พายุฝุ่นครั้งใหญ่บนดาวอังคาร

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย pongsiri, 11 เมษายน 2005.

  1. pongsiri

    pongsiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +638
    พายุฝุ่นครั้งใหญ่บนดาวอังคาร

    [​IMG]



    ภาพดาวอังคารเปรียบเทียบ เมื่อเริ่มเกิดพายุฝุ่นในวันที่ ๒๖ มิถุนายน และเมื่อฝุ่นตระหลบปกคลุมทั่วดาว ในวันที่ ๔ กันยายน โดย NASA, James Bell (Cornell Univ.), Michael Wolff (Space Science Inst.), and the Hubble Heritage Team (STScI/AURA)


    เป็นที่ทราบกันมานานแล้วในหมู่นักดาราศาสตร์ที่ติดตามศึกษาดาวอังคารด้วยกล้องดูดาวบนพื้นโลกว่า ดาวอังคารจะมีพายุฝุ่นที่แผ่ขยายจนครอบคลุมไปทั่วทั้งดวงดาว และมักจะเกิดขึ้นในช่วงที่เป็นฤดูใบไม้ผลิ และฤดูร้อน ในซีกใต้ของดาวอังคาร ในปี คศ ๑๙๗๑ เมื่อนาซ่าส่งยาน มาริเนอร์ ๑ ไปยังดาวอังคารเป็นครั้งแรก ก็ไปเจอช่วงที่มีฝุ่นปกคลุมทั่วทั้งดวงดาว จนภาพที่ส่งกลับมา ไม่มีรายละเอียดอะไรเลย นอกจากจุดดำๆเหมือนหัวสิว ที่เป็นยอดเขาทะลุเหนือเมฆฝุ่นขึ้นมาเท่านั้น

    ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ยาน Mars Global Surveyor(หรือเรียกย่อๆว่า MGS) ได้จับความเคลื่อนไหวของดาวอังคารและส่งภาพกลับมาทุกวัน จนกระทั่งบัดนี้ นับได้ว่า ข้อมูลยาน MGS มีมากกว่าทุกโครงการที่ผ่านมาในอดีตแล้ว

    พายุฝุ่นบนดาวอังคาร มีขนาดใหญ่และกว้างมากกว่าระบบพายุใดๆที่เกิดขึ้นบนโลก พัดพาหอบเอาฝุ่นละเอียดจากพื้นผิว ให้ตระหลบปกคลุมทั่วทั้งดาวอยู่ในม่านควันฝุ่นอยู่ตลอดเวลาสามเดือนที่ผ่านมา ฝุ่นละอองในบรรยากาศของดาวอังคาร ก็ดูดซับพลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์ ทำให้บรรยากาศมีอุณหภูมิสูงขึ้นถึง ๘๐ องศาฟาเรนไฮต์ (ประมาณ ๔๐ องศาเซลเซียส) แต่ความมืดมัวเนื่องจากฝุ่นเหล่านี้ปกคลุมท้องฟ้าอยู่ตลอดเวลา ก็กรองแสงอาทิตย์ออกไป ทำให้พื้นผิวของดาวอังคาร เย็นลงประมาณ ๑๐ องศาฟาเรนไฮต์

    ยาน MGS เริ่มจับความเคลื่อนไหวของพายุฝุ่นที่กำลังก่อตัว เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเริ่มต้นเร็วกว่าที่เคยผ่านมา

    ที่ปรากฏพายุแห่งแรกคือ ในบริเวณหลุมอุกกาบาตขนาดยักษ์ ในซีกโลกภาคใต้ของดาวอังคาร ที่มีชื่อว่า แอ่งเฮลลัส (Hellas Basin) โดยในวันที่ ๒๑ มิย มีพายุฝุ่นเล็กๆก่อตัวขึ้นในแอ่งนี้ ชั่วเวลาภายใน ๒๔ ชั่วโมง ก็วนไปได้ ๑/๓ ของเส้นรอบวงของทั้งแอ่ง สามวันต่อมา ก็ครอบคลุมแอ่งเฮลลัสทั้งหมดแล้วเริ่มขยายตัวคืบออกไป ในวันที่ ๒๕ ก็ข้ามเส้นศูนย์สูตร แล้วคืบขยายไปครอบคลุมซีกโลกภาคเหนือของดาวอังคารอย่างรวดเร็ว เกิดมีพายุเพิ่มอีกสามแห่งบนดาวอังคารพร้อมๆกัน เชื่อว่า พายุลูกแรก ส่งผลให้เกิดพายุอื่นๆตามมาในที่อื่นบนดาวอังคาร แต่กลไกของการกระตุ้นให้เกิดพายุ คงยังต้องวิเคราะห์กันจากข้อมูลสดๆเหล่านี้อีกต่อไป

