พลังเมตตา...แห่งองค์หลวงตามหาบัว

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย ปัญญาพร, 6 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. ปัญญาพร

    ปัญญาพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +797
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    หลวงตาบัวไม่ได้สอนตั้งแต่มนุษย์นะ พูดยันเสียมันจวนจะตาย สอนกระทั่งเทวบุตรเทวดา สอนเทวบุตรเทวดาเขาเป็นอย่างไร สอนมนุษย์นี้เป็นอย่างไร ต่างกันอย่างไรบ้าง สอนมนุษย์นี้หยาบที่สุด สอนยาก สอนเทวบุตรเทวดามีแต่น้อมรับๆ



    (พระธรรมเทศนาของหลวงตา เมื่อเที่ยงวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๓)



    ghghghghgh


    ประกาศจากวัดป่าบ้านตาด

    1. ท่านใดประสงค์จะร่วมทำบุญถวายแด่องค์หลวงตา เพื่อซื้อทองคำเข้าคลังหลวง ตามพินัยกรรมขององค์หลวงตา ท่านสามารถทำบุญได้ที่วัดป่าบ้านตาด โดยใส่ตู้บริจาคเฉพาะบนศาลาที่ตั้งศพองค์หลวงตา หรือถวายโดยตรงกับองค์หลวงปู่ลี กุสลธโร จะไม่มีการรับบริจาคจากจุดอื่น หรือโอนเข้าบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาอุดรธานี บัญชีออมทรัพย์ ชื่อ เงินบริจาคในพิธีบำเพ็ญกุศลศพหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เพื่อซื้อทองคำเข้าคลังหลวงตามเจตนารมณ์ของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน โดยพระอาจารย์สุดใจ ทันตมโน
    เลขที่ 110-2-32599-9
    และบัญชีกระแสรายวัน เลขที่ 110-1-07299-8
    <O:p
    2. งานบุญประทายข้าวประจำปี 2554 ยังคงกำหนดการเดิมคือ วันเสาร์ที่ 12 กุมภาศกนี้ <O:p
    <O:p
    3. ท่านผู้ใดประสงค์จะร่วมทำบุญสงเคราะห์โลกกับองค์หลวงตาตามเลขที่บัญชีเดิม ท่านยังสามารถโอนเข้าบัญชีเหล่านั้นได้ตามปรกติ<O:p ไม่มีการรับบริจาคจากที่อื่น นอกเหนือจากเลขที่บัญชีขององค์หลวงตาที่เปิดไว้เพื่อสงเคราะห์โลก และเลขที่บัญชีตามข้อ 1 เพื่อเป็นไปตามปฏิปทาขององค์หลวงตาที่พาดำเนิน และถ้าเป็นภายในวัดป่าบ้านตาดต้องบริจาคใส่ตู้บริจาคเฉพาะบนศาลาด้านในที่ตั้งศพองค์หลวงตาท่านเท่านั้น


    5. กำหนดวันพระราชทานเพลิงศพองค์หลวงตา วันที่ 5 หรือ 12มีนาคมศกนี้ แต่ยังคงต้องรอหมายที่แน่นอนจากสำนักพระราชวัง ทางวัดป่าบ้านตาดจะประกาศให้ทราบต่อไป

    6. หากท่านใดมีข้อสอบถามเกี่ยวกับพิธีบำเพ็ญกุศลศพองค์หลวงตา ติดต่อโดยตรงได้ที่ กองอำนวยการวัดป่าบ้านตาด เบอร์โทรศัพท์ 043-648300, 043-648332, 043-648191,
    043-648199 เบอร์แฟ็กซ์ 043-648183
    <O:p


    "ให้รีบไปกราบหลวงตามหาบัวเสียไวๆที่สุดเถิด เพราะหลวงตาท่านเข็นสังขาร(ต่ออายุ)มาให้นานถึง 10 กว่าปีนี่แล้วน๊ะ!!??!!"
    พระอาจารย์แบน วัดดอยธรรมเจดีย์ สกลนคร(กล่าวกับศิษย์ตอนหลวงตามหาบัวเจริญอายุได้ 90 ปี)

    หมายเหตุ ,1. เป็นที่ทราบกันวงในว่า แท้จริงนั้น หลวงตามหาบัวท่านหมดอายุขัยตั้งแต่ตอนที่ท่านอายุได้ 80 ปีแล้ว โดยช่วงนั้น หลวงตามหาบัวอาพาธหนักมาก(มะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะที่ 4 ) และสั่งให้เตรียมสร้างเมรุเพื่อปลงสังขารของท่านเองที่วัดป่าบ้านตาดไว้เรียบร้อยแล้วด้วย แต่พอดีช่วงนั้น(พ.ศ. 2540) ประเทศไทยกำลังประสพวิกฤติเศรษฐกิจอย่างหนัก ใกล้ล้มละลายเต็มที หลวงตามหาบัวสงสารลูกหลานไทยว่าจะถึงความพินาศวอดวายกันหมดทั้งชาติไปเสียเปล่า ท่านเลยต้องเจริญ"อิทธิบาทภาวนา" ต่ออายุองค์ท่านเองด้วยกำลังฌาณและอรหันตฤทธิ์ที่ทรงอานุภาพอย่างเยี่ยมยอด จนสามารถระงับยับยั้งอาการอาพาธ(มะเร็งขั้นสุดท้าย)ให้สงบราบคาบได้เหมือนปลิดทิ้ง อีกทั้งยังมีกำลังวังชาแข็งแกร่งเหมือนมิได้เป็นอะไรมาก่อนออกบิณฑบาตทองคำและดอลล่าร์ เพื่อ"ช่วยชาติ"ให้พ้นจากหายนภัยจนประสพผลสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติสยาม โดยได้ทองคำเข้าคลังหลวงถึงกว่า 10 ตัน และเงินดอลล่าร์อีก 10 ล้านดอลล่าร์ ดังเป็นที่ประจักษ์โดยทั่วไปแล้วนั่นเอง...

    2. ตอนนี้ หลวงตามหาบัว ท่านมีอายุได้ "98" ปีแล้ว นี่ก็เท่ากับว่า หลวงตาท่าน"ยืดอายุโปรดโลก"มานานถึงกว่า "18" ปีแล้ว จึงนับเป็นพระคุณและวาสนาล้นเหลือแก่ผู้ที่ปรารถนาจะได้พบได้เห็นได้กราบได้ไหว้และได้ทำบุญกับ"อัครอรหันต์"ผู้ซึ่งทำประโยชน์ใหญ่ให้กับประเทศชาติและพระศาสนาด้วยฤทธิ์และบุญบารมีอันสูงสุดดุจนี้อย่างแท้จริงเลยทีเดียว
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=1 borderColor=#ffffff cellPadding=5 width=250 bgColor=#f4f4f4 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25>DSC04718.gif </TD></TR></TBODY></TABLE>


    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]














    <TABLE border=0 cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD class=text1 height=20 vAlign=top align=left>มหาอนุโมทนา พระอริยะผู้กล้ากู้แผ่นดินแห่งสยามประเทศ


    พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน)

    วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี







    เกริ่นนำ

    สำหรับข้อเขียนต่อไปนี้ ผู้เขียนได้เขียนถวายบูชาพระคุณแห่งท่านหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ในฐานแห่งผู้ที่”รัก”ความจริง”และ”ถือ”ความจริงอันสูงสุดเป็นสรณะโดยส่วนเดียว อย่างไม่มีการเห็นแก่หน้าใครทั้งนั้น โดยที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่สุดแห่งความเคารพสักการะบูชา หาได้เขียนในฐานะที่เป็น”ศิษย์”ในองค์หลวงตามหาบัวเป็นการส่วนตัวแม้สักน้อยไม่ เพราะผู้เขียนหาได้มีจริตนิสสัยและวาสนาเพียงพอที่จะ”นิพพานชาตินี้”ตามเบื้องบาทแห่งท่านแต่อย่างไรไม่ด้วย ฉะนั้นข้อความต่อไปนี้ จึงมั่นใจได้ว่า มีความเป็น”กลาง”อย่างยิ่ง อันใครๆจะพึงกล่าวหาว่า นี้เป็นการเขียนเพื่อ”เชียร์อาจารย์ตัวเอง”มิได้เลย

    จึงขอแจ้งมาเพื่อทราบและความเข้าใจอันดีโดยทั่วกัน.......

