พระโสดาบัน กับพระอรหันต์ ใช้เครื่องวัดอย่างไร

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย dhamaskidjai, 3 กรกฎาคม 2009.

  1. dhamaskidjai

    dhamaskidjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,855
    ค่าพลัง:
    +5,727
    พระโสดาบัน กับพระอรหันต์ ใช้เครื่องวัดอย่างไร

    ผู้ถาม กระผมอยากทราบว่า พระโสดาบันกับพระอรหันต์นั้น เขาใช้เครื่องวัดอย่างไรครับ?
    เขาใช้หลักกิโลเมตร เป็นเครื่องวัด...อ้าว! จริงๆ คือว่าการปฏิบัติให้เป็นพระอริยะ คือ ตั้งแต่พระโสดาบันถึงพระอรหันต์นี่นะ ถ้าถึงพระโสดาบัน มันยาว ๓ กิโลเมตร ถ้าถึงพระอรหันต์ก็ยาว ๑๐ กิโลเมตร เอ๊ะ ! แย่ไหม คุณ ถามเครื่องวัดนี่ แต่ว่าเครื่องวัดในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าจะเอาเชือกไปวัด หรือว่าเอาอะไรเข้าไปวัด ต้องวัดด้วย “คุณธรรมที่ละ”

    เครื่องวัดมีอย่างนี้ คือว่า พระโสดาบัน กับ พระสกิทาคามี จะต้องละความชั่ว ๓ อย่าง คือ
    สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส

    สำหรับ สักกายทิฏิฐิ พระโสดาบันกับพระสกิทาคามี จะมีความรู้สึกตัวอยู่เสมอ ว่าเราเกิดมาเพื่อตาย จะไม่มีความ ประมาทในชีวิต จะคิดทำความดีอยู่เสมอ
    วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า โดยใช้ปัญญาพิจารณา
    และประการที่ ๓ มีศีล ๕ บริสุทธิ์ นี่เขาเรียกกันว่า “พระโสดาบัน” หรือ “พระสกิทาคามี”

    สำหรับพระอรหันต์ ต้องละกิเลส ๑๐ ข้อ คือต่อไปอีก ๗ ข้อ ได้แก่
    ละกามราคะ คือไม่ยินดีในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ
    ละปฏิฆะ คือไม่มีความโกรธ ไม่มีความพยาบาท
    ละรูปราคะ ไม่ติดอยู่ในรูปฌาน
    ละอรูปราคะ ไม่ติดอยู่ในอรูปฌาน
    ละมานะ ไม่ถือตัวถือตน
    ละอุทธัจจะ ไม่มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน
    ละอวิชชา ตัดความโง่ทิ้งไปให้หมด

    รวมเป็น ๑๐ อย่าง ถ้าตัดได้ทั้ง ๑๐ อย่างนี้เป็นพระอรหันต์ นี่เป็นเครื่องวัด

    ผู้ถาม เรื่องพระอริยะเจ้าก็มีอยู่นิด คือว่าการปรามาสพระอริยะเจ้าด้วยเจตนาก็ตาม ไม่เจตนาก็ตาม โมโหด้วยความตั้งใจก็ตาม อยากเรียนถามว่า จะมีกรรมมากไหมครับ?
    ก็ลงนรก! ด้วยเจตนาก็ตาม ไม่เจตนาก็ตาม ลงเหมือนกัน!

