พระโพธิสัตว์ (ที่เกิดเป็นคน) แบ่งภาคได้จิตบริสุทธิ์ได้ นั่นคือ "เซียนไม่ใช่อรหันต์"!

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย โปเย, 21 มีนาคม 2012.

  1. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    ฆราวาสบางคน บรรลุเซียนด้วยวิธี "จิตแบ่งภาค"
    คือ จิตของเขาแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งจะ
    เป็น "ภาคมืดดำ" เอาส่วนกิเลสไปทั้งหมด แต่อีก
    ส่วนหนึ่งจะใสบริสุทธิ์ คือ เหมือนพระอรหันต์ทันที
    จิตส่วนที่แบ่งออกจากร่างไป คือ ส่วนดำส่วนกิเลส
    แต่ส่วนที่เหลือในกายคือ "ส่วนใสบริสุทธิ์" และจะ
    ได้ "เทพนักษัตร" มาคุ้มครองร่างกาย เป็นนิรมาณ
    กาย (จิตรองหรือจิตดวงที่สอง) นี่คือ การบรรลุเซียน
    สำเร็จเป็นโพธิสัตว์ มีจิตวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ด้วยวิธี
    แบ่งภาค ซึ่งเป็นวิถีของเซียน ไม่ใช่การบรรลุอรหันต์
    เป็นการ "สำเร็จได้ด้วยตนเอง" ไม่มีใครที่มาทำลาย
    "สักกายทิฐิ" ให้ แต่มีธรรมไม่ต่างจากพระอรหันต์ด้วย
    ได้ "พระวิญญาณบริสุทธิ์" ขณะที่สำเร็จเซียน นั่นเอง
    แต่ต้องอย่าเข้าใจผิดไปว่านี่คือ การสำเร็จอรหันตผล
    เป็นการบรรลุเซียน ซึ่งได้บารมีเก่าจากชาติที่แล้วจาก
    "ตัวตนภาคสว่างเบื้องบน" ได้ประทาน "พระวิญญาณ
    บริสุทธิ์" มาครอบขันธ์ให้ขณะ "จิตแบ่งภาค" เท่านั้น
     
  2. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=29GsPWD1xdo"]การเข้าถึงธรรมชาติเดิมแท้ - YouTube[/ame]


    นี่คือ ตัวอย่างการบรรลุเซียนด้วยการแบ่งภาค
    ไม่ใช่การสำเร็จอรหันตผล การสำเร็จอรหันต์
    ไม่ใช่แบบนี้ (จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงของจิต)
     
  3. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    การบรรลุอรหันตผล ต้องผ่านการต่อสายธรรมจากสายธรรมแท้เท่านั้น


    การสำเร็จธรรมมีหลายแบบหลายระดับในหลายลัทธิ, นิกาย, ศาสนา สำหรับ
    การบรรลุ "อรหันตผล" ในพระพุทธศาสนาแบบเดิมแท้ (เถรตรงที่ไม่ใช่นิกาย
    เถรวาท) ต้อง "ต่อสายธรรม" ดั้งเดิมแท้ให้ถูกต้องเท่านั้น แล้วจะทราบเองว่า
    สายธรรมแท้ "ปฏิบัติและดำรงอยู่อย่างไร" สำหรับท่านที่บรรลุธรรมแบบอื่นๆ
    ก็สามารถ "มีธรรมเทียบเท่าพระอรหันต์ได้" แต่ "ไม่ใช่พระอรหันต์" เป็นการ
    บรรลุ "โพธิจิต" ด้วยวิถีเซียนก็มี (เช่น การแบ่งภาคส่วนจิตที่มีกิเลส - ความ
    ดำมืดออกไป) เวลาบรรลุจะรู้สึกเหมือนมีอะไรขาดหายไป แล้วสว่างโล่งมากๆ
    เหมือนจิตส่วนที่แย่ๆ มันดับหลุดหายไปเลย (มันแบ่งภาคแล้วจรออกไป) แล้ว
    มีธรรม เข้าใจธรรมทันทีฉับพลัน จิตดวงที่เหลือจะสว่างไสว โล่ง บริสุทธิ์มากๆ
    แต่นี่ "คือการบรรลุเซียนสำเร็จโพธิจิตด้วยการแบ่งภาค" ไม่ใช่การบรรลุอรหันต์
    ซึ่งดูเปลือกนอกจะเหมือนกันมาก เพราะผลออกมา "มีธรรมเท่าพระอรหันต์" ไม่
    ต่างจากพระอรหันต์เลย แต่นี่ไม่ใช่การบรรลุอรหันต์ (ขอย้ำอีกที) การบรรลุธรรม
    ระดับอริยบุคคล จะผ่านสายธรรมตรง ท่านจะได้พบกับสายธรรมตรงจริงๆ ที่ไม่ใช่
    สายมหายานหรือผ่านลัทธินิกายใดๆ แล้วท่านจะทราบเองว่าท่านเหล่านี้ ต่างจาก
    ผู้ที่บรรลุเซียนมีธรรมเท่าอรหันต์อย่างไร เพราะ "บางอย่างไม่เหมือนกัน" นั่นเอง
     
  4. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    การสำเร็จเซียนของพระโพธิสัตว์ที่มาเกิดเป็นคน มีหลายวิธีดังนี้


    1. การบรรลุด้วยการ "จุติใหม่จากจิตวิญญาณบริสุทธิ์" เช่น การสูญเสีย
    จิตวิญญาณเดิมในขณะบำเพ็ญบารมียิ่งยวดเต็มที่ เต็มกำลัง จิตวิญญาณ
    เดิมจรอกจากร่างหมด "ตายไปชั่วเสี้ยวขณะ" จิตวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ที่
    สวรรค์ (ตัวตนภาคสว่าง) ก็จุติลงมาในสังขารนั้นเพื่อกำเนิดใหม่ได้ทันที

    2. การบรรลุด้วยการ "แบ่งภาคจิตเอาส่วนกิเลสออกไป" โดยส่วนที่แบ่ง
    ออกไปจะจรออกจากร่าง เหลือไว้แต่ "จิตวิญญาณส่วนบริสุทธิ์" ทำให้รู้
    ถึง "ภาวะจิตเดิมแท้" ก่อนที่จะเกิดเป็นมนุษย์ได้ (จุติจากตัวตนภาคสว่าง
    แล้วลงมาเปื้อนกรรมให้ดำ เรียนรู้พอแล้วก็แบ่งส่วนดำออกไป) ก็บรรลุได้

    3. การบรรลุด้วยการ "สลายวิญญาณเก่ารับพระวิญญาณบริสุทธิ์" โดยจะ
    ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์จาก "พระวิสุทธิเทพ" ที่มีบารมีเป็นพระโพธิสัตว์
    (พระอรหันตโพธิสัตว์ - ตัวตนภาคสว่างเบื้องบน) แบบนี้เรียกว่า "รับขันธ์"
    จากพลังภาคฟ้า (ไม่ได้รับขันธ์ต่อจากครูคนใดบนโลก) กลายเป็นคนใหม่

    4. การบรรลุด้วยการ "จิตวิญญาณจรออกจากร่างแล้วกลับเข้ามาใหม่" คือ
    เมื่อจิตวิญญาณนั้นแก่กล้ามากๆ จนมีกำลังมโนมยิทธฺเต็มกำลัง จะจรจุติไป
    แล้วเข้าใจในภาวะต่างๆ ไม่ยึดมั่นโลก พร้อมสว่างไสว สิ้นกิเลสไปเลย แล้ว
    กลับเข้าสู่ร่างใหม่อีกครั้ง (ตายแล้วฟื้น) ทั้งนี้ต้องกลับมายังร่างไม่เกิน 7 วัน

    5. การบรรลุด้วยการ "กำเนิดใหม่จากจิตวิญญาณมืด" ซึ่งจรเข้ามาอาศัยใน
    ร่างมนุษย์บำเพ็ญธรรมยิ่งยวด แล้วสำเร็จเซียน คือ วิญญาณเก่าสลายลงเกิด
    ใหม่เป็นวิญญาณบริสุทธิ์ (จิตคงเดิมนั่นแหละ วิญญาณเท่านั้นที่เปลี่ยน) ก็จะ
    บรรลุเซียน มีธรรมเท่าอรหันต์เหมือนกัน (จะเป็นคนที่มีบารมีเก่าแต่ต้องกรรม)


    ส่วนการบรรลุ "อริยบุคคล" นั้น จะ "ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของจิตวิญญาณใน
    ทางการเกิด-ดับ" จะเปลี่ยนแค่ "หมดกิเลส-สว่างไสวขึ้น" เท่านั้น ดังนั้น ใน
    พระพุทธศาสนาจึงไม่รับผู้ที่มีจิตวิญญาณไม่ใช่มนุษย์หรือต่ำกว่ามนุษย์แม้แต่
    การบวชในโลก ยังต้องถามก่อนว่า "มนุษยโสสิ ?" (เป็นมนุษย์ใช่ไหม?) เพื่อ
    ให้คัดกรองจิตวิญญาณที่พร้อมรับธรรมโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงด้วยการเกิดดับ
    และเมื่อบรรลุอรหันต์ "จิตวิญญาณจะไม่เกิดใหม่หรือดับไป" เช่น จิตวิญญาณ
    มนุษย์ ก็คงเป็นเช่นเดิมนั้น, จิตวิญญาณเทียบเท่าเทวดาชั้นสาม ก็เป็นเช่นนั้น
    ซึ่ง "จุดนี้คือ ข้อแตกต่างของการรบรรลุเซียนกับการบรรลุอริยบุคคล" นั่นเอง
     
  5. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    การบรรลุเซียนและการกลับสู่จิตเดิมแท้นั้น ไม่ต้องผ่านพระพุทธศาสนาก็ได้