    ************************************

    แม้โดยจริตนิสสัยส่วนตัวของผู้เขียน จะมิมีวาสนาใกล้ชิดผูกพันในองค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานีมาแต่ไหนแต่ไรก็ตามที แต่ด้วยความที่เป็นคนที่รักความ”ถูกต้อง”และความ”เที่ยงธรรม”เป็นที่ยิ่ง อย่างไม่มีการเห็นแก่หน้าผู้ใดเป็นสรณะ เมื่อได้เห็นพระหรือโยมคนไหนทำดีแท้ แน่จริง ก็อดให้ตั้งกัลยาณจิตร่วมอนุโมทนาสาธุการไปด้วยเสียมิได้

    ไม่นิยมในอันที่จะ”แบ่งแยก”เราเขาให้เสียอารมณ์และความ”เป็นกลาง”เป็นอันเด็ดขาด

    ชมชอบเป็นที่สุดที่จะยึดถือ”สัจจะ”ความถูกต้องตามความเป็นจริง เป็นหลักใจอย่างสูงสุดทุกเมื่อ

    ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะเป็นพระองค์ไหน ใครคนหนึ่ง หากเป็นคนดี พระดีแท้แน่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็นศิษย์เป็นอาจารย์ หรือต้องมีความผูกพันกันมาแต่ชาติปางไหน ผมก็ไม่รีรอที่จะ”เผย”คุณงามความดีแห่งท่านๆนั้นๆให้ทุกคนได้ล่วงรู้และรับทราบกันต่อไป

    หากนี้จะถือว่าเป็น”บุญ” ผมก็ขออุทิศบุญนี้ให้แก่ทุกๆท่านอย่างไม่หวงแหนต่อไปอีกทอดหนึ่งด้วย

    แจ้งความในใจให้ทราบกันเป็นปฐมก่อนอย่างนี้
    และแน่นอน อันองค์ของท่านเจ้าคุณพระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโนนี้ โดยเนื้อแท้แห่งจิตวิญญาณแล้ว ท่านก็คืออีกหนึ่งในพระดีมากๆ ถึงมากที่สุดอย่างไม่ใครต้องสงสัย
    ก็หากจะเรียกท่านว่า เป็นพระ”อัจฉริยาริยเจ้า”(อัจฉริยะ+อริยเจ้า) แห่งประวัติศาสตร์ของชนชาติสยามที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์เลย ก็อาจที่จะว่าจะกล่าวได้ไม่ผิดคำ
    ดูแต่”โครงการช่วยชาติ”ที่ท่านสู้อุตส่าห์ยอม”เปลืองตัว” ให้เป็นขี้ปากชาววัด ชาวบ้านได้นินทาว่าร้ายป้ายสีอย่างเลือดไหลโชกๆ ออกมาบิณฑบาต”ทองคำ”และ”ดอลล่าร์” เพื่อมาเป็นทุนสำรองในธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อ”กู้แผ่นดิน”ให้พ้นจากสภาวะวิกฤติทางการเงินที่ผ่านมาแต่เพียงอย่างเดียว ก็สะท้อนให้เห็นถึง”อริยปัญญา” อันแยบยลและ”มหาเมตตา มหากรุณา”อันลึกซึ้งยิ่งใหญ่ จนเกินกว่าที่สามัญปุถุชนทั่วไปจักคาดคิดถึงได้อย่างชัดเจนที่สุดแล้ว
    ก็อย่าว่าแต่คนไหนใครอื่นเลย แม้แต่ตัวของผู้เขียนคนนี้เอง แต่แรกก็ยังนึกประมาทท่าน ตามประสาคนโง่ที่ยังไม่มี”ปัญญาจักษุ”อย่างรู้แจ้งแทงตลอดเอาเสียเลยทีเดียวว่า
    ”วิริยาธิกะจริงๆ......”
    ”วิริยาธิกะแท้ๆ......”
    หรือหากจะว่าตามเรื่องของ”พระมหาชนก” ผมก็คงไม่แคล้วต้องว่าบทของ”นางมณีเมขลา”ที่กล่าวกับพระมหาชนกที่เรือแตก แล้วกำลังแหวกว่ายอยู่กลางมหาสาครใหญ่ที่ว่า
    ”นี้ใคร...เมื่อยังไม่เห็นฝั่ง ก็ยังพยายามว่ายน้ำนักหนาอยู่เห็นปานนี้....???”
    ก็”หนี้ต่างประเทศ”ที่มีจำนวนมากนับเป็น”ล้าน*ล้าน”บาท ตลอดจน”ทองคำ”และ”ดอลล่าร์”ในท้องพระคลังหลวง ที่ถูก”ผลาญ”ละลายแม่น้ำเจ้าพระยาทิ้งไปอย่างไม่สมควรจนแทบจะหมดแบงค์ชาตินั่นแหละครับ
    คงไม่ต้อง”ลำเลิก”ก็น่าจะรู้ดีหรอกนะครับ ว่างานนี้ “ฝีมือ”ของผู้ใด???
    ก็”ทอง”และ”ดอลล่าร์”ที่หลวงตามหาบัวรับบิณฑบาตมาในช่วงแรกๆไม่กี่บาทกี่ชั่งนั้น จะทำอะไรได้เล่า
    ช่างไม่อาจจะถึงการเปรียบ ไม่ถึงการเทียบกับ”หนี้ของแผ่นดิน”ที่สุมหัวทุกคนอยู่ แม้เศษหนึ่งส่วนเสี้ยวที่สิบหกเลยจนนิดเดียว
    ดูแล้ว ออกจะเป็นเรื่องที่”เหนื่อยเปล่า”และ”เป็นไปไม่ได้”อย่างแท้ๆ
    เพราะสถานการณ์ทั้งนั้น ไม่แตกต่างอะไรกับการพยายามของ”พระมหาชนก”เมื่อครั้งกระนั้นเลยแม้สักน้อย
    แต่พอครั้นได้”รู้แจ้ง”ถึง”ความนัย”ทั้งปวงแล้ว ผมก็แทบจะต้องตบกระโหลกตัวเอง ในฐานที่”ง่าวจ๊าดนัก” ด้วยไม่เข้าใจในเจตนารมณ์ที่ซ่อนอยู่ในจิตใจเบื้องลึกที่สุดแห่งองค์ท่านมาเป็นนานสองนาน
    สำหรับเหตุผลที่ท่านหลวงตาเคยว่าไว้ก็คือ หากจะมามัวทอดอาลัยไม่ทำอะไร หรือมามัวแต่นั่งเคียดขึ้งกับคนที่ก่อเรื่องแล้ว ก็หาได้มีประโยชน์อันใดแม้สักน้อยหนึ่งไม่
    คงมีแต่”ตายกับตาย”อย่างที่ไม่เหลือคุณค่าให้ใครๆมาเห็นหัวได้อย่างแน่นอน
    ฉะนั้น ท่านหลวงตามหาบัวจึงกระทำการตามเยี่ยงอย่างหน่อพระโพธิสัตว์”พระมหาชนก”ด้วยการ....
    แม้ไม่เห็นฝั่ง ก็จักว่ายอยู่ไม่หยุด
    แม้ไม่มีความหวัง ก็ยังคงก้าวต่อไปไม่ยั้ง
    และ แม้จะไม่เห็นผลที่สำเร็จ ก็ยังจะพยายามต่อไปตราบจนลมหายใจเฮือกสุดท้าย..........
    แม้ตาย ก็นับว่า ไม่เป็นหนี้แก่ผู้ใด
    ก็”เพียร”แล้ว ก็”พยายาม”อย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว
    ผู้มีใจอันเป็นธรรมคนใดๆจักอาจจะว่าจะกล่าวจะตำหนิต่อผู้”ทำความเพียร”ได้เล่า
    อีกทั้งการ”ช่วยชาติ”ดังนี้ หาใช่เป็นไปเพราะ”ตัวเอง”เพียงคนเดียวให้พ้นจากการจ่อมจมในห้วงแห่ง”ธนสาคร”ก็หามิได้แต่ประการใดทั้งสิ้น
    แต่เป็นการช่วยทั้ง”คน” ช่วยทั้ง”ชาติ”รวมหมดถึง”พระศาสนา”ทั้งหมดในคราวเดียวกันนี้นั่นเลยทีเดียว
    แล้วตอนนี้ ผลแห่ง”ความเพียร”ของท่านหลวงตา ก่อให้เกิดผลอันยิ่งใหญ่เห็นปานใด???
    ขวัญกำลังใจและเศรษฐกิจของชาติโดยรวม จากที่ใกล้ล่มสลายหายนะเต็มที กลับพลิกฟื้นขึ้นมาอย่างน่าหวาดเสียวที่สุดได้ หากมิใช่เพราะ”ญาณปัญญา”และการ”ทำจริง”ของหลวงตามหาบัวแล้ว จะนับเป็นฝีมือของบุคคลใดใครที่ไหนกันอีกเล่า..???
    เงินตราและทองคำสำรองในคลังหลวงของประเทศชาติไทยตอนนี้ เพิ่มทวีมากขึ้นเท่าไร ใครรู้บ้าง.???
    เสถียรภาพและความมั่นคงของค่าเงินบาทที่เพิ่มค่าแข็งแกร่งขึ้นทุกทีๆ หากไม่มีทองคำและดอลล่าร์ที่หลวงตาเพียรบิณฑบาตหามาค้ำประเทศชาติไว้อย่างสุดชีวิตถึงกว่า 11,000 กิโลกรัม(11 ตัน) จะยังมีวันนี้ได้อยู่อีกล่ะหรือ..????
    ขอพี่น้องท่านทั้งหลาย จงพินิจพิจารณาตริตรองด้วยความให้จงดีเป็นธรรมเถิด
    แต่โดยส่วนตัวของผู้เขียนแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งชวนให้ต้องคิดหนักเข้าไปอีกว่า ก็อันอัจฉริยบุคคลผู้มีจริตนิสสัยหาญกล้า ถึงพร้อมด้วยภูมิปัญญา ตลอดจนความเมตตากรุณาและเสียสละเพียบพร้อมอย่างยิ่งใหญ่จนกระทั่งถึงขั้นกล้า”ตัดคอรอง”ให้กับส่วนรวมและประเทศชาติได้เห็นปานนี้ คงจะมิใช่”สามัญบุคคล”มาแต่เดิมอย่างไม่ต้องสงสัย
    ค่อนข้างจะแน่นอนเสียเหลือเกินว่า หลวงตามหาบัวท่านคงจะมีจริตนิสสัยและบำเพ็ญบารมีในเชิง”พุทธภูมิ”มาก่อนอย่างยากที่จะคิดให้เป็นอื่นได้
    อธิวาสนาและอธิบารมีแห่งท่าน ถึงได้ยิ่งใหญ่และไพศาลเกินกว่าที่”สาวกภูมิ”ธรรมดาทั่วไปจึงพึงยังให้มี ให้เป็นไปเห็นปานนี้ได้
    ต่อเมื่อได้มาอ่าน”อาจาริยธรรม”แห่งท่านในหนังสือ”บูรพาจารย์”แล้ว จึงได้”แจ้งใจ”อย่างสิ้นเชิงทีเดียว ดังมีบันทึกไว้ตอนหนึ่งว่า





















