิพพาน และโดยเฉพาะฐานะที่ท่านทำอยู่ในการปกป้องรักษาพระไตรปิฏกด้วยความบริสุทธิ์ใจเหล่าใดก็ตามในกาลนี้ก็ตามกาลอดีตที่แล้วมาจนถึงกาลอนาคตก็ตาม พวกท่านทั้งหลายเหล่านั้นฯ ย่อมได้บรรลุสู่ ปฎิสัมภิทาญาน อย่างแน่นอนครับ

    พระอรหันต์๔หมวด มีคุณความสามารถที่แตกต่างกันตามบทบาทและหน้าที่ วันนั้นเมื่อท่านได้เห็น พระมหาปกรณ์ จาก พระสัทธรรม พระธรรมราชา แล้ว ท่านจะเข้าใจ อรรถพยัญชนะที่ข้าพเจ้าแสดงไว้แล้วนี้ สาธุธรรมครับ

    #เหล่า ปฎิสัมภิทา เจาะทะลุทะลวง ทุกศาสตร์และทุกคัมภีร์ในลัทธิความเชื่อต่างๆ ประดุจ เป็นผู้บันทึก บัญญัติ เขียนขึ้นมาเองกับมือ ด้วยจินตนาการที่มากกว่าเจตนารมณ์ของผู้สร้างความเชื่อนั้นๆ /ทิฏฐิ 62 พิชัยสงครามของพระพุทธศาสนา

    สามารถใช้ ฤทธิ์ใดๆจากศาสตร์ที่ศึกษามาในความเชื่อลัทธิอื่นๆได้ด้วยดีที่สุด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2022
  5. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +24


    ยังมี คุรุมาร อื่นๆ ที่ครอบงำได้แทบทุกภพภูมิ นอกจาก กูรูทั้ง 6 อันมี ปูรณกัสสปะ มักขลิโคสาล อชิตเกสกัมพล ปกุธกัจจายนะสัญชัยเวลัฏฐบุตร และนิครนถนาฏบุตร แม้บุคคลเหล่านี้ ก็ถูกครอบงำ โดย คุรุมาร


    [ ดวงตาแห่งมาร ] < ดวงตาเห็นมาร >
    |ดวงตาเห็นอสัทธรรม|หรือ ที่เรียกกันโดยรวมว่า” อวิชชา”
    58223125-FDEB-4E2F-BEE8-BA2FCF5812CE.jpeg



    E3C141DD-148C-4C4D-A7FB-DE53E72021FC.jpeg

    เมื่อท่านทั้งหลายฯ ได้ทราบว่า ปฎิสัมภิทา นั้นมีอยู่จริง

    สิ่งที่ตรงกันข้ามกับ เหล่า ปฎิสัมภิทา ก็คือ เหล่าสาวกที่ศึกษา ปิฏกมาร หรือ อหังการวิเศษมาร

    ท่านก็จะตั้งใจ เรียนศึกษา อย่างมีความระมัดระวัง อย่างรู้คุณค่าและเคารพรักแก่ ปฎิสัมภิทามรรค นั้นอย่างสนิทใจ
    เพราะ ปฎิสัมภิทามรรค เป็น บ่อเกิดแห่งคุณวิเศษทุกๆประการ ไม่มี ปฎิสัมภิทา ก็ไม่มีพระไตรปิฏก


    เชื่อกันมาว่า พระอุปคุตมีอิทธิฤทธิ์ปราบท้าววสวัตตี มีเรื่องเล่ามาว่าประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 2 หลังพุทธปรินิพพาน ณ นครปาตลีบุตราชธานี (ปัจจุบันคือเมืองปัฏนาภาคใต้ของประเทศอินเดีย) พระเจ้าอโศกมหาราช ผู้ครองราชสมบัติในขณะนั้น ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ได้ฉลองสมโภชพระสถูปเจดีย์ทั้งหมดที่พระองค์สร้างอย่างยิ่งใหญ่ ตลอด 7 ปี 7 เดือน 7 วัน แต่ถูกพญามารมาผจญ ท่านจึงนิมนต์พระอุปคุตไปปราบพญามารจนยอมแพ้
    6CA27774-B6C9-49B6-B026-3BB97FDACACF.jpeg

    ถ้าสามารถบรรลุ ก็สามารถสยบมารได้ เพราะมีฤทธานุภาพเหนือกว่า เหล่าปฎิสัมภิทา ในพระพุทธศาสนา มีเพื่อปกป้อง สหโลกธาตุทั้งหลายฯ ทั้งนอกและใน ๔ ทวีป


    ปิฏกมารคืออะไร?มีคำสอนอย่างไร?
    5AB1ED5B-525B-498B-8B42-238ABCD06EFD.jpeg
    644A71A8-AC0B-4E27-8C34-AAA2428F5B60.jpeg

    บางพวกเนรมิตโลก/

    แต่ถ้าเกิดมาพบพระพุทธศาสนา แต่กระทำล่วงเกินพระพุทธศาสนา ก็จะต้องมาอยู่มารับโทษในมายาคติในทางพระพุทธศาสนา

    ทำผิดกับใคร ก็ขึ้นศาล ประเทศนั้นๆ เป็นปัจจัย จนกว่าจะล้างใจได้สะอาดจนเกิดปัญญาบารมี เกิดเป็น บุคคลไม่สมประกอบบ้าง เกิดเป็นสัตว์ให้เขาฆ่าเพื่อเป็นอาหารมาถวายบิณฑบาตบ้าง

    โดยเฉพาะพวกที่สำคัญว่าโลกเที่ยง ทุกๆสิ่งทุกอย่าง เป็นไปตามอำนาจความพึงพอใจของตน

    พระพุทธศาสนาเป็นที่สุดใน 4 ทวีป ตลอดจนอนันตริยะจักรวาล ไม่ใช่อยู่ภายใต้ความเชื่อของศาสตร์และคัมภีร์ใคร


    (แม่บท มรรค ๘ ปฎิสัมภิทา)

    ผู้มีปัญญาบารมีธรรม มีวาสนาต่อปฎิสัมภิทา ย่อมรู้ดีโดยเฉพาะว่า ปฎิสัมภิทา ย่อมปรากฎก่อน นวังคสัตถุศาสตร์
    จึงเริ่มศึกษาพื้นฐานอันเป็น สัจฉิกัฐปรมัตธรรมอันแรกเริ่มก่อน

    https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=31&siri=75
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2022
  6. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +24
    FDCE8E63-D7D1-4151-8274-B783E4D3FC5D.jpeg


    A6976DB4-BB83-4035-B5A6-61584D7653D5.jpeg


    {0}พระตถาคตเจ้าทั้งหลายเมื่อจะทรงตรวจดูความที่สัตว์ทั้งหลายเป็น*ผู้มีภาชนะเป็นเครื่องรองรับพระธรรมเทศนา* ก็ย่อมตรวจดูด้วยพุทธจักษุ. อินทริยปโรปริยัตตญาณและอาสยานุสยญาณทั้ง ๒ นี้เท่านั้น ชื่อว่าพุทธจักษุ{0}

    02DF0A17-7DAC-4760-B0A8-8A01B2E2B987.gif


    59EB0633-64F6-4301-8012-D69D20B3832D.jpeg
    (แม่บทแห่งธรรมทั้งปวง ปฎิสัมภิทามรรค)

    ผู้มีปัญญาบารมีธรรม มีวาสนาต่อปฎิสัมภิทา ย่อมรู้ดีโดยเฉพาะว่า ปฎิสัมภิทา ย่อมปรากฎก่อน นวังคสัตถุศาสตร์ จึงเริ่มศึกษาพื้นฐานอันเป็น สัจฉิกัฐปรมัตธรรมอันแรกเริ่มก่อน

    0DAA84C4-813C-4947-A76D-22A0029C6E4E.jpeg


    E1793461-0A63-4BB9-8F00-794AF2528264.jpeg

    #ธรรมบุตร ผู้ตามหาภาชนะรองรับ “ปฎิสัมภิทา” ยุคกึ่งพุทธกาล /อดีตพระราชปาลผู้หลงผิดด้วยความรักใคร่สงสารในเบญจกัลยาณี มากกว่าการปฎิบัติธรรม

    /ก่อนมีพุทธบัญญัติ เรื่องให้ภิกษุต้องกล่าวคำบอกคืนสิกขามานา “เมล็ดพันธ์ที่ถูกกลืนกินและถูกปลดปล่อยไปตามยถากรรม! ผู้ตกเป็นทาสมาร ๕”


    (มะนาวเหลือแต่น้ำไม่มีเนื้อ)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ธันวาคม 2022
  7. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +24
    04942417-369B-4907-803B-32EDDA3B7E48.jpeg

    0F06D254-E980-4D84-9131-9E7CD777FB23.jpeg



    คันธารชาดก

    พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภเภสัชชสันนิธิการสิกขาบท สิกขาบทว่าด้วยการทำการสะสมเภสัช แล้วจึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า หิตฺวา คามสหสฺสานิ ดังนี้.
    ก็เรื่องเกิดขึ้นแล้วที่กรุงราชคฤห์.
    ความพิสดารว่า เมื่อท่านปิลินทวัจฉะไปพระราชวังเพื่อปล่อยคนตระกูลผู้รักษาอาราม แล้วสร้างปราสาททองถวายพระราชาด้วยกำลังฤทธิ์ คนทั้งหลายเลื่อมใสพากันส่งเภสัชทั้ง ๕ ไปถวายพระเถระ. ท่านแจกจ่ายเภสัชเหล่านั้นแด่บริษัท แต่บริษัทของท่านมีมาก พวกเขาเก็บของที่ได้ๆ มาไว้เต็มกระถางบ้าง หม้อบ้าง ถลกบาตรบ้าง.
    คนทั้งหลายเห็นเข้าพากันยกโทษว่า สมณะเหล่านี้มักมาก เป็นผู้รักษาคลังภายใน.
    พระศาสดาทรงสดับความเป็นไปนั้นแล้ว จึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ก็แลเภสัชที่เป็นของควรลิ้มของภิกษุผู้เป็นไข้เหล่านั้นใดดังนี้เป็นต้น ตรัสว่า
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิตสมัยก่อน เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติ บวชเป็นนักบวชในลัทธิภายนอก แม้รักษาเพียงศีล ๕ ก็ไม่เก็บก้อนเกลือไว้ เพื่อประโยชน์ในวันรุ่งขึ้น
    ส่วนเธอทั้งหลายบวชในศาสนาที่นำออกจากทุกข์เห็นปานนี้ เมื่อพากันทำการสะสมอาหารไว้ เพื่อประโยชน์แก่วันที่ ๒ วันที่ ๓ ชื่อว่าทำสิ่งที่ไม่สมควร แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
    ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์ทรงเป็นโอรสของพระเจ้าคันธาระในคันธารรัฐ เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ โดยพระราชบิดาทิวงคตแล้ว ทรงครองราชย์โดยธรรม. แม้ในมัชฌิมประเทศ พระเจ้าวิเทหะก็ทรงครองราชย์ในวิเทหรัฐ. พระราชาทั้ง ๒ พระองค์นั้นทรงเป็นพระสหายที่ไม่เคยเห็นกัน แต่ก็ทรงมีความคุ้นเคยกันอย่างมั่นคง.
    คนสมัยนั้นมีอายุยืนดำรงชีวิตอยู่ได้ถึง ๓ แสนปี. ดังนั้นในวันอุโบสถกลางเดือน พระเจ้าคันธาระก็ทรงสมาทานศีลเป็นครั้งคราว แล้วเสด็จไปประทับบนพระบวรบัลลังก์ภายในชั้นที่โอ่โถง ทรงตรวจดูโลกธาตุด้านทิศตะวันออกทางสีหปัญชรที่เปิดไว้ ตรัสถ้อยคำที่ประกอบด้วยธรรมแก่เหล่าอำมาตย์
    ขณะนั้น พระราหูได้บดบังดวงจันทร์เต็มดวง เหมือนกระโดดโลดเต้นไปในท้องฟ้า แสงจันทร์อันตรธานหายไป. อำมาตย์ทั้งหลายไม่เห็นแสงพระจันทร์ จึงทูลพระราชาถึงภาวะที่ดวงจันทร์ถูกราหูยึดไว้
    พระราชาทรงทอดพระเนตรพระจันทร์ ทรงพระดำริว่า พระจันทร์นี้เศร้าหมองอับแสงไปเพราะสิ่งเศร้าหมองที่จรมา. แม้ข้าราชบริพารนี้ก็เป็นเครื่องเศร้าหมองสำหรับเราเหมือนกัน แต่การที่เราจะเป็นผู้หมดสง่าราศีเหมือนดวงจันทร์ที่ถูกราหูยึดไว้นั้น ไม่สมควรแก่เราเลย.
    เราจักละราชสมบัติออกบวช เหมือนดวงพระจันทร์สัญจรไปในท้องฟ้าที่บริสุทธิ์ฉะนั้น จะมีประโยชน์อะไรด้วยผู้อื่นที่เราตักเตือนแล้ว เราจักเป็นเสมือนผู้ไม่ข้องอยู่ด้วยตระกูลและหมู่คณะ ตักเตือนตัวเองเท่านั้นเที่ยวไป นี้เป็นสิ่งที่เหมาะสำหรับเรา แล้วทรงมอบราชสมบัติให้แก่เหล่าอำมาตย์ด้วยพระดำรัสว่า
    ท่านทั้งหลายจงพากันแต่งตั้งผู้ที่ท่านทั้งหลายต้องประสงค์ให้เป็นพระราชาเถิด.
    พระราชาในคันธารรัฐนั้นทรงสละราชสมบัติ เสด็จออกทรงผนวชเป็นฤๅษี ยังฌานและอภิญญาให้เกิดขึ้นแล้ว ทรงเอิบอิ่มด้วยความยินดีในฌาน สำเร็จการอยู่ในท้องถิ่นดินแดนหิมพานต์.
    ฝ่ายพระเจ้าวิเทหะตรัสถามพวกพ่อค้าทั้งหลายว่า พระราชาพระสหายของเราสบายดีหรือ?
    ทรงทราบว่า พระองค์เสด็จออกทรงผนวชแล้ว ทรงดำริว่า เมื่อสหายของเราทรงผนวชแล้ว เราจักทำอย่างไรกับราชสมบัติ แล้วจึงทรงสละราชสมบัติในมิถิลนครกว้างยาว ๗ โยชน์ คลังที่เต็มเพียบอยู่ในหมู่บ้าน ๑๖,๐๐๐ หมู่บ้าน ในวิเทหรัฐประมาณ ๓๐๐ โยชน์และหญิงฟ้อน ๑๖,๐๐๐ นาง ไม่ทรงคำนึงถึงพระราชโอรสและพระราชธิดา เสด็จสู่ท้องถิ่นดินแดนหิมพานต์ทรงผนวชแล้ว เสวยผลไม้ตามที่มี ประทับอยู่ไม่เป็นประจำเที่ยวสัญจรไป.
    ทั้ง ๒ ท่านนั้นประพฤติพรตและอาจาระสม่ำเสมอ ภายหลังได้มาพบกันแต่ก็ไม่รู้จักกัน ชื่นชมกันประพฤติพรตและอาจาระสม่ำเสมอกัน.
    ครั้งนั้น วิเทหดาบสทำการอุปัฏฐากท่านคันธารดาบส ในวันเพ็ญวันหนึ่ง เมื่อท่านทั้งสองนั้นนั่งกล่าวกถาที่ประกอบด้วยธรรมกัน ณ ควงไม้ต้นใดต้นหนึ่ง พระราหูบดบังดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่ท้องฟ้า.
    ท่านวิเทหดาบสคิดว่า แสงพระจันทร์หายไป เพราะอะไรหนอ จึงมองดูเห็นพระจันทร์ถูกราหูยึดไว้ จึงเรียนถามว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ อะไรหนอนั่น ได้บดบังพระจันทร์ทำให้หมดรัศมี.
    ท่านคันธารดาบสตอบว่า ดูก่อนอันเตวาสิก นี้ชื่อว่าราหูเป็นเครื่องเศร้าหมองอย่างหนึ่งของพระจันทร์ ไม่ให้พระจันทร์ส่องแสงสว่าง แม้เราเห็นดวงจันทร์ถูกราหูบังแล้ว คิดว่า ดวงจันทร์ที่บริสุทธิ์นี้ ก็กลายเป็นหมดแสงไป เพราะเครื่องเศร้าหมองที่จรมา
    ราชสมบัตินี้ก็เป็นเครื่องเศร้าหมองแม้สำหรับเรา เราจักบวชอยู่จนกระทั่งราชสมบัติจะไม่ทำให้เราอับแสง เหมือนราหูบังดวงจันทร์ แล้วทำดวงจันทร์ที่ถูกราหูบังนั่นเองให้เป็นอารมณ์ ทอดทิ้งราชสมบัติใหญ่หลวงบวชแล้ว.
    วิเทหดาบสถามว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ ท่านเป็นพระเจ้าคันธาระหรือ?
    คันธารดาบส ถูกแล้ว ผมเป็นพระเจ้าคันธาระ.
    วิ. ข้าแต่ท่านอาจารย์ กระผมเองก็ชื่อว่าพระเจ้าวิเทหะ ในมิถิลนครในวิเทหรัฐ พวกเราเป็นสหายที่ยังไม่เคยเห็นกันมิใช่หรือ?
    คัน. ก็ท่านมีอะไรเป็นอารมณ์ จึงออกบวช?
    วิ. กระผมได้ทราบว่าท่านบวชแล้ว คิดว่า ท่านคงได้เห็นคุณมหันต์ของการบวชแน่นอน จึงทำท่านนั่นแหละให้เป็นอารมณ์ แล้วสละราชสมบัติออกบวช.
    ตั้งแต่นั้นมา ดาบสทั้ง ๒ นั้นสมัครสมานกันชื่นชมกันเหลือเกิน เป็นผู้มีผลไม้เท่าที่หาได้เป็นโภชนาหาร ท่องเที่ยวไป. ก็แหละทั้ง ๒ ท่านอยู่ด้วยกัน ณ ที่นั้นมาเป็นเวลานาน จึงพากันลงมาจากป่าหิมพานต์ เพื่อต้องการลิ้มรสเค็มรสเปรี้ยว ลุถึงชายแดนตำบลหนึ่ง. คนทั้งหลายเลื่อมใสในอิริยาบถของท่าน ถวายภิกษารับปฏิญญาแล้ว พากันสร้างที่พักกลางคืนเป็นต้นให้ท่านอยู่ในป่า แม้ในระหว่างทางก็พากันสร้างบรรณศาลาไว้ในที่ๆ มีน้ำสะดวกเพื่อต้องการให้ท่านทำภัตกิจ ท่านพากันเที่ยวภิกขาจารที่บ้านชายแดนนั้นแล้ว นั่งฉันที่บรรณศาลาหลังนั้นแล้ว จึงไปที่อยู่ของตน.
    คนแม้เหล่านั้นเมื่อถวายอาหารท่าน บางครั้งก็ถวายเกลือใส่ลงในบาตร บางคราวก็ห่อใบตองถวาย บางคราวก็ถวายอาหารที่มีรสไม่เค็มเลย.
    วันหนึ่ง พวกเขาได้ถวายเกลือจำนวนมากในห่อใบตองแก่ท่านเหล่านั้น.
    วิเทหดาบสถือเอาเกลือไปด้วย เวลาภัตกิจของพระโพธิสัตว์ก็ถวายจนพอ ฝ่ายตนเองก็หยิบเอาประมาณพอควร ที่เกินต้องการก็ห่อใบตองแล้วเก็บไว้ที่ต้นหญ้า ด้วยคิดว่า จักใช้ในวันที่ไม่มีเกลือ.
    อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อได้อาหารจืด ท่านวิเทหดาบสถวายภาชนะภิกษาแก่ท่านคันธาระแล้ว นำเกลือออกมาจากระหว่างต้นหญ้าแล้วกล่าวว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ นิมนต์ท่านรับเกลือ.
    คันธารดาบสถามว่า วันนี้คนทั้งหลายไม่ได้ถวายเกลือ ท่านได้มาจากไหน?
    วิ. ข้าแต่ท่านอาจารย์ ในวันก่อนคนทั้งหลายได้ถวายเกลือมาก กระผมจึงเก็บเกลือที่เกินความต้องการไว้ด้วยตั้งใจว่า จักใช้ในวันที่อาหารมีรสจืด.
    พระโพธิสัตว์จึงต่อว่าวิเทหดาบสว่า โมฆบุรุษเอ๋ย ท่านละทิ้งวิเทหรัฐประมาณ ๓ ร้อยโยชน์มาแล้ว ถึงความไม่มีกังวลอะไร บัดนี้ยังเกิดความทะยานอยากในก้อนเกลืออีกหรือ
    เมื่อจะตักเตือน ท่านจึงได้กล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-เพราะว่า ในโลกนี้ :-
    ความเป็นพหูสูต ๑ วินัยที่ศึกษาดีแล้ว ๑ วาจาที่เป็นสุภาษิต ๑ สามอย่างนี้เป็นมงคลอันสูงสุด ดังนี้.