    ผู้ถาม ไม่ต้องสอบสวนหรือครับ?
    ไม่ต้องสอบ สบาย...ก็ไม่ยากก็ไปขอขมาต่อพระพุทธเจ้าเสียซิ ถ้าไม่พบพระพุทธเจ้าก็พระพุทธรูป

    ผู้ถาม ต้องไปพบพระพุทธรูปที่วัดท่าซุง หรือว่า
    ไม่จำเป็น ...ที่บ้านก็ได้ ให้นึกว่าท่านคือพระพุทธเจ้าเพราะพระอริยะเจ้านี้ ขอขมาโดยตรงตัวไม่มีผล อย่างสมมุตยกทรงเป็น “โสดาตะบัน” ใช่ไหม

    ผู้ถาม เดี๋ยวๆ ครับ ตามศัพท์พระไตรปิฎกเขาเรียก “โสดาบัน” ครับ
    ไอ้นี่มันหนักแน่น “โสดาตะบัน” นี่ขั้นเอกพิชีนะ เพราะตะบันจนกระทั่งแน่นปั๋งไม่คลายตัว สมมุตว่ายกทรงเป็นพระโสดาบัน เขาไปด่าไปว่าเข้านินทาเข้าก็บาป ใช่ไหม...ไปขอโทษโดยตรงกับยกทรงนี่ไม่มีผล ต้องขอโทษโดยตรงกับพระพุทธเจ้า เพราะว่าความเป็นพระโสดาบัน ไม่ใช่เกิดจากยกทรง เกิดจากพระพุทธเจ้าท่านสงเคราะห์

    ผู้ถาม แล้วอย่างพระโสดาบันที่บวชเป็นพระ กับโสดาบันที่เป็นฆราวาส ถ้าเราปรามาสโทษจะเป็นอย่างไรครับ?
    ครือกัน..

    ผู้ถาม เพราะฉะนั้นพวกเราจำไว้นะ...ฆราวาสที่เป็นพระอริยะเจ้ามีเยอะแยะ
    เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พระโสดาบันไปตันแค่ศีล
    ๑. เคารพพระพุทธเจ้า
    ๒. เคารพพระธรรม
    ๓. เคารพพระอริยสงฆ์
    ๔. มีศีล ๕ บริสุทธิ์
    องค์โสดาบันมีแค่นี้..

    ผู้ถาม อุ้ยตายแล้ว หลวงพ่อนี่เทศน์ไม่เหมือนกับโทรทัศน์เดี๋ยวนี้ยังออกอากาศปาวๆ อยู่นะครับ ว่าพระโสดาบัน ๑.สักกายทิฏฐิ ต้องตัดขันธ์ ๕ โดยเด็ดขาด
    เอาเลื่อยที่ไหนมาตัด เดี๋ยวก่อน พระโสดาบันถ้าตัดขันธ์ ๕ เด็ดขาด ลองคิดดู นางวิสาขา ท่านเป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ ๗ ปี ขันธ์ ๕ นะคนเดียวนะ พออายุ ๑๖ ได้อีก ๕ ขันธ์ มีผัว ต่อไปก็ลูกชาย ๑๐ คน มีผู้หญิง ๑๐ คน ลูกทั้งหมด ๒๐ ตัดหรือไม่ตัด ตัดหรือต่อ พระโสดาบันกับสกิทาคามี สองอย่างยังแต่งงานได้ ไม่แต่งงานก็อนาคามีขึ้นไปเท่านี้เอง ไอ้เทศน์อย่างนั้น ท่านเทศน์ถูกของท่าน แต่ไม่ถูกตามพระไตรปิฎก

    ผู้ถาม อย่างนี้ฆราวาสที่จะเป็นพระโสดาบัน แค่ศีล ๕ ก็ ...
    แค่นั้นแหละ เขาเรียก ...”สัตตักขัตตุง”

    ผู้ถาม อย่างนี้เป็นฆราวาสก็ดีกว่าเป็นพระซิครับ?
    โอ้ย ดีกว่าเยอะ ..ความจริงแล้ว ฆราวาสถ้าพูดตามส่วน เขาเปรียบกว่าพระมาก
    ๑ . เจี๊ยะไม่เลือกเวลา
    ประการที่ ๒ เข้าวิกได้