    "...ในยามที่พระเณรมีข้อผิดพลาดขึ้นคราใด ท่าน(หลวงตามหาบัว)มักจะออกรับผิดกับท่านพระอาจารย์มั่นแทนหมู่เพื่อน ชนิดยอมตัดคอออกรองเลยก็ว่าได้...

    ท่านจะรีบดึงปัญหานั้นเข้าหาตัวท่านเองทันที เพราะเห็นหมู่เพื่อนพระเณรเกรงกลัวท่านพระอาจารย์มั่นมาก ทำให้ท่านรู้สึกสงสารและเห็นอกเห็นใจ อีกทั้งความจงใจทำผิดก็ไม่มี จะมีบ้างก็เป็นข้อผิดพลาด(เล็กน้อย)บางประการเท่านั้น สำหรับท่านเองก็พออดพอทนได้ หากว่าท่านพระอาจารย์มั่นจะเคาะจะตีอะไร ท่านก็อดทนเอา....

    แต่เมื่อนานๆไป ความผิดพลาดมีบ่อยครั้งเข้า และทุกครั้ง ก็จะมี"ท่านมหาบัว"ออกหน้ารับผิดทุกครั้งไป ท่านพระอาจารย์มั่นจึงดุเอาอย่างรู้ทันทีเดียวว่า

    "ใครผิดหัววัดท้ายวัดก็มหา ใครผิดท้ายวัดหัววัดก็มหา..เอะอะก็มหาผิด..เอะอะก็มหาผิด!!!"

    "มันจะโง่ขนาดนั้นหรือมหานี่น่ะ..หือ..หือ..!!?!"











    ก็ด้วยจริตนิสสัยแห่งความเป็น”ผู้นำ”ที่กล้ารับทั้ง”ผิด”และ”ชอบ”แทนผู้อื่นอย่างไม่กลัวเจ็บ ที่ได้ฉายแววให้เห็นตั้งแต่ยังเป็นพระหนุ่มๆอยู่เห็นปานนี้ จึงไม่น่าแปลกใจอันใด ที่หลวงตามหาบัวจะหาญกล้า”ออกหน้า”มาเป็น”ผู้นำ”ในการ”ช่วยชาติ”อย่างไม่มีความอาลัยแก่ชีวิต โดยมิพักจะใยดีต่อคำครหานินทาของผู้ที่”ไม่เข้าใจ”หรือ”ไม่ยอมเข้าใจ”ทั้งหลาย ที่อื้ออึงไปทั่วทุกสารทิศแต่อย่างไรทั้งสิ้นไม่แม้จนนิดเดียว



    เพื่อยังส่วนรวมให้รอด หาได้มีสิ่งอื่นใดสำคัญยิ่งไปกว่านี้แล้วไม่



    แม้บางครั้ง จำจะต้องปล่อย "บัวใต้น้ำ" จำนวนไม่น้อยให้ต้องตกเป็นภักษาหารแก่เต่าและปลาไปต่อหน้าต่อตา นั่นคือการดำดิ่งลงสู่อบายภูมิ จากการปรามาสพระอริยเจ้าชั้นสูงและขัดขวางการช่วยชาติและพระศาสนาให้คงอยู่ ซึ่งเท่ากับเป็นการทำลายให้ชาติและบวรพระพุทธศาสนามีอันต้องถึงแก่กาลอวสานโดยตรง อันย่อมเป็นกรรมอันหนักอย่างสาหัสที่สุด ไม่มีใดจะเปรียบปานได้ก็ตามที



    การย่อมเป็นดังอริยวาทะของพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลองค์หนึ่งท่านได้กล่าวไว้อย่างชัดแจ้งว่า



    "สัตว์โลกย่อมพินาศเพราะความไม่รู้แจ้ง"



    นั่นก็คือ



    "ถูกคือถูก....ผิดคือผิด"อย่างเด็ดขาด



    และวาทะโลกที่ว่า "ผู้ไม่รู้ไม่ผิด" หาได้เป็นข้อยกเว้นที่จะปฏิเสธในอันที่จะไม่รับผลทั้งดีและร้ายที่ตนเองได้ทำไว้เองแต่อย่างไรไม่



    "สัตว์โลก"ทั้งหลาย มีหน้าที่ใฝ่หาความ"รู้แจ้ง"กันเอาเอง



    หากไม่หา แล้ว"ทำผิด" ก็ต้องเสวยผลอันเป็นทุกข์ ด้วยตัวเอง



    ใครอื่นเลย จักช่วยได้เล่า..???



    และแน่นอน มหาบุญแห่งการ"ช่วยชาติ"ในครั้งนี้ ท่านว่า"ยิ่งใหญ่"นักหนา....

    เพราะนี้เป็นการกู้ชาติทั้งชาติ กู้ศาสนาทั้งศาสนาให้รอดพ้นจากการตกอยู่ในมือของ”ต่างชาติ”นอกพระพุทธศาสนา ที่จะใช้เกมทาง”สงครามเศรษฐกิจ”มาย่ำยีบีฑาและบดขยี้ชาติไทยและบวรพระพุทธศาสนาให้ดับสูญสิ้นไปในคราวเดียวอย่างแยบยลและน่าขนพองสยองเกล้าเป็นที่สุดนั่นเอง

    ช่างเป็นบุญอย่างเหลือเกิน ที่บวรพระพุทธศาสนาและประชาชาติไทยยังได้มี”สุดยอดพระดี”อย่างท่านเจ้าคุณพระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน มา”ยกชาติ”ให้พ้นภัยได้อย่างเป็นรูปธรรมที่สุดเห็นปานนี้

    ต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่สักสิบชาติ ร้อยชาติ โดยส่วนตัวของผู้เขียนเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เราท่านทั้งหลาย ยังจะมีโอกาสวาสนาได้พบพานกับพระเอกอัครขีณาสวเจ้าผู้ใจเด็ดและหาญกล้าเสมอด้วยท่านหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโนนี้อีกหรือไม่..????

    ฉะนั้น เมื่อขณะมีอยู่เฉพาะหน้าเห็นปานนี้แล้ว ก็ขอท่านทั้งหลายจงอย่าได้พลาดโอกาส”ทองคำลงยาฝังเพชร”ที่หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนท่านได้ให้โอกาสแก่ทุกๆคนได้สร้างมหากุศลอันใหญ่หลวงที่สุดในการ”ช่วยชาติ”ในคราครั้งนี้ไปเปล่าเลย................