    วิเทหดาบสได้ฟังคำนั้นแล้ว ไหว้ขอขมาพระมหาสัตว์ว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอท่านจงตักเตือน จงพร่ำสอนเราเถิด เรากล่าวกะท่าน เพราะความเป็นผู้ไม่มีความยับยั้งใจโดยกำเนิด ขอท่านจงให้อภัยแก่เราเถิด.
    ท่านทั้งสองนั้นอยู่สมัครสมานกันแล้ว ได้พากันไปป่าหิมพานต์อีกนั่นแหละ ณ ที่นั้น พระโพธิสัตว์ได้บอกกสิณบริกรรมแก่วิเทหดาบส ท่านสดับแล้วยังอภิญญาและสมาบัติให้เกิดขึ้น ทั้งสองท่านนั้นเป็นผู้มีฌานไม่เสื่อมแล้ว ได้เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.

    พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกไว้ว่า
    วิเทหราชาในครั้งนั้น ได้แก่ พระอานนท์ ในบัดนี้
    ส่วนคันธารราชา ได้แก่ เราตถาคต ฉะนี้แล.


    #เมื่อไหร่จะปรากฎ ผู้มีวาสนา ผู้เป็นพยานในพระธรรมอันเที่ยงแท้ อันสมฐานะธรรมแห่งทิพยภูมิของพระอริยะเจ้า
    อยากให้ปรากฎสักบุคคลจริงๆ ในเร็ววัน บุคคลผู้ถึงบทธรรม ผู้บรรลุปฎิสัมภิทา ๑/๑๖ เป็นผู้แสดงบทธรรมอันเข้าถึงแล้วซึ่งองค์พระสัทธรรม บุคคลผู้นั้น จักแสดงธรรมนั้น อย่างละเอียดและเป็นที่อัศจรรย์ในกาลด้วยบุญญาบารมีธรรมที่สั่งสมมา

    เราปรารถนาจะเฝ้าฟังธรรมทั้งหลายฯเหล่านั้นด้วยความเคารพ

    5802E10F-4300-43DF-9818-4A47ECEB5F4D.jpeg


    ปฏิสัมภิทามรรค

    " ผู้ที่มีจิตไม่มั่นคง ไม่ทราบพระสัทธรรม
    มีความเลื่อมใสรวนเร ย่อมมีปัญญาบริบูรณ์
    ไม่ได้"


    http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31.0&i=0&p=1
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2022
  8. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +24


    (อธิษฐานต่อหน้าพระพุทธเจ้านับพันครั้ง)

    Qīng dēng shēnyè jìmò yǔ wǒ wèi bàn
    fēnghuāxuěyuè shuí ràng rén guàqiān
    fúhuá bǎinián bùguò shì yī zhuàn yǎn
    céngjīng yī xiāng jiàn cǐ xīn yǒu guàniàn

    jìnghuāshuǐyuè dào tóu zhǐshì mènghuàn
    wēnróu tǐtiē zǒng ràng rén liúliàn hóngchén fùguì bùguò shì
    tánzhǐ jiān
    qiánshì duō xiāng qiàn zhùdìng jīnshēng yuán

    wǒ zài fú qián wèi nǐ qíqiú qiān wàn biàn
    yuàn yòng sān shēng yānhuǒ huàn yīshì chánmián
    shízhǐ jǐn kòu jiāng hǎo mèng liúlián
    kàn chūnfēng qīng qīng liāo qǐ nǐ fā jiān

    wǒ zài fú qián wèi nǐ qíqiú qiān wàn biàn yuàn yòng jǐn sè niánhuá xiě chīqíng bù qiān
    xīn rú huālián jié yīgè jùdiǎn
    ràng zhè fèn niàn bǎ yúshēng dōu tián mǎn

    jìnghuāshuǐyuè dào tóu zhǐshì mènghuàn
    wēnróu tǐ tiē zǒng ràng rén liúliàn hóngchén fùguì bùguò shì tánzhǐ jiān
    qiánshì duō xiāng qiàn zhùdìng jīnshēng yuán

    wǒ zài fú qián wèi nǐ qíqiú qiān wàn biàn
    yuàn yòng sān shēng yānhuǒ huàn yīshì chánmián
    shízhǐ jǐn kòu jiāng hǎo mèng liúlián
    kàn chūnfēng qīng qīng liāo qǐ nǐ fā jiān

    wǒ zài fú qián wèi nǐ qíqiú qiān wàn biàn
    yuàn yòng jǐn sè niánhuá xiě chīqíng bù qiān
    xīn rú huālián jié yīgè jùdiǎn
    ràng zhè fèn niàn bǎ yúshēng dōu tián mǎn

    wǒ zài fú qián wèi nǐ qíqiú qiān wàn biàn
    yuàn yòng sān shēng yānhuǒ huàn yīshì chánmián
    shízhǐ jǐn kòu jiāng hǎo mèng liúlián
    kàn chūnfēng qīng qīng liāo qǐ nǐ fā jiān

    wǒ zài fú qián wèi nǐ qíqiú qiān wàn biàn
    yuàn yòng jǐn sè niánhuá xiě chīqíng bù qiān
    xīn rú huālián jié yīgè jùdiǎn ràng zhè fèn niàn bǎ yúshēng dōu tián mǎn

    {ฟอกใจ}
    อนุปุพพิกถา 5 (เรื่องที่กล่าวถึงตามลำดับ, ธรรมเทศนาที่แสดงเนื้อความลุ่มลึกลงไปโดยลำดับ เพื่อขัดเกลาอัธยาศัยของผู้ฟังให้ประณีตขึ้นไปเป็นชั้นๆ จนพร้อมที่จะทำความเข้าใจในธรรมส่วนปรมัตถ์ — progressive sermon; graduated sermon; subjects for gradual instruction)
    1. ทานกถา (เรื่องทาน, กล่าวถึงการให้ การเสียสละเผื่อแผ่แบ่งปัน ช่วยเหลือกัน — talk on giving, liberality or charity)
    2. สีลกถา (เรื่องศีล, กล่าวถึงความประพฤติที่ถูกต้องดีงาม — talk on morality or righteousness)
    3. สัคคกถา (เรื่องสวรรค์, กล่าวถึงความสุขความเจริญ และผลที่น่าปรารถนาอันเป็นส่วนดีของกาม ที่จะพึงเข้าถึง เมื่อได้ประพฤติดีงามตามหลักธรรมสองข้อต้น — talk on heavenly pleasures)
    4. กามาทีนวกถา (เรื่องโทษแห่งกาม, กล่าวถึงส่วนเสีย ข้อบกพร่องของกาม พร้อมทั้งผลร้ายที่สืบเนื่องมาแต่กาม อันไม่ควรหลงใหลหมกมุ่นมัวเมา จนถึงรู้จักที่จะหน่ายถอนตนออกได้ — talk on the disadvantages of sensual pleasures)
    5. เนกขัมมานิสังสกถา (เรื่องอานิสงส์แห่งความออกจากกาม, กล่าวถึงผลดีของการไม่หมกมุ่นเพลิดเพลินติดอยู่ในกาม และให้มีฉันทะที่จะแสวงความดีงามและความสุขอันสงบที่ประณีตยิ่งขึ้นไปกว่านั้น — talk on the benefits of renouncing sensual pleasures)

    ตามปกติ พระพุทธเจ้าเมื่อจะทรงแสดงพระธรรมเทศนาแก่คฤหัสถ์ ผู้มีอุปนิสัยสามารถที่จะบรรลุธรรมพิเศษ ทรงแสดงอนุปุพพิกถานี้ก่อน แล้วจึงตรัสแสดงอริยสัจจ์ 4 เป็นการทำจิตให้พร้อมที่จะรับ ดุจผ้าที่ซักฟอกสะอาดแล้ว ควรรับน้ำย้อมต่างๆ ได้ด้วยดี

    D794CD19-1871-41CC-B9FB-2259A9555568.jpeg
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนเดือยข้าวสาลีหรือเดือยข้าวยวะที่บุคคลตั้งไว้ผิด มือหรือเท้าย่ำเหยียบแล้ว จักทำลายมือหรือเท้า หรือว่าจักให้ห้อเลือด ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเดือยอันบุคคลตั้งไว้ผิด ฉันใด ภิกษุนั้น ก็ฉันนั้นเหมือนกัน จักทำลายอวิชชา จักยังวิชชาให้เกิด จักทำนิพพานให้แจ้ง ด้วยจิตที่ตั้งไว้ผิด ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะจิตตั้งไว้ผิด ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนเดือยข้าวสาลีหรือเดือยข้าวยวะที่บุคคลตั้งไว้ถูก มือหรือเท้าย่ำเหยียบแล้ว จักทำลายมือหรือเท้า หรือจักให้ห้อเลือด ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเดือยอันบุคคลตั้งไว้ถูกฉันใด ภิกษุนั้น ก็ฉันนั้นเหมือนกัน จักทำลายอวิชชา จักยังวิชชาให้เกิดจักทำนิพพานให้แจ้ง ด้วยจิตที่ตั้งไว้ถูก ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะจิตตั้งไว้ถูก ฯ


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง แต่ว่าจิตนั้นแล เศร้าหมองแล้วด้วยอุปกิเลสที่จรมา ปุถุชนผู้มิได้สดับ ย่อมจะไม่ทราบจิตนั้นตามความเป็นจริงฉะนั้น เราจึงกล่าวว่า ปุถุชนผู้มิได้สดับ ย่อมไม่มีการอบรมจิต ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง และจิตนั้นแล พ้นวิเศษแล้วจากอุปกิเลสที่จรมา พระอริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ย่อมทราบจิตนั้นตามความเป็นจริง ฉะนั้น เราจึงกล่าวว่า พระอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมมีการอบรมจิต ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุซ่องเสพเมตตาจิต แม้ชั่วการเพียงลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น ภิกษุนี้เรากล่าวว่า อยู่ไม่เหินห่างจากฌาน ทำตามคำสอนของพระศาสดา ปฏิบัติตามโอวาท ไม่ฉันบิณฑบาตของชาวแว่นแคว้นเปล่า ก็จะกล่าวไยถึงผู้ทำเมตตาจิตนั้นให้มากเล่า ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุเจริญเมตตาจิต แม้ชั่วกาลเพียงลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น ภิกษุนี้เรากล่าวว่า อยู่ไม่เหินห่างจากฌาน ทำตามคำสอนของพระศาสดา ปฏิบัติตามโอวาท ไม่ฉันบิณฑบาตของชาวแว่นแคว้นเปล่า ก็จะกล่าวไยถึงผู้ทำเมตตาจิตนั้นให้มากเล่า ฯ



    {เตือนใจ}
    เสวยสุขจนมัวเมา พอใจกับสิ่งที่ได้มา
    จนหลงลืมไปว่า อะไรควรไม่ควรแก่กาล
    อ้างวันเวลาจะผันผ่าน อีกไม่นานชีวาจะร่วงหล่น
    เลยยอมปล่อยมณฑล แปดเปื้อนชั่วโลกีย์

    ฐานะที่ควรทำ ไม่สร้างสรรค์ยังหลบหนี
    อ้างความชั่วและความดี จะหมดสิ้นความจีรัง
    กรรมใครกรรมมันที่ว่าแน่ แล้วยังเผยแผ่ความสิ้นคิดหมดความหวัง
    แล้วเวไนยใครจะช่วยเขาได้กัน เลยปล่อยผ่านข้างหลังไปไร้หนทาง

    ทอดทิ้งภาระทั้งหน้าที่ ที่เป็นอยู่ก็มืดบอดทุกสถาน
    สมมุติเป็นอยู่คือไม่ทันกาล ไม่อาจหวังพึ่งพาแค่ปลอบใจ
    ไม่รู้เรื่องราวใดยังกล่าวสอน สรรพสัตว์ต้องหลงผิดเป็นไฉน
    เอาแค่คิดจะอยู่อย่างร่ำไร จะหวังให้ผู้ใดไร้อัตตา

    กล่าวสอนธรรมออกมา ช่างมั่วซั่ว
    คนหูหนวกตามัวทุกสถาน
    หวังจะได้โอสถแก้วทิพยวิมาน
    พระนิพพานอย่าหวังว่าจะได้ไป

    ธรรมที่กล่าวลอกมาขายปริยัติ
    ไม่ปฎิบัติถึงทิพย์ภูมิถิ่นอาศัย
    สากัจฉสูตรก็ไม่มีบ่นเรื่อยไป
    จะหวังให้ยังปัจจัยส่งนิพพาน

    ธรรมจักรหมุนกลับอย่างรัวรัว
    เพี้ยนมักชั่วไม่รู้ดีซึ่งมิจฉา
    สมาธิที่เพ่งสอนปนอัตตา
    ทำเหมือนว่าเก่งกล้าช่างรู้ธรรม

    วิมุตติ ๕ ตามอย่างมีให้แก้
    ทั้งอบรมป้องจิตไตรสิกขา
    พรหมจรรย์ควรบำเพ็ญซึ่งจรรยา
    กาละเทสังขาราไม่จีรัง

    ดำรงตนไม่ประมาทพระสุคต
    ยังประโยชน์แก่สาธุชนเป็นได้ไหม
    พึ่งตนและพึ่งธรรมนำเป็นไป
    บริษัท ๔ ควรพ้นภัยกึ่งพุทธกาล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2022
  9. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +24
    “พิจารณาตามได้”
    ว่าด้วย ปฎิสัมภิทา


    อ่านหนังสือ ฟังธรรมะ เป็นอุบายต่างๆ เพื่อให้เข้าไปเห็น“ธรรมะ” ยังไม่ใช่ “ตัวธรรมะ”
    .
    …. “ อุปมาเหมือนกับว่า พริกมันเผ็ด เกลือมันเค็ม เราบอกว่า..“พริกมันเผ็ด” อย่างนี้ยังไม่เห็นความเผ็ดของมัน ยังไม่รู้จักคำที่ว่ามันเผ็ด มันเค็ม ไม่ใช่ตัวเผ็ด ตัวเค็ม การอธิบายธรรมะให้ฟังก็เหมือนกัน อันนี้ไม่ใช่ตัวธรรมะ เป็นคำพูดของบุคคล เป็นอุบายให้เข้าไปเห็นธรรมะ
    …. ตัวหนังสือคัมภีร์ต่างๆ ก็เหมือนกัน เป็นข้อความบันทึกของธรรมะ ไม่ใช่ตัวธรรมะ อ่านได้ ท่องได้ แต่ใจยังไม่เป็นธรรมะ พูดรู้เรื่องอยู่ ก็ยังไม่เป็นธรรมะ ยังไม่เห็นธรรมะ ตัวธรรมะจริงๆนั้นบอกกันไม่ได้ เอาให้กันไม่เป็น ไม่รู้จัก
    …. ส่วนที่เราศึกษาเล่าเรียน สิ่งที่เราปฏิบัติทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นอุบาย เป็นข้อประพฤติปฏิบัติบอกให้เข้าไปถึง เช่น บอกว่า.. “พริกมันเผ็ด นะ!” ยังไม่รู้จักว่า “ตัวเผ็ดจริงๆ” นั้นเป็นอย่างไร? รู้จักแต่ใช้สำเนียง ชื่อมันว่าเผ็ด แต่ตัวเผ็ดไม่รู้จัก ส่วน(การได้สัมผัสตัวเผ็ดด้วยอายตนะจริงๆ)นั้น ไม่ใช่ส่วนของครูบาอาจารย์ ไม่ใช่ส่วนของหนังสือ ไม่ใช่ส่วนของคัมภีร์ มันเป็นส่วนของเจ้าของ(ตัวผู้สัมผัสเอง)ที่ปฏิบัติ มันจึงจะรู้จักว่ามันเผ็ดจริงๆ จึงจะรู้ว่าตัวเผ็ด จึงจะเข้าถึง “ตัวเผ็ด ตัวเค็ม” เป็นต้น
    …. เผ็ด เค็ม มีแต่ชื่อ ไม่ใช่ตัวมัน ได้ยิน แต่ไม่รู้จัก ส่วนนั้นมันเป็นส่วนของ “การปฏิบัติ” ต้องเอาไปกิน ความเผ็ด-ความเค็ม-ความเปรี้ยว จึงจะปรากฏขึ้นมา อันนั้นเป็นตัวเผ็ด อันนั้นเป็นตัวเค็ม
    …. เราอ่านหนังสือ เราฟังธรรมะ ยังไม่ใช่ธรรมะ ตรัสรู้ธรรมไม่ได้ รู้ได้ด้วยตำราเป็นส่วนของอุปัชฌาย์อาจารย์จะแนะนำด้วยอุบายต่างๆ เพื่อให้เข้าไปเห็น“ความเผ็ด” คือธรรมะ อันนี้ก็เหมือนกัน เป็นอุบายให้เข้าไปเห็นธรรมะ ไม่ใช่ตัวธรรมะ”
    .
    พระโพธิญาณเถร ( หลวงพ่อชา สุภัทโท )
    ที่มา : ธรรมเทศนาเรื่อง “ปลาไม่เห็นน้ำ” จากหนังสือ“เหนือสิ่งอื่นใด” 8B9EC2D5-0F9B-4F57-89A6-8523D3EDAC8E.jpeg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2022
  10. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +24
    “พิจารณาตามได้”
    ว่าด้วยปฎิสัมภิทา


