พล.ต.อัคร ทิพโรจน์ "สวดคาถาชินบัญชรแล้วชีวิตมีแต่เรื่องดีๆ”

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย pongio, 10 กันยายน 2013.

  1. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    “ผมมารับราชการทหารอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อปี ๒๕๒๒ ตั้งแต่ยศร้อยตรี ทุกวันนี้ผมจึงมุ่งมั่นและหวังจะเห็นความสงบสุขปรากฏบนผืนแผ่นดินปลายด้ามขวาน เหมือนเมื่อวันวานอีกครั้ง ไม่ว่าอุปสรรคหรือขวากหนามจะขวางกั้นมากเพียงไหนก็ตาม” เป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นของ "พล.ต.อัคร ทิพโรจน์" รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ส่วนหน้า
    ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา กับภารกิจของชายชาติทหารในพื้นที่สุดปลายด้ามขวานของประเทศ พล.ต.อัคร ผ่านเรื่องราวมามากมาย และเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของดินแดน “พหุสังคม” แห่งนี้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อความรุนแรงปะทุขึ้นตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ เป็นต้นมา ได้ส่งผลให้มวลแห่งความสุขของพี่น้องประชาชนใน จ.ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เหือดหายไปอย่างมาก
    “ในอดีตจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และมิตรไมตรีจากพี่น้องทั้งชาวไทยพุทธและมุสลิม แต่วันนี้ขบวนการก่อความไม่สงบได้ใช้วิธียุยงปลุกปั่นจนเกิดความหวาดระแวง รวมทั้งหาทางทำลายความน่าเชื่อถือของเจ้าหน้าที่ทุกวิถีทาง” พล.ต.อัคร ย้อนเรื่องราว
    แม้นว่าขบวนการก่อความไม่สงบจะพยายามสร้างรอยร้าวระหว่างมวลชนกับเจ้าหน้าที่ แต่ก็ไม่สามารถทำลายความมุ่งมั่นของนายทหาร และข้าราชการในพื้นที่ได้ กลับมีแต่จะเดินหน้าแผ้วถางอุปสรรคเพื่อนำไปสู่เส้นทางสันติสุขปลายอุโมงค์ให้ได้มากขึ้นเป็นทวีคูณ
    สำหรับยุทธศาสตร์ในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น พล.ต.อัคร ได้แบ่งออกเป็น ๓ ด้าน คือ การเมือง การทหาร และปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร หรือที่เรียกว่า Information Operation (ไอโอ) โดยงานด้านการเมืองคืองานพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านต่างๆ ให้ประชาชนในพื้นที่ จะต้องดำเนินการอย่างเต็มที่และต่อเนื่อง ส่วนงานการทหารคือการควบคุมพื้นที่เพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามมีอิสระในการเคลื่อนไหว
    ส่วนปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร หรือสงครามไอโอ คือการสร้างความจริงและทำลายข่าวลือจากฝ่ายตรงข้าม ทั้งนี้ฝ่ายตรงข้ามจะใช้ยุทธวิธีถ่างช่องว่างระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชนมากขึ้นเท่าใด ก็เป็นเรื่องจำเป็นที่เราจะต้องเดินเข้าหาชาวบ้านให้มากขึ้นเท่านั้น เพราะ “มวลชน” คือหัวใจสำคัญในการตัดสินว่า ใครจะเป็นผู้ชนะในสนามแห่งนี้
    "หากเราทำความจริงให้ปรากฏ ความโป้ปดก็หมดไป ดังนั้นข้อมูลข่าวสารของรัฐจากนี้ไปต้องมีความถูกต้อง รวดเร็ว และมีความต่อเนื่อง เพื่อสยบข่าวลือของฝ่ายตรงข้ามที่พยายามบิดเบือนความถูกต้อง ด้วยมุ่งหวังทำลายความน่าเชื่อถือในอำนาจรัฐ โจรชอบปกปิด เราต้องเปิดเผย และหากโจรพูดเท็จ เราต้องพูดจริง และที่สำคัญต้องพูดก่อนเพื่อชี้นำ หากพูดตาม เท่ากับชี้แจง และหากพูดทีหลังเท่ากับแก้ตัว ฉะนั้นการแก้ปัญหาชายแดนใต้จะต้องไม่ให้เข้าทางคนร้าย” พล.ต.อัคร ระบุ
    พร้อมกันนี้ พล.ต.อัคร ยังบอกด้วยว่า ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ฝ่ายตรงข้ามพยายามสร้างความคิดและความเข้าใจผิดๆ ด้วยการใช้ศาสนาและประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือ เพราะการมุ่งเอาชนะด้วยอาวุธเพียงอย่างเดียวจะไม่มีทางสำเร็จ ขบวนการก่อความไม่สงบจึงต้องปรับยุทธวิธีใหม่ด้วยการสร้างความเชื่อที่ผิดๆ ดังนั้นเจ้าหน้าที่รัฐจึงต้องเอาชนะที่ความคิดและสร้างความเข้าใจ ด้วยการสร้างความจริงให้ปรากฏ รวมถึงให้น้ำหนักกับงานปฏิบัติการทางจิตวิทยา (ปจว.) มากขึ้นกว่าที่ผ่านมา
    ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีในการปฏิบัติราชการ ณ พื้นที่ปลายด้ามขวาน หลักยึดเดียวที่นายทหารรายนี้ใช้มาโดยตลอดคือ “ความจริง เป็นสิ่งไม่ตาย” เพื่อให้เข้าถึงความรู้สึก และหัวอกของชาวบ้านในจังหวัดชายแดนภาคใต้มากที่สุด เนื่องจากที่ผ่านมาพื้นที่แห่งนี้มักถูกมองข้ามเรื่องความรู้สึก จนผู้ไม่หวังดีนำไปเป็นหนึ่งในเงื่อนไขในการผูกปมเป็นปัญหาความไม่สงบ
    “ปัญหาในชายแดนใต้ปัจจุบันพบว่า มีคนกลุ่มหนึ่งนำหลักศาสนามาบิดเบือน และพยายามครอบงำเยาวชนให้หลงผิด ก่อนชักจูงให้เข้าสู่วงจรความรุนแรง ดังนั้น เราต้องแก้ด้วยข้อเท็จจริง อย่าปล่อยให้ความเชื่อยิ่งใหญ่กว่าจริง กุญแจดอกสำคัญที่จะตัดสินว่า ชาวบ้านจะเชื่อมั่นและไว้วางใจเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการใช้หลักความจริง เพื่อพิสูจน์ให้มวลชนเห็นและสัมผัสได้ว่า กลไกอำนาจรัฐเป็นที่พึ่งได้ ไม่ว่าจะยามสุขหรือทุกข์ ต่างไปจากคนร้ายที่ไม่มีความจริงใจให้ใคร นอกจากทำเพื่อตัวเอง” พล.ต.อัคร กล่าวทิ้งท้าย
    สวดคาถา 'ชินบัญชร' ทำให้ได้พระสมเด็จ
    การปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับทุกคนคือ เรื่องของการเสริมสร้างขวัญและกำลังใจ ทั้งนี้ พล.ต.อัคร ทิพโรจน์ จะใช้การสวดมนต์ไหว้พระทุกวัน ทั้งค่ำ-เช้า โดยเฉพาะการสวดพระคาถาชินบัญชร ซึ่งเป็นสิ่งที่ปฏิบัติมาตั้งแต่รับราชการทหาร โดยเฉพาะเมื่อครั้งเดินทางล่องใต้มาทำหน้าที่ในดินแดนปลายด้ามขวาน
    พล.ต.อัคร บอกว่า มนุษย์เราทุกคนกลัวในสิ่งที่ไม่รู้ และเมื่อเรารู้แล้วจะไม่กลัว ดังนั้น การสยบความกลัวได้ คือ การมีสมาธิ ดังนั้นการตั้งจิตให้มั่นคงไม่หวั่นไหวต่อสิ่งที่เราไม่รู้คือ การสวดมนต์ โดยเฉพาะคาถาชินบัญชร ก็ให้แต่สิ่งดีๆ กับชีวิตมาตลอด
    การได้สวดคาถาชินบัญชรทุกวัน นอกจากทำให้มีสมาธิแล้ว ยังรู้สึกชีวิตมีแต่สิ่งดีๆ ไม่ว่าจะแคล้วคลาดจากภัยอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า จากการปฏิบัติหน้าที่ หรือแม้กระทั่งการได้รับการสนับสนุน หรือได้รับความร่วมมือจากประชาชนทุกพื้นที่ ในการร่วมแก้ไขปัญหาให้กับบ้านเมือง และยิ่งไปกว่านั้น การได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากผู้บังคับบัญชาให้ทำหน้าที่สำคัญในโอกาส หรือภารกิจต่างๆ มาโดยตลอด หรือแม้กระทั่งเพื่อนร่วมงาน และผู้ใต้บังคับบัญชาที่ให้การร่วมมือและสนับสนุนในการขับเคลื่อนแนวทางการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ เป็นอย่างดีเสมอมา
    “ที่สำคัญผมสวดคาถาชินบัญชร ทำให้มีโอกาสได้อาราธนาพระสมเด็จวัดระฆังขึ้นคออย่างไม่คาดฝัน เมื่อมีผู้หลักผู้ใหญ่เห็นถึงความตั้งใจและมุ่งมั่น จึงมอบจักรพรรดิพระเครื่องให้กับผม ดังนั้นคงไม่ผิด หากจะบอกว่า สวดคาถาชินบัญชรแล้วชีวิตมีแต่เรื่องดีๆ แต่เหนือสิ่งอื่นใดที่ได้ตามมานั่นคือ การฝึกจิตให้มีสมาธิ และยังช่วยเพิ่มสิริมงคลให้ชีวิตอีกด้วย เหมือนที่ผมสวดคาถาชินบัญชรมาหลายสิบปี ล้วนได้พบแต่สิ่งดีๆ ในชีวิต” พล.ต.อัคร กล่าว
    สำหรับ พล.ต.อัคร นอกจากจะมี พระสมเด็จวัดระฆัง คล้องคอชนิดไม่ห่างแล้ว ยังมีพระหลวงพ่อทวด ของพระอาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี ติดตัวอีกด้วย เพราะมีโอกาสได้สนทนาธรรมกับท่านมาแล้ว รวมถึงได้เห็นวัตรปฏิบัติอันงดงามของท่าน ทำให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธา จนต้องทำบุญบูชาไว้ข้างกายตลอดเวลา
    "ผมสวดคาถาชินบัญชร ทำให้มีโอกาสได้อาราธนาพระสมเด็จวัดระฆังขึ้นคออย่างไม่คาดฝัน เมื่อมีผู้หลักผู้ใหญ่เห็นถึงความตั้งใจ และมุ่งมั่น จึงมอบจักรพรรดิพระเครื่องให้ผม"

    เรื่อง -ภาพ... "สุพิชฌาย์ รัตนะ ศูนย์ข่าวภาคใต้"
     

แชร์หน้านี้

Loading...