    นมัสการอริยผู้ อรหันต์




    บริสุทธิ์ดุจดวงตะวัน ส่องด้าว




    เมตตาพระมหันต์ นักยิ่ง นาพ่อ




    ยกไทยพ้นรวดร้าว เทวษไห้ ขุกเข็ญ





    ล่วงเลยใช่ล่วงแล้ว เพียงองค์




    กรุณาพระธำรง ท่วมฟ้า




    โปรดสัตว์เร่งจำนง จ่ายแจก




    อนุเคราะห์สัตว์ทั่วหล้า ก่อนกี้ สุดพรรณา





    ถึงคราวไทยเร่าร้อน สุดประมาณ




    เศรษฐกิจล้วนแหลกลาญ ทั่วหล้า




    ดั่งต้องโทษประหาร ปลิดชีพ




    มหาชนต่างอ่อนล้า ชอกช้ำ สุดฝืน





    น้ำตาทุกข์ยากไร้ ท่วมดิน




    หลวงตาย่อมยลยิน แน่แท้




    แสนสงสารไทยสิ้น ที่พึ่ง




    ท่านจึ่งจำเร่งแก้ ชาติพ้น ภัยพาล





    จากป่าออกบากหน้า สู่เมือง




    บิณฑบาตทองเมลือง เลื่องค่า




    ใส่กายก็เรืองเหลือง เพียงอาตม์




    หาได้ชูเชิดหน้า แผ่นพื้น ไผทสยาม





    เงินทองดอลล่าร์ล้วน ประสงค์




    มาค้ำเงินบาทยง ยิ่งฟ้า




    ต่างชาติย่อมจำนง เปลี่ยนแลก




    ยินดีมาขายค้า พรั่งพร้อม ทั่วสกล





    บุญใดฤาเทียบเท่า กู้แผ่นดิน




    ยกชาติทั้งธรณิน นี่นี้




    คุ้มศาสน์พ้นพังภินท์ พินาศ




    อานิสงส์ท่านจึ่งชี้ ยิ่งล้ำ เลอสรวง





    แลฤาคือท่านแท้ มหาบัว




    ดั่งพ่อแม่ของทุกทั่ว แน่แล้ว




    เมตตาพระเหนือหัว ทุกผู้




    คุ้มเกศดั่งกลดแก้ว กางกั้น เกศี





    ขอจำรำลึกไว้ กลางใจ




    ทั่วภพจบวัฏฏ์ไกล ไป่สิ้น




    บุญคุณพระยิ่งใหญ่ เกินพร่ำ




    แม้ชีพจักด่าวดิ้น ไม่สิ้น อนุสรณ์





    ญาณสัมปันโน มหาเถเร ปมาเทนะ ทวาระกะเตนะกะตัง




    สัพพัง อะปะราทัง ขะมะตุโน ภันเต



    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>​






















































    </TD></TR><TR><TD class=text1>"เนาว์สถิตย์"












    </TD></TR></TBODY></TABLE>​












    <TABLE border=0 cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD class=text1 height=20 vAlign=top align=left>อนึ่ง ทราบเป็นการภายในมาว่า เหตุที่ว่า การช่วยชาติของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนในครั้งนี้ มีอานิสงส์ใหญ่ยิ่งที่สุด หาใดเปรียบมิได้นั้น ก็เพราะ...



    1.เงินทองหรือดอลล่าร์ที่ถวาย นับเป็นทรัพย์สิน"ของสงฆ์"(สังฆทาน) ซึ่งมีอานิสงส์มากอยู่แล้ว


    2.คณะสงฆ์โดยมีหลวงตามหาบัวเป็นองค์ประธาน ได้มีสังฆมติยกให้เป็นทรัพย์รักษาแผ่นดิน ยิ่งได้บุญทับซ้อนยิ่งๆขึ้นไปอีก


    3.ทรัพย์แผ่นดินทั้งทองคำและดอลล่าร์นี้ เมื่อเข้าสู่คลังหลวง ก็เท่ากับ"ช่วยชีวิต"และ"รักษาลมหายใจ"ของคนไทยทั้งประเทศทุกคนรวดเดียวถึงกว่า 60 ล้านคนให้คงดำเนินอยู่ต่อไปได้ (ให้ชีวิตคน 60 ล้านคนเป็นทาน) ซึ่งได้กุศลไม่สุดสิ้น ยิ่งกว่าการไถ่ชีวิตโคกระบือเป็นทานจนหมดโลกก็ตาม


    4.คนไทยทั้ง 60 กว่าล้านคนที่ทองคำและดอลล่าร์ในคลังหลวงคุ้มครองไว้ มี"พระภิกษุสงฆ์"ถึงกว่า 300,000 รูป การบริจาคช่วยชาติ จึงเท่ากับได้ถวาย"อภิมหาสังฆทาน"ในส่วนแห่ง"ชีวิต"และ"ปัจจัยสี่"พระสงฆ์ถึงสามแสนรูปโดยอัตโนมัติ


    5.ในพระสงฆ์ 300,000 กว่ารูปนั้น มีพระ"อริยะ"ตั้งแต่โสดาบัน,สกิทาคามี,อนาคามีและพระอรหันตเจ้าอยู่กี่องค์ จะนับด้วยจำนวนสิบหรือร้อยองค์ การบริจาคช่วยชาติ ก็เท่ากับได้ถวายสังฆทานในพระอริยเจ้านับเป็นสิบเป็นร้อยองค์แบบรวดเดียวและเบ็ดเสร็จในครั้งเดียว


    6.ก็ในประเทศไทยทั้งหมดนั้น มีวัดรวมกันกว่า 20,000 กว่าวัด มีพุทธสถานสำคัญ โดยที่หลายๆแห่ง ก็มีประวัติว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยเสด็จมาด้วยพระองค์เอง รวมไปถึงลานพระเจดีย์พระบทพระบาทพระธาตุพระพุทธรูปอยู่นับเป็นร้อยๆแห่ง การบริจาคช่วยชาติเพียงที่เดียว ก็เท่ากับเป็นการปกป้องรักษาและถวายทานที่เป็นส่วนแห่ง"เสนาสนทาน"และ" วิหารทาน" ," ธรรมทาน" ตลอดจน"สังฆทาน"ในทุกวัดรวดเดียวทั้งประเทศ ใครจะไปคำนวนอานิสงส์ในครั้งนี้ได้


    การ"ช่วยชาติ"ของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนเป็นการบำเพ็ญมหาทานบารมีแบบ"ครอบประเทศ" ซึ่งเป็นการ"ช่วยโลก"แบบ"เหมาหมด" ไม่มีส่วนเหลือ


    โบสถ์ทุกโบสถ์ วิหารทุกวิหาร กุฏิทุกกุฏิ พระพุทธรูปทุกๆองค์ที่มีนับแสนนับล้านหรือสิบๆล้าน ไม่ว่าจะอยู่ที่วัดไหน อารามไหน หรือสถานที่แห่งใดก็ตาม พระทุกรูป ไม่ว่าจะเป็นสมมุติสงฆ์หรืออริยสงฆ์ คนไทยทุกคน ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว ล้วนตั้งอยู่บน"ฐานบุญ" คือ "แผ่นดินไทย" ที่คงอยู่ได้ เพราะเหตุแห่งการ"ช่วยชาติ"นี้หมดทั้งสิ้น


    ที่สุด....แม้สักเม็ดฝุ่นเม็ดทรายที่สุดจะคณานับได้ในแว่นแคว้นแห่งสยามประเทศที่มีอยู่กว่า 500,000 ตารางกิโลเมตรนั้น ที่จะหลงรอดในอันที่จะไม่ถูกเมตตามหาบารมีของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนนี้โอบอุ้มคุ้มครองไว้ทั้งหมด ก็หามีไม่เลยแม้สักอณูเดียวเม็ดเดียวอย่างแท้จริง....

    ไม่จำเป็นจะต้องกล่าวในสิ่งที่"สูง"ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว
    อานิสงส์แห่งการ"ช่วยชาติ" ที่ประดิษฐานบวรพระพุทธศาสนาอย่างประเทศไทยที่หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนเมตตาพาดำเนินดังกล่าว จึง "ยิ่งใหญ่" และมีอานิสงส์ "สูงสุด" ไม่มีใดเทียมอย่างที่"พุทธวงศ์"ได้อรรถาธิบายขยายความอย่างพิศดารมาด้วยประการฉะนี้แลฯ






















    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=1 borderColor=#ffffff cellPadding=5 width=250 bgColor=#f4f4f4 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25>20060710171340(7).jpg </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>​





    </TD></TR><TR><TD class=text1>
    "เนาว์สถิตย์" (NAOSATITT)


    ขอเชิญสาธุชนทุกท่านร่วมบุญกับองค์หลวงตามหาบัวได้ดังนี้


    หลวงตาเมตตาตั้งงบ 500 ล้านบาท สร้างตึกร.พ.อุดรธานี (14ม.ค.54)ยอดบริจาค 445,791,308 บาท<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top></TD></TR><TR><TD vAlign=top width=15></TD><TD vAlign=top>[​IMG]กำหนดการบุญประทายข้าววัดป่าบ้านตาด ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=15></TD><TD vAlign=top>• ขอเชิญร่วมทอดผ้าป่าสามัคคีเพื่อตั้งสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชนเพิ่มเติมในเขตกรุงเทพฯ </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=15></TD><TD vAlign=top>[​IMG]เลขที่บัญชีเพื่อร่วมทำบุญกับองค์หลวงตา</TD></TR></TBODY></TABLE>​