    ผู้ถาม หลวงพ่อรู้ด้วยหรือครับ?
    อ้าว เคยเป็นฆราวาสมาก่อนนี่
    ประการที่ ๓ มีผัวมีเมียได้
    ประการที่ ๔ หลับตื่นสายได้ พระตื่นสายไม่ได้ใช่ไหม..เช้ามืดต้องทำวัตรสวดมนต์ ต้องเจริญกรรมฐาน ถ้าพลาดหน่อยเดียวพระลงนรก สมมุติว่ามีปลาหนึ่งตัวนะ พระมีปลาหนึ่งตัว ฆราวาสมีปลา ๑๐๐ ตัว ตัวขนาดเดียวกันพระฆ่าปลาหนึ่งตัว ฆราวาสฆ่าปลา ๑๐๐ ตัว พระโทษมากกว่า ก็เพราะว่าทรงศีล เป็นบุคคลที่ชาวบ้านเขาต้องบูชา นี่ละบาปมาก พระไม่ใช่เรื่องเล็กนะ....

    ผู้ถาม โอ้ย ไม่บวชดีกว่า
    ใช่ ยกทรงก็เคยเสียท่ามา ๑๘ ปีแล้วซิ

    ผู้ถาม หลวงพ่อคะ คนที่ไม่เคยปฏิบัติธรรม แต่ว่ามีความรู้สึกเบื่อโลก อย่างนี้เป็นนิพพิทาญาณหรือเปล่าคะ?
    เบื่อนิพพิทาญาณหรือเบื่อหนักหนี้หรือเบื่อเรากลุ่มใจ นิพพิทาญาณเขาแปลว่า เบื่อ ญาณเขาแปลว่ารู้สึกเบื่อเราก็ต้องดูว่า ถ้าเขาเบื่อโลกไม่หวังเกิดอีก ไม่หวังเป็นเทวดาหรือพรหม หวังนิพพาน นี่เป็นนิพพิทาญาณ ถ้าเบื่อเฉยๆ ไม่อยากอยู่ในโลกนี้ อันนี้เรียกมีจิตกังวล จิตเศร้าหมอง นิพพิทาญาณนี่เขาไม่ซึม

    ผู้ถาม อย่างนี้จะแก้โดยการเจริญสมาธิได้ไหมคะ?
    จะไหวเรอะ ไม่ไหวนะ ในเขาเป็นแบบนั้น ต้องใช้พระสูตรง่ายๆ จะเป็นเทปพระสูตรหรือหนังสือพระ สูตรก็ได้ เอาของบที่ยากไปก็ไม่ไหว ถ้าพระสูตร หรือชาดาก็ดีตอนที่ท่านประชุมชาดกดีมาก

    ผู้ถาม คนที่เขาเบื่อโลก เบื่อนรก สวรรค์ พรหม ถ้าเขาตายแล้วจะได้ไปนิพพานไหมคะ?
    ถ้าเบื่อก็ไปนิพพาน ถ้าเบื่อร่างกายอย่างเดียวก็ไปนิพพานได้ การเบื่อที่สำคัญที่สุดคือเบื่อร่างกายตนเองนะ เป็นการตัดสักกายทิฏฐิเด็ดขาด

    ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าขา ลูกมีความเป็นอยู่ดีทุกอย่าง การเงินก็ดี ครอบครัวก็ดี อะไรๆ ดีหมดทุกอย่าง แต่ทำไมหนอลูก มีความอยากตายอยู่ทุกขณะจิต ทุกขณะลม หายใจเข้า และออก ไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไรดี ขอหลวงพ่อได้โปรดชี้แนะเถิดเจ้าค่ะ
    ไอ้นั่นเป็นความดีนะ

    ผู้ถาม อยากตายนี่เป็นความดีหรือครับ?
    ดี จะได้ไม่เปลืองข้าว อยากตายเหรอ?