    อีกอาทิตย์ต่อมา พายุก็อัดฝุ่นขึ้นไปในบรรยากาศชั้นบน พอเข้าเดือนสิงหาคม ทั่วทั้งดาวอังคารก็ถูกปกคลุมจนมองไม่เห็นพื้นแล้ว

    ด้วยความร่วมมือจากยานฮับเบิล ที่ปฏิบัติการติดตามการเกิดพายุฝุ่นบนดาวอังคาร เป็นการศึกษาปรากฏการณ์ที่ครอบคลุมทั่วทั้งดาวเป็นครั้งแรก โดยกล้องบนยานฮับเบิล สามารถจับภาพการเคลื่อนไหวของพื้นผิวทั้งดาว และอุปกรณ์บนยาน MGS ก็วัดอุณหภูมิ และถ่ายภาพใกล้ๆให้ศึกษาจากหลายๆด้านเป็นครั้งแรกที่เรามีโอกาสได้ข้อมูลจากหลายๆแหล่งในเวลาเดียวกันเช่นนี้ ซึ่งจะช่วยสร้างความเข้าใจได้มากเป็นประวัติการณ์ เพราะในตลอดสองปีแห่งการปฏิบัติการของยาน MGS "นี่เป็นครั้งแรกที่แราเห็นพายุขนาดนี้" Richard Zurek ผู้เชี่ยวชาญด้านบรรยากาศของดาวอังคารที่สุดขององค์การนาซ่า กล่าว

    Mike Malin แห่ง Space Science Systems, Inc อันเป็นสถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์อิสระ ที่นำทีมงานศึกษาข้อมูลจากกล้องถ่ายภาพบนยาน MGS กล่าวสรุปว่า "จากข้อมูลที่เราได้มา บอกให้ทราบว่า นี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์เดี่ยวๆ แต่เป็นปรากฏการณ์เป็นชุดๆ กระตุ้นซึ่งกันและกันให้เกิดตามๆกันมา โดยพายุเฉพาะที่แห่งหนึ่ง ไปกระตุ้นกลไกบางอย่างในบรรยากาศให้เกิดพายุขึ้นอีกจุดหนึ่งบนพื้นดาวที่อยู่ห่างออกไปนับพันๆกิโลเมตร เราติดตามเห็นมันขยายตัวออกไปตามแถบศูนย์สูตรอย่างรวดเร็วมาก อย่างที่ไม่เคยมีใครพบเห็นมาก่อน แล้วเคลื่อนตัวไปด้วยเจ๊ทสตรีมในซีกโลกภาคใต้ของดาวอังคาร"

    "เมื่อพายุฝุ่นอัดตัวขค้นไปในบรรยากาศชั้นสูง โดยแทรกตัวเหมือนหนวดปลาหมึกคืบตัวขึ้นไปในอากาศ บนพื้นดาวอังคาร ก็เกิดมีพายุฝุ่นอีกสามลูกเกิดขึ้นมาแล้ว โดยใช้เวลาทั้งหมดประมาณ ๑ อาทิตย์ และที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ มีพายุฝุ่นปรากฏทุกวันที่แถบ Claritas และ Syria"

    หลังจากสามเดือนผ่านไป พายุก็เริ่มซาลง พื้นผิวดาวที่เริ่มเย็นลงทำให้พายุอ่อนตัวลง และฝุ่นแสนละเอียดก็เริ่มตกลงมาปกคลุมพื้นดิน แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นความสงบอันถาวรไม่ ดาวอังคารกำลังโคจรเข้าไปถึงจุดที่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด เมื่อบรรยากาศแจ้งขึ้น พลังงานขากดวงอาทิตย์ที่เพิ่มขึ้น ก็จะทำให้เกิดพายุฝุ่นลูกใหญ่ขึ้นมาอีกก็ได้ ดังที่เคยเป็นมาในอดีตนับศตวรรษมาแล้ว