    [​IMG]
    <MARQUEE style="BORDER-BOTTOM: #e0e0e0 1px solid; BORDER-LEFT: silver 1px solid; BACKGROUND-COLOR: #f6f6f6; WIDTH: 500px; FONT-FAMILY: tahoma; FONT-SIZE: 12pt; BORDER-TOP: silver 1px solid; BORDER-RIGHT: #e0e0e0 1px solid" scrollAmount=2 scrollDelay=1>ประกาศจากวัดป่าบ้านตาด 1.กำหนดการวันบุญประทายข้าวยังคงเดิมคือวันเสาร์ที่ 12 กุมภาศกนี้ 2.ผู้ประสงค์ร่วมบุญเพื่อซื้อทองคำเข้าคลังหลวงตามพินัยกรรมขององค์หลวงตาอ่านรายละเอียดที่หน้าประชาสัมพันธ์</MARQUEE>
    <TABLE><TBODY><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><SCRIPT>var nmsg=1; var xstr=new Array(); xstr[xstr.length]='ประกาศจากวัดป่าบ้านตาด 1.กำหนดการวันบุญประทายข้าวยังคงเดิมคือวันเสาร์ที่ 12 กุมภาศกนี้ 2.ผู้ประสงค์ร่วมบุญเพื่อซื้อทองคำเข้าคลังหลวงตามพินัยกรรมขององค์หลวงตาอ่านรายละเอียดที่หน้าประชาสัมพันธ์'; ReStr(); xScroll();</SCRIPT>

    [​IMG]
    [​IMG]
    กำเนิด ในครอบครัวชาวนาผู้มีอันจะกิน ณ บ้านตาด อุดรธานี

    [​IMG] วันเกิด ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๕๖

    [​IMG] นาม บัว โลหิตดี

    [​IMG] พี่น้องทั้งหมด ๑๖ คน

    [​IMG] สมัยเด็ก เคารพเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา โดยได้ร่วมทำบุญตักบาตรกับผู้ใหญ่อยู่เสมอ

    [​IMG] วัยหนุ่ม เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัว ขยันขันแข็ง ทำงานอะไรทำจริงๆ จังๆ เป็นที่ไว้วางใจของพ่อแม่ในการงานทั้งปวง

    [​IMG] คู่ครอง เดิมไม่เคยคิดจะบวช เพราะอยากมีครอบครัว แต่มักมีอุปสรรคให้แคล้วคลาดทุกทีไป

    [​IMG] เหตุที่บวช เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี พ่อแม่ขอร้องให้บวชตามประเพณีอยู่หลายครั้ง ท่านก็ทำเฉย ๆ ตลอดมา ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธแต่อย่างใด ในครั้งสุดท้ายนี้ ด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้า หวังพึ่งใบบุญจากการบวชของลูกให้ได้ ถึงกับทำให้พ่อแม่น้ำตาร่วง ครั้งนี้ท่านรู้สึกสะเทือนใจและเห็นใจพ่อแม่มาก จึงตัดสินใจ และยอมบวชตามประเพณี เพื่อตอบแทนพระคุณพ่อแม่ โดยตั้งใจไว้ในตอนต้นนี้ว่า จะบวชเพียงระยะสั้น ๆ เท่านั้น

    [​IMG] วันบวช ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ณ วัดโยธานิมิตร อุดรธานี

    [​IMG] พระอุปัชฌาย์ ชื่อ ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์(จูม พันธุโล) วัดโพธิสมภรณ์

    [​IMG]

    [​IMG] เคารพพระวินัย
    ด้วยเดิมมีนิสัยจริงจัง จึงบวชเพื่อเอาบุญกุศลจริง ๆ และตั้งใจรักษาสิกขาบทวินัยน้อยใหญ่อย่างเคร่งครัด ในพรรษาแรกท่านได้ตั้งสัจอธิษฐานว่า ในการทำวัตรเช้า-เย็นรวมและการบิณฑบาต จะไม่ให้มีวันใดขาดเลย และท่านก็ทำได้ตามที่ตั้งคำสัตย์ไว้

    [​IMG] เรียนปริยัติ เมื่อได้เรียนหนังสือทางธรรม ตั้งแต่นวโกวาท พุทธประวัติ ประวัติพระสาวกอรหันต์ ที่ท่านมาจากสกุลต่าง ๆ ตั้งแต่พระราชา เศรษฐี พ่อค้า จนถึงประชาชน หลังจากฟังพระพุทธโอวาทแล้ว ต่างก็เข้าบำเพ็ญเพียรในป่าเขาอย่างจริงจัง เดี๋ยวองค์นั้นสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในป่า เดี๋ยวองค์นี้สำเร็จในเขา ในเงื้อมผา ในที่สงบสงัด ท่านก็เกิดความเชื่อเลื่อมใสขึ้นมา อยากจะเป็นพระอรหันต์ พ้นจากทุกข์ทั้งปวงในชาตินี้อย่างพระสาวกท่านบ้าง

    [​IMG] สงสัย ช่วงเรียนปริยัติอยู่นี้ มีความลังเลสงสัยในใจว่า หากท่านดำเนินและปฏิบัติตามพระสาวกเหล่านั้น จะบรรลุถึงจุดที่พระสาวกท่านบรรลุหรือไม่ และบัดนี้จะยังมีมรรคผลนิพพานอยู่ เหมือนในครั้งพุทธกาลหรือไม่

    [​IMG] ตั้งสัจจะ ด้วยความมุ่งมั่นอยากเป็นพระอรหันต์บ้าง ท่านจึงตั้งสัจจะไว้ว่า จะขอเรียนบาลีให้จบแค่เปรียญ ๓ ประโยคเท่านั้น ส่วนนักธรรมแม้จะไม่จบชั้นก็ไม่เป็นไร จากนั้นจะออกปฏิบัติกรรมฐานโดยถ่ายเดียว จะไม่ยอมศึกษาและสอบประโยคต่อไปเป็นอันขาด

    [​IMG] เรียนจบ ท่านสอบได้ทั้งนักธรรมเอก และเปรียญ ๓ ประโยคในปีที่ท่านบวชได้ ๗ พรรษา ณ วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ และสถานที่แห่งนี้เอง เป็นที่แรกที่ท่านได้มีโอกาสพบเห็นท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ซึ่งต่อมา ได้กลายเป็นพระอาจารย์องค์สำคัญที่สุดในชีวิตของท่าน

    [​IMG]

    [​IMG] ออกปฏิบัติ
    เมื่อเรียนจบมหาเปรียญแล้ว แม้จะมีพระมหาเถระในกรุงเทพฯ สนับสนุนให้ท่านเรียนต่อในชั้นสูง ๆ ขึ้นไปก็ตาม แต่ด้วยท่านเป็นคนรักคำสัตย์ยิ่งกว่าชีวิต ดังนั้นเมื่อมีโอกาส ท่านจึงเข้ากราบลาพระผู้ใหญ่ และออกปฏิบัติกรรมฐานอย่างจริงจัง โดยมุ่งหน้าไปทางป่าเขาแถบจังหวัดนครราชสีมา แล้วเข้าจำพรรษาที่อำเภอจักราช นับเป็นพรรษาที่ ๘ ของการบวช

    [​IMG] พากเพียร ท่านเร่งความเพียรตลอดทั้งพรรษา ไม่ทำการงานอื่นใดทั้งนั้น มีแต่ทำสมาธิภาวนา-เดินจงกรมอย่างเดียวทั้งวันทั้งคืน จนจิตได้รับความสงบจากสมาธิธรรม

    [​IMG] มุ่งมั่น แม้พระเถระผู้ใหญ่ท่านอุตส่าห์เมตตาตามมาสั่งให้กลับเข้าเรียนบาลีต่อที่กรุงเทพฯอีก แต่ด้วยความมุ่งมั่นและตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ที่จะพ้นทุกข์ให้ได้ภายในชาตินี้ ท่านจึงหาโอกาสปลีกตัวออกปฏิบัติได้อีกวาระหนึ่ง

    [​IMG] จิตเสื่อม จากนั้นท่านกลับไปบ้านเกิดของท่าน เพื่อทำกลดไว้ใช้ในการออกวิเวกตามป่าเขา จิตที่เคยสงบร่มเย็น จึงกลับเริ่มเสื่อมลง ๆ เพราะเหตุที่ทำกลดคันนี้นี่เอง

    [​IMG] เสาะหา..อาจารย์ เดือนพฤษภาคม ๒๔๘๕ เดินทางไปขออยู่ศึกษากับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เหตุการณ์บังเอิญกุฏิที่พักเพิ่งจะว่างลงพอดี ท่านพระอาจารย์มั่นจึงเมตตารับไว้ และเทศน์สอนตรงกับปัญหาที่เก็บความสงสัยฝังใจมานานให้คลี่คลายไปได้ว่า ดินฟ้าอากาศแร่ธาตุต่างๆ เขาเป็นของเขาเอง เขาไม่ได้เป็นมรรคผลนิพพาน เขาไม่ได้เป็นกิเลส กิเลสจริง ๆ มรรคผลนิพพานจริง ๆ อยู่ที่ใจ หากกำหนดจิตจ่อด้วยสติที่ใจแล้ว จะเห็นความเคลื่อนไหวของทั้งธรรม ทั้งกิเลสในใจ ขณะเดียวกันจะเห็นมรรคผลนิพพานไปโดยลำดับ