    “การเห็นธรรม”
    ไม่อาจจะเห็นได้ด้วยการคำนวณ“ตามเหตุผล”
    แต่ต้องเห็นแจ้งด้วยความรู้สึกในใจแท้จริง
    .
    …. “คนที่ท่องบ่น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่ทั้งเช้า-เย็น-กลางวัน-กลางคืน หลายร้อยครั้ง หลายพันครั้งมาแล้ว ก็ไม่อาจเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ได้ เพราะไม่ใช่วิสัยที่จะเห็นได้ด้วยการฟัง ด้วยการท่อง หรือ แม้แต่ด้วยการคำนึงคำนวณตามหลักเหตุผล
    …. การคำนึงคำนวณตามหลักแห่งเหตุผลนั้น ไม่ใช่การ“เห็นแจ้ง”อย่างที่เรียกว่า“เห็นธรรม” การคำนวณตามเหตุผลนั้นต้องอาศัยอยู่กับเหตุผล เมื่อเหตุผลเปลี่ยนแปลงเพราะความไม่เที่ยงเป็นต้น สิ่งนั้นก็พลอยเลื่อนไปด้วย เลื่อนไปตามเหตุผล หรือโยกเยกไปตามอำนาจแห่งเหตุผล
    …. การเห็นธรรมจึงไม่อาจจะเห็นได้ด้วยการคำนวณตามเหตุผล แต่ต้อง“เห็นแจ้ง”ด้วยความรู้สึกในใจแท้จริง” คือ เห็นด้วยใจจริง
    …. ขอยกตัวอย่าง เช่น บุคคลที่พิจารณาเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ทำความเจ็บปวดให้แก่ตนผู้เข้าไปหลงรักอย่างสาสมกันแล้ว ดังนี้เป็นต้น นี้เห็นได้ว่าเป็นการเห็นที่ไม่ต้องอาศัยเหตุผล แต่อาศัยการที่ได้กระทบกันจริงๆ และได้เกิดผล “เป็นความรู้สึกแก่จิตใจ”ขึ้นมาจริงๆ จนเกิดเป็นความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด สลดสังเวช ขึ้นมาจริงๆ อย่างนี้จึงเรียกว่า “เห็นธรรม” หรือ “เห็นแจ้ง” การเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หมายถึงการเห็นโดยวิธีนั้น
    …. เพราะฉะนั้น จึงเชื่อว่า คนทุกคนที่มีสติปัญญาตามปรกติ เมื่อได้ผ่านสิ่งต่างๆในโลกมาพอสมควรแล้ว ย่อมจะมีโอกาสใดโอกาสหนึ่งซึ่งได้ผจญกับอารมณ์ต่างๆในโลก จนเกิดผลเป็นความรู้จักสิ่งเหล่านั้นอย่างถูกต้อง ว่าเป็นเพียง“มายา” เป็นความหลอกลวง ดังนี้ แล้วเกิดความรู้สึกที่ทำให้ถอยหลัง ไม่หลงใหลพัวพันในสิ่งนั้นอีกต่อไป.
    …. การเห็นแจ้งทำนองนี้ อาจเลื่อนสูงขึ้นไปได้ตามลำดับๆ จนกว่าจะถึงอันดับสุดท้าย ซึ่งเป็นเรื่องสุดท้าย หรือเรื่องใหญ่ที่สุด ที่ทำให้“ปล่อยวาง” สิ่งทั้งปวงได้ นี้เรียกว่า เป็นการเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของบุคคลผู้นั้นอย่างแท้จริง
    …. ส่วนผู้ที่แม้จะท่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือ พิจารณาอย่างนั้น อย่างนี้ อยู่ทั้งวัน ทั้งคืน แต่ถ้าไม่เกิดความรู้สึกถอยหลังต่อสิ่งทั้งปวง คือไม่อยากเอาอะไร ไม่อยากเป็นอะไร ไม่อยากยึดถืออะไรแล้ว ก็เรียกว่า ยังไม่เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่นั่นเอง
    …. เพราะฉะนั้น อาตมาจึงสรุปความของการเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไว้ที่คำว่า “เห็น..จนเกิดความรู้สึกว่า..ไม่มีอะไรที่น่าเอาน่าเป็น” และอาตมาจึงได้พยายามชี้แจงหรืออธิบายในส่วนนี้เป็นส่วนใหญ่ เพื่อให้เข้าใจคำว่า “ไตรลักษณ์” หรือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พร้อมทั้งวิธีปฏิบัติเพื่อให้เห็นแจ้งไปในตัว”
    .
    พุทธทาสภิกขุ
    ที่มา : จากธรรมบรรยาย ตุลาการิกธรรม ครั้งที่ ๒/๒๔๙๙ หัวข้อเรื่อง “ไตรลักษณ์” อบรมผู้ที่จะเป็นผู้พิพากษา เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๔๙๙ ณ ห้องบรรยายของเนติบัณฑิตสภา จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า “ตุลาการิกธรรม เล่ม ๑” หน้า ๓๑ - ๓๒ 42E25825-DE81-4FE5-B496-EB48DD9B8EF1.jpeg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2022
  11. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +24
    “พิจารณาตามได้”
    ว่าด้วยปฎิสัมภิทา




    ถ้าเห็น “ปรมัตถสภาวธรรม” ต้องเห็นลึกว่า…
    “ตัวกู” คือ “ธาตุ” ที่ประชุมกันอยู่
    พุทธบริษัทต้องรู้ถึงขั้นปรมัตถสภาวธรรม
    .
    …. “ ที่รู้สึกว่านั่นนี่ “เป็นตัวกู-เป็นของกู” นั่นแหละ คือ ไม่มีความเห็นในชั้นที่เป็น “ปรมัตถสภาวธรรม” เสียเลย. สภาวธรรม แปลว่า ธรรมชาติที่เป็นอยู่เอง หรือธรรมดาก็ได้, ความเป็นธรรมดานั่นคือธรรมชาติที่เป็นอยู่เอง. ปรมัตถะ แปลว่า มีอัตถะอันลึกซึ้ง, มีความหมายที่ลึกซึ้ง. อย่างเราเห็นก็มักจะเห็นเป็นคน เป็นตัวฉัน เป็นตัวกู หรือเป็นของกู: เห็นกันเท่านี้ อย่างนี้ #ไม่มีปรมัตถสภาวธรรมที่เห็นเลย.
    …. เมื่อเห็นลึกลงไปๆว่า ที่ว่า “ตัวกู” นี่คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ประชุมกันอยู่ หรือธาตุทั้งหลายประชุมกันอยู่ โดยชื่อเรียกอย่างนั้นอย่างนี้ ล้วนแต่เป็นธาตุทั้งนั้น; นี่ก็เรียกว่าเริ่มเห็นแล้ว, เห็นปรมัตถสภาวธรรมบ้างแล้ว แล้วก็มีหน้าที่ที่จะต้องเห็นต่อไปอีกให้ละเอียดลออที่สุด และลึกซึ้งที่สุด: นี่เป็นเหตุที่ทําให้อาตมาต้องพูดถึงเรื่องนี้อย่างซ้ำๆ ซากๆ จนท่านทั้งหลายรําคาญ. ครั้งที่ ๑ ก็พูดเรื่องธาตุ, ที่ ๒ ก็พูดเรื่องธาตุ, ที่ ๓ ก็พูดเรื่องธาตุ, มาถึงครั้งที่ ๔ นี้ก็ยังพูดเรื่องธาตุ
    …. ขอให้สังเกตดูดีๆว่า มิได้พูดซ้ำกันไป อย่างที่เรียกว่าไม่มีอะไรแปลกออกไปเสียเลย: จะมีแปลกออกไป แปลกออกไป โดยรายละเอียด. จากคําว่าธาตุตัวเดียวเท่านั้น แยกแตกออกไปโดยรายละเอียด โดยประเภทก็มี โดยลักษณะก็มี โดยความลึกลับซับซ้อนอะไรต่างๆก็มี เราจึงเข้าใจคําว่า “ปรมัตถสภาวธรรม” ได้มากขึ้น เพราะมองลึกขึ้นไปทุกทีจน ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เป็นสักว่าธาตุ, เป็นสักว่าอายตนะ เป็นสักว่าขันธ์, เป็นสักว่าเหตุปัจจัยซึ่งปรุงแต่งกันขึ้นมาเป็นความทุกข์ ถ้าผู้ใดเห็นอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ก็เรียกว่าเห็นความจริง ของจริง ที่เห็นยากหรือลึกซึ้ง อยู่ตลอดเวลา นี่ก็ทําให้ไม่เที่ยวยึดมั่นถือมั่นนั่นนี่จนเกิดความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ประโยชน์เป็นอย่างนี้, ลักษณะของปรมัตถ์ก็คือ ให้เห็นจริงยิ่งขึ้นไปทุกที
    …. อย่างเราเอาโอ่งมาลูกหนึ่ง ก็ดูว่ามันเป็นโอ่ง อย่างนี้ก็เรียกว่าเห็นเท่าที่ตาเห็น แต่ถ้าเอามาดูจนถึงรู้ว่า โอ่งนี่ประกอบขึ้นด้วยดิน ซึ่งเมื่อก่อนเป็นดินที่ใน ทุ่งนา เขาเอามาทําอย่างนั้นอย่างนี้ ตบแต่งจนปั้นเป็นรูปโอ่งได้ แล้วไปเผาไฟ ก็ทํามาในลักษณะที่เห็นอยู่ที่เราเรียกว่าโอ่ง. ถ้าเห็นโอ่งก็เห็นของผิวเผินธรรมดา; ถ้าเห็นธาตุดินเห็นเหตุปัจจัยที่ทําการเปลี่ยนแปลงดินนั้น จนมาเป็นรูปโอ่งอยู่ที่ตรงนี้ นี่คือเห็นในแง่ของปรมัตถสภาวธรรม, เห็นในแง่ปรมัตถ์นี่ฉลาดกว่า, ทําอะไรได้เกี่ยวกับโอ่งลูกนั้นดีกว่าก็ได้ แม้แต่จะแก้ไข จะซ่อมแซม จะทําอะไรก็ทําได้ดีกว่า และจะไม่ดีใจ ไม่เสียแม้ว่าโอ่งจะต้องแตกออกไปอย่างนี้
    …. การเห็นสภาวธรรมในชั้นปรมัตถ์นั้น ก็คือ เห็นความจริงที่จะทําให้เราไม่ยึดมั่นถือมั่น; ถ้าไม่เห็นปรมัตถสภาวธรรมแล้ว ก็พร้อมจะยึดมั่นไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง นี่ว่ากันโดยประโยชน์ เป็นอย่างนี้
    …. นี่เราลองคิดดูเองว่า เราเดี๋ยวนี้น่ะ เห็นปรมัตถสภาธรรมหรือไม่? หรือว่าเห็นสักเท่าไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า “ตัวกู ของกู”, เรารู้ปรมัตถสภาวธรรมของตัวกูหรือของกูนี้กันสักเท่าไร? ถ้าเรามีความรู้สึกคิดนึกว่า เป็นตัวเรา เป็นของเรา, พอหยิบจับขึ้นมา ก็เป็นตัวกู เป็นของกูทุกอย่าง ก็เรียกว่ายังไม่เห็น เพราะเห็นไม่ได้ด้วยตา; ต้องเห็นด้วยสติปัญญา, หรือว่าถ้าตา ก็ต้องเป็นตาของปัญญา เรียกว่า “ปัญญาจักษุ” เป็นธาตุพิเศษยิ่งไปกว่าจักขุธาตุธรรมดา
    …. ถ้ารู้อย่างเห็นปรมัตถ์ก็หมายความว่า รู้ด้วยเห็นแล้ว, ประจักษ์ด้วยใจแล้ว จึงจะเรียกว่ารู้, เดี๋ยวนี้เรารู้บ้างก็เพียงแต่ว่าภายนอก ที่ได้ยินได้ฟังการบรรยายชี้แจง ก็เรียกว่ารู้บ้าง แล้วเดี๋ยวก็ลืมบ้าง; เรียกว่ารู้อย่างแบบที่ไม่เห็นปรมัตถสภาวธรรมรู้ หรือจําได้แล้วก็ลืม. รู้อย่างนี้ยังไม่สําเร็จประโยชน์, จําได้ พูดได้ เข้าใจได้ อย่างนี้ ยังไม่สําเร็จประโยชน์เต็มที่ คือยังไม่มีการเห็นแจ้งในปรมัตถสภาวธรรม. ต้องพยายาม ที่จะให้เราเห็นแจ้งจนวางเฉยได้ในสิ่งที่เข้ามากระทบ ซึ่งจะทําให้เกิด อภิชฌา หรือ ว่าเกิดโทมนัส ที่จะพอใจ หรือจะไม่พอใจ
    …. ความรู้สึกที่จะเกิดมีสองอย่างเท่านั้น คือ “พอใจ” กับ “ไม่พอใจ”; และทั้งสองอย่างนั้นเป็นเรื่องรบกวน ทําให้ไม่สงบสุข เป็นเรื่องของคนโง่ ไม่ใช่พุทธบริษัทที่ฉลาด. ถ้าเป็นพุทธบริษัทที่ฉลาด เขาจะไม่มัวเสียเวลาเที่ยวพอใจ เที่ยวไม่พอใจ นั่น นี่ อยู่ เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาอยู่อย่างนั้น; ต้องปกติได้ ต้องเฉยได้ นี่เรียกว่า ผู้รู้ อย่างที่เป็นพุทธบริษัท ว่าเขารู้สิ่งทั้งปวงลึกลงไปถึงขั้นที่เรียกว่ารู้ปรมัตถสภาวธรรม.”
    .
    #พุทธทาสภิกขุ
    ที่มา : ธรรมบรรยายประจำวันเสาร์ ในชุดปรมัตถสภาวธธม หัวข้อเรื่อง “ธาตุที่อยู่ในรูปอายตนะ” เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า “ปรมัตถสภาวธรรม”
    . BA6C22BE-D74C-4E5B-8780-68D84D031ECE.jpeg 0136EDE7-4A00-4F69-999A-0F4B31A20C59.jpeg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2022
  12. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +24
    A68B7044-BC5C-4829-95C6-40161BF135CF.jpeg



    “ภัยของมหาปุริลักษณะ”
    “หากไม่ทรงทรมานตนแล้วไซร้ ไฉนพึงจักสามารถทำลายอายตนะมารที่มีมาในมหาปุริลักษณะ ๓๒ และอนุพยัญชนะ ๘๐ ซึ่งผัสสะอันเลิศ อันเป็นธรรมารมณ์อันเลิศแห่งมารนั้นได้ มิใช่ฐานะเลย นี่ก็ด้วยเหตุหนึ่ง ในการบำเพ็ญพรหมจรรย์ ของพระมหาโพธิสัตว์ทั้งหลายฯ อันเป็นการทำลายบ่วงมารอันเลิศนี้”
     
  13. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +24
    4D3EFD86-B0DA-4CC2-BA7A-B6D4DEC38274.jpeg

    ภิกษุ ท.! โลกธรรม มีอยู่ในโลก. ตถาคต ย่อมตรัสรู้ ย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ซึ่งโลกธรรมนั้น; ครั้นตรัสรู้แล้ว รู้พร้อมเฉพาะแล้ว ย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้ ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ.

    ภิกษุ ท.! ก็อะไรเล่า เป็นโลกธรรมในโลก?

    ภิกษุ ท.! รูป เป็นโลกธรรมในโลก. ตถาคต ย่อมตรัสรู้ ย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ซึ่งรูปอันเป็นโลกธรรมนั้น; ครั้นตรัสรู้แล้ว รู้พร้อมเฉพาะแล้วย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้ ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ.

    ภิกษุ ท.! บุคคลบางคน แม้เราตถาคตบอก แสดง บัญญัติ ตั้งขึ้นไว้เปิดเผย จำแนกแจกแจง ทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ อยู่อย่างนี้ เขาก็ยังไม่รู้ไม่เห็น. ภิกษุ ท.! กะบุคคลที่เป็นพาล เป็นปุถุชน คนมืด คนไม่มีจักษุคนไม่รู้ไม่เห็น เช่นนี้ เราจะกระทำอะไรกะเขาได้.


    ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือน ดอกอุบล หรือดอกปทุม หรือดอกบัวบุณฑริกก็ดี เกิดแล้วเจริญแล้วในน้ำ พ้นจากน้ำแล้วดำรงอยู่ได้โดยไม่เปื้อนน้ำ, ฉันใด; ภิกษุ ท.! ตถาคตก็ฉันนั้นเหมือนกัน เกิดแล้วเจริญแล้ว ในโลกครอบงำโลกแล้วอยู่อย่างไม่แปดเปื้อนด้วยโลก.