    การบรรลุ "อริยบุคคล" จำต้องต่อสายธรรมแท้จากพระพุทธศาสนา แต่การบรรลุธรรม
    อื่นๆ ไม่จำเป็นต้องต่อสายธรรมแท้ให้ถูกต้องก็ได้เช่น การบรรลุเซียน (ต่อจากสวรรค์
    ไม่ต้องผ่านสังขารมนุษย์ ก็ได้) การบรรลุ "โพธิจิต" การบรรลุสู่การกลับสู่จิตเดิมแท้ที่
    ไม่ใช่การบรรลุอริยบุคคล (ทำได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องต่อสายธรรม) ซึ่ง การบรรลุธรรม
    ระดับนี้ สามารถเกิดได้ด้วยบารมีเก่าของตนเอง ในยุคสมัยใดก็ได้ แม้จะไม่มีพระพุทธ
    ศาสนาก็ตาม (เพราะไม่ใช่อริยบุคคล) ในทางวัชรยาน จะฝึกตนให้กลับสู่ภาวะจิตเดิม
    แท้ถึงที่สุดแห่งจิตเดิมแท้ คือ "พุทธะ" ก่อนแล้ว "ต่อสายธรรมภายหลัง" ซึ่งในการต่อ
    สายธรรมนี้ จะเลือกไปต่อกับสายธรรมในสายใคร, ครูอาจารย์คนไหน, ลัทธินิกายอะไร
    ก็ได้ แล้วแต่ว่า "ผู้นั้นพร้อมที่จะทำหน้าที่ในวงบุญใด" นั่นเอง เช่น สำเร็จวัชรยานแล้ว
    แต่ไปต่อสายให้เซน ก็ได้ (อาจเพราะเห็นว่าสายเซนไม่สูงเกินไป ปวงสัตว์ในยุคนั้นพอ
    เอื้อมถึงได้) แต่ถ้าจะต่อสายธรรม "ดั้งเดิมของแบบเถรตรง" ก็จะต้องเดินทางไปหาสาย
    นั้นให้ได้ถึง "สังขารที่รอให้ต่อสายธรรมอยู่" แม้ว่าท่านผู้นั้นอาจมาแบบ "จิตวิญญาณ"
    คือ ถอดกายทิพย์หรือใช้นิรมาณกายเหาะมาหาเรา เพื่อให้เราไปต่อสายธรรมกับท่านแต่
    ถ้าเราไม่ไปถึงสังขารของท่าน ก็จะได้เพียงระดับจิตวิญญาณ ไม่ได้ทั้งสังขาร กลายเป็น
    "สายเซียนที่ต่อสายกันทางจิตวิญญาณเท่านั้น ไม่ผ่านสังขาร" แบบนี้จะต่อสายธรรมซึ่ง
    เป็นสายธรรมดั้งเดิม ไม่ได้ ขอย้ำว่า "เมื่อได้ธรรมทางจิตสู่จิตแล้ว ต้องเดินทางไปต่อที่
    สังขารของผู้ที่รับสืบทอดต่อสายธรรมดั้งเดิมแท้อยู่" จะไม่ไปพบสังขารนั้นๆ ไม่ได้จะต่อ
    กันไม่ได้ ไม่สำเร็จ เช่น สังขารใดสังขารหนึ่งของหลวงปู่เทพโลกอุดร, พระมหากัสสปะ
    ฯลฯ จึงนับว่าเป็นการ "ต่อสายธรรมที่สมบูรณ์" ไม่ใช่สำเร็จเพียงแค่เซียน (สำเร็จแต่จิต)
    ต้องทำตาม "ท่านหุยเคอ" ที่เดินตามกระต่าย (นิรมาณกายของท่านตั๊กม้อ) ไปจนได้พบ
    สังขารของท่านตั๊กม้อที่เข้าสมาธินั่งหันหน้าเข้าหาผนังถ้ำอยู่ การต่อสายธรรมจึงจะสำเร็จ
     
  6. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    ผู้ต่อสายธรรมให้ผู้รับสืบทอดต้องมี "ธรรมสูงกว่า เหนือกว่าผู้รับ" จึงสำเร็จ


    กรณีนี้ให้พิจารณาจาก "บารมีของจิตวิญญาณ" ของสองท่านเทียบกัน คือ บารมีจิต
    วิญญาณของผู้ทำหน้าที่ให้การสืบทอดสายธรรมกับ "ผู้ที่จะมารับสืบทอดสายธรรม"
    ผู้ให้ต้องมี "บารมีธรรม-บารมีจิต" เหนือกว่าผู้รับ จึงจะรับช่วงสืบทอดกันได้สำเร็จมี
    การ "ทำลายสักกายทิฐิให้ผู้ที่มารับสืบทอดต่อได้" ซึ่ง ไม่มีทางที่ผู้รับที่มีบารมีธรรม
    บารมีจิตเหนือกว่า จะไปรับจากท่านที่มีน้อยกว่านั้น (สายน้ำย่อมไหลลงจากที่สูงสู่ที่
    ต่ำ) ดังนั้น สมมุติว่ามีหลวงปู่เทพอุดรรออยู่ในเขตประเทศไทย-ลาว-พม่า หลายรูป
    ทว่า แต่ละรูปมีบารมีธรรม ไม่เท่ากัน บารมีจิต ไม่เท่ากัน เช่น บางรูปอยู่มาก่อนคอย
    ต่อให้ท่านอื่นๆ เป็นรุ่นปู่, รุ่นพ่อ, รุ่นลูก, รุ่นหลาน ฯลฯ การสืบทอดสายธรรมนั้นไม่
    ได้ดูที่อายุขัย แต่ดูที่บารมีธรรม, บารมีจิต ถ้ารุ่นพ่อมีบารมีธรรมน้อย ทำลายสักกาย
    ทิฐิให้ไม่ได้ ต้องเชิญรุ่นปู่ออกมาแทน ถ้ารุ่นปู่ก็ไม่ไหว ไม่มีบารมีธรรม บารมีจิตพอที่
    จะทำลายสักกายทิฐิของผู้รับให้ได้ สืบต่อไปจนไม่มีใครที่เหนือกว่านี้อีกแล้ว ก็ จบเห่
    คือ "สายขาด" หาคนต่อให้ไม่ได้ หรือไม่ก็ต้อง "หาผู้พร้อมรับคนใหม่" ที่บารมีธรรม
    บารมีจิต, ไม่มากเกินไป ผู้สืบทอดสายธรรมให้ จึงจะสามารถทำลายสักกายทิฐิให้ได้
     
  7. น้ำใหลนิ่ง

    น้ำใหลนิ่ง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +79
    ในศาสนาพุทธฝ่ายเถรวาท จิตมีดวงเีดียว เกิด-ดับ เกิด- ดับต่อเนื่องเป็นสันตติ
    มีหลักฐานทั้งในพระไตรปิฏก และคำสั่งสอนครูบาอาจารย์ฝ่ายเถรวาทก็สั่งสอนกันมา

    ดังนั้น การกล่าวของท่านสาดสะดา"โปเย" ไม่ถูกต้อง-ไม่เป็นจริงในศาสนาพุทธฝ่ายเถรวาท

    เน้น-ว่าเฉพาะในฝ่ายเถรวาท(หินยาน)

    แต่ถูกต้องใน สาดสะหนา "โปเย โปโลเย" ของท่านสาดสะดา "โปเย"

    ท่านสาดสะดา "โปเย" ผู้บรรลุแล้ว ณ. จุดพิกัด "13.84625, 100.51687"

    เนื่องจากไม่สามารถบอกสถานที่บรรลุของท่านสาดสะดาได้
    เพราะจะทำให้นักข่าวไปรบกวนท่านสาดสะดา

    ถ้าท่านอยากรู้ให้เอาจุดพิกัดไปค้นหาใน Google Map
    แล้วท่านจะได้ไปแสดงความเคารพสถานที่บรรลุของท่านสาดสะดา"โปเย"
    จะได้เกิดสิริมงคลแกท่านและครอบครับสืบไป

    สาดสะหนา "โปเย โปโลเย" จงเจริญ จะได้ "รักกับปิศาจ" ได้

    เธอคือปิศาจสุดเซ็กซี่ เอามาฝากท่านสาดสะดา "โปเย"

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2012
  8. tee666

    tee666 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +14
    ช่วงนี้งานยุ่งเหมือนกัน......เคลียร์งานสั่กพักก่อน....ใครเล่นก่อนเล่นเลย
     
  9. เด็กแวนซ์

    เด็กแวนซ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    206
    ค่าพลัง:
    +35
    ทางของเขา สายวิปัสนึกนั่งเทียนเอา
     
  10. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ----
    อย่าไปเสียเวลาคุยเลยครับ
     
  11. 789654561

    789654561 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    139
    ค่าพลัง:
    +333
    เชิญรับยาที่ช่อง 5 นะคะ
    อย่าลืมจ่ายตังด้วย
     
  12. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    ผู้บรรลุเซียนจะบรรลุอรหันต์ทันทีที่ต่อสายธรรม


    ผู้ที่บรรลุเซียนในลักษณะนี้ เมื่อยอมละ สักกายทิฐิ
    ไปต่อสายธรรมอย่างถูกต้องแล้ว แม้ไม่ได้ฟังธรรม
    ก็จะบรรลุธรรมทันที เช่น พระมหากัสสปะ เป็นต้นที่
    บรรลุธรรม โดยที่พระพุทธเจ้าไม่ได้เทศน์อะไรเลย
    เพียงยกดอกบัวบานขึ้นเท่านั้น แม้แต่พระสาวกบาง
    รูปก็บรรลุธรรมโดย "ไม่ต้องฟังธรรม" เช่นกัน เช่น
    บางท่านเพียงปลงผมก็บรรลุทันที, บางท่านเพียงมี
    ผ้าเหลืองห่มให้ก็บรรลุธรรมทันที คนเหล่านี้แหละที่
    เรียกว่า "เซียน" ที่มีจิตวิญญาณบริสุทธิ์แบบอรหันต์
    แต่ "ยังไม่ใช่อรหันต์" จนกว่าจะยอม ละสักกายทิฐิ
    แล้วไปต่อสายธรรมของพระพุทธศาสนาที่ถูกต้องนั้น
     
  13. น้ำใหลนิ่ง

    น้ำใหลนิ่ง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +79
    อยู่ในคัมภีร์ใหนครับ เท่าที่ศึกษามาประวัติพระมหากัสปะ

    ส่วนปิปผลิเดินทางไปพบสมเด็จพระบรมศาสดา ซึ่งประทับ อยู่ที่ใต้ร่มไทร ซึ่งเรียกว่า พหุปุตตนิโครธ ในระหว่างกรุงราชคฤห์และเมืองนาลันทาต่อกัน มีความเลื่อมใสเปล่งวาจาประกาศว่า พระศาสดาเป็นครูของตน ตนเป็นสาวกของพระศาสดา พระศาสดา ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ด้วยการประทานโอวาท ๓ ข้อว่า
    ๑. กัสสปะ เธอพึงศึกษาว่า เราจักเข้าไปตั้งความละอายและความเกรงใจไว้ในภิกษุที่เป็นผู้เฒ่าและปานกลางอย่างดีที่สุด
    ๒. เราจักฟังธรรมซึ่งประกอบด้วยกุศล เราจักตั้งใจฟังธรรมนั้นแล้วพิจารณาเนื้อความ
    ๓. เราจักไม่ละสติ ที่เป็นไปในกาย คือพิจารณาเอาร่างกายเป็นอารมณ์

    ครั้นประทานโอวาท แก่พระมหากัสสปะอย่างนี้แล้วเสด็จหลีกหนีไป
    ท่านพระกัสสปะได้ฟังพุทธโอวาทแล้ว ก็เริ่มบำเพ็ญเพียร ในวันที่ ๘ นับจากวันที่อุปสมบทมา ก็ได้สำเร็จพระอรหัตตผล

    แล้วของท่านมะหาสาดสะดา "โปเย" มาจากใหนครับอ้างอิงด้วยครับ หรือว่านึกเอาเอง
     
  14. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    <TABLE id=table1 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="75%"><TBODY><TR><TD>http://www.godsdirectcontact-thai.org/ms-word/ms97-1.htm
    </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD>
    ปราศรัยโดยอนุตราจารย์ชิงไห่ ซินเตี้ยน, ฟอร์โมซา

    5 กรกฎาคม 2530 (ต้นฉบับเป็นภาษาจีน)

    </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD><TABLE id=table3 border=1 cellSpacing=0 borderColor=#cc99ff cellPadding=0 width="100%" bgColor=#fefbff><TBODY><TR><TD>
    <TABLE id=table4 border=0 width="95%"><TBODY><TR><TD></TD></TR><TR><TD><TABLE id=table5 border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=249>[​IMG]</TD><TD width=14></TD><TD vAlign=top>ปฐมาจารย์เซนคือพระมหากัสสปะ ปราศจากพระมหากัสสปะจัดการสังคายนาพระธรรมวินัย ปัจจุบันพวกเราก็ไม่มีศาสนาพุทธ หลังจากที่พระศากยมุนีพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน พระมหากัสสปะรีบชุมนุมพระอริยสงฆ์ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าเหล่านั้นทันที - พระอริยะเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ - รวมตัวกันขึ้นมารวบรวมคัมภีร์พระสูตรเข้าด้วยกัน เหลือให้เพื่อนปฏิบัติธรรมทั้งหลายกับชนรุ่นต่อมาได้อ่าน พระมหากัสสปะกับพระอานนท์มีคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่ต่อพวกเรา พวกเราซาบซึ้งในพระคุณเป็นอย่างมาก ดังนั้นอาจารย์จึงคิดว่า พวกเราพูดถึงปฐมาจารย์เซนก็เหมาะสมมากนะ!