    [​IMG] ปริยัติ..ไม่เพียงพอ จากนั้นท่านพระอาจารย์มั่นเมตตาแนะต่อว่า ธรรมที่เรียนมาถึงขั้นมหาเปรียญมากน้อยเพียงใด ยังไม่สามารถอำนวยประโยชน์ให้ได้ แต่กลับจะเป็นอุปสรรคต่อการภาวนา เพราะอดจะเป็นกังวลและนำธรรมที่เรียนมานั้น มาเทียบเคียงไม่ได้ในขณะที่ทำใจให้สงบ และยังจะกลายเป็นสัญญาอารมณ์คาดคะเนไปที่อื่น จนกลายเป็นคนไม่มีหลักได้

    ดังนั้น เพื่อให้สะดวกในเวลาทำความสงบหรือจะใช้ปัญญาคิดค้น ให้ยกธรรมที่เรียนมานั้นขึ้นบูชาไว้ก่อน ต่อเมื่อถึงกาลอันสมควร ธรรมที่เรียนมาทั้งหมด จะวิ่งเข้ามาประสานกันกับด้านปฏิบัติ และกลมกลืนกันได้อย่างสนิท

    [​IMG] โหมความเพียร จากการได้ศึกษากับผู้รู้จริง ได้รับอุบายต่าง ๆ มากมาย และหักโหมความเพียรเต็มกำลัง ชนิดนั่งสมาธิภาวนาตลอดรุ่งถึง ๙ คืน ๑๐ คืนโดยเว้น ๒ คืนบ้าง ๓ คืนบ้าง ทำให้ก้นของท่านระบมจนถึงกับแตกพอง เลอะเปื้อนสบงเลยทีเดียว แต่จิตใจที่เคยเสื่อมนั้น กลับเจริญขึ้น ๆ จนสามารถตั้งหลักได้

    [​IMG] จริงจัง ท่านถูกจริตกับการอดอาหาร เพราะทำให้ท่านตัวเบา การภาวนาง่ายสะดวก และจิตใจเจริญขึ้นได้ดี จึงมักงดฉันอาหารติดต่อกันเป็นเวลานาน คราวหนึ่งท่านออกวิเวกแถบป่าใกล้หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชาวบ้านไม่เห็นท่านออกบิณฑบาตนานจนผิดสังเกต ถึงขนาดหัวหน้าหมู่บ้านต้องตีเกราะเรียกประชุมกัน ด้วยลือกันว่า ไม่ใช่ท่านตายแล้วหรือก็เคยมี

    [​IMG] นักรบธรรม ท่านไม่เห็นแก่การกินการนอนมากไปกว่าผลแห่งการปฏิบัติธรรม ดังนั้นในช่วงบำเพ็ญเพียร สภาพร่างกายของท่าน จึงเป็นที่น่าตกอกตกใจแก่ผู้พบเห็นอย่างมาก แม้ท่านพระอาจารย์มั่นเอง เห็นท่านซูบผอมจนผิดสังเกต ชนิดหนังห่อกระดูก ทั้งผิวก็ซีดเหลืองเหมือนเป็นดีซ่าน ท่านถึงกับทักว่า "โฮ้ ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ" แต่ด้วยเกรงว่าลูกศิษย์จะตกใจและเสียกำลังใจ ท่านพระอาจารย์มั่นก็กลับพูดให้กำลังใจในทันทีนั้นว่า "มันต้องอย่างนี้ซิ จึงเรียกว่า นักรบ" ท่านเคยเล่าถึงความมุ่งมั่นในการต่อสู้กับกิเลส เพื่อจะเอาแพ้เอาชนะกันว่า "ถ้ากิเลสไม่ตาย เราก็ต้องตาย จะให้อยู่เป็นสองระหว่างกิเลสกับเรานั้น ไม่ได้"

    [​IMG] ปัญญาก้าวเดิน ด้วยความมุ่งมั่นจริงจังดังกล่าว ทำให้จิตใจของท่าน ได้หลักสมาธิแน่นหนามั่นคง ท่านทรงภาวะนี้นานถึง ๕ ปี ไม่ขยับก้าวหน้าต่อ ท่านพระอาจารย์มั่นจึงให้อุบายอย่างหนักเพื่อให้ออกพิจารณาทางด้านปัญญา ทั้งทางอสุภะ(ซากศพ) กระทั่งถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งส่วนหยาบ ส่วนกลาง และส่วนละเอียด จนสามารถรู้เรื่องรู้ราว ฆ่ากิเลสตัวนั้นได้ ตัดกิเลสตัวนี้ได้โดยลำดับ ๆ ในช่วงนี้ท่านมีความเพลิดเพลินในความเพียรเพื่อฆ่ากิเลส ชนิดเดินจงกรมไม่รู้จักหยุด ตั้งแต่เช้าหลังจังหันจนกระทั่งปัดกวาดในตอนบ่าย ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย

    [​IMG] สิ้น..อาจารย์ ท่านพระอาจารย์มั่นได้มรณภาพลง เมื่อ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๔๙๒ ณ วัดป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร ยังความเศร้าสลดสังเวชใจแก่ท่านอย่างเต็มที่ ด้วยรู้สึกว่าหมดที่พึ่งทางใจแล้ว จากนั้นท่านพยายามปลีกตัวจากหมู่เพื่อน อยู่ป่าเขาตามลำพัง แต่มุ่งอยู่กับความเพียรตลอด สติแนบแน่นกับจิตเป็นอัตโนมัติด้วยภาวนามยปัญญา

    [​IMG] ป่วย..แต่กาย คราวหนึ่งที่ท่านออกวิเวก ชาวบ้านป่วยเป็นโรคขัดหัวอก ล้มตายวันหนึ่ง ๆ จำนวนตั้งแต่ ๓-๘ คน เพราะหากใครเป็นโรคนี้แล้ว จะต้องตายภายใน ๒-๓ วันอย่างแน่นอน ท่านก็เมตตาสวด กุสลา มาติกา ให้คนตายที่ป่าช้า ชนิดไม่มีเวลาลุกไปไหน เพราะเดี๋ยวหามคนตายมาใหม่อีกแล้ว สักครู่ใหญ่ ก็หามมาใหม่อีกแล้ว กระทั่ง จู่ ๆ ท่านก็มาเป็นโรคเดียวกันนี้เข้าบ้าง ท่านจึงบอกชาวบ้านเพื่อขอหลบนั่งสมาธิภาวนา ต่อสู้กับทุกขเวทนาใหญ่นี้ด้วยธรรมโอสถ ด้วยการพิจารณาอริยสัจ ผลปรากฏว่าพิจารณาตก โรคหายเป็นปลิดทิ้งในเที่ยงคืนนั้นเอง

    [​IMG] คืนแห่ง..ความสำเร็จ จากนั้นไม่นานท่านก็มุ่งสู่วัดดอยธรรมเจดีย์ (ปัจจุบันอยู่ อ.โคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร) เป็นช่วงพรรษาที่ ๑๖ ของท่าน บนเขาลูกนี้นี่เองของคืนเดือนดับแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ (จันทร์ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓) เวลา ๕ ทุ่มตรง ท่านได้บรรลุธรรมด้วยความอดทนพากเพียร พยายามอย่างสืบเนื่องตลอดมา นับแต่วันออกปฏิบัติกรรมฐานอย่างเต็มเหนี่ยวรวมเวลา ๙ ปี

    คืนแห่งความสำเร็จระหว่างกิเลสกับธรรมภายในใจของท่านจึงตัดสินกันลงได้ ด้วยความประจักษ์ใจ หายสงสัยทุกสิ่งทุกอย่างเรื่องภพชาติ เรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย กิเลสตัณหา อาสวะทุกประเภทได้ขาดกระเด็นออกไปจากใจในคืนวันนั้นเอง

    [​IMG] ยืนยัน...ชาตินี้ ชาติหน้า อดีตชาติ มีจริง สภาวะธรรมในใจของท่านขณะนั้น ท่านเคยเล่าให้พระภิกษุในวัดป่าบ้านตาดฟังว่า "เกิดความสลดสังเวชภพชาติแห่งความเป็นมาของตน และเกิดความอัศจรรย์ในพระพุทธเจ้า พระสาวกอรหันต์ที่ท่านหลุดพ้นไปแล้ว ท่านก็เคยเป็นมาอย่างนี้ เราก็เป็นมาอย่างนี้ แต่คราวนี้เป็นความอัศจรรย์ในวาระสุดท้าย ได้ทราบชัดเจนประจักษ์ใจ เพราะตัวพยานก็มีอยู่ภายในจิตนั้นแล้ว แต่ก่อนจิตเคยมีความเกี่ยวข้องพัวพันกับสิ่งใด บัดนี้ไม่มีสิ่งใดจะติดจะพัวพันอีกแล้ว..."
    [​IMG]
    [​IMG] สงเคราะห์...พระเณร กิจสูงสุดในพระพุทธศาสนา ท่านสมบูรณ์แล้วเหมือนพระในครั้งพุทธกาลที่ออกบวชมุ่งปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น หลังจากนั้นท่านก็เมตตาสงเคราะห์โลก