    “ผู้ที่เข้าถึงปฎิสัมภิทาในภพชาติทำกาละแล้ว ไปอุบัติในภพอื่นมีลักษณะดังนี้”

    #เราจะไม่ประมาณในบุคคลที่ไม่ใช่วิสภาค เพราะเฉกเช่นนั้นแล้ว ท่านผู้มีวาสนาได้ทราบ ว่า มีปฎิสัมภิทา นั้นอยู่ มีโอกาสหวังได้ในชีวิต หากท่านได้สละทุกๆสิ่งทุกๆอย่างในชีวิตโลกียสุขเพื่อปฎิบัติบูชาพระธรรม

    *วิสภาค มีส่วนไม่เสมอกัน คือขัดกันเข้ากันไม่ได้ ไม่ถูกกัน หรือไม่กลมกลืนกัน, ไม่เหมาะกัน
    (มารครอบ หรือ ขัดขวาง)

    แทงตลอดด้วยดี ด้วยทิฏฐิ - ถึงวิมุตติ

    ไม่ใช่อ่านแล้วท่องจำได้ โดยมุขปาฐะ - โดยไม่ถึงวิมุตติ

    #ต้องเป็น
    สัมมาวิมุตติ +<ไม่ใช่>มิจฉาวิมุตติ -




    มหาวรรคที่ ๕

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ ๔ ประการแห่งธรรมทั้งหลายที่บุคคลฟังเนืองๆ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ อันบุคคลพึงหวังได้ อานิสงส์ ๔ ประการเป็นไฉน

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้

    ย่อมเล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ...เวทัลละ ธรรมเหล่านั้นเป็นธรรมอันภิกษุนั้นฟังเนืองๆ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ เธอมีสติ หลงลืมเมื่อกระทำกาละ ย่อมเข้าถึงเทพนิกายหมู่ใดหมู่หนึ่ง บทแห่งธรรมทั้งหลายย่อมปรากฏแก่เธอผู้มีความสุขในภพนั้น สติบังเกิดขึ้นช้า แต่สัตว์นั้นย่อมเป็นผู้บรรลุคุณวิเศษ เร็วพลัน

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นอานิสงส์ประการที่ ๑ แห่งธรรมทั้งหลายที่บุคคลฟังเนืองๆ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิอันบุคคลพึงหวังได้ ฯ

    อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมเล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ...เวทัลละธรรมเหล่านั้นเป็นธรรมอันภิกษุนั้นฟังเนืองๆ คล่องปากขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ เธอมีสติหลงลืม เมื่อกระทำกาละ ย่อมเข้าถึงเทพนิกายหมู่ใดหมู่หนึ่ง

    บทแห่งธรรมทั้งหลายย่อมไม่ปรากฏแก่เธอ ผู้มีความสุขอยู่ในภพนั้นเลยแต่ภิกษุผู้มีฤทธิ์ ถึงความชำนาญแห่งจิต แสดงธรรมแก่เทพบริษัท เธอมีความปริวิตกอย่างนี้ว่า ในกาลก่อนเราได้ประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมวินัยใด นี้คือธรรมวินัยนั้น สติบังเกิดขึ้นช้า แต่ว่าสัตว์นั้นย่อมบรรลุคุณวิเศษ เร็วพลัน


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้ฉลาดต่อเสียงกลอง เขาเดินทางไกล พึงได้ยินเสียงกลอง เขาไม่พึงมีความสงสัย หรือเคลือบแคลงว่า เสียงกลองหรือไม่ใช่หนอที่แท้เขาพึงถึงความตกลงใจว่า เสียงกลองทีเดียว ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเล่าเรียนธรรม ฯลฯ ย่อมเป็นผู้บรรลุคุณวิเศษ เร็วพลัน

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นอานิสงส์ประการที่ ๒ แห่งธรรมทั้งหลายที่ภิกษุฟังเนืองๆคล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ อันบุคคลพึงหวังได้ ฯ

    อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมเล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ...บทแห่งธรรมทั้งหลาย ย่อมไม่ปรากฏแก่เธอผู้มีความสุขอยู่ในภพนั้นเลยทั้งภิกษุผู้มีฤทธิ์ถึงความชำนาญแห่งจิต ก็ไม่ได้แสดงธรรม ในเทพบริษัท แต่เทพบุตรย่อมแสดงธรรมในเทพบริษัท เธอมีความคิดอย่างนี้ว่า ในกาลก่อนเราได้ประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมวินัยใด นี้คือธรรมวินัยนั้นเอง สติบังเกิดขึ้นช้า แต่ว่าสัตว์นั้นย่อมเป็นผู้บรรลุคุณวิเศษ เร็วพลัน


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้ฉลาดต่อเสียงสังข์เขาเดินทางไกล พึงได้ฟังเสียงสังข์เข้า เขาไม่พึงมีความสงสัยหรือเคลือบแคลงว่า เสียงสังข์หรือมิใช่หนอ ที่แท้เขาพึงถึงความตกลงใจว่า เสียงสังข์ ฉันใดภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ ฯลฯ ย่อมเป็นผู้บรรลุคุณวิเศษ เร็วพลัน


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นอานิสงส์ประการที่ ๓ แห่งธรรมทั้งหลายที่ภิกษุฟังเนืองๆ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิอันบุคคลพึงหวังได้ ฯ

    อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมเล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ ... บทแห่งธรรมทั้งหลาย ย่อมไม่ปรากฏแก่เธอผู้มีความสุขอยู่ในภพนั้นเลย แม้ภิกษุผู้มีฤทธิ์ถึงความชำนาญแห่งจิต ก็มิได้แสดงธรรมในเทพบริษัท แม้เทพบุตรก็ไม่ได้แสดงธรรมในเทพบริษัท แต่เทพบุตรผู้เกิดก่อนเตือนเทพบุตรผู้เกิดทีหลังว่า ท่านผู้นฤทุกข์ย่อมระลึกได้หรือว่า เราได้ประพฤติพรหมจรรย์ในกาลก่อน เธอกล่าวอย่างนี้ว่า เราระลึกได้ท่านผู้นฤทุกข์ เราระลึกได้ท่านผู้นฤทุกข์ สติบังเกิดขึ้นช้าแต่ว่าสัตว์นั้นย่อมเป็นผู้บรรลุคุณวิเศษ เร็วพลัน


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย สหายสองคนเล่นฝุ่นด้วยกัน เขามาพบกัน บางครั้งบางคราว ในที่บางแห่ง สหายคนหนึ่งพึงกล่าวกะสหายคนนั้นอย่างนี้ว่า สหาย ท่านระลึกกรรมแม้นี้ได้หรือ เขาพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราระลึกได้ เราระลึกได้ ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้น เหมือนกันย่อมเล่าเรียนธรรม ฯลฯ ย่อมเป็นผู้บรรลุคุณวิเศษ เร็วพลัน


    ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เป็นอานิสงส์ประการที่ ๔ แห่งธรรมทั้งหลายที่ภิกษุฟังเนืองๆ คล่องปาก ขึ้นใจแทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ อันบุคคลพึงหวังได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ ๔
    ประการนี้ แห่งธรรมทั้งหลายที่ภิกษุฟังแล้วเนืองๆ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ อันบุคคลพึงหวังได้ ฯ


    ในคลังสมบัติ

    ดูกรท่านทั้งหลาย พวกเทวดาชื่อว่าขิฑฑาปโทสิกะมีอยู่พวกนั้นพากันหมกมุ่นอยู่แต่ในความรื่นรมย์ คือการสรวลเสและการเล่นหัวจนเกินเวลา เมื่อพวกนั้นพากันหมกมุ่นอยู่แต่ในความรื่นรมย์ คือการสรวลเสและการเล่นหัวจนเกินเวลา
    สติก็ย่อมหลงลืม เพราะสติหลงลืม จึงพากันจุติจากชั้นนั้น

    ดูกรท่านทั้งหลาย ก็เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งจุติจากชั้นนั้นแล้วมาเป็นอย่างนี้ เมื่อมาเป็นอย่างนี้แล้ว จึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้วอาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิที่เมื่อตั้งมั่นแล้ว
    ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนนั้นได้

    หลังแต่นั้นไประลึกไม่ได้เขาจึงกล่าวอย่างนี้ว่า ท่าน พวกเทวดาผู้มิใช่เหล่าขิฑฑาปโทสิกะ ย่อมไม่พากันหมกมุ่นอยู่แต่ในความรื่นรมย์ คือการสรวลเสและการเล่นหัวจนเกินเวลา สติย่อมไม่หลงลืม เพราะสติไม่หลงลืม พวกเหล่านั้นจึงไม่จุติจากชั้นนั้น เป็นผู้เที่ยงยั่งยืน คงทน มีอายุยืน มีอันไม่แปรผันเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่เที่ยงเสมอไปเช่นนั้นทีเดียว ส่วนพวกเราเหล่าขิฑฑาปโทสิกะ หมกมุ่นอยู่แต่ในความรื่นรมย์ คือการสรวลเสและการเล่นหัวจนเกินเวลา สติย่อมหลงลืม เพราะสติหลงลืม

    พวกเราจึงพากันจุติจากชั้นนั้น เป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่คงทน มีอายุน้อย ยังต้องจุติมาเป็นอย่างนี้ ก็พวกท่านบัญญัติสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ว่ามีมูลมาแต่เทวดาเหล่าขิฑฑาปโทสิกะ ตามลัทธิอาจารย์ มีแบบเช่นนี้หรือมิใช่สมณพราหมณ์เหล่านั้นตอบอย่างนี้ว่า ท่านโคดม พวกข้าพเจ้าได้ทราบมาดังที่ท่านโคดมได้กล่าวมานี้แล


    ดูกรภัคควะ เราย่อมทราบชัดซึ่งสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น และไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่น จึงทราบความดับเฉพาะตน ฉะนั้น ตถาคตจึงไม่ถึงทุกข์ ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2022
  14. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +24
    7D15DECC-BF11-4A8C-8918-37E2969D069D.jpeg

    ป้องกันและขอโชคลาภ



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2022
  15. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +24



    #อย่าให้เหล่าปฎิสัมภิทาจับพระไตรปิฏก เวอร์ชั่น! เปลี่ยนแปลงจากหุบเหวนรกถึงพระนิพพานทันที!

    ที่เล่าอดีตให้ฟังก็เพื่อ ให้ได้ทราบว่า หากไร้ความเพียร ไม่มีใครฤาจักฉลาดหรือจักเป็นผู้รู้มาก่อนกาลได้ ไม่ใช่ฐานะ

    เพราะอย่างนั้นแล้ว สู้ๆ พยายามเข้านะ ^_^

    4D556CDB-A48E-46D8-A760-1C6A5A2DBCB0.jpeg
    #เวลาทางโลกียสุขของเราเหลือน้อยลงแล้วสินะ!
    การพลัดพราก! นิมิตแบกโลงหินของการนำร่างมารดาขึ้นสู่เจดีย์มหาสถูป กินเวลามา 10ปีแล้ว /ข้อนี้ได้มารดา(คุณแม่ เพ็ญศรี) ทราบแล้ว ท่านขออยู่กับบุตรให้นานที่สุด จนวาระสุดท้าย ถ้าไม่รีบไปก่อนแบบแพ็คคู่ เหมือนสมัยผ่าท้องเกิด ได้รับทราบแล้วว่าบุตรจักเป็นนักบวชถือศีลพรตฤาษีดาบสเมื่อตนทำกาลกาละ!

    1,000 ราตรี ก็คือหลักพัน 10,000 ราตรีก็คือหลักหมื่น
    กำหนดก่อนกำหนดหลัง ดูให้รู้ชัด



    #10 ปีก่อน! มือใหม่แกะถุงในกระดานเว็บบอร์ด !
    *กำลังหัดพิจารณาธรรม และทุกๆวันสำคัญ วันเพ็ญ วันแรม จะมีปรากฎกาลพิเศษเกิดขึ้นเสมอๆ หลังจากลาสิกขามาตลอดเป็นระยะเวลาต่อเนื่อง 2 ปี

    #ก่อนย้ายมาตาม ยักษ์บ้าๆมันจะให้พลีชีพ หาที่ตาย อ้าง เพื่ออย่างนั้นอย่างนี้ ด่าๆ ที่มาเที่ยวตามถึงในกุฏี ตอนตี 2 ชายขอบเขา สำนักสงฆ์พลับพลาชัย จ.สตูล

    รุ่งเช้าแจ้งเจ้าอาวาส พระผู้ดูแลฯ ย้ายออกจากวัด เย็นมา เริ่ม ท่องโลกีย์ จัดหนักจัดเต็ม หลังจากเคร่งมา 2 ปี

    สัจจธรรม คือธรรมะที่มีจริง เป็นจริงแท้ ไม่วิปริต
    พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 298

    ว่า ภาวะใด เมื่อบุคคลเพ่งอยู่ด้วยปัญญาจักษุ ย่อมไม่วิปริตเหมือนมายากลไม่ลวงตาเหมือนพยับแดด ไม่เป็นสภาวะที่ใคร ๆ หาไม่ได้เหมือนอัตตาของพวกเดียรถีย์

    โดยที่แท้เป็นโคจร (อารมณ์) ของอริยญาณ โดยประการมี
    การเบียดเบียน (ทุกขสัจจ์)
    มีเหตุเป็นแดนเกิด (สมุทัยสัจจ์)
    มีความสงบ(นิโรธสัจจ์)
    มีการนำออก (มรรคสัจจ์)
    ซึ่งเป็นของแท้ ไม่วิปริต เป็นของจริงทีเดียว ภาวะที่สัจจะเป็นของแท้ ไม่วิปริต เป็นของจริง เป็นดังลักษณะไฟ


    และเป็นดังธรรมดาของสัตว์โลก (ต้องเกิดแก่เจ็บตาย) นั้น บัณฑิตพึงทราบว่าเป็นอรรถของสัจจะ เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า อิทํ ทุกฺขนฺติ โข ภิกฺขเว ตถเมตํ อวิตเมตํ อนญฺญถเมตํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่า นี้ทุกข์ดังนี้แล นั่นเป็นของแท้จริง นั่นเป็นของไม่ผิด นั่นไม่เป็นไปโดยประการอื่น

    ________________ความแตกต่าง_______________


    สมมติฐาน (หรือสะกดว่า สมมุติฐาน) หรือ ข้อสันนิษฐาน คือการอธิบายความคาดหมายล่วงหน้าสำหรับปรากฏการณ์ที่สามารถสังเกตได้ มักใช้เป็นมูลฐานแห่งการหาเหตุผล การทดลองหรือการวิจัย ในทางวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์จะตั้งสมมติฐานจากสิ่งที่สังเกตการณ์ได้ก่อนหน้านี้ ซึ่งอาจไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนด้วยทฤษฎีที่มีอยู่ในปัจจุบัน สำหรับในความหมายอื่น สมมติฐานอาจเป็นบรรพบทหรือญัตติที่จัดตั้งขึ้น เพื่อใช้ในการสรุปคำตอบของปัญหาประเภท ถ้าเป็นเช่นนี้ แล้วจะเป็นเช่นไร


    __________________________________________________

    ประเด็นของเรื่องนี้ก็คือ หลักธรรมต่างๆขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงไว้ เพื่อดำรงค์ไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา ด้วยน้ำพระทัยอันมีเมตตาทรงเอ็นดูและอนุเคราะห์ แก่เหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลายในปัจจุบัน ได้ถูกโยงมาเชื่อมต่อกันระหว่าง"สัจธรรมและสันนิษฐาน" เพราะเหตุผลเดียวคือ ไม่มีผู้ใดหรือหาผู้รู้จริงได้น้อยในการแสดงธรรมทั้งหลาย ไม่ว่าจะมาจากในที่ใดก็ตาม นี่คือ"ภัยร้าย"ที่จักทำลายเหตุและผลของความเข้าใจใ นความหมายของคำว่า"สัจธรรม" หากเป็นอย่างนี้เรื่อยไป พระพุทธศาสนาจะหลงเหลือเพียงแค่ความหมายของคำว่า"สันนิษฐาน"เพียงเท่านั้น เพราะเหตุใด ? .....
    องค์คุณธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ล้วนแสดงธรรมโดยมีเหตุและผล ชัดเจน แต่ในปัจจุบันนี้ เหตุไฉน จึงมีคำว่า" ทำอย่างนั้นอาจมีผลอย่างนั้นก็ได้ , อาจจะเป็นอย่างนั้นบ้าง,อาจจะเป็นอย่างนี้บ้าง เหมือนสำนัก"อะไรก็ได้ เป็นอย่างนี้ก็ได้, เดี๋ยว ,ยัง ,ระวัง ,จะ เป็นอย่างนั้นก็ได้ ออกมาเพียบ ก็เพราะไม่เคยรู้ยิ่งเห็นจริง ในสิ่งนั้นๆ เพราะเหตุใด ?เป็นภาระของผู้ใด มิใช่ภาระของเหล่าพุทธบริษัททั้งหลายดอกหรือ ที่ได้สืบทอดพระพุทธศาสนาแล้วนำออกมาแสดง สั่งสอนอนุชนรุ่นต่อๆมาด้วยความเอ็นดูและอนุเคราะห์ ที่นี้สิ่งที่ควรระมัดระวังและควรจะใส่ใจคือ ไม่ควรประมาทในธรรม ก็คือในธรรมที่นำเอาออกมาแสดงแก่กันและกันนั่นเอง " ไม่เข้าถึงและเข้าใจหรืออย่างไรว่า" ที่สุดของการประพฤติพรหมจรรย์ของพุทธศาสนานี้ เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ เพียงเท่านั้น ! " ฉนั้น เมื่อยังไม่รู้ยิ่งเห็นจริง ในสิ่งที่ควรรู้ควรเห็น ควรปฎิบัติ ควรแจกจ่าย ควรทำให้ถึงที่สุดก่อน ก็ไม่ควรนำมาแสดง นำมาสั่งสอน นำมาวิจาร์ณกันให้เสียกาล เพราะมาเสียเวลาเปล่าๆไปกับการค้นหา สืบหาข้อเท็จจริง ฉนั้น ในพุทธศาสนานี้ จึงไม่มีคำว่า" เป็นไปไม่ได้ คือ ทำอย่างไรย่อมได้รับผลอย่างนั้น อย่างแน่นอน ไม่มีคำว่า ทำอย่างนั้น แล้วจะได้อย่างอื่น อุปมา เหมือนแม่โคท้องย่อมออกลูกเป็นโค จัก ออกลูกเป็น พืชผักผลไม้ ได้ที่ไหน "


    { อยากให้หายไปจากเว็ปกัลยาณมิตรนี้เสียที "การสมมุติฐานและสันนิษฐาน"เหล่านี้ ไม่ควรมีอยู่ เพราะเป็นที่ตั้งของเหตุแห่งความเสื่อม ,เหตุแห่งความสงสัยคลางแคลงใจ หากรู้ว่าตนเองเป็นผู้มีปัญญามากหรือน้อยก็ตาม แต่ยังไม่ค่อยรู้ความใดๆ อย่างชัดเจน ชัดแจ้ง แสดงเหตุและผลอันเป็นที่กระจ่างแจ้ง ไตร่ตรองตามเห็นจริงได้ แก่พุทธบริษัททั้งหลายได้ ก็อย่าได้มาเพื่อทำลายสติปัญญาของผู้ใคร่ความเจริญในธรรมทั้งหลายเลย ไม่ว่าจะเป็น มนุษย์ อมนุษย์ ยักษ์มารใดๆก็ตามแต่ อย่าได้มีความอาฆาตพยาบาทและเบียดเบียนกันในสถานเจริญใจ ใฝ่ศึกษาธรรมเช่นนี้เลย แค่ความสับสนวุ่นวายของโลกในยุคปัจจุบันนี้ ก็เป็นเหตุยังให้มีผลเสีย แก่ผู้ศึกษาและปฎิบัติธรรมทั้งหลายมากพออยู่แล้ว ขออนุโมทนาบุญฯ }

    F147CF1F-7AE6-4CB6-A738-9699891C870F.jpeg
    DE911F8E-32D1-47C2-92CB-37971DAFBCFB.jpeg

    #นึกถึงสมัยก่อนเมื่อคนเขลาอย่างเราวิสัชนาธรรม ! โดยขาดพื้นฐานที่ดี ไม่ศึกษาให้ดี ไม่พิจารณาให้แยบคาย
    214C591D-6F37-4C1C-B574-C14DCC2B8FDD.jpeg
    เมื่อได้ ปฎิเวธ ก็ต้องสรุป ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ+ สัมมาวิมุตติ+สัมมาสมาธิฯ ไม่ใช่หลุดพ้นผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ+ มิจฉาวิมุตติ+มิจฉาสมาธิฯ

    ผลที่ได้ คือ กล่าวตู่! ว่า มีผู้มาถวายพระปริตร ว่าไปนั่น!

    0232BBE9-970A-4B70-8116-47410047114F.jpeg
    ตื่นข่าว! ต้นเองพ้นแต่ สอนเขา ชี้ทางเขาลงนรก! พาลงเหว!