    พระมหากัสสปะกับพระศากยมุนีพุทธเจ้าปฏิบัติธรรมในเวลาเดียวกัน ท่านอยู่ในวรรณะพราหมณ์ อินเดียมี 4 วรรณะ ได้แก่ วรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์หรือนักบุญ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทรหรือจัณฑาล ก็คือพวกที่ไม่มีการศึกษาและตำแหน่งใดๆทางสังคม ในอินเดีย พราหมณ์สมัยนั้นคือวรรณะที่ใหญ่ที่สุด สูงที่สุด เป็นที่เคารพสูงสุดในสังคม
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>
    </TD></TR><TR><TD>ท่านเกิดในแคว้นมคธ บิดาเรียกว่าอิงเจอ มารดาชื่อเชียงจือ เมื่อท่านเยาว์วัยนั้นน่าดูมากทั้งร่างกายเป็นสีทองคำ นี่หมายความว่าเป็นแรงสั่นสะเทือนที่อ้างถึง ไม่ใช่ว่าคนธรรมดาสามารถมองเห็นได้ ก่อนหน้าที่ยังไม่ได้ออกบวชแสงสีทองของท่านส่องไปไกลมาก มีนักโหราศาสตร์ที่เก่งคนหนึ่งมาทำนายชะตาของท่านตามคำเชิญบิดามารดาของท่านกัสสปะ นักโหราศาสตร์กล่าวว่า “เด็กคนนี้มีบุญยิ่งใหญ่ มิอาจหยั่งรู้ได้! ดูออกมามีแนวโน้มว่าออกบวชแน่นอน” บิดามารดาของท่านฟังแล้วกลัวมาก! กลัวท่านออกบวชแล้วจะสูญเสียลูก ลูกคนอื่นออกบวชได้ ลูกของฉันไม่ได้! พวกเราล้วนรู้เรื่องเช่นนี้</TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD>บิดามารดาของพระมหากัสสปะกล่าวว่า “ไม่ได้หรอก! พวกเราต้องหาหญิงที่น่าดูที่สุด สวยงามที่สุด รอเขาเติบโตอีกหน่อยแต่งงานทันที! หลังจากเขาถูกผูกมัดไว้แล้ว ก็หมดหนทางคิดหลุดพ้นอะไรหรือว่าออกบวช หรือทำเรื่องมหาบุรุษอะไร“ บิดามารดาของท่านวางแผนดี คิดดีแบบนี้แล้ว ดังนั้นพอพระมหากัสสปะกำลังเติบโต อาจจะอายุ 15 ปี 16 ปี บิดามารดาต้องการให้ท่านแต่งงานทันที แต่ละครั้งพระมหากัสสปะล้วนปฏิเสธ ไม่ต้องการแต่งงาน แต่ทว่าบิดามารดาบังคับท่าน ใช้วิธีที่ฉลาดทุกวิถีทาง น้ำตา อ้อนวอนท่านว่า “ลูกไม่แต่งงาน เราจะฆ่าตัวตาย...” พระมหากัสสปะปฏิเสธหลายครั้ง ล้วนหมดหนทาง เพราะบิดามารดาใช้ทุกวิถีทางบังคับให้ท่านแต่งงาน ในที่สุดหยุดไม่ได้ พระมหากัสสปะจึงพูดกับบิดามารดาว่า “เอาละ ลูกเคารพความคิดเห็นของพ่อแม่ทั้งสอง แต่ทว่าต้องหาหญิงคนหนึ่งที่มีสีเหมือนกับลูก และมีแสงเหมือนกัน และมีร่างกายสีทอง ดูแล้วเหมือนมาก ลูกถึงจะแต่งงาน ถึงจะคู่ควร มิฉะนั้นลูกไม่ต้องการ! ”
    </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD>บางครั้งเราเคยเห็นชายหญิงเหมือนกันมาก เคยเห็นหรือไม่? พระมหากัสสปะก็ต้องการหาหญิงคนหนึ่งที่เหมือนกับท่าน ท่านจึงจะแต่งงาน ชื่อของพระมหากัสสปะ พระคัมภีร์จีนของเราหมายถึงซึมซับแสงทั้งหมด หมายความว่า เพราะรัศมีกายสีทองของท่านใหญ่มาก สว่างมาก เทียบกับแสงอื่นทำให้แสงอื่นหมดหนทางที่จะมองเห็นได้ ดังนั้นมหากัสสปะจึงหมายถึงแสงใหญ่ บิดามารดาของท่านได้ยินว่า พระมหากัสสปะต้องการหาหญิงคนหนึ่งที่ดูเหมือนท่าน เพราะกายเนื้อของท่านดูแล้วเหมือนทองคำ มิใช่เพียงแต่แสง ดังนั้น บิดามารดาของท่านจึงใช้ทองคำหล่อรูปของพระมหากัสสปะประกาศทั่วประเทศ ดูว่ามีหญิงใดที่เหมือนกับรูปหล่อทองคำนั้นหรือไม่ ในที่สุดก็หาพบคนหนึ่งเวลานั้นพระมหากัสสปะต้องแต่งงาน เพราะสัญญากับบิดามารดาแล้ว
    </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD>ในเรื่องกล่าวไว้ ทำไมท่านจึงแต่งงานกับคนนี้นะ? ตอนนี้พวกเราพูดถึงเรื่องของหญิงคนนี้ ทำไมจึงมีหญิงที่เหมือนมากเช่นนั้น? นานมาแล้ว ก่อนพระศากยมุนีพุทธเจ้ายังมีพระพุทธเจ้า 7 พระองค์ องค์หนึ่งมีพระนามว่าวิปัสสิน หลังจากที่พระพุทธเจ้าองค์นี้เสด็จปรินิพพาน เหล่าผู้ศรัทธาได้สร้างวัด วางพระธาตุของท่านไว้ในเจดีย์เพื่อบูชา และหล่อรูปพระวิปัสสินพุทธเจ้า นานมาภายหลัง เพราะพระพุทธรูปองค์นั้นชำรุด ทองที่หุ้มใบหน้าก็แตกร้าว เวลานั้นพระมหากัสสปะเป็นช่างทองคนหนึ่ง ในเวลานั้นมีหญิงที่ยากจนคนหนึ่ง ไม่มีเงิน เวลาที่เธอไปไหว้ที่วัดหลังนั้น ได้มองเห็นกายทองของพระพุทธรูปเก่าแก่มาก แม้ว่าเธอยากจนมาก สิ่งของทั้งหมดที่มีก็คือทองคำเพียงก้อนเดียวเท่านั้น แต่ทว่าเธอได้นำทองคำของเธอไปยังร้านทองของพระมหากัสสปะ ขอให้เขาหลอมปิดทองบนพระพุทธรูป พระมหากัสสปะเห็นเธอยากจนเช่นนั้น จริงใจเช่นนั้น ขาจึงประทับใจมาก แน่นอนเขาชอบเธอมากช่วยเธอทำ 2 คนจึงกลายเป็นเพื่อนสนิท ต่อมาเพราะพวกเขาบูรณะพระพุทธรูปด้วยกันและผูกพันเป็นสามีภรรยา เพราะความรู้สึกที่ร่วมใจกันเข้าใจร่วมกันและความนับถือจึงแต่งงาน ไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างชายหญิง พวกเขายังตั้งจิตอธิษฐานร่วมกันว่าจะเป็นสามีภรรยาทุกภพทุกชาติ
    </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD>ดังนั้น บัดนี้ยังต้องแต่งงานกับเธอ ถึงแม้ว่าต้องการออกบวชก็หมดหนทาง! เพราะการอธิษฐานนี้ เพราะพระพุทธรูปองค์นี้ เพราะทุกภพทุกชาติต้องเป็นสามีภรรยา และยังเพราะบุญของทองคำก้อนนี้ พวกเขาสนุกสนานเพลิดเพลินจนถึงสมัยของพระศากยมุนีพุทธเจ้า เกิดมาแล้วอีก 91 ชาติ แต่ละครั้งร่างกายของทั้งสองคนล้วนเหมือนกับทองคำ แต่ละครั้งที่พวกเขาตายจากโลกไปล้วนไปจุติยังพรหมโลก หลังจากที่พวกเขาสนุกสนานเพลิดเพลินในสวรรค์ชั้นพรหมจบแล้วมาเป็นคนอีก บัดนี้คือชาติสุดท้าย เติบโตในครอบครัวที่มั่งคั่งมาก 2 ครอบครัว ล้วนเป็นเพราะถวายทองคำก้อนหนึ่งแด่พุทธ บุญของความจริงใจและความศรัทธา บัดนี้พวกเขาแต่งงานเพราะบิดามารดา แต่ทว่าก็เป็นเพราะผลกรรมของพวกเขาด้วย ก่อนนี้อธิษฐานส่งเดชมาก จึงต้องแต่งงาน ดังนั้นบางครั้งเราเห็นคนแต่งงาน ก็ไม่ต้องพูดว่า พวกเขาไม่ดี เป็นเพราะความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างชายหญิง อาจเป็นไปได้มากที่แต่ก่อนพวกเขาอธิษฐานส่งเดช บัดนี้หนีไม่พ้น ไม่ได้หมายความว่าการแต่งงานล้วนไม่ดี หลังจากที่พระมหากัสสปะแต่งงานกับหญิงคนนั้นแล้ว ทั้ง 2 เหมือนเพื่อนสนิทแยกกันนอนเป็นเพื่อนปฏิบัติไม่มีความสัมพันธ์ทางกาย หลังจากแต่งงานนานมาก พวกเขาทั้ง 2 ขอร้องบิดามารดาของพวกเขาอนุญาตให้พวกเขาออกบวช พูดอยู่นานมากๆ บิดามารดาก็พูดจากก้นบึ้งของหัวใจว่า “ดี! ” ดังนั้นพวกเขาจึงออกบวชพร้อมกัน แยกย้ายกันไปปฏิบัติยังสถานที่ 2 แห่ง
    </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD>หลังจากที่พระมหากัสสปะปฏิบัติสันโดษในภูเขาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ได้ยินเสียงพูดในอากาศว่า “บัดนี้พระพุทธเจ้าลงมาจุติแล้ว ออกมาสั่งสอนผู้คน ท่านต้องไปหาพระพุทธเจ้าให้รับการสั่งสอน” ท่านไปถึงวนอุทยานไผ่ของพระพุทธเจ้าด้วยความจริงใจมาก กราบพระพุทธเจ้าให้เป็นอาจารย์ ให้รับเป็นสาวก เวลานั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้าตรัสว่า “มาเถิดภิกษุ เธอผู้มีมหาบุญญานิสงส์ เธอต้องปลงผมและหนวดเคราของเธอ”