    เนื่องจากพระเณรหมู่เพื่อนเคยได้ยินท่านพระอาจารย์มั่นปรารภถึงท่านอยู่เนือง ๆ ว่า "ท่านมหาฯฉลาดทั้งภายนอกภายใน ต่อไปจะเป็นที่พึ่งแก่หมู่คณะได้มาก" ดังนั้น หลังพิธีศพท่านพระอาจารย์มั่นเสร็จสิ้นลง พระเณรหมู่คณะหลายสิบรูป จึงต่างพากันติดตามท่าน เพื่อหวังพึ่งพิงและขอรับคำแนะนำข้ออรรถธรรม และข้อวัตรปฏิบัติจากท่าน ท่านก็ให้การเมตตาอนุเคราะห์แต่นั้นมา จนทุกวันนี้

    การเทศนาพระเณร-ฆราวาส ปรากฏออกมาเป็นเทป-หนังสือจำนวนมากโดยแจกเป็นธรรมทานตลอดมา ไม่มีการซื้อขายแต่อย่างใด เฉพาะหนังสือธรรมะภาษาไทยมีจำนวนกว่า ๑๐๒ เล่ม ภาษาอังกฤษกว่า ๘ เล่ม เทปเฉพาะที่มีการบันทึกการเทศนามีหลายพันกัณฑ์

    [​IMG] ตอบแทนพระคุณ..มารดา ท่านแนะสอนธรรมะแก่โยมมารดา และให้บวชปฏิบัติธรรม ด้วยหวังอยากให้รู้เห็นและพบความสุขจากธรรมนี้บ้าง จึงจำเป็นต้องตั้งวัดป่าบ้านตาดขึ้นมา ท่านคอยเอาใจใส่ดูแลโยมมารดาทั้งทางด้านร่างกาย พวกปัจจัย ๔ อาหาร หยูกยา ปัจจัยใช้สอยทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งให้คำแนะนำทางด้านจิตใจด้วยจิตภาวนาอย่างจริงจัง ด้วยระลึกพระคุณ แม้โยมมารดาจะสิ้นไปแล้วก็ตาม ท่านก็ไม่เคยลืมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ โดยทำบุญในวันคล้ายวันเสียชีวิตประจำทุกปีตลอดมา

    ในวาระสุดท้ายก่อนหน้าโยมมารดาจะจากโลกไป ท่ามกลางทุกขเวทนากล้าที่พร้อมจะให้สิ้นชีวิตได้ทุกเมื่อ ท่านได้เข้าเยี่ยม และถามอาการ โยมมารดาตอบว่า "ร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วยก็จริง แต่ใจนั้นใสสว่างกระจ่างแจ้งอยู่ตลอดเวลา" จึงเป็นที่เชื่อแน่ได้ว่า โยมมารดาของท่านได้ทรงอริยธรรมขั้นใดขั้นหนึ่งอย่างแน่นอน นับว่าสมเจตนารมณ์ของท่านที่ได้ทดแทนพระคุณโยมมารดาอย่างเต็มที่

    [​IMG] โปรด...ชาวอังกฤษ ฝรั่งชาวพุทธในอังกฤษ มีความสนใจต่อการปฏิบัติธรรมเป็นจำนวนมาก กราบขออาราธนานิมนต์ให้ท่านเมตตาเดินทางไปโปรด เพื่อบรรยายสอนธรรม ท่านก็เมตตาไปในช่วง ๗-๒๒ มิถุนายน ๒๕๑๗ โดยมีพระชาวอังกฤษและแคนาดา ที่จำพรรษาอยู่ ณ วัดป่าบ้านตาด ติดตามไปด้วย แม้ระยะต่อมาก็ประสงค์อยากกราบขอนิมนต์ท่านไปอีก แต่ด้วยปัญหาเรื่องสุขภาพและวัยชรา ท่านจึงงดเดินทางไปเทศนาตามสถานที่ต่าง ๆ ในต่างประเทศ

    [​IMG] สงเคราะห์...โรงพยาบาล ด้วยเหตุที่ท่านเคยเห็นสภาพคนไข้ ที่ต่างรอความหวังจากหมอ ว่าเป็นสภาพที่น่าสงสารมาก เหมือนคนจนตรอกจนมุม เมื่อวิ่งมาหาหมอ หากไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัยที่ดีพอ ก็ก้าวไม่ออกรักษาไม่ได้ และสภาพคนชนบทก็เป็นคนยากจนส่วนมาก การบำบัดรักษาถ้าพอเป็นไปได้ก็ควรให้การรักษาใกล้บ้าน จะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินทองมากในการเดินทาง ตลอดสถานที่พักอาศัยการกินอยู่หลับนอน

    ด้วยเหตุนี้ท่านจึงให้ความเอาใจใส่ต่อสถานพยาบาลต่าง ๆ ตลอดมาแบบเงียบๆ จนถึงขณะนี้ท่านได้สงเคราะห์ช่วยเหลือโรงพยาบาลในจังหวัดต่าง ๆ กว่า ๑๐๐ โรง โดยทั้งก่อสร้างตึกอาคารผู้ป่วย สงฆ์อาพาธ ห้องผู้ป่วย ห้องผ่าตัด ตั้งกองทุนศูนย์พิทักษ์ดวงตา กองทุนสงเคราะห์คนพิการ ซื้อที่ดิน บริจาครถยนต์พยาบาล และเครื่องมือต่าง ๆ เช่น เครื่องเอกซเรย์ อุลตร้าซาวด์ เครื่องตรวจคลื่นหัวใจ เครื่องช่วยชีวิตเด็ก ช่วยหายใจเด็กทารก เครื่องคลอด เตียงทำฟัน ฯลฯ รวมแบ่งเป็นประเภท ๆ ของรายการการสงเคราะห์ รวมแล้วกว่า ๕๐๐ รายการ

    [​IMG] สงเคราะห์...หน่วยราชการ การช่วยเหลือหน่วยราชการ ท่านก็เมตตาให้ตามเหตุผลความจำเป็น ตัวอย่างหน่วยงานที่ท่านช่วยเหลือ เช่น กองกำกับการตำรวจตระเวณชายแดน ๒๔ ค่ายเสณีรณยุทธ์, ตำรวจทางหลวงจังหวัด, สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมือง, สำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท, สถานีตำรวจภูธรกิ่งอำเภอภูพาน, สถานีตำรวจภูธรอำเภอน้ำหนาว, ตำรวจสันติบาลจังหวัด, เรือนจำจังหวัด, สถานีรถไฟจังหวัดอุดรธานี

    [​IMG] สงเคราะห์...โรงเรียน ท่านเมตตาช่วยด้านอาคารเรียน วัสดุอุปกรณ์ต่าง สื่อการเรียนการสอน และอื่น ๆ ตัวอย่างโรงเรียน ได้แก่ ร.ร.สตรีราชินูทิศ ร.ร.บ้านตาด ร.ร.อุดรธรรมานุสรณ์ ร.ร.หนองแสงวิทยา ร.ร.บ้านดงเมือง ร.ร.บ้านหนองตุ เป็นต้น

    [​IMG] สงเคราะห์...ผู้ด้อยโอกาส ตัวอย่างเช่น สถานสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญา ปากเกร็ด ท่านอนุเคราะห์ให้ตั้งกองทุนโดยนำดอกเบี้ยออกมาใช้จ้างพี่เลี้ยงจำนวน ๑๒ คน จ่ายเป็นรายเดือนเริ่มแต่ปี ๒๕๓๓ สถานสงเคราะห์อื่น ๆ เช่น บุคคลปัญญาอ่อนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, เด็กหญิงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

    ทัณฑสถานหญิง กรมราชทัณฑ์ บางเขน ท่านอนุเคราะห์ช่วยก่อสร้างเรือนนอน ๑ หลังมูลค่า ๓ ล้านกว่าบาท ตั้งกองทุนยารักษาโรค ๑ ล้านบาท และเคยช่วยเหลือจ่ายค่าจ้างเลี้ยงดูเด็กรายเดือนอยู่หลายปี (ตั้งแต่ปี ๒๕๓๗ ปัจจุบันไม่ได้ให้แล้ว)

    [​IMG]

    [​IMG]
    สงเคราะห์...สัตว์
    ท่านอนุเคราะห์สัตว์ป่าในวัดอย่างทั่วถึงตลอดมา โดยเข้มงวดกับพระเณรให้ดูแลเรื่องอาหาร(กล้วย ข้าวสาร) น้ำ ไม่ให้ขาดตกบกพร่องแก่สัตว์ เช่น ไก่ป่า กระรอก กระจ้อน กระแต กระต่าย ท่านว่าเรามีปากมีท้องมีหิว เขาก็เช่นกันกับเรา เราต้องเมตตาสงสารเขา เขาเกิดมาตามวิบากวาระแห่งกรรม เขาก็มีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์เหมือนกับเรา เราเองก็มีโอกาสกระทำผิดพลาดกลายเป็นสัตว์แบบเขาได้ จึงไม่ควรประมาทกัน แต่ให้เห็นใจสงสารกัน ช่วยเหลือสงเคราะห์กันไป