    ขอทรงพระกรุณาอดโทษแก่ข้าพระพุทธเจ้าด้วยฯ

    9D7C87A1-1474-4A83-987D-DB9343BFD6D7.jpeg

    ปฏิสัมภิทามรรค

    " ผู้ที่มีจิตไม่มั่นคง ไม่ทราบพระสัทธรรม
    มีความเลื่อมใสรวนเร ย่อมมีปัญญาบริบูรณ์
    ไม่ได้"


    http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31.0&i=0&p=1


    #ลำบากนะศิษย์ไม่มีครู แนะนำ ต้องพึ่งพาตนเอง ยิงสายตรงเพื่อให้ถึง การพึ่งพาพระสัทธรรม
    เลือดตาแทบกระเด็น เพียรเผาสมองและต่อสู้กับกิเลสขนาดไหน กว่าจะมาถึงจุดจุดนี้ ฉนั้นแล้ว ท่านสหธรรมกัลยาณมิตรทั้งหลาย ฯ ท่านจงพิจารณาธรรมตามกาล อันที่ข้าพเจ้าพิจารณาปัจจัยสงเคราะห์ธรรมทั้งปวงไว้ด้วยดีแล้ว ตามการ ซึ่ง ปฎิสัมภิทานี้เถิด




    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓
    ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค
    [บุคคลผู้ประกอบด้วยปัญญา ๑๖ ประการนี้ เป็นผู้บรรลุปฏิสัมภิทา บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ คือผู้หนึ่งถึงพร้อมด้วยความเพียรมาก่อนผู้หนึ่งไม่ถึงพร้อมด้วยความเพียรมาก่อน ผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียรมาก่อน เป็นผู้ประเสริฐ ยิ่ง วิเศษกว่าผู้ไม่ถึงพร้อมด้วยความเพียรมาก่อน และมีญานแตกฉาน

    บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ ดังนี้ บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียรมาก่อนก็มี ๒คือ ผู้หนึ่งเป็นพหูสูต ผู้หนึ่งไม่เป็นพหูสูต ผู้เป็นพหูสูตเป็นผู้ประเสริฐ ยิ่งวิเศษกว่าผู้ไม่เป็นพหูสูต และมีญาณแตกฉาน

    บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ ดังนี้ บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียรมาก่อนมี ๒ แม้ผู้เป็นพหูสูตก็มี ๒ คือ ผู้หนึ่งมากด้วยเทศนา ผู้หนึ่งไม่มากด้วยเทศนา ผู้มากด้วยเทศนา เป็นผู้ประเสริฐ ยิ่ง วิเศษกว่าผู้ไม่มากด้วยเทศนา และมีญาณแตกฉาน

    บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ ดังนี้ บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทา
    ผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียรมาก่อนมี ๒ ผู้เป็นพหูสูตมี ๒ และผู้มากด้วยเทศนาก็มี ๒ คือ ผู้หนึ่งอาศัยครู ผู้หนึ่งไม่อาศัยครู ผู้อาศัยครูเป็นผู้ประเสริฐ ยิ่งวิเศษกว่าผู้ไม่อาศัยครู และมีญาณแตกฉาน

    บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ ดังนี้
    บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียรมาก่อนมี ๒ ผู้เป็นพหูสูตมี ๒ ผู้มากด้วยเทศนามี ๒ และผู้อาศัยครูก็มี ๒ คือ ผู้หนึ่งมีวิหารธรรมมากผู้หนึ่งไม่มีวิหารธรรมมาก ผู้มีวิหารธรรมมากเป็นผู้ประเสริฐ ยิ่ง วิเศษกว่าผู้ไม่มี
    วิหารธรรมมาก และมีญาณแตกฉาน

    บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ ดังนี้ บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียรมาก่อนมี ๒ ผู้เป็นพหูสูตมี ๒ ผู้
    มากด้วยเทศนามี ๒ ผู้อาศัยครูมี ๒ และผู้มีวิหารธรรมมากก็มี ๒ คือ ผู้หนึ่งมีความพิจารณามาก ผู้หนึ่งไม่มีความพิจารณามาก ผู้มีความพิจารณามากเป็นผู้ประเสริฐ ยิ่ง วิเศษกว่าผู้ไม่มีความพิจารณามาก และมีญาณแตกฉาน บุคคล

    บรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ ดังนี้ บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียรมาก่อนมี ๒ ผู้เป็นพหูสูตมี ๒ ผู้มากด้วยเทศนามี ๒ ผู้อาศัยครูมี ๒ ผู้มีวิหารธรรมมากมี ๒ และผู้มีความพิจารณามากก็มี ๒ คือ ผู้หนึ่งเป็นพระเสขะ
    บรรลุปฏิสัมภิทา ผู้หนึ่งเป็นพระอเสขะบรรลุปฏิสัมภิทา ผู้เป็นพระอเสขะบรรลุปฏิสัมภิทา ผู้เป็นพระอเสขะบรรลุปฏิสัมภิทาเป็นผู้ประเสริฐ ยิ่ง วิเศษกว่าผู้เป็นพระเสขะบรรลุปฏิสัมภิทา และมีญาณแตกฉาน

    บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ดังนี้ บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียรมาก่อนมี ๒ ผู้เป็นพหูสูตมี ๒ ผู้มากด้วยเทศนามี ๒ ผู้อาศัยครูมี ๒ ผู้มีวิหารธรรมมากมี ๒ ผู้มีความพิจารณามากมี ๒ และผู้เป็นพระอเสขะบรรลุปฏิสัมภิทาก็มี ๒ คือ ผู้หนึ่งบรรลุถึงสาวกบารมี ผู้หนึ่งไม่บรรลุถึงสาวกบารมี ผู้บรรลุถึงสาวกบารมีเป็นผู้ประเสริฐ ยิ่ง วิเศษกว่าผู้ไม่บรรลุถึงสาวกบารมี และมีญาณแตกฉาน

    บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ ดังนี้ บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียรมาก่อนมี ๒ ผู้เป็นพหูสูตมี ๒ ผู้มากด้วยเทศนามี ๒ ผู้อาศัยครูมี ๒ ผู้มีวิหารธรรมมากมี ๒ ผู้มีความพิจารณามากมี ๒ และผู้เป็นพระอเสขะบรรลุปฏิสัมภิทาก็มี ๒ คือ ผู้หนึ่งบรรลุถึงสาวกบารมี ผู้หนึ่งเป็นพระปัจเจกสัมพุทธเจ้าผู้เป็นพระปัจเจกสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ประเสริฐ ยิ่ง วิเศษกว่าผู้บรรลุถึงสาวกบารมีและมีญาณแตกฉาน เมื่อเทียบกับพระปัจเจกพุทธเจ้า และโลก พร้อมทั้งเทวโลก ดังนี้ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้เลิศ ทรงบรรลุปฏิสัมภิทา ทรงเป็นผู้ฉลาดในประเภทแห่งปัญญา มีพระญาณแตกฉาน ทรงได้ปฏิสัมภิทา ทรงบรรลุถึงเวสารัชชญาณ ทรงพละ ๑๐ ทรงเป็นบุรุษองอาจ ทรงเป็นบุรุษสีหะ ฯลฯ บรรดากษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี สมณะ ผู้เป็นบัณฑิต มีปัญญาละเอียด แต่งวาทะโต้ตอบ มีปัญญาเปรียบด้วยนายขมังธนูผู้สามารถยิงขนทราย เที่ยวทำลายปัญญาและทิฐิด้วยปัญญา บัณฑิตเหล่านั้นแต่งปัญหาแล้วพากันเข้ามาหาพระตถาคต ถามปัญหาทั้งลี้ลับและเปิดเผย ปัญหาเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคตรัสบอกและทรงแก้แล้ว มีเหตุที่ทรงแสดงไขให้เห็นชัด ปรากฏแก่พระผู้มีพระภาค ความจริง พระผู้มีพระภาคย่อมทรงรุ่งเรืองยิ่งด้วยพระปัญญา เพราะทรงแก้ปัญหาเหล่านั้น เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงเป็นผู้เลิศ ทรงบรรลุ
    ปฏิสัมภิทา ฉะนี้แล ฯ
    จบมหาปัญญากถา



    พื้นฐานสำคัญที่สุด ! เริ่มตั้งแต่ติดกระดุมเม็ดแรกเลย ถ้าผิดตั้งแต่เม็ดแรก ก็ผิดหมด ถึงความวิบัติฟั่นเฟือน
    F8EDEA8A-1411-4AF5-A6F8-7565F08ECCA6.jpeg

    *การสังคายนาในประเทศไทย*

    https://palungjit.org/threads/การสังคายนาพระไตรปิฏก-11-ครั้ง-และที่ประเทศไทย.10074/

    พิจารณาเสร็จ ตี2 นั่งวิปัสสนาต่อ!


    {0}ไม่ต้องสนว่าเราเป็นใคร ให้สนว่าจะได้อะไรจากเรา{0}

    #นี่ไม่ใช่เรา ! ความรู้ความเข้าใจนี้ไม่มีและไม่เคยมีในร่างกายและหัวสมองเน่าๆที่เราอาศัยอยู่นี้

    #หรือไม่ได้อะไรเลย อ่านไปไร้สาระ ลายตา ก็แล้วแต่ท่านจะปรารถนาเถิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2022
  16. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +24
    F56F79B7-1029-4F3D-BB45-9D37B83F95AC.jpeg FE6D761F-FC68-496D-A55F-C5367C84CD74.jpeg 797208C7-EA8D-403A-8BCC-A7B670FD7A1D.jpeg การดึงดูด หลอมรวมของ ปฎิสัมภิทามรรค (ไม่มีอะไรซุกซ่อนจากเหล่าปฎิสัมภิทาได้ ยิ่งระดับสูง ยิ่งสามารถวิสัชนาหาเหตุผล ชักนำเหตุการณ์ หาผลสรุป)

    ทีนี้ พบบางอย่างที่น่าสนใจ ! บุคคลนี้ ไปได้ข้อมูลมาจากไหน? เราจะค่อยๆคิดเข้าไปสอบถามและสืบค้นกันดู ถึงต้นขั้วของคำบอกเล่าหรือสูตรที่เกี่ยวข้องนั้น อะไรคือสิ่งดลใจ หรืออะไร?คือแรงจูงใจ

    คาดว่ามาจากพระสูตรฝั่งมหายานและเถรวาท ที่กล่าวถึงโพธิบัลลังก์ ที่พระศรีอาร์ยทรงตรัสรู้และแสดงธรรม ต้นไม้สูงใหญ่ 64 km.



    D00C5C5F-0A63-4A1C-9908-15E75BF11EE4.png
    #ข้อมูลดิบ

    ต้นหลงหัวเป็นชื่อในภาษาสันสกฤตเรียกว่า ปอนนคร แต่ละต้นสูง 40 ไมล์ และกิ่งก้านเป็นต้นไม้ในจินตนาการที่มังกรพ่นสมบัติออกมา หลังจากพระศากยมุนีปรินิพพานแล้วพระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์ก็ได้ตรัสรู้ใต้ต้นไม้นี้และจัดการประชุมธรรม 3 ครั้งเพื่อช่วยสรรพชีวิต พระองค์ทรงมีทรรศนะของต้นไม้ในจินตนาการและต้นไม้จริง ที่มีอยู่จริงคือ Terry Habok ซึ่งมีชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า Psittaceae เป็นไม้ตะเคียนกลางสูงประมาณ 18 เมตร ใบสีเขียวหนาใหญ่เป็นมันเงา จากชายโครง กลางเส้นมีเส้นละเอียดและขนานกันปรากฏขึ้นจากซ้ายไปขวารอบๆ ดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์มี 4 กลีบ ดอกไม้นี้มีกลิ่นหอมมากและเป็นที่รู้จักในอินเดียตั้งแต่สมัยโบราณ แท้จริงแล้วมีลักษณะเป็นทรงกลมสีเหลืองแกมเขียวยาวประมาณสองเซนติเมตร เนื่องจากมีน้ำมันจำนวนมากจึงลอยน้ำได้ง่ายและเนื่องจากมันถูกขนส่งไปยังที่ห่างไกลโดยกระแสน้ำในมหาสมุทรจึงมีการกระจายอย่างกว้างขวางจากแอฟริกาไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โอกินาว่า และโองาซาวาระ น้ำมันที่สกัดจากผลไม้คือ มีสีเขียวและมีกลิ่นหอม เรียกว่า น้ำมันดีโล. น้ำมันพินนาถ. ใช้เป็นวัตถุดิบทำหนังและน้ำมันก๊าด ผลไม้นี้ถูกร้อยเข้าด้วยกันในโอกินาวาและใช้แทนเทียนไข ดูเหมือนว่าน้ำมันจะถูกใช้เป็นยารักษาโรครูมาติกและแบบแห้ง

    ‘ต้นโพธิ์’ ที่เรานิยมเรียกกัน แต่ก่อนชื่อว่า ‘อัสสัตถะ’


    อัสสัตถะเป็นภาษาบาลี (เข้าใจว่าชาวพื้นเมืองแต่เดิมเรียกเช่นนี้) จนกระทั่งพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใต้ต้นไม้ดังกล่าว ต้นอัสสัตถะจึงถูกเรียกชื่อใหม่ว่า “ต้นโพธิ์”



    ทำไมถึงชื่อต้นโพธิ์?



    โดยความหมาย ‘โพธิ’ (หรือ ‘พุทธ’) หมายถึง ความตรัสรู้

    และความจริงแล้ว ‘โพธิ’ ไม่ใช่ชื่อเรียกต้นไม้ชนิดใดชนิดหนึ่ง แต่ใช้เรียกต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ตรัสรู้



    BUDDHA.png
    พระโคตมพุทธเจ้า ที่เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน






    พระสุตตันตปิฏก บันทึกว่า พระโคตมพุทธเจ้าได้ตรัสเรื่องพุทธวงศ์ (สายของพระพุทธเจ้า) เมื่อครั้งประทับ ณ นิโครธาราม ว่าการสืบสายพุทธวงศ์ไม่ได้มาจากการสืบสายโลหิต หรือการชิงอำนาจ แต่มาจากการสั่งสมบารมี และรับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าในอดีต

    พุทธศาสนาเชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน อุปมามากกว่าเม็ดทรายในมหาสมุทรทั้งสี่ แต่พระพุทธเจ้าในอดีตที่อยู่ในพุทธวงศ์ของพระโคตมพุทธเจ้ามีทั้งสิ้น 24 พระองค์ (เนื่องจาก 24 พระองค์นี้พยากรณ์ว่า พระโคตมโพธิสัตว์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต)

    ในอดีตพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ล้วนตรัสรู้ที่ใต้ต้นไม้ แต่ต้นไม้ที่ประทับบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้อาจต่างกัน

    ดังนั้น ต้นพระศรีมหาโพธิ์ (ต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้) ของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จึงไม่เหมือนกัน (หรืออาจเป็นต้นเดียวกันก็ได้)

    ต่อไปนี้คือ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ล่าสุด (ลำดับย้อนหลังจากปัจจุบัน) ทรงประทับเพื่อตรัสรู้



    1.พระพุทธโคตมะ – ต้นอัสสัตถะ หรือ “ต้นโพธิ์”
    01_common-6.jpg
    ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือ “วัดโพธิ์” (Photo: Vachi)


    2. พระพุทธกัสสปะ – ต้นนิโครธ หรือ “ต้นบันยัน”
    02-6.jpg
    ต้นบันยัน (photo: https://internchina.com)


    3. พระพุทธโกนาคมนะ – ต้นอุทุมพระ หรือ “ต้นมะเดื่อชุมพร”
    03-2.jpg
    มะเดื่อชุมพร (photo: flickr.com/life-is-color)


    4. พระพุทธกกุสันธะ – ต้นสิรีสะ หรือ “ต้นพฤกษ์”
    04-5.jpg
    ต้นพฤกษ์ (photo: asergeev.com)


    5. พระพุทธเวสสภู – ต้นมหาสาละ หรือ “ต้นสาละ”
    05-3.jpg
    สาละ (photo: blogspot.com)


    ขณะที่ตำราอนาคตวงศ์ ได้ระบุถึงพระโพธิสัตว์ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอีก 10 พระองค์ โดยระบุว่า พระพุทธเจ้าองค์ถัดไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรย จะมาตรัสรู้เป็นพระเมตไตยพุทธเจ้าที่ใต้ “ต้นกากะทิง”

    ด้วยเหตุนี้ “ต้นโพธิ์” ที่แท้จริง จึงไม่ใช่ต้นไม้ชื่อโพธิ์อย่างที่เราเข้าใจ

    แต่หมายถึงต้นไม้พันธุ์ใดก็ได้ ที่พระพุทธเจ้าทรงประทับเพื่อตรัสรู้

    กล่าวอย่างถึงที่สุด “ต้นโพธิ์” จึงมิใช่สิ่งใดอื่น

    นอกจากชื่อที่ ‘สมมติ’ ขึ้นมา


    ต้นกากะทิง (ต้นนาคะ)


    ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 33 พระสุตตันตปิฎก เล่ม 25 ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ มังคลพุทธวงศ์, สุมนพุทธวงศ์, เรวตพุทธวงศ์ และโสภิตพุทธวงศ์ กล่าวไว้ว่า

    พระพุทธเจ้า 4 พระองค์ คือ
    พระพุทธเจ้าองค์ที่ 6 พระนามว่า พระมังคลพุทธเจ้า ผู้ทรงชูดวงไฟคือพระธรรมให้สว่างไสว ซึ่งทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ 8 เดือนเต็ม
    พระพุทธเจ้าองค์ที่ 7 พระนามว่า พระสุมนพุทธเจ้า ผู้ไม่มีใครเสมอเหมือนโดยธรรมทั้งปวง ซึ่งทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ 10 เดือนเต็ม
    พระพุทธเจ้าองค์ที่ 8 พระนามว่า พระเรวตพุทธเจ้า ผู้ทรงยศ มีพระปัญญามาก ซึ่งทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ 7 เดือนเต็ม
    และพระพุทธเจ้าองค์ที่ 9 พระนามว่า พระโสภิตพุทธเจ้า ผู้ทรงมีพระทัยมั่นคงสงบระงับไม่มีใครเสมอเหมือน ซึ่งทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ 7 วัน
    ทั้งสี่พระองค์จึงได้ประทับตรัสรู้ ณ ควงไม้กากะทิง เช่นเดียวกัน

    ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 84 ของ ส.ธรรมภักดี กล่าวไว้ว่า ต้นกากะทิงจะเป็นพันธุ์ไม้ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลข้างหน้า ซึ่งมีนามว่า "พระศรีอริยเมตไตรย"

    ต้นกากะทิง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า "Calophylum inophyllum Linn." อยู่ในวงศ์ "Guttiferae" ในภาษาบาลีเรียกว่า "ต้นนาคะ" ถิ่นกำเนิดอยู่ในอินเดียและฝั่งตะวันตกของแปซิฟิค ในบ้านเรานั้นเรียกชื่อต่างกันไป ได้แก่ กากะทิง, กระทิง (ภาคกลาง) เนาวกาน, สารภีแนน (ภาคเหนือ) ทิง, สารภีทะเล (ภาคใต้) เป็นต้น

    เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่สูงประมาณ 8-20 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มกลมทึบ เปลือกนอกสีน้ำตาลอมเทา ใบมนรูปไข่กลับ ผิวใบเกลี้ยง เนื้อใบหนาเป็นมัน สีเขียวเข้ม ไม่ผลัดใบ ใบมียางสีขาว

    ดอกเล็กสีขาวถึงเหลืองนวล กลิ่นหอม ดอกบานไม่พร้อมกัน ออกเป็นช่อสั้นตามปลายกิ่งและซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ดอกตูมมักอยู่ที่ปลายช่อดอก ดอกบานเต็มที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 ซ.ม. กลีบดอกงองุ้มโค้งเข้าหากัน มีเกสรตัวผู้สีเหลืองเข้มจำนวนมาก เมื่อใกล้โรยเกสรตัวผู้จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ออกดอกช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม

    ผลทรงกลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2.5 ซม. ผลอ่อนสีเขียว ปลายผลเป็นติ่งแหลม และเมื่อแก่จะมีสีน้ำตาล แห้ง ผิวย่น แต่ละผลมี 1 เมล็ด

    ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด แต่จากการที่กระทิงเป็นพันธุ์ไม้ที่ชอบขึ้นตามป่าที่อยู่ใกล้ชายทะเลตอนที่น้ำทะเลขึ้นไม่ถึงและป่าที่ชื้นทั่วไป ที่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 50-100 เมตร ทำให้ลมและน้ำเป็นตัวการสำคัญที่จะมีส่วนช่วยในการแพร่กระจายพันธุ์ของไม้กระทิงในสภาพธรรมชาติ

    เนื่องจากต้นกากะทิงมีเนื้อไม้สีน้ำตาลอมแดง หนักและแข็ง ทนน้ำ จึงมักนำมาใช้ทำเรือ กระดูกงูเรือ สร้างบ้านเรือน ทำตู้ ไม้หมอนรถไฟ เครื่องมือเกษตรกรรม เช่น แอก ฯลฯ เมล็ดนำมาสกัดน้ำมันใช้ ในอุตสาหกรรมสบู่ ทำเทียนไข และผสมทำเครื่องสำอาง

    ส่วนสรรพคุณด้านพืชสมุนไพรนั้น ใบสดนำมาขยำแช่น้ำ ใช้น้ำล้างตา แก้ตาฝ้า ตามัว ตาแดง, สำหรับน้ำมันที่ได้จากเมล็ดนำมาใช้ทาถูนวด แก้ปวดข้อ เคล็ดบวม รักษาโรคเรื้อน, ดอกปรุงเป็นยาหอม บำรุงหัวใจ, รากเป็นยาเบื่อปลา แก้ซาง, เปลือกใช้ชำระล้างแผล แก้คัน และเป็นยาเบื่อปลา แต่ยางทำให้อาเจียน และถ่ายอย่างรุนแรง

    ปัจจุบัน กากะทิงหรือสารภีทะเล เป็นไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดระยอง



    F480F34D-E1BE-4497-BDE2-0693E398438D.jpeg



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2022
  17. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +24
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2022
  18. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +24
    10226451-9D76-4865-A74B-EC8FA0AC67FF.jpeg


    มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Syzygium cumini(L.) Skeels อยู่ในวงศ์ Myrtaceae เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ สูงราว 10-30 เมตร ลำต้นเปลาตรง เปลือกต้นสีเทาอ่อน เรือนยอดเป็นทรงพุ่มกลมหนาทึบ ใบเป็นใบเดี่ยว รูปรี ออกตรงข้าม ขอบใบเรียบ ผิวใบเป็นมัน เมื่อใบอ่อนจะมีสีแดงอ่อนๆ และเมื่อแก่จะมีสีเขียวเข้ม ดอกมีสีขาวหรือเหลืองอ่อน ออกเป็นช่อตามซอกใบหรือปลายยอด ผลรูปรีแกมรูปไข่ ผลอ่อนสีเขียว และค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีชมพู แดง ม่วง จนแก่จัดจะเป็นสีดำ มีเมล็ด 1เมล็ด สรรพคุณทางพืชสมุนไพรของหว้า ได้แก่ เปลือกใช้แก้โรคบิด โรคปากเปื่อย ผลดิบแก้ท้องเสีย ผลสุกเป็นผลไม้ และน้ำจากผลหว้าก็เป็น 1 ใน 8 น้ำปานะที่พระพุทธองค์ทรงมีพุทธานุญาตแก่พระภิกษุ เมล็ดลดน้ำตาลในเลือด แก้ท้องเสีย และใช้ถอนพิษมีเรื่องราวของต้นหว้าที่เกี่ยวพันกับพุทธประวัติ ตอนสำคัญตอนหนึ่ง ที่กล่าวไว้ในหนังสือปฐมสมโพธิ ซึ่งสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) ได้ทรงเรียบเรียงขึ้น ว่า
    เจ้าชายสิทธัตถะ ขณะมีพระชมมายุ ๗ ปี ได้เสด็จฯไปพร้อมกับพระเจ้าสุทโธทนะ พระราชบิดา ในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เจ้าชายประทับนั่งอยู่ใต้ร่มไม้หว้า ซึ่งบรรดาพี่เลี้ยงบริวารได้จัดถวาย และเมื่อเห็นว่าภายใต้ร่มหว้านี้ร่มรื่นปลอดภัย บรรดาพี่เลี้ยงและบริวารก็เลี่ยงไปดูพระราชพิธีแรกนา

    ขณะที่เจ้าชายประทับนั่งขัดสมาธิอยู่เพียงลำพังภายใต้ร่มไม้หว้านั้น ทรงเกิดความวิเวกขึ้น ทรงกำหนดลมหายใจเข้า-ออก เป็นอารมณ์ และก็ทรงบรรลุปฐมฌาน อันมีวิตก วิจาร ปีติ และสุขอันเกิดจากวิเวกนั้น

    แม้เวลาบ่ายคล้อยแล้ว แต่เงาไม้มิได้เคลื่อนตามกาล ยังคงอยู่ที่เดิมดุจเวลาเที่ยงวัน ผู้คนต่างเห็นเป็นอัศจรรย์ ครั้นพระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบและทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็เกิดความอัศจรรย์ในพระทัย ถึงกับเกิดความเลื่อมใส ก้มลงกราบพระโอรสเพื่อบูชาคุณธรรมทางบุญฤทธิ์ปาฏิหาริย์
    ต้นหว้ามีชื่อในภาษาบาลี-สันสกฤตว่า‘ชมฺพุ’ ซึ่งในคัมภีร์วิสุทธิมรรค คัมภีร์สำคัญทางพุทธศาสนา ได้กล่าวถึงต้นหว้า ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำชมพูทวีป ซึ่งตั้งอยู่ตอนใต้ของภูเขาสิเนรุ ไว้ว่า

    “อนึ่ง ในจักรวาลที่ตั้งอยู่พร้อมมูลอย่างนี้นั้น มีภูเขาสิเนรุอันเป็นภูเขาสูงที่สุด หยั่ง ( ลึก) ลงไปในมหาสมุทร 84,000 โยชน์ สูงขึ้นไป (ในฟ้า ) ก็ประมาณเท่ากันนั้น ภูเขาใหญ่ทั้งหลาย คือภูเขายุคันธร ภูเขาอิสินธร ภูเขากรวีกะ ภูเขาสุทัสสนะ ภูเขาเนมินธระ ภูเขาวินตกะ ภูเขาอัสสกัณณะ อันตระการไปด้วยรัตนะหลากๆ ราวกะภูเขาทิพย์ หยั่ง ( ลึก ) ลงไป ( ในมหาสมุทร ) และสูงขึ้นไป ( ในฟ้า ) โดยประมาณกึ่งหนึ่งแต่ประมาณแห่งภูเขาสิเนรุไปตามลำดับ ภูเขาใหญ่ทั้ง 7 นั้น ( ตั้งอยู่ ) โดยรอบภูเขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของ จาตุ มหาราช เป็นที่ที่ เทวดาและยักษ์อาศัยอยู่

    ภูเขาหิมวาสูง 500 โยชน์ ยาวและกว้าง 3,000 โยชน์ ( เท่ากัน ) ประดับไปด้วยยอดถึง 84,000 ยอด ต้นชมพู ( หว้า ) ชื่อนคะ วัดรอบลำต้นได้ 15โยชน์ ลำต้นสูง 50 โยชน์ และกิ่ง ( แต่ละกิ่ง)ก็ยาว 50 โยชน์ แผ่ออกไปวัดได้ 100 โยชน์โดยรอบ และสูงขึ้นไปก็เท่ากันนั้น ด้วยอานุภาพของต้นชมพู (นี้) ไรเล่า ทวีปนี้จึงถูกประกาศชื่อว่าชมพูทวีป
    ในพระไตรปิฎก เล่มที่ 19 สุตตันตปิฎกที่ 11 สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค โพธิปักขิยวรรคที่ 7 รุกขสูตรที่ 1ปัญญินทรีย์เป็นยอดแห่งโพธิปักขิยธรรม

    พระพุทธองค์ได้ทรงสอนเหล่าภิกษุว่า“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต้นไม้ในชมพูทวีปชนิดใดชนิดหนึ่ง ต้นหว้าโลกกล่าวว่า เป็นยอดของต้นไม้เหล่านั้น แม้ฉันใด โพธิปักขิยธรรมเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ปัญญินทรีย์ บัณฑิตกล่าวว่า เป็นยอดแห่งโพธิปักขิยธรรมเหล่านั้น เพราะเป็นไปเพื่อความตรัสรู้ ฉันนั้นเหมือนกัน”

    #คำว่า “โพธิปักขิยธรรม” ก็แยกออกมาเป็น ๓ ศัพท์ด้วยกัน โพธิ + ปักขิย + ธรรม สำเร็จรูปเป็น โพธิปักขิยธรรม คำว่า โพธิ หมายถึงการตรัสรู้ ได้แก่เป็นมรรค ที่เราอาจจะเคยได้ยิน “ปักขิย” ก็คือ เป็นฝ่าย ฝ่ายทางตรัสรู้ ปักขิย แปลว่าเป็นฝ่าย ฝ่ายนี้ โพธิปักขิย ก็คือ ฝ่ายของการตรัสรู้ ฝ่ายของมรรคที่จะดำเนินไปถึงการตรัสรู้

    #บางสำนักตัดอภิธรรม ๗ คำภีร์ทิ้งและชาบูโพธิปักขิยธรรมนี้ แทน มีความโอหัง ฮึกเหิม คิดทำการใหญ่ โดยเอาธรรมฆ่าธรรม ทั้งๆที่ในธรรมทั้งหลายทั้งปวงที่องค์สมเด็จพระบรมมหาศาสดาได้ตรัสแสดงไว้ดีแล้ว ต่างสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน เช่น สูตรนี้ สงเคราะห์สูตรนี้ สูตรนี้ไม่เข้ากับสูตรนั้น สูตรนั้นเข้ากัน ฯลฯ ตามการแจกแจงตามที่ทรงแสดงพระอภิธรรม ๗ คำภีร์ แก่พระพุทธมารดาบนเทวสภาไว้ ด้วยเหตุที่ทรงสงเคราะห์ธรรมเหล่านั้น เบื้องต้น ในธรรมสภา เทวโลก ไม่มีขันธ์ ๕ ของมนุษย์เจือปน เพราะฉนั้น ธรรมเหล่าอื่นฯ พึงมีได้แก่เหล่าเทวดา มาร พรหม ทั้งหลายฯ

    ผู้คัดค้านพระอภิธรรมชื่อว่า ทำลายชินจักร บุคคลเมื่อคัดค้านพระอภิธรรม ชื่อว่า ย่อมให้การประหารในชินจักรนี้ ย่อมคัดค้านพระสัพพัญญุตญาณ ย่อมหมิ่นเวสารัชชญาณของพระศาสดา ย่อมขัดแย้งบริษัทผู้ต้องการฟัง ย่อมผูกเครื่องกั้นอริยมรรค จักปรากฏในเภทกรวัตถุ ๑๘ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นผู้ควรแก่อุกเขปนิยกรรม นิยสกรรม ตัชชนียกรรม เพราะทำกรรมนั้น จึงควรส่งเธอไปว่า เจ้าจงไป จงเป็นคนกินเดนเลี้ยงชีพเถิด ดังนี้.


    และในคราวที่ทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์เพื่อกำราบทิฏฐิมานะของชฎิล ที่ชื่ออุรุเวลกัสสปนั้นหนึ่งในปาฏิหาริย์ก็คือวันหนึ่งอุรุเวลกัสสปได้มาทูลนิมนต์พระพุทธองค์ให้ไปฉันภัตตาหารที่โรงบูชาไฟ พระพุทธองค์จึงตรัสว่าจะตามไปทีหลัง อุรุเวลกัสสปจึงได้กลับไปก่อน จากนั้นทรงเก็บผลหว้าจากต้นหว้าประจำชมพูทวีป แล้วเสด็จมาประทับนั่งในโรงบูชาเพลิงก่อนที่อุรุเวลกัสสปจะมาถึง ทำให้อุรุเวลกัสสปรู้ว่าพระพุทธเจ้าทรงมีฤทธิ์อานุภาพมาก

    นอกจากนี้ต้นหว้ายังเกี่ยวพันกับเรื่องราวของภิกษุณีเอตทัคคะในทางตรัสรู้ฉับพลัน คือพระภัททากุณฑลเกสา ตามประวัติกล่าวว่า พระมหาสาวิการูปนี้เดิมเป็นธิดาของเศรษฐีในราชคฤห์ และเคยเป็นภรรยาโจรร้าย ซึ่งเป็นนักโทษประหาร ภายหลังโจรคิดจะฆ่านางเพื่อเอาทรัพย์สมบัติ แต่นางใช้ปัญญากำจัดโจรร้ายได้ และได้ไปบวชเป็นปริพาชิกาในสำนักของพวกนิครนถ์(นักบวชนอกศาสนา) นางได้เรียนวิชาโต้วาทีจนสำเร็จ ปริพาชกผู้เป็นอาจารย์จึงมอบกิ่งหว้าให้ และบอกให้นางไปแสวงหาความรู้เพิ่มเติมยังที่อื่นๆ โดยหากมีใครตอบคำถามของนางได้ ก็ให้นางเป็นศิษย์ของผู้นั้น นางจึงถือกิ่งหว้าเที่ยวท้าผู้มีวาทะ โดยปักกิ่งหญ้าบนกองทราย แล้วประกาศว่า “ถ้าผู้ใดสามารถที่จะโต้วาทะกับเราได้ก็จงเหยียบกิ่งหว้านี้”จึงมีผู้คนเรียกนางว่า“ชัมพุปริพาชิกา” ในที่สุดนางก็ได้พบกับพระสารีบุตร และได้ถามปัญหาแก่กัน จนนางเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ต่อมาได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์จนบรรลุเป็นพระอรหันต์

    ในพม่านั้น ต้นหว้าถือเป็นไม้มงคลในเรื่องความสำเร็จและชัยชนะ ด้วยชื่อว่าชมพูทวีป หรือดินแดนแห่งไม้หว้านั้น เป็นแผ่นดินอันเป็นแดนกำเนิดของพระพุทธศาสนาและพระบรมศาสดานั่นเอง
    สำหรับในประเทศไทย ต้นหว้าเป็นพันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลประจำจังหวัดเพชรบุรี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2022
  19. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +24
    839D324A-8BCA-416E-A18E-7C9927EE0CC5.jpeg ความหมายของ พระอภิธรรมปิฎก
    พระอภิธรรมปิฎก ประมวลพระพุทธพจน์หมวดพระอภิธรรม คือ หลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชา
    ล้วนๆ ไม่เกี่ยวด้วยบุคคลหรือเหตุการณ์ แบ่งเป็น ๗ คัมภีร์ (เรียกย่อหรือหัวใจว่า สํ วิ ธา ปุ ก ย ป) คือ
    ๑. สังคณี หรือ ธัมมสังคณี รวมข้อธรรมเข้าเป็นหมวดหมู่แล้วอธิบายทีละประเภท ๆ
    ๒. วิภังค์ ยกหมวดธรรมสำคัญ ๆ ขึ้นตั้งเป็นหัวเรื่องแล้วแยกแยะออกอธิบายชี้แจงวินิจฉัยโดยละเอียด
    ๓. ธาตุกถา สงเคราะห์ข้อธรรมต่าง ๆ เข้าในขันธ์ อายตนะ ธาตุ
    ๔. ปุคคลบัญญัติ บัญญัติความหมายของบุคคลประเภทต่างๆ ตามคุณธรรมที่มีอยู่ในบุคคลนั้นๆ
    ๕. กถาวัตถุ แถลงและวินิจฉัยทัศนะของนิกายต่างๆ สมัยสังคายนาครั้งที่ ๓
    ๖. ยมก ยกหัวข้อธรรมขึ้นวินิจฉัยด้วยวิธีถามตอบ โดยตั้งคำถามย้อนกันเป็นคู่ๆ
    ๗. ปัฏฐาน หรือ มหาปกรณ์ อธิบายปัจจัย๒๔ แสดงความสัมพันธ์เนื่องอาศัยกันแห่งธรรมทั้งหลายโดยพิสดาร


    ค. พระอภิธรรมปิฎก ๑๒ เล่ม
    เล่ม ๓๔
    ธัมมสังคณี ต้นเล่มแสดง มาติกา (แม่บท) อันได้แก่บทสรุปแห่งธรรมทั้งหลายที่จัดเป็นชุดๆ มีทั้งชุด ๓
    เช่น จัดทุกสิ่งทุกอย่างประดามีเป็นกุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากฤตธรรม ชุดหนึ่ง เป็นอดีตธรรม อนาคตธรรม
    ปัจจุบันธรรม ชุดหนึ่ง ฯลฯ และชุด ๒ เช่น จัดทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสังขตธรรม อสังขตธรรม ชุดหนึ่ง รูปีธรรม
    อรูปีธรรม ชุดหนึ่ง โลกียธรรม โลกุตตรธรรม ชุดหนึ่งเป็นต้น รวมทั้งหมดมี ๑๖๔ ชุด หรือ ๑๖๔ มาติกา จากนั้น
    ขยายความมาติกาที่ ๑ เป็นตัวอย่าง แสดงให้เห็นกุศลธรรม อกุศลธรรม และอัพยากฤตธรรมที่กระจายออกไปโดย
    จิต เจตสิก รูป และนิพพาน ท้ายเล่มมีอีก ๒ บท แสดงคำอธิบายย่อหรือคำจำกัดความข้อธรรมทั้งหลายในมาติกาที่
    กล่าวถึงข้างต้นจนครบ ๑๖๔ มาติกา ได้คำจำกัดความข้อธรรมใน ๒ บท เป็น ๒ แบบ (แต่บทท้ายจำกัดความไว้
    เพียง ๑๒๒ มาติกา)


    เล่ม ๓๕ วิภังค์ ยกหลักธรรมสำคัญ ๆ ขึ้นมาแจกแจงแยกแยะอธิบายกระจายออกให้เห็นทุกแง่จนชัดเจนจบไปเป็นเรื่องๆ รวมอธิบายทั้งหมด ๑๘ เรื่อง คือ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘อริยสัจจ์ ๔ อินทรีย์ ๒๒ ปฏิจจสมุปบาท สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ ฌาน อัปปมัญญา ศีล ๕ ปฏิสัมภิทา ๔ ญาณประเภทต่าง ๆ และเบ็ดเตล็ดว่าด้วยอกุศลธรรมต่างๆ อธิบายเรื่องใด ก็เรียกว่าวิภังค์ของเรื่องนั้นๆ เช่นอธิบายขันธ์๕ ก็เรียกขันธวิภังค์ เป็นต้น รวมมี ๑๘ วิภังค์


    เล่ม ๓๖ ธาตุกถา นำข้อธรรมในมาติกาทั้งหลายและข้อธรรมอื่นๆ อีก ๑๒๕ อย่าง มาจัดเข้าในขันธ์ ๕ อายตนะ
    ๑๒ และธาตุ ๑๘ ว่าข้อใดได้หรือไม่ได้ในอย่างไหนๆ และปุคคลบัญญัติ บัญญัติความหมายของชื่อที่ใช้เรียกบุคคล
    ต่างๆ ตามคุณธรรม เช่นว่า “โสดาบัน” ได้แก่ บุคคลผู้ละสังโยชน์๓ ได้แล้ว ดังนี้เป็นต้น