    </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD>หลังจากรับเป็นภิกษุ พระมหากัสสปะเรียนกับพระพุทธเจ้าท่านเรียนได้เร็วมาก คำสอนอันลึกซึ้งยอดเยี่ยมของพระพุทธเจ้าท่านก็เข้าใจได้ง่ายมาก พระศากยมุนีพุทธเจ้าโปรดปรานท่านมาก ท่านบำเพ็ญอย่างหนัก บรรลุพระอรหันต์รวดเร็วมาก มีวันหนึ่ง ท่านกลับมาจากที่ห่างไกลมากเพื่อเข้าเฝ้าพระศากยมุนีพุทธเจ้า ถึงแม้ว่าท่านได้ถือกำเนิดจากครอบครัวที่มั่งคั่งมาก แต่ทว่าเพราะท่านปฏิบัติสันโดษ ไม่สนใจสิ่งภายนอก วันนี้ตอนที่ท่านมาจีวรขาดมาก ร่างกายผอมมาก ดูแล้วไม่น่าดู ไม่สง่างาม อาจเป็นไปได้มากว่าเพราะปฏิบัติสันโดษ จำวัดและฉันภัตตาหารไม่มากและมิใช่ว่าท่านเจตนา เวลานั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้ามีภิกษุและสาวกมากมายฟังธรรมอยู่รอบๆ พระองค์ สาวก ภิกษุ ภิกษุณีเหล่านั้นมองเห็นพระมหากัสสปะเป็นแบบนี้ดูเหมือนไม่เคารพมองท่านไม่เต็มตา เพราะพวกท่านอยู่เคียงข้างพระศากยมุนีพุทธเจ้า แน่นอน ต้องมีของถวายดีมาก จีวรที่สมบูรณ์ ดูดีมาก สวยงามมาก ในขณะที่พระมหากัสสปะผู้ยากจนบำเพ็ญตบะในภูเขา ไม่มีเงิน ดังนั้นภิกษุ ภิกษุณีและสานุศิษย์จึงดูหมิ่นท่าน
    </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD>พระศากยมุนีพุทธเจ้าเห็นสถานการณ์ในขณะนั้นพอดี ดังนั้นพระองค์จึงตรัสว่า “กัสสปะ เธอมาที่นี่เถิด เราจะให้อาสนะครึ่งหนึ่งของเราแก่เธอ” พระมหากัสสปะไม่กล้านั่ง ท่านยังคงนั่งข้างล่าง เวลานี้พระศากยมุนีพุทธเจ้าตรัสกับภิกษุ ภิกษุณีว่า “เรามีใจมหาเมตตา มหากรุณา เรามีความปีติจากการทำสมาธิ เรามีบุญอันสุดหล้าฟ้าดินที่ทำให้ตัวเราเองสง่างาม” หมายความว่า ไม่ต้องใช้เสื้อผ้าทำให้สง่างาม แต่ทว่าใช้บุญทำให้ร่างกายสง่างาม ดังนั้นเป็นไปได้ที่บางคนดูภายนอกไม่มีอะไร แต่ทว่าเวลาที่เรามองเห็นพวกเขาเราก็นับถือพวกเขา ตรงนี้พระศากยมุนีพุทธเจ้าตรัสว่า พระองค์มีบุญกุศลอันสูงสุดที่ทำให้ตัวพระองค์เองสง่างาม ยังตรัสว่าพระมหากัสสปะ ภิกษุรูปนี้ก็เช่นเดียวกัน ความหมายก็คือสรรเสริญบุญของพระมหากัสสปะ สรรเสริญปัญญาของท่าน อันดับชั้นสูงเท่าเทียมกับพระพุทธเจ้า ดังนั้นจึงสามารถให้อาสนะครึ่งหนึ่งแก่ท่าน นี่ก็แสดงให้เห็นว่า “เราเหมือนกับเขานะ! ” เวลานั้นภิกษุ ภิกษุณีได้ยินแล้วก็ตกใจ ในที่สุดก็เข้าใจและเคารพพระมหากัสสปะทันที
    </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD><TABLE id=table6 border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width=240>[​IMG]</TD><TD width=4></TD><TD vAlign=top>วันหนึ่งพระศากยมุนีพุทธเจ้าเทศนาอยู่ในภูเขาคิชฌกูฏ พระหัตถ์ชูดอกบัวดอกหนึ่ง เวลานั้นทุกคนไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร มีเพียงพระมหากัสสปะรูปเดียวที่ยิ้มเข้าใจ พวกชาวจีนกล่าวว่า “ชูดอกไม้ยิ้ม” เวลานั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า “เรามีวิถีที่ลึกซึ้งสำหรับการเปิดตาปัญญาที่สมบูรณ์และการไปถึงนิพพาน ไม่ใช้ภาษา และถูกถ่ายทอดเหนือการสั่งสอนทางวาจาของเรา วันนี้ส่งมอบให้เธอ กัสสปะ กัสสปะ เธอต้องปกป้องวิถีนี้อย่างระมัดระวังและรับรองว่า มันจะถูกส่งทอดลงไปชั่วนิรันดรโดยปราศจากการอันตรธานหายไป ภายหลังสามารถส่งมอบให้อานนท์” เวลานั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเรียกพระมหากัสสปะมายังที่ของพระองค์ ให้อาสนะของพระพุทธองค์ครึ่งหนึ่งแก่ท่าน ยังใช้จีวรใหญ่ของพระองค์ เราพูดว่าผ้าสังฆาฏิ พันบนร่างกายของพระมหากัสสปะ ความหมายว่าส่งมอบจีวร เป็นสาวกผู้สืบทอด นี่แสดงให้เห็นว่า บัดนี้ท่านเสมอด้วยพระพุทธเจ้า! นั่งอาสนะครึ่งหนึ่งของพระพุทธเจ้า สวมจีวรที่สง่างามที่สุดของพระพุทธเจ้า ภายหลังตกทอดมาถึงสังฆปรินายกองค์ที่ 6 ฮุ่ยเหนิง ก็เป็นจีวรเหมือนกัน
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD>เวลานั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้าท่องบทกวีว่า “วิถีเดิมทีไร้วิถี ไร้วิถีก็เป็นวิถี บัดนี้คือเวลาถ่ายทอดวิถีที่ไร้วิถี แต่ทว่าไร้วิถีก็คือวิถี" เพราะพระมหากัสสปะสืบทอดจากพระศากยมุนีพุทธเจ้า ดังนั้นภายหลังพุทธศาสนิกชนอ้างท่านเป็นปฐมาจารย์ พระศากยมุนีพุทธเจ้าเราอ้างพระองค์เป็นศาสดา มหาอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่พูดว่า พระองค์เป็นปฐมาจารย์ ปฐมาจารย์เป็นสาวกผู้สืบทอดของพระองค์ ถัดจากพระศากยมุนีพุทธเจ้าลงมา ดังนั้นจึงพูดว่าปฐมาจารย์
    </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD>เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขัณธปรินิพพาน พระมหากัสสปะได้ยินข่าวว่า พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน ท่านกับสาวก 500 รูปรีบไปถึงกุสินาราเพื่อเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่ทว่าพระพุทธเจ้าจากไปแล้ว เวลานั้นท่านโศกเศร้ามาก ได้กระทำประทักษิณเวียนพระพุทธสรีระที่บรรจุไว้ในหีบทอง 3 รอบ พระพุทธเจ้ารับทราบความซาบซึ้งตรึงใจ ถึงแม้ว่าพระองค์จะล่วงลับไปแล้ว แต่ทว่าพระพุทธเจ้ายื่นพระบาทของพระองค์ออกมาให้พระมหากัสสปะมองเห็น ในเวลานั้นพระมหากัสสปะซาบซึ้งตรึงใจมาก จึงกราบพระบาทของพระพุทธเจ้า เดิมทีกราบพระบาทของพระพุทธเจ้าคือที่มาอย่างนี้ เวลานั้นท่านแตะๆ พระบาทพระพุทธเจ้า กราบพระบาทพระพุทธเจ้า ในใจรู้สึกสงบลงนิดหน่อย เพราะท่านกลับมาสายมาก หมดหนทางที่จะเห็นพระพุทธเจ้า ด้วยพระพุทธเจ้าเมตตาท่าน ให้ท่านเห็นพระองค์เป็นครั้งสุดท้าย หลังจากถวายพระเพลิงพระสรีระทองคำของพระพุทธเจ้า พระมหากัสสปะพูดกับเหล่าภิกษุว่า “พระอัฐิของพระพุทธเจ้า เราต้องส่งมอบให้เทพยดาหรือเทพารักษ์บูชาเป็นเนื้อนาบุญ แต่ทว่าเราภิกษุต้องสังคายนาพระธรรมวินัยเหลือไว้ให้ชนรุ่นหลัง” ดังนั้น หลังจากพระศากยมุนีพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน 7 วันท่านจึงชุมนุมพระอรหันต์ 500 รูปในถ้ำใหญ่ในภูเขา คิชฌกูฎชุมนุมกันสังคายนาพระธรรมวินัย