    ผู้ถาม ครับ อยากตาย คงจะเป็นพวกนิพพิทาญาณนะครับ

    ใช่ พวกนิพพิทาญาณ ถ้าหากไม่ยับยั้งมันอยากตาย อย่างกับพระ ๖๐ องค์ ท่านอยากตาย ท่านฆ่าตัวตายเอง ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนว่า

    อันดับแรกให้กระจายออกแล้วรวมเข้า นั้นหมายความว่า พิจารณาร่างกายเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ประกอบเข้ามาเป็นร่างกาย แล้วก็ไม่มีการทรง ตัวมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น แก่ลงในท่ามกลาง แล้วก็สลายตัวไปในที่สุด เกิดเบื่อหน่าย

    ต่อไปรวมเข้าคือรักษาร่างกายไว้ก่อน ใช้ สังขารุเปกขาญาณ ในเมื่อชีวิตมันยังไม่ตาย ก็เป็นเรื่องของมัน แต่เราไม่ต้องการมันอีก ถ้ามันตายถ้าตายเมื่อไรขึ้นชื่อว่าร่างกายอย่างนี้ ไม่มีสำหรับเราอีก เราต้องการนิพพานอย่างเดียว ต้องรวมไว้ตอนนี้นะ ท่านยังได้รวมไว้กระจายอย่างเดียว พลาดท่าไปหน่อย

    ผู้ถาม โดยปกติหนูต้องถวายอาหารรูปเหมือนหลวงพ่อเป็นประจำ บางครั้งต้องไปค้างที่อื่น จึงบอกกับรูปเหมือนหลวงพ่อว่า พรุ่งนี้ไม่อยู่นิมนต์หลวงพ่อไปฉัน ที่บ้านอื่นก่อนนะขอถามว่าที่หนูพูดอย่างนี้ จะผิดหรือเปล่าเจ้าคะ?
    มิน่าเล่าบางวันท้องกิ่วหิว ไม่ผิดล่ะ ถูก ก็มีอะไรผิดบ้าง ก็พูดตัวเอง ได้ยินฟังรู้เรื่องก็ถูก

    ผู้ถาม หลวงพ่อได้ยินหรือเปล่าไม่รู้?
    อ้าว..ไอ้นั่นไม่ใช่ทานนะ มันเป็นการบูชา คำว่าบูชาเป็นการยอมรับนับถือ ถวายข้าวกับพระพุทธรูปนี่ไม่ใช่ถวายทาน เป็นการบูชาพระพุทธรูปใช่ไหม ถวายข้าวต่อหน้ารูปพระสงฆ์ ก็เป็นการบูชาพระสงฆ์ บูชา นี่แปลว่า การยอมรับนับถือ เป็นความดีของเขาเป็นอนุสสติ ถ้าประเภทนี้ตายแล้วลงนรกยาก โอกาสลงนรกนี่ยากจริงๆ เพราะว่าจิตไปจับทุกวันจิตเกาะอยู่ จิตต้องเกาะอยู่ ที่นี่เขาถือว่าเป็นฌาน

    ถวายข้าวพระพุทธรูปพอถึงเวลา เราจะให้อะไรนะ หาอะไรไปถวายใช้ไหม ถวายข้าวพระพุทธรูป พระสงฆ์ถึงเวลาเราจะถวาย จิตมันคิดเสมอ นึกถึงพระสงฆ์ที่เราจะถวาย เป็นสังฆานุสสติกรรมฐาน นึกถึงพระพุทธรูป เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน และนึกไว้เป็นประจำ วันนี่ก็เป็นฌานด้วย นี่อย่างเลวที่สุดไปสวรรค์ชั้นสูง ไม่งั้นก็เป็นพรหมเลย ถ้าบังเอิญคนที่ถวายประเภทนั้นเขาเกิดไม่นิยมร่างกาย เมื่อใกล้ตาย พอป่วยแล้วเจ็บโน่น ปวดนี่รำคาญ ขึ้นมา เอ๊ะ..นี่ร่างกายเลวๆ อย่างนี้เราไม่ต้องการอีก ไปนิพพานทันทีเหมือนกัน นิพพานนี่ไปไม่ยาก ถ้าฉลาดนี่ไปไม่ยาก