    เล่ม ๓๗ กถาวัตถุ คัมภีร์ที่พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ประธานการสังคายนาครั้งที่ ๓ เรียบเรียงขึ้น เพื่อ
    แก้ความเห็นผิดของนิกายต่างๆ ในพระพุทธศาสนาครั้งนั้น ซึ่งได้แตกแยกกันออกแล้วถึง ๑๘ นิกาย เช่นความเห็น
    ว่า พระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตตผลได้ เป็นพระอรหันต์พร้อมกับการเกิดได้ ทุกอย่างเกิดจากกรรมเป็นต้น ประพันธ์
    เป็นคำปุจฉาวิสัชนา มีทั้งหมด ๒๑๙ กถา


    เล่ม ๓๘ ยมก ภาค ๑ คัมภีร์อธิบายหลักธรรมสำคัญให้เห็นความหมายและขอบเขตอย่างชัดเจน และทดสอบความ
    รู้อย่างลึกซึ้ง ด้วยวิธีตั้งคำถามย้อนกันเป็นคู่ๆ (ยมก แปลว่า คู่) เช่นถามว่า ธรรมทั้งปวงที่เป็นกุศล เป็นกุศลมูล หรือ
    ว่าธรรมทั้งปวงที่เป็นกุศลมูล เป็นกุศล, รูป (ทั้งหมด) เป็นรูปขันธ์ หรือว่ารูปขันธ์(ทั้งหมด) เป็นรูป, ทุกข์ (ทั้งหมด)
    เป็นทุกขสัจจ์ หรือว่าทุกขสัจจ์ (ทั้งหมด) เป็นทุกข์ หลักธรรมที่นำมาอธิบายในเล่มนี้มี ๗ คือ มูล (เช่นกุศลมูล) ขันธ์
    อายตนะ ธาตุ สัจจะ สังขาร อนุสัย ถามตอบอธิบายเรื่องใด ก็เรียกว่ายมกของเรื่องนั้นๆ เช่น มูลยมก ขันธยมก เป็นต้น
    เล่มนี้จึงมี ๗ ยมก


    เล่ม ๓๙ ยมก ภาค ๒ ถามตอบอธิบายหลักธรรมเพิ่มเติมจากภาค ๑ อีก ๓ เรื่อง คือ จิตตยมก ธรรมยมก
    (กุศล-อกุศล-อัพยากตธรรม) อินทรียยมก บรรจบเป็น ๑๐ ยมก


    เล่ม ๔๐ ปัฏฐาน ภาค ๑ คัมภีร์ปัฏฐานอธิบายปัจจัย ๒๔ โดยพิสดาร แสดงความสัมพันธ์อิงอาศัยเป็นปัจจัยแก่กัน
    แห่งธรรมทั้งหลายในแง่ด้านต่างๆ ธรรมที่นำมาอธิบายก็คือข้อธรรมที่มีในมาติกาคือแม่บทหรือบทสรุปธรรม ซึ่ง
    กล่าวไว้แล้วในคัมภีร์สังคณีนั่นเอง แต่อธิบายเฉพาะ ๑๒๒ มาติกาแรกที่เรียกว่า อภิธรรมมาติกา ปัฏฐานเล่มแรกนี้
    อธิบายความหมายของปัจจัย ๒๔ เป็นการปูพื้นความเข้าใจเบื้องต้นก่อน จากนั้นจึงเข้าสู่เนื้อหาของเล่ม คือ อนุโลม
    ติกปัฏฐาน อธิบายความเป็นปัจจัยแก่กันแห่งธรรมทั้งหลายในแม่บทชุด ๓ (ติกมาติกา) โดยปัจจัย ๒๔ นั้น เช่นว่า
    กุศลธรรมเป็นปัจจัยแก่กุศลธรรมโดยอุปนิสสยปัจจัย (เพราะศรัทธา จึงให้ทาน จึงสมาทานศีล จึงบำเพ็ญฌาน จึง
    เจริญวิปัสสนา ฯลฯ) กุศลธรรมเป็นปัจจัยแก่อกุศลธรรมโดยอุปนิสสยปัจจัย (คิดถึงทานที่ตนได้ให้ ศีลที่ได้รักษาแล้วดีใจ ยึดเป็นอารมณ์แน่นหนาจนเกิดราคะ ทิฏฐิ, มีศรัทธา มีศีล มีปัญญา แล้วเกิดมานะว่า ฉันดีกว่า เก่งกว่า หรือเกิดทิฏฐิว่า ต้องทำอย่างเรานี้เท่านั้นจึงถูกต้อง ฯลฯ) อกุศลธรรมเป็นปัจจัยแก่กุศลธรรมโดยอุปนิสสยปัจจัย (เพราะความอยากบางอย่าง หรือเพราะมานะหรือทิฏฐิ จึงให้ทาน จึงรักษาศีล จึงทำฌานให้เกิด ฯลฯ) กุศลธรรมเป็นปัจจัยแก่อกุศลธรรม โดยอารัมมณปัจจัย (คิดถึงฌานที่ตนเคยได้แต่มาเสื่อมไปเสียแล้ว เกิดความโทมนัส ฯลฯ) อย่างนี้เป็นต้น


    (เล่มนี้อธิบายแต่ในเชิงอนุโลมคือตามนัยปกติไม่อธิบายตามนัยปฏิเสธจึงเรียกว่าอนุโลมปัฏฐาน)
    เล่ม ๔๑ ปัฏฐาน ภาค ๒ อนุโลมติกปัฏฐาน ต่อ คือ อธิบายความเป็นปัจจัยแก่กันแห่งธรรมทั้งหลายในแม่บทชุด ๓
    ต่อจากเล่ม ๔๐ เช่น อดีตธรรมเป็นปัจจัยแก่ปัจจุบันธรรม โดยอารัมมณปัจจัย (พิจารณารูปเสียงเป็นต้น ที่ดับเป็น
    อดีตไปแล้วว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เกิดความโทมนัสขึ้น ฯลฯ) เป็นต้น


    เล่ม ๔๒ ปัฏฐาน ภาค ๓ อนุโลมทุกปัฏฐาน อธิบายความเป็นปัจจัยแก่กันแห่งธรรมทั้งหลายในแม่บทชุด ๒ (ทุกมา
    ติกา) เช่น โลกียธรรมเป็นปัจจัยแก่โลกียธรรม โดยอารัมมณปัจจัย (รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ) ดังนี้
    เป็นต้น


    เล่ม ๔๓ ปัฏฐาน ภาค ๔ อนุโลมทุกปัฏฐาน ต่อ
    เล่ม ๔๔ ปัฏฐาน ภาค ๕ ยังเป็นอนุโลมปัฏฐาน แต่อธิบายความเป็นปัจจัยแก่กันแห่งธรรมทั้งหลายในแม่บทต่างๆ
    ข้ามชุดกันไปมา ประกอบด้วย


    อนุโลมทุกติกปัฏฐาน ธรรมในแม่บทชุด ๒ (ทุกมาติกา) กับธรรมในแม่บทชุด ๓ (ติกมาติกา) เช่น อธิบาย "กุศล
    ธรรมที่เป็นโลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่กุศลธรรม ที่เป็นโลกียธรรม โดยอธิปติปัจจัย" เป็นอย่างไร เป็นต้น
    อนุโลมติกทุกปัฏฐาน ธรรมในแม่บทชุด ๓ (ติกมาติกา) กับธรรมในแม่บทชุด ๒ (ทุกมาติกา)

    อนุโลมติกติกปัฏฐาน ธรรมในแม่บทชุด ๓ (ติกมาติกา) กับธรรมในแม่บทชุด ๓ (ติกมาติกา) โยงระหว่างต่างชุด
    กัน เช่นอธิบายว่า "กุศลธรรมที่เป็นอดีตธรรมเป็นปัจจัยแก่อกุศลธรรมที่เป็นปัจจุบันธรรม" เป็นอย่างไร เป็นต้น
    อนุโลมทุกทุกปัฏฐาน ธรรมในแม่บทชุด ๒ (ทุกมาติกา) กับธรรมในบทชุด ๒ (ทุกมาติกา) โยงระหว่างต่างชุดกัน
    เช่นชุดโลกียะ โลกุตตระ กับชุดสังขตะอสังขตะ เป็นต้น
    เล่ม ๔๕ ปัฏฐาน ภาค ๖ เป็นปัจจนียปัฏฐาน คืออธิบายความเป็นปัจจัยแก่กันแห่งธรรมทั้งหลายอย่างเล่มก่อนๆ นั่น
    เอง แต่อธิบายแง่ปฏิเสธ แยกเป็น ปัจจนียปัฏฐาน คือ ปฏิเสธ+ปฏิเสธ เช่นว่า ธรรมที่ไม่ใช่กุศล อาศัยธรรมที่ไม่ใช่กุศลเกิดขึ้นโดยเหตุปัจจัย เป็นอย่างไร อนุโลมปัจจนียปัฏฐาน คือ อนุโลม+ปฏิเสธ เช่นว่า อาศัยโลกิยธรรม ธรรมที่ไม่ใช่โลกุตตรธรรมเกิดขึ้นโดยเหตุปัจจัย เป็นอย่างไร ปัจจนียานุโลมปัฏฐาน คือ ปฏิเสธ+อนุโลม เช่นว่า อาศัยธรรม
    ที่ไม่ใช่กุศลธรรมที่เป็นอกุศล เกิดขึ้น โดยเหตุปัจจัย เป็นอย่างไร และในทั้ง ๓ แบบนี้ แต่ละแบบ จะอธิบายโดยใช้
    ธรรมในแม่บทชุด ๓ แล้วต่อด้วยชุด ๒ แล้วข้ามชุดระหว่างชุด ๒ กับชุด ๓ ชุด ๓ กับชุด ๒ ชุด ๓ กับชุด ๓
    ชุด ๒ กับชุด ๒ จนครบทั้งหมดเหมือนกัน ดังนั้นแต่ละแบบจึงแยกซอยละเอียดออกไปเป็น ติก ทุก ทุกติก ติกทุก
    ติกติก ทุกทุก ตามลำดับ (เขียนให้เต็มเป็น ปัจจนียติกปัฏฐาน ปัจจนียทุกปัฏฐาน ปัจจนียทุกติกปัฏฐาน ฯลฯ ดังนี้
    เรื่อยไป จนถึงท้ายสุดคือ ปัจจนียานุโลมทุกทุกปัฏฐาน)


    คัมภีร์ปัฏฐานนี้ ท่านอธิบายค่อนข้างละเอียดเฉพาะเล่มต้นๆ เท่านั้นเล่มหลังๆ ท่านแสดงไว้แต่หัวข้อหรือแนว
    และทิ้งไว้ให้ผู้เข้าใจแนวนั้นแล้วเอาไปแจกแจงโดยพิสดารเอง โดยเฉพาะเล่มสุดท้ายคือภาค ๖ แสดงไว้ย่นย่อที่สุด
    แม้กระนั้นก็ยังเป็นหนังสือถึง ๖ เล่ม หรือ ๓,๓๒๐ หน้ากระดาษพิมพ์ ถ้าอธิบายโดยพิสดารทั้งหมดจะเป็นเล่มหนัง
    สืออีกจำนวนมากมายหลายเท่าตัว ท่านจึงเรียกปัฏฐานอีกชื่อหนึ่งว่า "มหาปกรณ์" แปลว่า ตำราใหญ่ ใหญ่ทั้งโดย
    ขนาดและโดยความสำคัญ

    พระอรรถกถาจารย์กล่าวว่า พระไตรปิฎกมีเนื้อความทั้งหมด ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แบ่งเป็น พระวินัยปิฎก
    ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ พระสุตตันตปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และพระอภิธรรมปิฎก ๔๒,๐๐๐ พระธรรม
    ขันธ์

    [​IMG]
    [​IMG]
    คัดลอกจาก พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
    โดยพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต)

    6 พฤษภาคม พ.ศ. 2545
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2022
  20. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +24
    B78507D1-F63A-44E7-8A96-5CA2E607000C.jpeg



    ว่าด้วยวิบัติ ๓ ประเภท

    อนึ่ง ภิกษุผู้ปฏิบัติผิดในพระวินัย เป็นผู้มีความสำคัญว่าไม่มีโทษในผัสสะที่มีใจครองเป็นต้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามแล้ว โดยความเสมอด้วยสัมผัสมีเครื่องลาดและเครื่องนุ่งห่ม มีสัมผัสเป็นสุขเป็นต้นที่ทรงอนุญาตแล้ว เหมือนคำที่พระอริฏฐะกล่าวว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงแล้ว โดยประการที่ธรรมทั้งหลายอันกระทำอันตรายที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วนี้ ไม่สามารถทำอันตรายแก่ผู้เสพอยู่ได้๑- ดังนี้ ต่อจากนั้น เธอก็ถึงความเป็นผู้ทุศีล.


    ภิกษุผู้ปฏิบัติผิดในพระสูตร ไม่รู้คำอธิบาย เหมือนในประโยคมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกเหล่านี้มีอยู่ มีปรากฏอยู่ในโลก ดังนี้ ย่อมถือเอาผิด ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาตรัสไว้ว่า บุคคลมีอัตตาอันถือเอาผิด ย่อมกล่าวตู่เราด้วย ย่อมขุด (ทำลาย) ซึ่งตนด้วย และย่อมประสบสิ่งมิใช่บุญเป็นอันมากด้วย ดังนี้ ต่อจากนั้น เธอก็ถึงความเป็นมิจฉาทิฏฐิ.


    ภิกษุผู้ปฏิบัติผิดในพระอภิธรรมจะวิจารธรรมเกินไป ย่อมคิดแม้สิ่งที่ไม่ควรคิด (อจินไตย) ต่อจากนั้น ก็จะถึงความฟุ้งซ่านแห่งจิต สมกับพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ เหล่านี้ บุคคลไม่ควรคิด ซึ่งเมื่อคิดอยู่ ก็พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า แห่งความคับแค้น๒- ดังนี้.

    ภิกษุผู้ปฏิบัติผิดในพระไตรปิฎกนี้ ย่อมถึงความวิบัติอันต่างด้วยความเป็นผู้ทุศีล ความเป็นมิจฉาทิฏฐิ และความฟุ้งซ่านแห่งจิตนี้ โดยลำดับด้วยประการฉะนี้.
    ด้วยคำมีประมาณเท่านี้ คาถาแม้นี้ก็เป็นอันข้าพเจ้ากล่าวแล้วว่า
    ภิกษุย่อมบรรลุประเภทแห่งปริยัติ
    สมบัติ และแม้วิบัติอันใด ในปิฎกใด โดย
    ประการใด พึงเจริญเนื้อความแม้นั้น
    ทั้งหมด ด้วยประการนั้น.

    บัณฑิต ครั้นทราบปิฎกทั้งหลายโดยประการต่างๆ ด้วยอาการอย่างนี้ แล้วพึงทราบพุทธพจน์แม้ทั้งหมดที่ประมวลมาด้วยสามารถแห่งปิฎกเหล่านั้นว่า เป็นปิฎก ๓ ดังนี้.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2022
  21. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +24
    {0}พุทธทำนาย มูลเหตุ ที่มาแห่งพระอภิธรรม แก่พระสงฆ์สาวก{0}

    ทรงทราบว่า จะถูกอสัตบุรุษ อันเป็น โมฆะบุรุษ อลัชชี อามิสทายาท ทำลายพระไตรปิฏก จึงทรงแสดงสูตรนี้ไว้เฉพาะ ในประเทศไทย มีอยู่เพียงแห่งเดียวที่ประกาศประหาน พระอภิธรรม และพระไตรปิฏกลง ท่านจึงทรงแสดง วิบัติ ๓ และ สาปส่งให้ไปเกิดเป็นคนกินเดนกันทั้งหมด เพราะทิฏฐิชั่ว ของขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่ เกิดมาทำลายพระศาสนาของพระองค์ ที่ทรงประดิษฐานไว้อย่างมั่นคงชั่วกาลแห่งพระพุทธศาสนา






    จำเดิมแต่กาลที่พระศาสดาทรงอนุโมทนาแล้วอย่างนี้ พระสุตตันตะทั้งสิ้นชื่อว่า เป็นพุทธภาษิต แม้พระสูตรที่พระอานนทเถระเป็นต้นให้พิสดารแล้ว ก็นัยนี้เหมือนกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อทรงแสดงปกรณ์อภิธรรม ๗ พอถึงกถาวัตถุ จึงทรงตั้งมาติกาไว้โดยนัยที่กล่าวแล้ว.
    อนึ่ง เมื่อทรงหยุด ได้ทรงเห็นเหตุนี้ว่า

    # “เมื่อเราปรินิพพานล่วงแล้ว ๒๑๘ ภิกษุชื่อว่า โมคคัลลีปุตตติสสเถระนั่งในท่ามกลางภิกษุหนึ่งพันรูป แล้วจักประมวลพระสูตรหนึ่งพันสูตร คือในสกวาทะห้าร้อยสูตร ในปรวาทะห้าร้อยสูตร แล้วจำแนกกถาวัตถุปกรณ์ มีประมาณเท่าทีฆนิกาย” ดังนี้ แม้พระโมคคัลลีปุตตติสสเถระเมื่อจะแสดงปกรณ์นี้ก็ไม่แสดงด้วยความรู้ของตน แต่แสดงตามมาติกาที่ตั้งไว้โดยนัยที่พระศาสดาประทาน เพราะฉะนั้น ปกรณ์นี้ทั้งหมดจึงชื่อว่าเป็นพุทธภาษิตโดยแท้ เพราะพระเถระแสดงตามมาติกาที่ตั้งไว้ โดยนัยที่พระศาสดาประทานแล้ว ปกรณ์ทั้ง ๗ รวมทั้งกถาวัตถุจึงชื่อว่า “อภิธรรม” ด้วยประการฉะนี้.
    ____________________________
    ๑- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๒๔๕/หน้า ๒๒๒
    ธรรมสังคณี บรรดาปกรณ์ทั้งเจ็ดนั้น ในปกรณ์ธรรมสังคณีมีวิภัตติ (คือการจำแนก) ไว้ ๔ คือ
    จิตตวิภัตติ (การจำแนกจิต)
    รูปวิภัตติ (การจำแนกรูป)
    นิกเขปราสิ (การจำแนกกองธรรมที่ตั้งไว้)
    อัตถุทธาระ (การยกอรรถขึ้นแสดง).
    ว่าด้วยจิตตวิภัตติ บรรดาการจำแนกธรรมทั้ง ๔ เหล่านั้น ธรรมนี้คือ
    ๑. กามาวจรกุศลจิต ๘ ดวง
    ๒. อกุศลจิต ๑๒ ดวง
    ๓. กุศลวิปากจิต ๑๖ ดวง
    ๔. อกุศลวิปากจิต ๗ ดวง
    ๕. กิริยาจิต ๑๑ ดวง
    ๖. รูปาวจรกุศลจิต ๕ ดวง
    ๗. รูปาวจรวิปากจิต ๕ ดวง
    ๘. รูปาวจรกิริยาจิต ๕ ดวง
    ๙. อรูปาวจรกุศลจิต ๔ ดวง
    ๑๐. อรูปาวจรวิปากจิต ๔ ดวง
    ๑๑. อรูปาวจรกิริยาจิต ๔ ดวง
    ๑๒. โลกุตรกุศลจิต ๔ ดวง
    ๑๓. โลกุตรวิปากจิต ๔ ดวง
    รวมจิต ๘๙ ดวงตามที่กล่าวมานี้ ชื่อว่า จิตตวิภัตติ แม้คำว่า จิตตุปปาทกัณฑ์ ดังนี้ ก็เป็นชื่อของจิตตวิภัตตินี้เหมือนกัน ก็จิตนั้นว่าโดยทางแห่งคำพูดมีเกิน ๖ ภาณวาร แต่เมื่อให้พิสดารก็ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ.
    ว่าด้วยรูปวิภัตติ ในลำดับต่อจากจิตนั้น ชื่อว่ารูปวิภัตติ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้งมาติกาไว้โดยนัยมีอาทิว่า “ธรรมหมวดหนึ่ง ธรรมหมวดสอง” แล้วทรงจำแนกแสดงโดยพิสดาร แม้คำว่า รูปกัณฑ์ ดังนี้ ก็เป็นชื่อของรูปวิภัตตินั้นนั่นแหละ รูปกัณฑ์นั้น ว่าโดยทางแห่งคำพูด มีเกิน ๒ ภาณวาร แต่เมื่อให้พิสดาร ก็ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ.
    ว่าด้วยนิกเขปราสิ ในลำดับต่อจากรูปกัณฑ์นั้น ชื่อว่า นิกเขปราสิ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกขึ้นแสดงโดยมูลเป็นต้นอย่างนี้ คือ โดยมูล โดยขันธ์ โดยทวาร โดยภูมิ โดยอรรถ โดยธรรม โดยนาม โดยเพศ.
    มูลโต ขนฺธโต จาปิ ทฺวารโต จาปิ ภูมิโต
    อตฺถโต ธมฺมโต จาปิ นามโต จาปิ ลิงฺคโต
    นิกฺขิปิตฺวา เทสิตตฺตา นิกฺเขโปติ ปวุจฺจติ.
    ที่เรียกว่า นิกเขปะ ดังนี้ เพราะ
    ความที่พระองค์ทรงยกขึ้นแสดง โดยมูลบ้าง
    โดยขันธ์บ้าง โดยทวารบ้าง โดยภูมิบ้าง
    โดยอรรถบ้าง โดยธรรมบ้าง โดยนามบ้าง
    โดยเพศบ้าง.