    James Garvin หัวหน้าฝ่ายนักวิทยาศาสตร์ ของโครงการสำรวจดาวอังคารแห่งองค์การนาซ่า กล่าวว่า "การทำความเข้าใจพายุฝุ่นระดับทั่วดาวอย่างนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ต่อการสำรวจดาวอังคารทั้งหมดในอนาคต เพราะจะช่วยให้เราเข้าใจวิวัฒนาการของการตกตะกอนบนพื้นผิวของดาวอังคารได้ดียิ่งขึ้น"

    นอกจากนี้ ทีมงานของโครงการ 2001 Mars Odyssey ก็จับตาติดตามการเคลื่อนไหวของพายุฝุ่นครั้งนี้อย่างใกล้ชิด เพราะยาน 2001 Mars Odyssey กำลังจะไปถึงดาวอังคาร โดยจะเข้าวงูคจรในวันที่ ๒๓ ที่จะถึงนี้เอง Richard Zurek ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมวิทยาศาสตร์ของโครงการนี้กล่าวว่า การเข้าไปวนรอบดาวอังคาร จะไม่ถูกกระทบกระเทือนด้วยพายุฝุ่น แต่จะมีปัญหาได้ ก็ตรงที่การชะลอยานด้วยกางแผงรับแสงแดดให้ต้านกับบรรยากาศของดาวอังคารแทนการจุดจรวดเบรค เพื่อประหยัดเชื้อเพลิง

    เมื่อฝุ่นตระหลบขึ้นไปในบรรยากาศชั้นสูง เม็ดฝุ่นก็จะดูดซับความร้อนจากแสงแดด ทำให้ดาวร้อนขึ้น คล้ายๆกับปรากฏการณ์เรือนกระจกบนโลก แต่มีเม็ดฝุ่นแทนที่จะเป็นโมเลกุลอากาศเป็นตัวจับพลังงาน บรรยากาศที่ร้อนขึ้นก็จะขยายตัวพองขึ้น ทำให้ต้องเปลี่ยนระดับที่จะเข้าไปเลียดดาวชะลอยาน เพราะหากเข้าไปในที่ที่มีความหนาแน่นมากเกินไป ทำให้เกิดความเสียหายต่อแผงรับแสงแดดอันแสนจะบอบบางได้ ข่าวคืบหน้าเกี่ยวกับยาน 2001 Mars Odyssey จะติดตามอย่างใกล้ชิดที่หน้าข่าววิชาการนี้ค่ะ

    อ้างอิง

    1 Scientists Track "Perfect Storm" on Mars

    2 NASA JPL Mars Global Surveyor

    3 Malin Space Science Systems


    [​IMG]

    คุณเปี้ยวช่วยแก้โปรแกรมให้รูปอยู่เหนือข่าวได้มั้ยคะ ต้องแก้เองทุกข่าวเลยค่ะเพราะรำคาญตามาก พี่แก้จากเครื่องนี้ไม่ได้ค่ะ

    เดี๋ยวจะมาเขียนต่อนะคะ ภาพนี้แสดงวิวัฒนาการของพายุฝุ่น และแสดงชื่อสถานที่ต่างๆที่กล่าวถึงบนดาวอังคารค่ะ โดยทีมเดียวกับรูปบนค่ะ
    ขอเล่าคร่าวๆถึง ประวัติการศึกษา พายุฝุ่น บนดาวอังคาร นะคะ

    ก่อนที่มนุษย์เราจะส่งยานอวกาศไปดูดาวอังคารใกล้ๆ นักดาราศาสตร์ก็ยังไม่รู้ความเป็นไปในบรรยากาศของดาวอังคารดีนัก เพราะแม้ดาวอังคารจะเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้โลกที่สุดในระับบสุริยะด้วยกัน แต่วงโคจรของดาวอังคารก็เป็นวงรีมากกว่า ซึ่งทำให้ภูมิอากาศแตกต่างกันแบบสุดขั้วมากกว่าบนโลกมากด้วย และคาบการโคจรของดาวอังคารก็ยาวกว่า คือ ใช้เวลา ๖๘๗ วันต่อหนึ่งคาบการโคจรรอบดวงอาทิตย์ ในขณะที่โลกใช้เวลน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของดาวอังคารเท่านั้น จึงมีบ่อยครั้งที่จะอยู่ห่างกันหรือตรงข้ามกัน ทำให้สังเกตการณ์ได้ยาก