    </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD><TABLE id=table7 border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top>แต่ทว่ามีคนคนหนึ่งไม่สามารถเข้าร่วม เธอรู้ไหมว่าใคร? พระอานนท์ ในเวลานั้นพระอานนท์ยังไม่เป็นอรหันต์ยังคงมี “รูรั่ว” “ รูรั่ว” ก็คือด้านที่ดำๆ มืดๆ ยังไม่ชำระล้างให้สะอาด ยังไม่สำเร็จมรรคผล ยังไม่ได้บรรลุความบริสุทธิ์ 100 เปอร์เซนต์ ยังมีคุณสมบัติของปุถุชน ยังไม่เป็นนักบุญที่สมบูรณ์ ดังนั้นพระมหากัสสปะจึงไม่อนุญาตให้ท่านเข้ามา และยังว่าพระอานนท์ว่า ”ท่านผู้นี้ ยังไม่บริสุทธิ์! อย่ามาที่นี่ทำให้การชุมนุมนักบุญของเราเปรอะเปื้อน” อา! ถ้าคนธรรมดารู้เข้าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร “ท่านผู้นี้ ทำไมท่านกล้าพูดอย่างนี้? ” “เราจะให้ท่านเห็นดี! ” เป็นต้น คนธรรมดาจะคัดค้านได้ เกิดปัญหาขึ้นได้ทันที เป็นไปได้มากว่าจะสู้รบกัน เป็นไปได้มากว่าจะทะเลาะ เป็นไปได้มากกว่าจะต่อสู้ ขว้างปาถ้วยชาม หรือทำร้ายร่างกาย เป็นไปได้มากว่าจะต่อต้านและกลับบ้านไป เป็นต้น
    </TD><TD width=4></TD><TD width=276>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD>แต่ทว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตามพระอานนท์ก็เป็นนักบุญ ท่านเพียงแต่โศกเศร้า ท่านทราบว่า ท่านยังไม่สะอาด ยังปฏิบัติไม่ดี เพราะพูดมากทุกวัน รักษาศีลก็ไม่เคร่งครัด เพียงแต่พึ่งพาความรักของพระพุทธเจ้าผู้เดียว ท่านเป็นพระญาติของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสอะไร ท่านล้วนจำได้ดีมาก ดังนั้นท่านคิดว่าแบบนี้ก็ดีแล้ว สมัยพระศากยมุนีพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนม์อยู่ได้เตือนท่านหลายครั้ง เรียกร้องให้ปฏิบัติมากอีกหน่อย! แต่ทว่าดูเหมือนว่า ท่านค่อนข้างจะรักสบาย สบายมากเกินไปแล้ว ไม่ทนลำบาก บัดนี้ท่านจึงเข้าใจจริงๆ เพราะพระพุทธเจ้าเสด็จไปแล้ว ไม่มีคนรักท่านเกินไปอีก ไม่มีอะไรทำ ไม่มีใครพึ่งพา ไม่มีงานทำ สมัยพระศากยมุนีพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนม์อยู่ ท่านเป็นผู้ติดตามของพระพุทธเจ้า เอาใจใส่พระองค์ทุกวัน ยังมีข้ออ้างที่จะพูดว่า “เรายุ่งมากนะ! ” “ เราไม่ว่างนั่งสมาธิ! ” “เรากำลังจะนั่งสมาธิ พระพุทธเจ้าก็เรียกเรา เป็นต้น เราต้องอุทิศตัวเองเพื่อพระพุทธเจ้า เพื่อผู้คน”
    </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD><TABLE id=table8 border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width=243>[​IMG]</TD><TD width=4></TD><TD vAlign=top>พระอานนท์กลับไปทั้งคืนไม่หลับไม่นอน นั่งสมาธิอย่างจริงใจ ศรัทธามาก แล้วเข้าสู่สมาธิข้ามคืนเดียวท่านกลายเป็นอรหันต์ “ไม่มีรูรั่ว” ฟ้ายังไม่สาง ท่านสำเร็จมรรคผลแล้ว ท่านวิ่งไปยังถ้ำในภูเขาทันทีเพื่อพบพระมหากัสสปะ พระมหากัสสปะเห็นท่านก็รู้แล้วละ! ท่านไม่ปฏิเสธพระอานนท์ และสรรเสริญท่านกับเหล่าภิกษุว่า “ท่านทั้งหลาย อานนท์ของพวกเราคือแหล่งข้อมูลดั้งเดิม ฟังเทศนาของพระพุทธเจ้าอยู่เป็นประจำ พระพุทธเจ้าตรัสสิ่งใดท่านจำได้หมด ไม่ลืมแม้แต่นิดเดียว เปรียบได้ดีเสมือนน้ำที่ใส่ในขวด หยดเดียวก็ไม่รั่ว ดังนั้นพวกเราต้องเชิญท่านมาที่นี่สังคายนาพระธรรมวินัยกับพวกเรา แบบนี้พระธรรมวินัยจึงจะสมบูรณ์! พวกเรายังต้องเชิญภิกษุณีให้สังคายนาศีล” เวลานั้นทุกท่านยอมรับอย่างมีความสุข พระมหากัสสปะสังคายนาพระธรรมวินัยเป็นที่พอใจแล้ว ภารกิจการขนถ่ายสรรพสัตว์น่าพอใจแล้ว ท่านจึงเรียกพระอานนท์มาพูดว่า “เมื่อตถาคตกำลังจะเสด็จปรินิพพาน ได้ถ่ายทอดวิธีเปิดตาปัญญาให้เราเพื่อถ่ายทอดให้ท่าน บัดนี้เราจะรีบไปจำศีล นี่คือเวลาที่จะถ่ายทอดวิธีเปิดตาปัญญาให้ท่าน ท่านต้องปกป้องมันอย่างระมัดระวัง อย่าปล่อยให้มันอันตรธานไป”
    เรื่องราวของพระมหากัสสปะพูดจบแล้วนะ! ไม่มีพระมหากัสสปะ ไม่มีพระอานนท์ พวกเราก็ไม่มีทางที่จะรู้ว่า พระศากยมุนีพุทธเจ้าคือใคร พวกเรารู้สึกขอบคุณพวกท่านมาก ดังนั้นพวกเราจึงเอ่ยถึงเรื่องราวของพวกท่าน ศึกษาเรื่องราวนี้บ้างแล้ว ทำให้พวกเราเกิดแรงดลใจที่จะปฏิบัติ
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>
    </TD></TR><TR><TD>ในเรื่องนี้ พวกเรามองเห็นว่า พระมหากัสสปะมิใช่คนธรรมดา ท่านเกิดมามีร่างกายสีทอง มีรัศมีเจิดจ้ามาก นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มสูงที่สามารถออกบวชได้ พวกเธอได้ยินว่า มีคนมองเห็นอาจารย์เป็นร่างกายสีทอง ยังไม่ได้บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม ก่อนหน้าที่ยังไม่ได้ออกบวช อาจารย์ของฉันมองเห็นร่างกายสีทองของฉันแล้ว ในหนังสือกุญแจสู่การรู้แจ้งในทันทีเล่มที่ 3 (ความหมายที่แท้จริงของการสวด อมิตาภพุทธ) มีบอก มีคนพูดว่า มองเห็นร่างกายของอาจารย์เหมือนกับแก้ว เปล่งแสงเจิดจ้ามาก มีคนพูดว่า ร่างกายของอาจารย์เปล่งแสงสีขาว มีคนพูดว่า ร่างกายของอาจารย์ยังมีแสงอื่น...เป็นต้น เพราะอันดับชั้นไม่เหมือนกัน มองเห็นแสงไม่เหมือนกัน แต่ทว่าถ้าหากพรุ่งนี้อาจารย์กับพวกเธอออกไปซื้อกับข้าว เธอถามพ่อค้าในตลาดว่า “เธอรู้หรือไม่ว่า อาจารย์ของฉันมีแสง? ” เขาจะพูดได้ว่า “เธอบ้า! เธอพูดอะไร? ฉันขายผักอย่างเดียว เธอพูดอย่างนี้เพื่ออะไร? ฉันก็ไม่รู้ว่า “แสง” คืออะไร! ”
    </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD>ตรงนี้เขียนไว้ว่า พระมหากัสสปะมีแสง เพราะคนที่เขียนเรื่องแน่นอนเป็นศิษย์เอกของท่าน สามารถมองเห็นร่างกายสีทองของท่านได้มาก ทำไมอาจารย์จึงพูดแบบนี้นะ? เพราะในหนังสือเขียนเอาไว้ แสงสีทองของท่านเปล่งไปไกลมาก ผู้ที่ไม่ปฏิบัติ ไม่ได้เปิดมหาตาปัญญา มองไม่เห็นหรอก! ท่านเองเป็นศิษย์เอก ท่านมองเห็นอาจารย์ของท่านเป็นอย่างไร ท่านเขียนออกมาค่อนข้างใกล้เคียงความจริง ศิษย์ธรรมดาก็สามารถเขียนว่า อาจารย์มีความรู้สูงอย่างไร กำเนิดมาจากไหน อายุเท่าไร สอนธรรมวิถีอะไรแก่คน ไม่ว่าจะมีปัญญาหรือไม่ ขยันทำงานหรือไม่ มีศิษย์เท่าไร ทุกวันนอนหลับกี่ชั่วโมง กินข้าวกี่ครั้ง เป็นต้น ดังนั้นฉันจึงแน่ใจว่าเรื่องนี้นักปฏิบัติผู้ยิ่งใหญ่เป็นผู้เขียน เขียนออกมาให้พวกเราได้อ่าน ให้พวกเราได้ดู
    </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD>อนึ่ง พวกเราล้วนทราบว่าประเทศใด ศาสนาใดล้วนเคารพผู้ที่ออกบวชมาก คนประเภทหนึ่งชอบไปวัดไหว้ สัมผัสอาจารย์ สัมผัสนักบวชที่มีชื่อเสียงมาก และถวายของ เคารพมาก เทิดทูนนักบวชมาก แต่ทว่าลูกตัวเองต้องการออกบวชก็หาเรื่องยุ่งยาก พวกเราก็สามารถเข้าใจพวกท่านได้ ยุคใดก็เช่นกัน พ่อแม่เคารพนักบวช แต่ทว่าลูกชาวบ้านสามารถไปออกบวชได้ ลูกของฉันไม่ได้! เขาต้องแต่งงาน สืบทอดตระกูล ต้องจบปริญญาเอก เป็นทนายความ เป็นต้น หาเงิน และแต่งงานกับเด็กสาวที่สวยที่สุด เป็นผู้ดีที่สุด และกลายเป็นบิดาสืบสกุลต่อไป