    แม้คำว่า นิกเขปกัณฑ์ ดังนี้ ก็เป็นชื่อของนิกเขปราสินั่นแหละ นิกเขปกัณฑ์นั้น ว่าโดยทางแห่งวาจาก็มีประมาณ ๓ ภาณวาร เมื่อให้พิสดาร ย่อมไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ.
    ว่าด้วยอัตถุทธาระ ก็ในลำดับต่อจากนิกเขปราสินั้น ชื่อว่าอรรถกถากัณฑ์ เป็นคำที่ยกเนื้อความพุทธพจน์ คือพระไตรปิฎกขึ้นแสดงตั้งแต่สรณทุกะ ภิกษุทั้งหลาย ผู้เรียนมหาปกรณ์ไม่กำหนดถึงจำนวนในมหาปกรณ์ แต่ย่อมรวมจำนวนไว้ มหาปกรณ์นั้น ว่าโดยทางแห่งถ้อยคำมีประมาณ ๒ ภาณวาร แต่เมื่อให้พิสดาร ก็ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ ธรรมสังคณีปกรณ์ทั้งสิ้นย่อมมีด้วยประการฉะนี้ ธรรมสังคณีปกรณ์นั้น ว่าโดยทางถ้อยคำมีเกิน ๑๓ ภาณวาร แต่เมื่อให้พิสดารก็ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ.
    ธรรมสังคณีปกรณ์ คือ จิตตวิภัตติ
    รูปวิภัตติ นิกเขปะ และอรรถโชตนา
    (อธิบายอรรถ) นี้ มีอรรถลึกซึ้ง ละเอียด
    แม้ฐานะนี้ พระองค์ก็ทรงแสดงแล้วด้วย
    ประการฉะนี้.

    C8A05D34-294F-45B3-9330-C9BD6D9BF41E.jpeg 213DF042-54FC-4E85-83BC-BDB0EEE4FCFD.jpeg 4EE3A3D7-92F0-4E8D-8A40-4A2B275101B1.jpeg 78FC7FFA-C548-45DD-BB37-F61F43BD5AD2.jpeg



    หากจะต้องการที่จะ ท่องโลกแห่งการธุดงค์ ก็ต้องศึกษาให้ได้ อภิธรรม และ อภิวินัย แม้แต่เราเองก็ต้องพิจารณาให้มากเสมอๆเช่นเดียวกัน ไม่ใช่ง่าย! ซึ่ง ระดับ ปรมัตถธรรมนี้ ลึกล้ำหาประมาณมิได้เลย

    โคลิสสานิสูตร
    ว่าด้วยอรัญญิกธุดงค์
    ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน เขตพระนครราชคฤห์. ก็สมัยนั้น ภิกษุชื่อโคลิสสานิ เป็นผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ มีมารยาท
    หยาบคาย มานั่งอยู่ในท่ามกลางสงฆ์ ด้วยกรณียกิจบางอย่าง.

    ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตรปรารภโคลิสสานิภิกษุ จึงเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อันภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ เมื่อไปสู่สงฆ์ อยู่ในสงฆ์ ควรเป็นผู้
    มีความเคารพยำเกรง ในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย. ถ้าภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ เมื่อไปสู่สงฆ์ อยู่ในสงฆ์ เป็นผู้ไม่เคารพยำเกรง ในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย จะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ว่า ท่านนี้ใดไม่เป็นผู้เคารพยำเกรง ในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย จะเป็นประโยชน์อะไรด้วยการอยู่เสรีในป่า แก่ท่านผู้นี้ซึ่งสมาทานอรัญญิกธุดงค์อยู่แต่ผู้เดียวเล่า จะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ดังนี้ เพราะฉะนั้นอันภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ เมื่อไปสู่สงฆ์ อยู่ในสงฆ์ ควรเป็นผู้มีความเคารพยำเกรง ในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย.


    ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อันภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ เมื่อไปสู่สงฆ์ อยู่ในสงฆ์ ควรเป็นผู้ฉลาดในที่นั่งด้วยดีดังนี้ว่า เราจักไม่นั่งเบียดภิกษุผู้เถระ และจักไม่ห้าม
    อาสนะภิกษุผู้นวกะ. ถ้าภิกษุสมาทานอรัญญิกธุดงค์ เมื่อไปในสงฆ์ อยู่ในสงฆ์ ไม่เป็นผู้ฉลาดในที่นั่ง จะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ว่า ท่านนี้ใดไม่รู้จักธรรม แม้เพียงอภิสมาจาริกวัตร จะมีประโยชน์อะไรด้วยการอยู่เสรีในป่า แก่ท่านผู้นี้ซึ่งสมาทานอรัญญิกธุดงค์อยู่แต่ผู้เดียวเล่า จะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ดังนี้ เพราะฉะนั้น อันภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ เมื่อไปสู่สงฆ์ อยู่ในสงฆ์ ควรเป็นผู้ฉลาดในที่นั่ง.


    ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อันภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ เมื่อไปสู่สงฆ์ อยู่ในสงฆ์ไม่ควรเข้าบ้านให้เช้านัก ไม่ควรกลับให้สายนัก. ถ้าภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ เมื่อไปสู่สงฆ์อยู่ในสงฆ์ เข้าบ้านเช้านัก กลับมาสายนัก จะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ว่า ท่านนี้ใดเข้าบ้านเช้านักกลับมาสายนัก จะมีประโยชน์อะไรด้วยการอยู่เสรีในป่า แก่ท่านผู้นี้ ซึ่งสมาทานอรัญญิกธุดงค์อยู่แต่ผู้เดียวเล่า จะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ดังนี้ เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ เมื่อไปสู่สงฆ์
    อยู่ในสงฆ์ จึงไม่ควรเข้าบ้านให้เช้านัก ไม่ควรกลับให้สายนัก.


    ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อันภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ เมื่อไปสู่สงฆ์ อยู่ในสงฆ์ไม่ควรถึงความเที่ยวไปในตระกูลทั้งหลาย ในเวลาก่อนภัต ในเวลาหลังภัต. ถ้าภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ เมื่อไปสู่สงฆ์ อยู่ในสงฆ์ ถึงความเที่ยวไปในตระกูลทั้งหลาย ในเวลาก่อนภัตในเวลาหลังภัต จะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ว่าการเที่ยวไปในเวลาวิกาล อันท่านผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์นี้ผู้อยู่เสรีในป่าแต่ผู้เดียว ทำไว้มากแน่ อนึ่ง เพื่อนพรหมจรรย์ก็จะกล่าวทักท้วงเธอผู้ไปสู่สงฆ์ได้
    จะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ดังนี้ เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ เมื่อไปสู่สงฆ์ อยู่ในสงฆ์จึงไม่ควรเที่ยวไปในตระกูลทั้งหลาย ในเวลาก่อนภัต ในเวลาหลังภัต.


    ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อันภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ เมื่อไปสู่สงฆ์ อยู่ในสงฆ์ไม่ควรเป็นผู้คะนองกาย คะนองวาจา. ถ้าภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ เมื่อไปสู่สงฆ์ อยู่ในสงฆ์เป็นผู้คะนองกาย คะนองวาจา จะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ว่า ความคะนองกาย คะนองวาจา อันท่านผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์นี้ผู้อยู่เสรีในป่าแต่ผู้เดียว ทำไว้มากแน่ อนึ่ง เพื่อนพรหมจรรย์ก็จะกล่าวทักท้วงเธอผู้ไปสู่สงฆ์ได้ จะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ดังนี้ เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์
    เมื่อไปสู่สงฆ์ อยู่ในสงฆ์ จึงไม่ควรเป็นผู้คะนองกาย คะนองวาจา.


    ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อันภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ เมื่อไปสู่สงฆ์ อยู่ในสงฆ์ไม่ควรเป็นผู้ปากกล้า เจรจาเกลื่อนกล่น. ถ้าภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ เมื่อไปสู่สงฆ์
    อยู่ในสงฆ์ เป็นผู้ปากกล้า เจรจาเกลื่อนกล่น จะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ว่า ท่านนี้ใดเป็นผู้ปากกล้าเจรจาเกลื่อนกล่น จะมีประโยชน์อะไรด้วยการอยู่เสรีในป่า แก่ท่านผู้นี้ซึ่งสมาทานอรัญญิกธุดงค์อยู่แต่ผู้เดียวเล่า จะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ดังนี้ เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ เมื่อไปสู่สงฆ์ อยู่ในสงฆ์ ไม่ควรเป็นผู้ปากกล้า เจรจาเกลื่อนกล่น.


    ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อันภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ เมื่อไปสู่สงฆ์ อยู่ในสงฆ์ควรเป็นผู้ว่าง่าย มกัลยาณมิตร. ถ้าภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ เมื่อไปสู่สงฆ์ อยู่ในสงฆ์เป็นผู้ว่ายาก มีปาปมิตร จะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ว่า ท่านนี้ใดเป็นผู้ว่ายาก มีปาปมิตร จะมีประโยชน์อะไรด้วยการอยู่เสรีในป่า แก่ท่านผู้นี้ซึ่งสมาทานอรัญญิกธุดงค์อยู่แต่ผู้เดียวเล่า จะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ดังนี้ เพราะฉะนั้นภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ เมื่อไปสู่สงฆ์ อยู่ในสงฆ์ จึงควรเป็นผู้ว่าง่าย
    มีกัลยาณมิตร.



    ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อันภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ ควรเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย. ถ้าภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ ไม่เป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลายจะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ว่า ท่านนี้ใดไม่เป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย จะมีประโยชน์อะไรด้วยการอยู่เสรีในป่า แก่ท่านผู้นี้ซึ่งสมาทานอรัญญิกธุดงค์อยู่แต่ผู้เดียวเล่า จะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ดังนี้ เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ จึงควรเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย.


    ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อันภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ ควรเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ. ถ้าภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ เป็นผู้ไม่รู้ประมาณในโภชนะ จะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ว่า
    ท่านผู้ใดเป็นผู้ไม่รู้ประมาณในโภชนะ จะมีประโยชน์อะไรด้วยการอยู่เสรีในป่า แก่ท่านผู้นี้ซึ่งสมาทานอรัญญิกธุดงค์อยู่แต่ผู้เดียวเล่า จะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ดังนี้ เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ จึงควรเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ.


    ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อันภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ ควรเป็นผู้ประกอบความเพียรเป็นเครื่องตื่นเนืองๆ. ถ้าภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ เป็นผู้ไม่ประกอบความเพียร
    เป็นเครื่องตื่นเนืองๆ จะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ว่า ท่านนี้ใดเป็นผู้ไม่ประกอบความเพียรเป็นเครื่องตื่นเนืองๆ จะมีประโยชน์อะไรด้วยการอยู่เสรีในป่า แต่ท่านผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์อยู่แต่ผู้เดียวเล่าจะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ดังนี้ เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ จึงควรเป็นผู้ประกอบความเพียรเป็นเครื่องตื่นเนืองๆ.


    ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อันภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ ควรเป็นผู้ปรารภความเพียร. ถ้าภิกษุสมาทานอรัญญิกธุดงค์ เป็นผู้เกียจคร้าน จะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ว่า ท่านนี้
    ใดเป็นผู้เกียจคร้าน จะมีประโยชน์อะไร ด้วยการอยู่เสรีในป่า แก่ท่านผู้นี้ซึ่งสมาทานอรัญญิกธุดงค์อยู่แต่ผู้เดียวเล่า จะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ดังนี้ เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ จึงควรเป็นผู้ปรารภความเพียร.



    ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อันภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ ควรเป็นผู้มีสติตั้งมั่น.ถ้าภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ เป็นผู้มีสติฟั่นเฟือน จะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ว่า ท่านผู้นี้เป็นผู้มีสติฟั่นเฟือน จะมีประโยชน์อะไร ด้วยการอยู่เสรีในป่าแก่ท่านผู้นี้ซึ่งสมาทานอรัญญิกธุดงค์อยู่แต่ผู้เดียวเล่า จะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ดังนี้ เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์จึงควรเป็นผู้มีสติตั้งมั่น.


    ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อันภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ ควรเป็นผู้มีจิตตั้งมั่น.ถ้าภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ เป็นผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น จะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ว่า ท่านผู้นี้เป็นผู้ไม่มีจิตตั้งมั่น จะมีประโยชน์อะไรด้วยการอยู่เสรีในป่า แก่ท่านผู้นี้ซึ่งสมาทานอรัญญิกธุดงค์อยู่แต่ผู้เดียวเล่า จะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ดังนี้ เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ จึงควรเป็นผู้มีจิตตั้งมั่น.


    ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อันภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ ควรเป็นผู้มีปัญญาถ้าภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ เป็นผู้มีปัญญาทราม จะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ว่า ท่านผู้นี้มีปัญญาทรามจะมีประโยชน์อะไร ด้วยการอยู่เสรีในป่า แก่ท่านผู้นี้ซึ่งสมาทานอรัญญิกธุดงค์อยู่แต่ผู้เดียวเล่าจะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ดังนี้ เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ จึงควรเป็นผู้มีปัญญา.


    ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อันภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ ควรทำความเพียรในอภิธรรม ในอภิวินัย เพราะคนผู้ถามปัญหา ในอภิธรรมและในอภิวินัย กะภิกษุผู้สมาทาน
    อรัญญิกธุดงค์มีอยู่. ถ้าภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ ถูกถามปัญหา ในอภิธรรม ในอภิวินัยแล้วจะให้ความประสงค์ของเขาสำเร็จไม่ได้ จะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ว่า ท่านผู้นี้ถูกถามปัญหา ในอภิธรรมในอภิวินัยแล้ว ยังความประสงค์ของเขาให้สำเร็จไม่ได้ จะมีประโยชน์อะไรด้วยการอยู่เสรีในป่า
    แก่ท่านผู้นี้ซึ่งสมาทานอรัญญิกธุดงค์แต่ผู้เดียวเล่า จะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ดังนี้ เพราะฉะนั้นภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ จึงควรทำความเพียร ในอภิธรรม ในอภิวินัย.


    ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อันภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ ควรทำความเพียรในวิโมกข์อันละเอียด คือ อรูปสมาบัติที่ล่วงรูปสมาบัติ. เพราะคนผู้ถามในวิโมกข์อันละเอียดคือ อรูปสมาบัติที่ล่วงรูปสมาบัติมีอยู่. ถ้าภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ ถูกถามปัญหาในวิโมกข์อันละเอียด คือ อรูปสมาบัติที่ล่วงรูปสมาบัติแล้ว ให้ความประสงค์ของเขาสำเร็จไม่ได้ จะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ว่า ท่านผู้นี้ถูกถามปัญหาในวิโมกข์อันละเอียด คือ อรูปสมาบัติที่ล่วงรูปสมาบัติแล้ว
    ยังความประสงค์ของเขาให้สำเร็จไม่ได้ จะมีประโยชน์อะไรด้วยการอยู่เสรีในป่า แก่ท่านผู้นี้ซึ่งสมาทานอรัญญิกธุดงค์อยู่แต่ผู้เดียวเล่า จะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ดังนี้ เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ จึงควรทำความเพียรไว้ในวิโมกข์อันละเอียด คือ อรูปสมาบัติที่ล่วงรูปสมาบัติ.



    ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อันภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ ควรทำความเพียรในอุตตริมนุสสธรรม. เพราะคนผู้ถามปัญหา ในอุตตริมนุสสธรรมกะภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์มีอยู่ ถ้าภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ ถูกถามปัญหาในอุตตริมนุสสธรรมแล้ว ให้ความประสงค์ของเขาสำเร็จไม่ได้ จะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ว่า ท่านผู้นี้บวชเพื่อประโยชน์แห่งคุณวิเศษอันใดไม่รู้จักประโยชน์แห่งคุณวิเศษอันนั้นจะมีประโยชน์อะไร ด้วยการอยู่เสรีในป่าแก่ท่านผู้นี้ซึ่งสมาทานอรัญญิกธุดงค์อยู่แต่ผู้เดียวเล่า จะมีผู้ว่าภิกษุนั้นได้ดังนี้ เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์จึงควรทำความเพียรในอุตตริมนุสสธรรม.



    เมื่อท่านพระสารีบุตรกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ถามว่าดูกรท่านพระสารีบุตรผู้มีอายุ อันภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์เท่านั้นหรือที่ควรสมาทานธรรมเหล่านี้ประพฤติ หรือแม้ภิกษุผู้อยู่ใกล้บ้าน ก็ควรสมาทานธรรมเหล่านี้ประพฤติ?


    ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ดูกรโมคคัลลานะ แม้ภิกษุผู้สมาทานอรัญญิกธุดงค์ ยังควรสมาทานธรรมเหล่านี้ประพฤติ จะกล่าวไปไยถึงภิกษุผู้อยู่ใกล้บ้านเล่า.
    จบ โคลิสสานิสูตร ที่ ๙.

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2022

แชร์หน้านี้

Loading...