    พายุฝุ่นบนดาวอังคารมักจะเกิดขึ้นประมาณฤดูสปริง และฤดูร้อนในภาคใต้ของดาวอังคาร ซึ่งเป็นช่วงที่ดาวอังคารโคจรมาใกล้ดงอาทิตย์มากที่สุด ความแตกต่างกันของพลังงานที่ดาวอังคารได้รับ เมื่อเช้ามาใกล้ดวงอาทิตย์ กัลตอนที่อยู่ห่างออกไป จะมีมากถึง ๔๐ เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่บนโลก ความแตกต่งนี้มีเพียง ๑ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึกโลกภาคเหนือและภาคใต้จึงมีอุณหภูมิโดยเฉลี่ยแล้วพอๆกัน ไม่ต่างกันมากเหมือนดาวอังคาร

    ไปแฮปรูปจากโครงการ Mars Odyssey ที่กำลังจำไปถึงดาวอังคารอีก ๑๑ วันเท่านั้นเองค่ะ ภาพนี้แสดงให้เห็นว่า ตอนนี้เป็นตอนที่ดาวอังคารมาอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด
    [​IMG]

    ในอดีตได้มีการค้นพบ พายุฝุ่นจำเพาะที่มาก่อน โดยนักดาราศาสตร์สังเกตว่ามันเป็น เมฆสีเหลือง ที่ปกคลุมดาวอังคาร แต่ที่เราสนใจก็คือ พายุฝุ่นที่ครอบคลุมไปทั่วทั้งดาว เช่นคราวนี้

    ลำดับการค้นพบเกี่ยวกับพายุฝุ่นบนดาวอังคาร

    คศ ๑๗๙๖ H. Flaugergues เป็นนักดาราศาสตร์คนแรกที่สังเกต เมฆสีเหลือง บนดาวอังคาร แทนที่จะเป็นเมฆสีขาวตามปกติที่เกิดจากน้ำและน้ำเข็ง

    คศ ๑๙๒๐ ถ่ายภาพ เมฆสีเหลือง เป็นหย่อมๆจำเพาะที่เป็นครั้งแรก โดยกล้องดูดาวที่หอดูดาว Lowell ในรัฐ Arizona

    ๑๙๕๖ ค้นพบปรากษการณ์ที่ดูเหมือนจะเป็นพายุฝุ่นที่ครอบคลุมทั้งดาวอังคารเป็นครั้งแรก

    ๑๙๖๕ ยาน Mariner 4 บินผ่านดาวอังคารเป็นครั้งแรก และส่งภาพแถบหนึ่งบนพื้นดาวอังคารที่ไม่มีเมฆแม้แต่น้อยกลับมายังโลก

    ๑๙๖๙ ยาน Mariner 6 & 7 บินผ่านดาวอังคาร และได้ส่งภาพดาวอังคารที่มีบรรยากาศแจ่มใสกลับมา

    ๑๙๗๑ ยาน Mariner 9 ไปบินโคจรรอบดาวอังคารเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เมื่อยานไปถึง ดาวอังคารก็เริ่มถูกปกคลุมไปด้วยเมฆฝุ่นแล้ว เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นภาพดาวอังคารทั้งดวงที่ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นจากพายุทั่วดาว จากภาพมองเห็นได้แต่ยอดเขาสูงที่ทะลุเหนือเมฆขึ้นมาเท่านั้น ทำให้เราได้ทราบว่า พายุฝุ่น โยนซัดฝุ่นขึ้นมาได้ถึง เกือบ ๓๐ กม อันเป็นความสูงของยอดเขาเหล่านั้น

    ๑๙๗๓ กล้องดูดาวภาคพื้นดิน ถ่ายภาพดาวอังคารที่ถูกปกคลุมด้วยฝุ่นไปทั้งดวง เป็นครั้งแรก เป็นการยืนยันการค้นพบของ Mariner 9

    ๑๙๗๗ ยานไวกิ้ง ๑ และ ๒ ไปจอดลงบนดาวอังคารได้สำเร็จเป็นครั้งแรก และได้ส่งภาพพายุฝุ่นจากภาคพื้นดาวอังคารมายังโลก ให้เห็นเป็นครั้งแรก