    </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD>พวกเราเห็นเรื่องในสมัยโบราณ ล้วนทราบว่า ชีวิตของนักบวชสูงส่งที่สุด ดังนั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงปล่อยวางทั้งโลก ทั้งอาณาจักร ทั้งที่ราหุล โอรสของพระองค์มีพระชนมายุ 9 ชันษาเท่านั้นซึ่งเดิมทีต้องเป็นกษัตริย์ พระองค์ก็พาไปออกบวชกับพระองค์ด้วย เดิมทีพระอานนท์สามารถเป็นรัชทายาทกษัตริย์ พระองค์ก็พาไป ยังมีพระมเหสีของพระองค์ พระองค์ก็อนุญาตให้พระนางออกบวช ทุกๆพระองค์ล้วนกลายเป็นนักบวช นี่แสดงให้เห็นว่า เป็นพระยังดีกว่าเป็นกษัตริย์ สิ่งของทั้งหมดในโลกนี้ พรุ่งนี้เกิดอุบัติเหตุ ก็ต้องทิ้งไว้ให้คนเบื้องหลัง! ตอนลงนรก ยมบาลจะไม่ถามเธอว่า เรียนจบสูงแค่ไหน ไปแดนปัจฉิม พระอมิตาภพุทธะจะไม่ถามเธอว่า เธอเรียนจบหรือไม่ เธอมีศีลธรรม เธอก็สามารถไปได้ เธอไม่มีศีลธรรม แม้แต่เรียนจบ 10 สาขาก็ไม่มีประโยชน์! ดังนั้นมิใช่ว่า นักบวชจะปล่อยวางได้ คนในโลกถึงจะเป็นผู้ที่ “ปล่อยวางได้” จริงๆ พวกเขาปล่อยวางนิพพาน ปล่อยวางอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ที่อิสระ ปล่อยวางชีวิตนิรันดร เพื่อสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้เท่านั้นเอง
    </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD>อนึ่ง ฉันเห็นพระคัมภีร์มากมายล้วนเขียนว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า “มาเถิดภิกษุ! ” ผมของคนคนนั้นก็หล่นลงมาเอง นี่คือครั้งแรกที่ฉันอ่านพบว่า พระศากยมุนีพุทธเจ้าตรัสว่า “เธอไปปลงผมเถิด” เป็นไปได้มากว่า นี่ค่อนข้างมีเหตุผล เพราะพระศากยมุนีพุทธเจ้าไม่ใช้อิทธิฤทธิ์ สิ่งนี้ฉันรู้ชัดเจนมาก เพราะอะไรต้องใช้อิทธิฤทธิ์ทำให้ผมของคนหลุดลงมาล่ะ? ไม่ต้องหรอก! เรื่องเล็กน้อย ไปซื้อมีดโกนใบหนึ่งก็ดีแล้ว แม้ในทางที่ดี พระศากยมุนีพุทธเจ้าก็ไม่เอาอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มากมายไปใช้ ทำไมแต่ละครั้งล้วนเอาอิทธิฤทธิ์ปลงผมไปใช้เพื่ออะไร? นี่คือเด็กเล่น ฉันไม่เชื่อว่า พระศากยมุนีพุทธเจ้าจะทำเช่นนี้ แน่นอน พระองค์สามารถทำได้ แต่ทว่าพระองค์ไม่ทำ พระพุทธเจ้าทำเรื่องเช่นนี้ดึงดูดคนได้อย่างไร? ถ้าหากว่า พระองค์ทำเช่นนี้ ฉันคิดว่า ทั้งประเทศล้วนมาปลงผมกับพระองค์ สะดวกใช่ไหม? ดังนั้นฉันเชื่อว่า พระคัมภีร์เล่มนี้ถูกต้องที่สุด พระคัมภีร์เล่มอื่นล้วนค่อนข้างเกินความจริง (หรือเป็นเพียงแต่สัญลักษณ์) เพราะพวกเราเคารพใคร พวกเราจึงพูดเกินความจริง เขาทำเช่นนี้ พวกเราจึงพูดว่า เขาทำเช่นนั้น
    </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD>ยกตัวอย่าง เช่น คนมากมายพูดว่า พระผู้เฒ่าก่วงจินรักษาโรคอย่างไรๆ ฉันไม่เชื่อ! ท่านไม่เจตนาทำ เพราะท่านปฏิบัติสูงมาก ดังนั้นคนจึงเข้ามา มีบุญสัมพันธ์กับท่านก็จะรู้สึกสบายทันที ยกตัวอย่างเช่น พวกเธอได้ยินว่า อาจารย์รักษาโรคของคนมากมาย นี่คือการรักษาที่ไร้รูป ฉันไม่ได้ฮูลาๆทำให้โรคของคนหายทันทีแบบนี้ ไม่ใช่! ฉันไม่มีเจตนาทำอะไร อาจารย์เพียงแต่ปฏิบัติจนกลายเป็นเสมือนพลังยาชนิดหนึ่ง พลังที่สบายชนิดหนึ่ง ผู้ที่มีบุญสัมพันธ์เข้าใกล้ สามารถรู้สึกสบายได้ โรคหายทันที ในไถหนันมีแม่เฒ่าผู้หนึ่ง เพื่อนปฏิบัติธรรมล้วนไปนั่งสมาธิที่บ้านของเธอทุกสัปดาห์ เดิมทีเธอเดินไม่ได้ทุกวันอยู่แต่ในห้อง แต่ทว่าตอนที่อาจารย์อยู่ที่นั่น เธอดีทันทีเลย สามารถลุกขึ้นมาพูดได้ ดีใจมากพูดปาวๆ ทั้งวัน บัดนี้ก็สามารถเดินได้ สามารถเฝ้าบ้านได้แล้ว มิใช่ว่า อาจารย์เจตนาทำอะไร เพราะผู้ปฏิบัติมีพลังช่วยเหลือ ผู้ที่มีบุญสัมพันธ์มา โรคหายทันที อาจารย์ไม่ได้เจตนาแสดงอิทธิฤทธิ์รักษาโรคของเธอ ดึงเธอมาประทับจิต ฉันไม่ทำเรื่องเช่นนี้ พระศากยมุนีพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน ดังนั้นในพระคัมภีร์เล่มนี้จึงกล่าวว่า “มาเถิดภิกษุ! ดี เธอไปปลงผม ปลงผมของเธอกับหนวดเคราของเธอ” ฉันดีใจมาก ในที่สุดก็ค้นพบพระคัมภีร์เล่มหนึ่งที่ค่อนข้างเป็นจริง ค่อนข้างมีปัญญา ไม่ใช่เชื่อแบบอภินิหาร พูดเกินความจริง พระศากยมุนีพุทธเจ้าเกลียดคนที่ใช้อิทธิฤทธิ์ดึงดูดคนที่สุด อาจารย์ก็ไม่อนุญาตให้พวกเธอใช้อิทธิฤทธิ์ อาจารย์เพียงแต่เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งแบบนี้ พระศากยมุนีพุทธเจ้าก็ใช้อิทธิฤทธิ์ได้อย่างไร อวดเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าสาธารณชน ทำให้ผมของคนหลุดลงมา
    </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD><TABLE id=table9 border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width=186>[​IMG]</TD><TD width=4></TD><TD vAlign=top>ในที่สุดตอนที่พระศากยมุนีพุทธเจ้าถ่ายทอดความเป็นอาจารย์ ถ่ายทอดวิถีที่ถูกต้องให้พระมหากัสสปะ ท่านท่องบทกวีว่า “วิถีไม่มีวิถี วิถีไร้รูปแบบ วิถีไร้รูปก็เป็นวิถี ไม่มีวิถีเป็นวิถี” ก็เหมือนที่อาจารย์พูดบ่อยๆว่า “ตอนที่อาจารย์ถ่ายทอดวิถี แท้จริงฉันไม่มีวิถีที่จะถ่ายทอด แต่ทว่าฉันไม่ได้ถ่ายทอด พวกเธอไม่ได้บรรลุวิถี ดังนั้นเพราะพยายามโอนอ่อนผ่อนตามภาษาทางโลกของพวกเรา ต้องพูดว่า ฉันถ่ายทอดธรรมวิถีให้เธอ แต่ทว่าฉันถ่ายทอดธรรมวิถีที่ไร้รูป เดิมทีวิถีใดๆล้วนไม่มีวิถี ไม่มีอะไรหรอก! ใต้ฟ้าไม่มีเรื่องอะไร แต่ทว่าเดิมทีโพธิ์ไม่มีต้นก็คือความหมายเดียวกัน
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD>บัดนี้ปฏิบัติธรรมวิถีกวนอิม หลังจากสามารถถ่ายทอดได้แล้ว ฉันจึงเข้าใจ “ไร้วิถี” คำนี้ว่า หลังจากประทับจิตฝึกธรรมวิถีกวนอิม ฉันยังไม่เข้าใจ แต่ทว่าไม่มีอาจารย์ที่ถ่ายทอด และก็หมดหนทางบรรลุไร้วิถีนี้, ธรรมวิถีที่ว่างเปล่า พูดเช่นนี้ใครจะเข้าใจล่ะ? มีเพียงแต่พวกเธอที่เข้าใจ ผู้ที่ไม่ประทับจิตหมดหนทางที่จะเข้าใจ ผู้ที่ถ่ายทอดเข้าใจได้ดีที่สุด เพราะท่านรู้ว่า สิ่งที่ท่านถ่ายทอดนั้นคือวิถีไร้รูป คือวิถีที่ว่างเปล่า แต่ทว่าไม่มีเขาเป็นผู้ถ่ายทอด และไม่มีวิถี ดังนั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงตรัสว่า พระองค์ถ่ายทอดวิถีที่ว่างเปล่านี้ให้พระมหากัสสปะ และไม่ใช่วิถีใหม่อะไร เพราะเดิมทีวิถีใดๆล้วนเป็นวิถีที่ว่างเปล่า ล้วนเป็นวิถีที่ไร้รูป
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2012
  15. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    [​IMG]