    บ้านสัตว์พิการ ซอยพระการุณย์ ปากเกร็ด เป็นสถานที่อาศัยของสัตว์พิการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สุนัข มีจำนวนมากหลายร้อยตัว อื่น ๆ เช่น แมว ไก่ เต่า นก ฯลฯ ท่านช่วยเหลือโดยซื้อที่ดิน ๒ งาน สร้างอาคาร ๓ ชั้นเป็นที่พัก และที่ทำการรักษาสัตว์ที่เจ็บป่วย เช่น สุนัขโดนรถชน เป็นต้น นอกจากนี้ท่านยังช่วยค่าอาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ และอื่น ๆ โดยให้เป็นรายเดือน ๆ ละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ตั้งแต่ปี ๒๕๓๗ เป็นต้นมา และสถานที่อีกแห่งหนึ่งคือ บ้านสงเคราะห์สุนัข ถ.พุทธมณฑลสาย ๓ มีสุนัขกว่าสองร้อยตัว ท่านช่วยเหลือขยายที่ดินเพิ่มให้ ๒ แปลง และช่วยเหลือค่าอาหาร ยา และอื่น ๆ เป็นรายเดือน ๆ ละ ๓๐,๐๐๐ บาท

    [​IMG] ช่วยชาติ นับแต่ท่านบำเพ็ญกิจของสมณเพศ อันเป็นกิจสำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนาเรียบร้อยลงแล้ว ท่านก็หันมาให้การสงเคราะห์ด้านธรรมะแก่พระเณร-ฆราวาสมาโดยตลอด ควบคู่ไปกับการบริจาคช่วยเหลือด้านวัตถุสิ่งของ ทั้งจตุปัจจัยไทยทาน แก่ประโยชน์ส่วนรวมตลอด ๔๐ กว่าปีนับแต่ตั้งวัดป่าบ้านตาดขึ้นในปี ๒๔๙๘ ท่านเคยเล่าว่าหากจะนับเป็นมูลค่าน่าจะเป็นหมื่นล้านบาทขึ้นไป เพราะมีเท่าไรไม่เคยเก็บสั่งสมไว้ หากจะนำมาใช้จ่ายในวัดก็เพียงเล็กน้อยตามจำเป็นจริง ๆ เพราะไม่มีกิจการงานก่อสร้างอื่นใด มุ่งเน้นแต่งานด้านจิตภาวนามาโดยตลอด มีการเดินจงกรมนั่งสมาธิเป็นหัวใจสำคัญ สำหรับปัจจัยไทยทานส่วนใหญ่ จึงมุ่งออกช่วยเหลือโลกตลอดมา

    [​IMG]
    ในยามปกติ ท่านก็ให้ความเมตตาสงเคราะห์สังคมชาติบ้านเมือง อยู่อย่างเต็มที่จริงจัง ดังกล่าวข้างต้นโดยย่อเป็นปกติอยู่แล้ว เมื่อถึงยามนี้ เกิดปัญหาหลายด้านหลายทาง ท่านจึงปรารภขึ้นอย่างจริงจังที่จะช่วยชาติไทย โดยช่วยเหลือด้านวัตถุเงินทองอุดหนุนชาติ ให้มีความแน่นหนามั่นคง ท่านว่าแม้การเสียสละช่วยเหลือดังกล่าว จะเป็นการช่วยเหลือปลายเหตุก็ตาม แต่ก็มีความจำเป็น เพราะขณะนี้สมบัติรวมของชาติยังขาดตกบกพร่องอยู่ จึงต้องร่วมไม้ร่วมมือกัน ต่างเสียสละช่วยกันอุดหนุนครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งอิ่มพอ เหมือนเรารับประทานอาหาร หากยังไม่อิ่มก็เติมเข้าเรื่อย ช้อนเล็กบ้างใหญ่บ้าง ตักเติมเข้าปากจนอิ่ม การเสียสละมากบ้างน้อยบ้างก็เช่นกัน ต่างมีความจำเป็นต้องช่วยกันครั้งแล้วครั้งเล่า ความสามัคคีกัน ร่วมมือและเสียสละเช่นนี้ ยังเป็นคติตัวอย่างอันดีแก่เด็กและกุลบุตรสุดท้ายภายหลัง ให้ได้รับเครื่องฝังใจที่ดี ให้รู้จักมีแก่จิตแก่ใจเสียสละซึ่งกันและกัน ไม่เพิกเฉยท้อถอยง่าย ๆ ต่อปัญหาใด ๆ แต่กลับให้มีใจเป็นนักต่อสู้ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เด็กเหล่านี้จะเห็นตัวอย่างนี้ จากพ่อแม่พี่น้องปู่ย่าตายายในคราวเสียสละครั้งนี้เอง

    ท่านกล่าวถึงพระเณรควรแสดงน้ำใจ ออกมาช่วยชาติด้วยเหตุว่า พ่อแม่ของพระสงฆ์อยู่ตามป่าตามเขาบ้าง ในเมืองบ้าง อยู่ทั่วประเทศไทย เวลานี้กำลังตกทุกข์ได้ยากลำบาก ลูกสงฆ์คือลูกมีพ่อมีแม่ ย่อมควรมีเมตตาสงสารพ่อแม่ ด้วยการออกมาช่วยพ่อแม่ของสงฆ์ซึ่งอยู่ในชาติ เมื่อพ่อแม่กำลังตกทุกข์ได้ยากลำบากเข็ญใจ ลูกสงฆ์ทำไมถึงจะใจดำน้ำขุ่นช่วยพ่อช่วยแม่ไม่ได้ การช่วยแม้ไม่มากก็น้อย ควรรู้จักช่วยตามกำลังของตนถึงจะถูก ถึงจะสมกับเป็นลูกศิษย์พระตถาคต ที่มีพระเมตตามหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่แก่โลก ดังคำว่า มหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง

    ท่านกล่าวว่าการช่วยชาติที่แท้จริง ให้ต่างหันมาแก้ไขที่ต้นเหตุ คือ การทรงมรดกธรรมของพระพุทธศาสนา เอาศีลเอาธรรม ความประพฤติดีงาม ด้วยเหตุผลหลักเกณฑ์เข้ามาอุดหนุนจิตใจ จนมีหลักประกันภายในใจ เรียกว่า มีหลักใจ โดยหันกลับมาปรับปรุงตัวเราแต่ละคน ๆ ให้มีความประหยัด ไม่ลืมเนื้อลืมตัว ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ด้วยการอยู่การกินการใช้การสอยการไปการมา โดยให้ดูแบบของพระผู้มีหลักเกณฑ์ภายในใจ เป็นแบบอย่างของความประหยัด ของผู้มีหลักเกณฑ์เหตุผล ให้มีธรรมคอยเหนี่ยวรั้งไว้ในใจไม่ให้ถูกลากจูงด้วยกิเลสตัณหาราคะ ด้วยความโลภโมโทสัน จนเลยเขตเลยแดน เหมือนรถที่มีแต่เหยียบคันเร่ง ไม่เหยียบเบรก ย่อมเป็นภัยอันตรายร้ายแรงต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ในที่สุด หากต่างมีการหันมาอุดหนุนทั้งทางด้านหลักทรัพย์ และหลักใจควบคู่กันไป ปัญหาต่าง ๆ ของชาติย่อมทุเลาเบาบางลงเป็นลำดับ ๆ ไป

























    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=780><TBODY><TR><TD width=233></TD><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="60%"><TBODY><TR><TD></TD></TR><TR><TD>




    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><SCRIPT> document.Image1.src = "../images/but_resume_a.gif";</SCRIPT><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=780 background=http://www.luangta.com/images/bg_bar1.gif><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=780><TBODY><TR><TD vAlign=top width=8>[​IMG]</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top width=175 align=middle>

    <!-- END WEBSTAT CODE -->



    </TD><TD bgColor=#3d5532 vAlign=top width=1>[​IMG]</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top width=20></TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top></TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top width=20></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=780><TBODY><TR><TD vAlign=top width=8>[​IMG]</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top width=175 align=middle></TD><TD bgColor=#3d5532 vAlign=top width=1>[​IMG]</TD><TD bgColor=#ffffff vAlign=top align=right></TD></TR></TBODY></TABLE>



    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1352721/[/MUSIC]​













    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2011
  2. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,255
    [​IMG]


    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    ขออนุโมทนา สาธุ ๆ
    กับหลวงตาและท่านทั้งหลายที่ได้ร่วมทำบุญสร้างกุศลทุกอย่างด้วยครับ
    นิพพานัง ปัจจโย โหตุ
    นิพพานัง ปรมัง สุขขัง​
     

แชร์หน้านี้

Loading...