    ภาพวาดแสดงพื้นผิวของดาวอังคารยามฟ้าใส
    [​IMG]

    ภาพวาด สภาพของดาวอังคารเมื่อเกิดพายุฝุ่น ทั้งสองภาพโดย James Gitlin แห่ง Space Telescope Science Institute
    [​IMG]

    ปี คศ ๑๙๘๒ ยานจอดไวกิ้ง ๑ สังเกตการก่อตัวของพายุที่ดูจะเป็นครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ในเวลาชั่วอาทิตย์ก่อนที่จะขาดการติดต่อกับพื้นโลกไป อันเป็นการสิ้นสุดการปฏิบัติการต่อเนื่องบนพื้นผิวดาวอังคารเป็นเวลากว่าม ๗ ปี ของยานทั้งสอง

    คศ ๑๙๙ู๔ อุปกรณ์ไมโครเวฟบนภาคพื้นดินที่ตรวจวัดอุณหภูมิของบรรยากาศบนดาวอังคารอยู่ตลอดเวลา ได้พบว่า เกิดพายุฝุ่นครอบคลุมทั่วดาวอีก เป็นครั้งแรกที่พบ หลังจากข้อมูลของยานไวกิ้ง

    ปี ๑๙๙๗ ยาน Mars Global Surveyor ได้เริ่มเข้าหาดาวอังคารด้วยวิธีถลาปะทะบรรยากาศด้วยแผงรับแสงแดดเพื่อชะลอยาน (aerobraking) และตรวจพบว่า เมื่อทั่วทั้งดาวอังคาร มีอุณหภูมิสูงกว่าปกติ จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพายุฝุ่นขึ้นมา แต่จะเป็นเฉพาะที่หรือทั่วทั้วดาวก็ต้องมีปัจจะอื่นอีก ที่เรายังต้องค้นหาต่อไป

    ในปีนี้ คศ ๒๐๐๑ พายุฝุ่นทั่วทั้งดาวเกิดขึ้นภายในเวลาเพียงสองสามวัน หลังจากกล้องฮับเบิล ถ่ายภาพดาวอังคารตอนที่เข้ามาใกล้โลกที่สุด (ดูกระทู้ห้องเด็กวิทย์ ดาวอังคารเข้าใกล้โลกมากที่สุด ) โดยกล้องฮับเบิลได้ถ่ายภาพในความเห็นที่ ๑ ซึ่งแสดงให้เห็นพายุฝุ่นที่เริ่มก่อตัวใน Hellas Basin

    ภาพนี้ถ่ายโดยอุปกรณ์ถ่ายภาพในแสงที่เรามองเห็นได้ MOC บนยาน MGS วงฝุ่นขาวๆคือพายุฝุ่นในหลุมอุุกาบาตขนาดยักษ์ ที่เรียกว่า แอ่ง เฮลลัส

    [​IMG]

    ภาพแสดงระยะทางระหว่างดาวอังคารกับวงอาทิตย์ในฤดูต่างๆค่ะ
    [​IMG]

    บนโลกเราก็มีพายุฝุ่นที่ใหญ่มากๆจากทะเลทรายซาฮาร่าในทวีปอัฟริกา พัดข้ามทวีปไปยังยุโรป ผลกระทบของพายุฝุ่นต่อระบบนิเวศน์ โดยเฉพาะปริมาณน้ำฝน ก็เพิ่งจะเริ่มศึกษากันไม่นานนี้เอง

    ภาพพายุจากทะเลทรายซาฮาร่า หอบเอาฝุ่นทรายจากทวีปอัฟริกาตะวันตกขึ้นเหนือมหาสมุทรแอ็ตแลนติค ภาพโดยยาน Seawifs ขององค์การนาซ่า

    [​IMG]
    สาเหตุโดยหลักการของการเกิดการหมุนเวียนของบรรยากาศ ที่ทำให้เกิดลมพายุต่างๆบนดาวเคราะห์ ก็ไม่ต่างกันมากหรอกค่ะ เป็นการเกิด convection หรือการไหลวน อันเป็นคุณสมบัติของก๊าซและของเหลว ที่จะทำตัวอย่างนั้น เมื่อมีอุณหภูมิต่างกัน