    ผู้ถาม แค่เบื่อร่างกายตัวเดียวหรือครับ?
    ก็เขาตัดตัวเดียวคือ สักกายทิฏฐิไง

    ผู้ถาม อ๋อ..ไม่ต้องไปไล่ตัวอื่นหรือครับ?
    โอ้ย..ไปไล่นะซวย มันเหนื่อย การบรรลุมรรคผลน่ะไม่ได้ไล่ตามลำดับหรอก พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า พระอริยเจ้านะมี ๔ อันดับ พระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ ส่วนใหญ่จริงๆ ฟังเทศน์ พระพุทธเจ้าจบเดียวเป็นอรหันต์ทันทีเยอะแยะ เห็นไหมละ

    ตามพระสูตรที่เรียนมานะ บางท่านก็ติด แหงแก๋แค่พระโสดาบัน อย่างพระอานนท์นี่ ล่อพระโสดาบันซะเกือบ ๔๐ ปี ปี้ดป๊าดทีเดียวไปเป็นปฏิสัมภิทาญาณเลย และเก่งมากด้วยใช่ไหม ก็มีหลายท่านอยู่ที่ปุ๊ปปั๊ปเป็นอรหันต์ กันเป็นแถวๆ อย่างลูกศิษย์ของพระสารีบุตร เป็นอรหันต์หมดใช่ไหม ก็เยอะแยะไป ไม่จำเป็นต้องบรรลุตามลำดับชื่อของพระอริยะ ขั้นของพระอริยะมี ๔ ขั้นจริง แต่ไม่จำเป็นต้องบรรลุตามขั้น นี่การปฏิบัติพระกรรมฐานขอทุกคน ถ้าหวังตามขั้นก็โง่เต็มที นี่การปฏิบัติจริงเขาไม่หวังตามขั้นหรอก อันดับแรกสุด ถ้ากำลังเราไม่มั่นใจแน่นอนต้องยึดอารมณ์พระโสดาบันก่อน ถ้าได้ไอ้นี่แล้วก็จับพระอรหันต์ทันที

    ผู้ถาม อ๋อ..ตีข้ามกระโดดไปเลย
    ไม่กระโดด นั่งเฉยๆ ตามแบบจริงๆ ท่านก็แนะนำแบบนั้น อย่างท่านพุทธโฆษาจารย์ ที่รจนาวิสุทธิมรรคท่านก็บอกไว้ตรงว่า “บุคคลใดถ้าถึงพระโสดาบันในที่นั่งใด ให้ทำจิตเข้าถึงอรหันต์ใน ที่นั่งนั้นทันที” คือว่าไม่ยาก อรหันต์นี่แค่ไม่ต้องการร่างกายเท่านั้นล่ะ ถ้าไม่ต้องการจริงๆ ก็เป็นอรหันต์ ตัดตัวเดียวคือการตัดกิเลสจริง เขาตัดสักกายทิฏฐิ ที่พระไปถามพระสารีบุตรว่า

    “ผมเป็นปุถุชน จะเป็นพระโสดาบันเป็น อย่างไร” ก็พิจารณาร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ใช่ไหม

    เป็นสกิทาคามีล่ะ ก็ไอ้ตัวนี้ถ้าละเอียด ก็เป็นสกิทาคามี ถ้าผมจะเป็นอนาคามี ก็ปฏิบัติไอ้ตัวนี้จิตละเอียดลงไปอีก เบื่อหน่ายร่างกายก็เป็นอนาคามี ต้องการเป็นอรหันต์ก็ไอ้ตัวนี้ ถ้าจิตวางเฉยได้ก็เป็นอรหันต์ พระองค์นั้นก็แน่เหมือนกัน ถามอีกว่าเป็นอรหันต์แล้วไม่ต้องทำอะไรเลยใช่ไหม พระขี้เกียจนี่ พระสารีบุตรบอก "ไม่ใช่ คือพระอรหันต์ทำเป็นปกติเพื่อความอยู่เป็นสุข..."

    ที่มา : หนังสือ "อริยบุคคล" หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2009
  2. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...