    พระมหากัสสปะ บรรลุธรรมครั้งพระพุทธองค์
    มิได้ "แสดงธรรมด้วยภาษาใดๆ" เพียงแต่ยก
    ดอกบัวขึ้นเท่านั้น ท่านก็บรรลุธรรม แบบเซน
    (จิตสู่จิต) ท่านบรรลุธรรมด้วยวิธีแบบนี้ ทว่า
    ตำราอื่นๆ กลับบันทึกแตกต่างกันออกไป ก็มี
     
  16. น้ำใหลนิ่ง

    น้ำใหลนิ่ง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +79
    สรุปว่า มาจาก คัมภีร์ของมหายาน

    ต่อไปท่านมะหาสาดสะดาแสดงธรรม
    ก็ขอให้แสดงธรรมเฉพาะในส่วนของมหายาน
    และบอกให้ชัดเจนด้วยว่าเป็น มหายาน
    และเป็นการบรรลุของท่านเอง


    ขอร้องอย่าเอา มหายานมาตีความรวมในเถรวาท
    เพราะการทำอย่างนี้เป็นการทำลายพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท

    ขอยกเอาบางส่วนบทความของ พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)


    "ถ้าตีรวนพระไตรปิฎกได้ ก็ถอนรากพระสงฆ์ไทยสำเร็จ เรื่องนี้จะต้องทำความเข้าใจให้ชัด เวลาพูดจะต้องจำแนกว่าเถรวาทหรือพระไตรปิฎกเถรวาทว่าอย่างนี้ พระไตรปิฎกมหายานว่าอย่างนี้ ถ้าไม่ทำอย่างนี้จะสับสนปนเปเกิดปัญหามากมายยุ่งกันไม่จบ และพระพุทธ ศาสนาที่แท้ก็จะหมดไปด้วย ยกตัวอย่าง ดังที่กล่าวแล้วว่าในประเทศญี่ปุ่นมีพุทธศาสนามหายานหลายนิกาย และแยกนิกายย่อย เป็นร้อย ๆ นิกาย เอาเฉพาะนิกายใหญ่ 5 นิกาย ก็สอนและปฏิบัติต่างกันมากมาย เวลานี้สิ่งหนึ่งที่พระมหายานของญี่ปุ่นทุกนิกายรักษาไว้ไม่ได้ ก็คือเพศพรหมจรรย์ นิกายเซนที่ว่ารักษา ไว้ด้วยดีมานาน เดี๋ยวนี้ ตัวอาจารย์เจ้าสำนักก็มีครอบครัวกันไป พระญี่ปุ่นบางนิกาย อย่างนิกายชิน นอกจากมีครอบครัว แล้ว ยังทำธุรกิจ เป็นเจ้าของโรงงานอุตสาห กรรม เป็นเจ้าของ กิจการ ทำการค้าพาณิชย์ต่าง ๆ บ้างก็เล่นการเมือง บางนิกายถึงกับตั้งพรรคการเมือง อย่าง เช่น นิกายโซกะงักไก ที่เป็นนิกายย่อยหนึ่งของนิกายนิจิเรน ได้ตั้งพรรคการเมืองโกเมโตขึ้น พระญี่ปุ่นบางนิกายนั้นในประวัติศาสตร์ถึงกับตั้งกองทัพของตนเอง มีอำนาจทางการเมืองและทางการ ทหารมาก แข่งอำนาจกับทางฝ่ายบ้านเมืองนั้น หรือแข่งอำนาจกับพวกขุนนาง จนในที่สุดทางฝ่ายบ้านเมืองทน ไม่ไหว ต้องยกทัพเข้ามาปราบ ปราม ทำสงครามกัน ส่วนทางพระพุทธศาสนาเถรวาทนั้น ก็อย่างที่กล่าวแล้วว่า รักษาวินัยแบบแผนคำสอนหลักการเดิมไว้ อย่างแม่นยำที่สุด เพราะฉะนั้นสภาพสับสนและเหตุการณ์แปลกๆ อย่างนั้นจะไม่เกิดขึ้น เพราะวินัยที่พระ รักษานั้น ป้องกันไว้อย่างรัดกุมที่สุด ไม่มีทางที่จะคลาดเคลื่อนไปได้ นอกเสียจากว่าเราจะไม่รักษาพระไตรปิฎก บาลีนี้ไว้ ถ้าไม่รู้จักแยกอย่างที่ว่าข้างต้น ต่อไปก็อาจจะมีการกล่าว อ้าง เช่นอาจจะมีพระภิกษุบางรูปพูดขึ้น มาว่า เอ๊ะ! ที่ประเทศญี่ปุ่น พระไตรปิฎกฉบับนิกายนั้นไม่เห็นมีพุทธบัญญัติข้อนั้น หรือว่าบางนิกายไม่เห็นต้อง ให้ความสำคัญมากมายแก่พระไตรปิฎก เพราะเขานับถืออาจารย์เป็นใหญ่ เขาก็เป็นพระพุทธศาสนาอยู่ได้ เขา ไม่ได้ถือวินัยอย่างเรา วินัยข้อนั้นๆ ไม่มีในพระไตรปิฎกของญี่ปุ่น เขาถืออย่างนั้น ๆ แล้วทำไมเราจะต้องมาถือ อย่างนี้ด้วย ก็อาจจะเป็นไปได้ว่า พระไทยต่อไปจะรักษาความเป็นพระภิกษุแบบเถรวาทไว้ไม่ได้ จะมีครอบครัว หรือจะทำธุรกิจอุตสาหกรรม เป็นเจ้าของโรงงาน เป็นเจ้าของกิจการค้าขาย ทำการค้าพาณิชย์ ตลอดจนกระทั่งมี อำนาจในทางการเมือง อย่างที่เคยเป็นหรือเป็นอยู่ในประเทศญี่ปุ่นและในบางประเทศอื่น ๆ ในด้านหลักการทางธรรม ถ้าเอาพระไตรปิฎกฉบับอื่นๆ มาอ้างกันสับสน ต่อไปก็อาจจะมีภิกษุบางรูป พูดว่า เอ๊ะ! ในประเทศญี่ปุ่นนั้นบางนิกายเขามีพระสูตรอื่น ๆ ที่เราไม่มี อย่างเช่น สุขาวตีวยูหสูตร ที่เป็น หลักสำคัญของนิกายโจโด และนิกายชิน ซึ่งเป็นนิกายที่นักบวชมีบุตรภรรยา และทำกิจการธุรกิจอุตสาหกรรมที่ กล่าวมาแล้ว สุขาวตีวยูหสูตรนั้นสอนว่า มีสวรรค์ทิศตะวันตก เรียกว่าแดนสุขาวดี ที่มีพระพุทธเจ้าชื่อว่า อมิตาภะ ประทับอยู่ ใครอยากจะเกิดในสวรรค์สุขาวดีก็ให้เอ่ยนามพระองค์ให้มากที่สุดโดยเฉพาะเวลาตาย ก็จะได้ไปอยู่ กับพระอมิตาภะ และรอเข้านิพพานที่นั่น ถ้าใครเกิดบอกว่าพระสูตรนี้ไม่มีในพระไตรปิฎกบาลีของเรา น่าจะเอา เข้ามาด้วยอย่างนี้เป็นต้น จะว่าอย่างไร ความชัดเจนในหลักการและในคัมภีร์ของตนเองนี้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ อย่างยิ่ง คัมภีร์พระไตรปิฎกบาลีของเถรวาทนั้นเป็นของที่สืบมาจากการสังคายนาครั้งแรก จึงถือว่าต้นเดิมที่สุด และก็ได้ชำระสะสางความเห็นแตกแยกแปลกปลอม โดยเฉพาะในการสังคายนาครั้งที่ 3 สมัยพระเจ้าอโศก มหาราช พ.ศ. 235 นั้น เป็นที่ชัดเจนจะแจ้งอยู่แล้ว ว่าอะไรใช่ อะไรไม่ใช่คำสอนของพระพุทธศาสนาแบบเดิมแท้ ที่เรียกว่าเถรวาทนี้ จริงอยู่ในเรื่องปลีกย่อยเล็กๆ น้อยๆ อาจจะมีอะไรที่ไม่ชัดเจนได้เป็นเรื่องธรรมดา เช่นอย่างพระเทวทัต กับพระสารีบุตร ใครจะมีอายุมากกว่ากันอย่างนี้ อาจจะหาหลักฐานไม่ได้ หรือว่าต้นโพธิ์ชื่อว่าอานันทโพธิที่พระ เชตวันปลูกขึ้นปีไหนในระหว่างพุทธกิจ 45 พรรษา ดังนี้เป็นต้น แต่เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ข้อสำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือ หลักการใหญ่ๆ อย่างที่กล่าวแล้ว เช่นนิพพานนั้นจะต้องชัดเจน ท่านไม่ปล่อยไว้ให้คลุมเครือ ดังที่กล่าวแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องที่ผู้ปฏิบัติหรือศาสนิกไม่อาจจะรู้เข้าใจได้ ถ้าพระศาสดาไม่วางหลักการไว้ให้ชัดเจน คำ สอนของพระองค์ก็แทบจะไม่เกิดประโยชน์ เพราะผู้ปฏิบัติไม่รู้ว่าตนปฏิบัติอะไรอยู่ เป็นการปฏิบัติคำสอนของ พระพุทธเจ้า หรือปฏิบัติคำสอนของเจ้าสำนักที่คิดขึ้นเองใหม่ หรือปฏิบัติอะไรที่เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของเขา เอง หรือแม้แต่ปฏิบัติลัทธิอื่นนอกพระพุทธศาสนา จริงอยู่ พระไตรปิฎกมหายานที่แปลไปเป็นภาษาจีนเป็นต้นแล้ว อาจให้ประโยชน์ได้บ้างในแง่ที่ว่า มา เทียบเคียงคำสอนเล็ก ๆ น้อยๆ เช่นข้อความในคาถาบางคาถา ว่ามีแปลกกันอย่างไร แต่นั่นไม่ใช่เรื่องหลักการ ใหญ่ ส่วนตัวหลักการใหญ่นั้นท่านวางไว้และชำระสะสางกันชัดเจนไปแล้ว มีแต่พูดได้ว่าเถรวาทสอนว่าอย่างนี้ มหายานสอนว่าอย่างนั้น หรือมหายานนิกายนี้ว่าอย่างนี้ มหายานนิกายนั้นว่าอย่างนั้น เป็นต้นเท่านั้น ไม่ใช่เรื่อง ที่จะมาปะปนกัน "

    ถ้าท่านยังพยายามเผยแผ่ตีความปะปนกัน นั้นคงจะมองไปทางอื่นไม่ได้เลยว่า
    "ท่านกำลังพยายามทำลายพระพุทธศาสนาเถรวาท
    ถอนรากพระสงฆ์ไทย"
    จะด้วยเจตนาก็ตามหรือควาเห็นผิดก็ตาม

    ถ้าท่านไม่มีเจตนาอย่างนั้นก็ขออภัยมาด้วย
     
  17. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    นิกายเถรวาท ก็เป็นมหายานมานานแล้ว
    ไม่ใช่ "พระพุทธศาสนาแบบเถรตรงดั้งเดิม"
    เปลือกจารีตประเพณี ปรุงแต่งเข้าไปเยอะมากครับ


    ลองพิจารณาดูครับ ...
     
  18. น้ำใหลนิ่ง

    น้ำใหลนิ่ง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +79
    ขอยกเอาบางส่วนบทความของ พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)

    "พระไตรปิฎกบาลีที่คนไทยนับถือ คือฉบับเดิมแท้ เก่าแก่ และสมบูรณ์ที่สุด พระพุทธศาสนาแบบที่เรานับถือกันอยู่ ซึ่งสืบต่อมาในประเทศไทยนี้
    เรียกว่าพระพุทธศาสนาเถรวาท หรือบางทีก็ถูก เรียกว่า หินยาน
    ซึ่งตั้งอยู่บนฐานของคำสอนที่รักษามาในพระไตรปิฎกภาษาบาลี พระไตรปิฎกภาษาบาลีของเถรวาทนี้
    เป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นคำสอนดั้งเดิมแท้ของพระพุทธเจ้า เก่าแก่ที่สุดเท่าที่จะสืบหาได้
    แล้วรักษากันมาอย่างเคร่งครัด ทั้งแม่นยำที่สุดและครบถ้วนที่สุด
    เวลานี้ในโลกก็รู้กันอยู่ว่าพระพุทธศาสนามีนิกายใหญ่ 2 นิกาย คือ เถรวาท กับมหายาน นอกจากพระ พุทธศาสนาแบบเถรวาทอย่างของเรานี้ ก็มีพระพุทธศาสนาแบบมหายาน ที่มีในประเทศแถบเอเชียภาคเหนือ อย่าง ญี่ปุ่น จีน เกาหลี มองโกเลีย เป็นต้น รวมทั้งทิเบตซึ่งมักจะไม่ยอมเรียกตนเป็นมหายาน แต่เรียกตนว่าวัชร ยาน กลายเป็น 3 นิกาย ทั้งโลกนี้รู้กันอยู่และยอมรับกันทั่วไปว่า เถรวาทเป็นพระพุทธศาสนาดั้งเดิม
    พระไตรปิฎกบาลีก็เป็นพระไตรปิฎกดั้งเดิม ชาวพุทธฝ่ายมหายานก็ยอมรับเช่นนั้น
    นักปราชญ์ที่เชี่ยวชาญด้านมหายานนั่นแหละ พูดออกมาเองอย่างเต็มปาก ยกตัวอย่างด้านจีน เช่น
    Professor Soothill ผู้รวบรวมพจนานุกรมศัพท์พระพุทธศาสนาภาษาจีน เขียนไว้ในคำ
    "มหายาน" ว่า "Mahayana . . . is interpreted as มหายาน (คำจีน) the greater teaching as compared with หินยาน (คำจีน ) the smaller, or inferior. Hinayana, which is undoubtedly nearer to the original teaching of the Buddha, is unfairly described as an endeavour to seek nirvana through an ash- covered body, an extinguished intellect, and solitariness; . . ."1 "มหายาน . . . ได้รับการแปลความหมายให้เป็นหลักธรรมที่ยิ่งใหญ่กว่า
    โดยเปรียบเทียบกับ "หินยาน" ซึ่ง(ถูกแปลความหมายให้) เป็นหลักธรรมที่เล็กน้อยหรือด้อยกว่า.
    หินยาน ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าใกล้เคียงกับคำสอนดั้งเดิมของพระพุทธเจ้ามากกว่า
    ถูกกล่าวขานอย่างไม่เป็นธรรม ว่าเป็นความพยายามที่จะแสวงนิรวาณ (นิพพาน) ด้วยอาศัยกายที่หมกเถ้าธุลี ปัญญาที่ดับอับแสง และการปลีกตัวหลีกเร้น;
    . . ."