    ถ้าจะว่าไปให้ถึงต้นตอแล้ว ก็ ดวงอาทิตย์ นี่แหละค่ะ เป็นสาเหตุหลัก เมื่อดาวเคราะห์ได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์เพิ่มมากขึ้นจากจุดใดจุดหนึ่ง ทำให้บรรยากาศเหนือพื้นผิวส่วนนั้นร้อนขึ้นไปด้วย

    ดาวอังคารต่างจากโลกที่ ระยะห่างจากดวงอาทิตย์จะต่างกันมาก เพราะวงโคจรเป็นวงรีมากกว่าโลกมาก ในขณะที่วงโคจรของโลกเกือบจะเป็นวงกลม (สังเกตรูปในความเห็นที่ ๓ นะคะ) ตรงจุดที่มาใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดนั่นแหละค่ะ ที่มักจะเป็นช่วงที่เกิดพายุ

    ความที่มีความแตกต่างในพลังงานที่ได้รับจากดวงอาทิตย์มากๆนี่แหละค่ะ ที่ทำให้พายุบนดาวอังคารรุนแรงกว่าบนโลกมาก

    บนโลกของเรานั้น ระหว่างที่เมื่อเราอยู่ห่างที่สุด กับใกล้ที่สุดจากดวงอาทิตย์ มีความแตกต่างระหว่างพลังงานที่ได้รับเพียง ๑ % เท่านั้น ในขณะที่บนดาวอังคาร ความแตกต่างนั้นจะมีถึงร่วม ๓๐ %

    พายุบนโลกนั้น จะไม่ข้ามศูนย์สูตร จากแรง coriolis ถ้าพายุเกิดเหนือศูนย์สูตร ก็จะพัดขึ้นเหนือ ถ้าเกิดใต้ศูนย์สูตรก็จะพัดลงใต้ แต่ไปไม่ไกลมากก็จะสลายตัวไปก่อน ไม่มีพายุอะไรพัดได้ไกลไปถึงขั้วโลกได้ เพราะพายุที่เกิดบนโลก ไม่มีกำลังมาก เพราะได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ไม่พอที่จะทำให้มีแรงมากจะฝืนแรงที่เกิดจากการหมุนตัว คือ แรง coriolis ได้

    บนดาวอังคาร สันนิษฐานว่า ปกติบนพื้นผิวของดาวอังคารจะหนาวมาก (อุณหภูมิเฉลี่ยต่ำสุด -๑๐๐ องศาเซลเซียส และ เฉลี่ยสูงสุด ประมาณ ๒๐ องศาซี) จาก๊าซแข็งตัวจับอยู่ที่พื้นและใต้พื้นมาก พอเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ ก็ระเหยเป็นไอ เพิ่มความรุนแรงของพายุขึ้นไปอีก นอกเหนือไปจากส่วนที่ปั่นป่วนด้วยความแตกต่างทางอุณหภูมิมากๆขนาดนั้นอยู่แล้วค่ะ

    จากข้อมูลไม่มากที่เราได้มา ก็มีบันทึกการที่พายุฝุ่นบนดาวอังคาร สามารถพัดข้ามเส้นศูนย์สูตรจนตระหลบไปทั่วทั้งดาวได้ เรายังไม่มีการสังเกตการณ์มากพอให้วินิจฉัยได้ว่า พายุที่เกิดขึ้นที่จุดหนึ่ง ไปกระตุ้นกลไกอะไรในบรรยากาศ จนก่อผลให้เกิดพายุในอีกจุดหนึ่งซึ่งแทบจะอยู่กันคนละซีกโลกได้

    ตอนนี้ ยาน Odyssey ไปถึงดาวอังคารแล้ว ประมาณกลางค่อนไปทางปลายเดือน พย ก็คงเริ่มวัดอะไรๆได้บ้างแล้ว เราคงจะได้ข้อมูลเพิ่มขึ้นอีกมาก นี่เป็นครั้งแรกหลังจากปี คศ ๑๙๗๙ ที่เรามียานอวกาศโคจรรอบดาวอังคารพร้อมๆกันสองยาน ที่จะช่วยให้เข้าใจกลไกของบรรยากาศได้มากขึ้นกว่ามากที่เมื่อมียานลำเดียวเท่านั้นค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...