    ตัวอย่างด้านญี่ปุ่น เช่น
    Professor Mizuno ได้เขียนหนังสือไว้ ให้รู้ว่า ". . . of all the sects and schools of Buddhism, Theravada Buddhism, one of the major Hinayana schools, is the only one that possesses a complete canon in a single language." 2 "ในบรรดาพุทธศาสนาทั้งหมดทุกนิกายนั้น พุทธศาสนาเถรวาท
    ซึ่งเป็นนิกายใหญ่นิกายหนึ่งในสายหินยาน เป็นพุทธศาสนานิกายเดียว
    ที่มีพระไตรปิฎกครบถ้วนบริบูรณ์อยู่ในภาษาเดียว
    "

    ตัวอย่างด้านประเทศตะวันตก
    T. O. Ling ก็เขียนไว้ใน Dictionary ของเขาทำนองเดียวกันว่า

    "Tipitaka The canon of Buddh. scripture in Pali, regarded as authoritative by the Theravada; it is earliest form of Buddh. teaching available and the most complete"3 "ติปิฏก คัมภีร์หลักของพระพุทธศาสนาในภาษาบาลี ซึ่งเถรวาทยึดถือเป็นแบบแผน
    ติปิฏกเป็นคำสอนของพุทธศาสนาแบบดั้งเดิมสุดเท่าที่มีอยู่ และสมบูรณ์ที่สุด
    "

    เรื่องที่ว่าพระไตรปิฎกบาลีเก่าแก่ เดิมแท้ ครบถ้วนที่สุดนี้ เป็นที่รู้และยอมรับกันทั่ว
    แต่ที่ก้าวไปไกลกว่านั้น
    ก็คือการที่ปราชญ์มหายาน รวมทั้งในประเทศมหายานเอง
    ยอมรับด้วยว่าคัมภีร์ของตนไม่ใช่พุทธพจน์แท้จริง จนกระทั่งเห็นว่าจะต้องหันมาศึกษาพระไตรปิฎกบาลีของเถรวาทด้วย


    ยกตัวอย่าง นาย Christmas Humphreys ที่ เอกสารของวัดพระธรรมกาย
    ยกย่องให้เป็น "ปราชญ์ใหญ่ทางพระพุทธศาสนาในดินแดนตะวันตก ที่มีชื่อเสียงก้องโลก"
    ได้เขียนไว้ในหนังสือตำราอ้างอิงของเขาให้รู้ว่า
    พระสูตรของมหายานไม่ใช่คำตรัสของพระพุทธเจ้า ดังความว่า "The Suttas of the Theravada are presented as actual sermons of the Buddha; those of the Mahayana are frankly later compilations put into his mouth" 1 " พระสูตรทั้งหลายของเถรวาทนั้น
    ท่านนำเสนอไว้โดยเป็นพระธรรมเทศนาที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า; ส่วน พระสูตรทั้งหลายของมหายาน พูดกันตรงไปตรงมาก็คือ
    คำนิพนธ์ยุคหลังที่บรรจุเข้าในพระโอษฐ์"
    ในประเทศญี่ปุ่น ความตื่นตัวของมหายานที่จะมาถึงขั้นนี้
    ต้องผ่านความกระทบกระทั่งเจ็บปวดกันบ้าง

    อย่างที่ Dr. Mizuno เขียนเล่าตอนหนึ่งว่า "Dr. Murakami stated that Shakyamuni is the sole historical Buddha and that Amitabha Buddha . . . never existed . . . clearly the statement that Shakayamuni did not expound Mahayana teachings is consistent with historical evidence."2 "ดร.มูรากามิ กล่าวว่า
    พระศากยมุนีเป็นพระพุทธเจ้าที่มีอยู่พระองค์เดียวในประวัติศาสตร์
    และกล่าวว่า พระอมิตาภพุทธะ ที่ศาสนิกนิกายสุขาวดีทั้งหลายนับถือนั้น ไม่เคยมีจริง . . .
    คำกล่าวที่ว่าพระศากยมุนีมิได้ตรัส แสดงคำสอนของมหายานนั้น
    เป็นการสอดคล้องกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์อย่างแจ้งชัด"
    Dr. Mizuno ได้เขียนถึงสภาพปัจจุบันว่า ". . . in Japan it is commonly held that, for a correct understanding, a thorough study of Mahayana Buddhism must include both primitive and fundamental Buddhism. The study of Pali sutras has served three important purposes. It has helped to provide a correct understanding of both primitive and fundamental Buddhism as the basis of Buddhism; to advance unity and cooperation among Japanese Buddhists of different sects, since the Mahayana Buddhist sects all originate in the same sourcesัprimitive and fundamental Buddhism; and to provide agreement that Shakyamuni was the founder of Buddhism."1 ". . . ในประเทศญี่ปุ่น ได้ยึดถือร่วมกันว่า
    เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง
    การศึกษาพุทธศาสนามหายานอย่างทั่วตลอด
    จะต้องรวมเอาพุทธศาสนา (เถรวาท) ที่ทั้งดั้งเดิมและเป็นพื้นฐานด้วย"
    "การศึกษาพระสูตรบาลีสนองวัตถุประสงค์สำคัญ 3 ประการ คือ
    (1) ช่วยให้มีความเข้าใจอย่างถูกต้องต่อพระพุทธศาสนา (เถรวาท)
    ที่ทั้งดั้งเดิมและเป็นพื้นฐานนั้น ว่าเป็นที่ตั้งของพระพุทธศาสนา;
    (2) เพื่อส่งเสริมเอกภาพและความร่วมมือกันในหมู่ชาวพุทธญี่ปุ่นผู้นับถือนิกายต่างๆ
    ด้วยเหตุที่พุทธศาสนามหายานทุกนิกายล้วนมีกำเนิดจากแหล่งเกิดเดียวกันคือ
    พุทธศาสนา (เถรวาท) ที่ทั้งดั้งเดิมและเป็นพื้นฐานนั้น และ
    (3) เพื่อให้มีความเห็นร่วมกันว่าพระศากยมุนี เป็นพระศาสดาผู้ประดิษฐานพุทธศาสนา" พระพุทธศาสนาทั้งเถรวาทและมหายานต่างก็มีหลักการของตนเองที่แน่นอน ชัดเจน
    ยิ่งมหายานแตกแยกเป็นนิกายย่อย ๆ มากมาย ดังเช่นในญี่ปุ่น
    ไม่ต้องนับนิกายที่ล้มหายสาบสูญไปแล้วในยุคต่าง ๆ ปัจจุบันนี้ก็ ยังมีนิกายใหญ่ถึง 5 นิกาย และแตกเป็นนิกายย่อยอีกประมาณ 200 นิกาย
    แต่ละนิกายก็มีคำสอน มีหลักการต่างๆ ที่แตกต่างกัน
    และมหายานด้วยกันเองนั้นแหละแตกต่างกันไกล
    บางทีแตกต่างกันเองมากยิ่งกว่าแตกต่างกับพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทด้วยซ้ำ
    ถ้าพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทอย่างของเราไม่สามารถรักษาหลักการของตนไว้ได้
    ปล่อยให้หลักการ หรือคำสอนภายนอกอย่างของมหายานเข้ามาปะปน
    จะไม่เพียงเกิดความสับสนเท่านั้น แต่คำสอนที่แท้จริงของ พระพุทธเจ้า ที่ใครๆ หวังจากเรา ก็จะพลอยเลอะเลือนหมดไป
    "

    ท่านเจ้าคุณ พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)
    และนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาฝ่านมหายานก็ยังยอมรับว่า
    "พระไตรปิฎกภาษาบาลีของเถรวาทนี้
    เป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นคำสอนดั้งเดิมแท้ของพระพุทธเจ้า
    เก่าแก่ที่สุดเท่าที่จะสืบหาได้ แล้วรักษากันมาอย่างเคร่งครัด
    ทั้งแม่นยำที่สุดและครบถ้วนที่สุด
    "

    ส่วนการที่ในปัจจุบันมีหลายๆวัดได้ปรุงแต่ง มหายานมั่ง พรามหณ์-ฮินดูมั่ง
    นั้นก็เป็นเรื่องของบางวัด ซึ่งเป็นหน้าที่ของมหาเถรสมาคมเข้าไปดูแลกันต่อไป

    จะมาบอกว่า "นิกายเถรวาท ก็เป็นมหายานมานานแล้ว" ก็ผิดอีกเช่นกัน

    เพราะวัดในเมืองไทยยังมีอีกเยอะมากที่ปฏิบัติตรงตามพระธรรมวินัยที่มีมาในพระไตรปิฎก
    ตัวอย่างมีหลาหลายจนยกมาไม่หมด เช่น วัดป่าสายหลวปู่ชา วัดป่าสายหลวงปู่มั่น
    วัดสายพระอาจารย์พุทธทาส วัดอัมพวัน(หลวพ่อจรัญ)
    วัดไตรสิกขาทลามลตาราม และวัดนิพเพธพลาราม(พระอาจารย์สมภพ โชติปัญโญ)
    ฯลฯ อีกมากมาย
    ลองให้สมาชิกมาโพสสิครับว่า
    "วัดใหนที่
    ปฏิบัติตรงตามพระธรรมวินัยที่มีมาในพระไตรปิฎก"
    ดูสิครับ รับรองมีมากมายนับไม่ถ้วน
    ด้วยความเคารพ-พิจารณาด้วยครับ
    </pre>
     
  19. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    คุณจะนับถือท่านเจ้าประคุณอะไร ก็เชิญเถิด
    ผมต่อตรงพระพุทธเจ้า ไม่เอาพระสงฆ์มาขวางครับ


    "วัดที่ปฏิบัติตรงแท้จริง" ไม่มีหรอกครับ
    มันเลอะเลือนไปหมดแล้ว คุณเข้าถึงของแท้
    ให้ได้ก่อน แล้วจะทราบว่า "กรรมซัดทุกวัด" ให้
    เบี่ยงเบนออกจาก "ของแท้ดั้งเดิม" ได้อย่างไร ซึ่ง
    มันก็ไม่ได้ผิดแปลกอะไร สิ่งเหล่านี้ มันเป็นกรรมของสัตว์
    กรรมของศาสนา ที่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป สรรพสิ่งก็เปลี่ยนแปลง


    ก็แค่นั้นเองครับ ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2012
  20. ยมยักษ์

    ยมยักษ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2011
    โพสต์:
    974
    ค่าพลัง:
    +35

    เดี๋ยวเงิน 6 หมื่นมาคุยกันต่อนะครับ น้อง


    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...