พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ เจอ...อสุรกายเปรต

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย แดนโลกธาตุ, 11 มกราคม 2007.

  1. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,977
    [​IMG]


    พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ เจอเปรต
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->ในพรรษานี้ท่านพระอาจารย์จวน ได้มีพระติดตามท่านมาด้วยองค์หนึ่งและมีเณรอีกองค์หนึ่ง ผ้าขาวผู้ชราอีกคนหนึ่ง ก็ได้ไปบิณฑบาตที่บ้านคำภู ซึ่งอยู่ห่างจากเชิงเขาไปถึงหมู่บ้านประมาณ ๓ กิโลเมตร ต่างองค์ต่างก็แยกกันประกอบความเพียรภาวนาชำระกิเลสอย่างขะมักเขม้นยิ่งยวดตลอดทั้งพรรษา

    อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่พระอาจารย์จวนกำลังเดินจงกรมอยู่นั้น ได้กำหนดจิตภาวนาบริกรรมไปโดยตลอด ขณะนั้นเป็นเวลาใกล้จะค่ำแล้ว ก็รู้สึกว่าได้กลิ่นเหม็นสาบอย่างรุนแรงอยู่ชอบกล พระอาจารย์จวนได้ตั้งจิตไปถามจิตก็ได้ตอบว่า

    "เป็นกลิ่นของเปรต"

    พระอาจารย์จวนก็ได้อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ กลิ่นนั้นก็ได้จางหายไปในที่สุด พอรุ่งเช้าได้พบปะพูดคุย กันกับพระอาจารย์สอนที่ไปด้วยนั้นท่านก็ว่าได้กลิ่นเหม็นเหมือนกัน

    และในคืนนั้นเอง พระอาจารย์จวนก็ได้นิมิตอย่างประหลาด คือเห็นเปรต ๒ ตน เป็นผู้หญิง นุ่งแต่ผ้าไม่ใส่เสื้อเปลือยตลอด ผมยาว ผิวดำคล้ำเศร้าหมอง

    เมื่อได้สอบถามดูก็ได้ความว่า เป็นเปรตอยู่ที่ภูสิงห์นี้มานานแล้ว ตั้งแต่ครั้งเป็นมนุษย์ก็ได้เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ผู้เป็นพี่ชื่อนางเสาทา ผู้เป็นน้องชื่อนางเสาสี

    ได้เอาตัวไหมตัวหม่อนซึ่งมีฝักรังใหม่อยู่ข้างในมีตัวอ่อนอยู่ข้างในมาต้มในน้ำร้อนเพื่อสาวเอาใยใหมมาทอผ้า และด้วยบุพกรรมอันนี้พอตายจากมนุษย์ก็ได้กลายเป็นเปรตไป ดังนี้

    พระอาจารย์จวนท่านกล่าวว่า ถ้าจะเปรียบเทียบกับสถานที่ต่าง ๆ ที่ท่านได้เคยไปมาแล้วนั้น ที่ภูสิงห์น้อยนี้นับว่าเป็นสถานที่ ที่เป็นสัปปายะที่สุด เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียรภาวนาของท่าน แม้ที่ดงหม้อทอง อ.บ้านม่วง จ.สกลนครจิตจะรวมง่าย แต่ปัญญาก็ไม่แก่กล้า เท่าที่นี่นัก

    ท่านพึ่งมาได้พิจารณาคิดค้นกายอย่างหนัก พึ่งจะเริ่มกระจ่างมาเป็นลำดับก็ที่ภูสิงห์น้อย จ.หนองคาย นี่เอง ในระหว่างพรรษานี้ พระอาจารย์จวนได้เร่งทำความพากเพียรอย่างเต็มความสามารถ

    ได้พิจารณาร่างกายอันเป็น กายาคตาสติ ไม่ให้จิตรวมไม่ให้จิตพัก ได้พิจารณาไปพอสมควร พอสงบก็พิจารณาค้นในร่างกาย พิจารณาทวนขึ้นและตามลงเป็นปฏิโลมและอนุโลม พยายามพิจารณาร่างกายให้รู้เห็นตามเป็นจริงไป

    พอออกพรรษาแล้วพระอาจารย์จวนก็ได้ไปพำนักปฏิบัติภาวนาอยู่ที่ถ้ำบูชา ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านแห่งนั้นไป ๑๐ กิโลเมตร ในที่นี้การบิณฑบาตลำบากมาก

    พระอาจารย์จวนได้ขอให้ญาติโยมช่วยกันตัดทางจากบ้านดอนเสียดขึ้นไปบนภูวัวไปถ้ำบูชา ได้ช่วยกันทำอยู่ ๓ เดือนจึงสำเร็จเป็นทางที่รถและเกวียนพอจะเดินขึ้นไปได้

    พรรษาแรกนั้นได้มีพระไปอยู่พำนักด้วย ๕ องค์ มีเณร ๒ องค์ ต่างองค์ก็ต่างแยกย้ายกันหาที่วิเวกได้ปรารภความเพียรกันอย่างไม่ประมาท

    อยู่มาวันหนึ่งในขณะที่พระอาจารย์จวนท่านได้นั่งภาวนาอยู่นั้นก็ได้นิมิตขึ้นว่า ท่านกำลังค้นหาพระแต่หาไม่เห็น ในขณะนั้นได้มียักษ์ผู้หญิง รูปร่างสูงใหญ่มีร่างกายดำสนิท ผมยาวรุงรัง นุ่งผ้าอยู่เพียงท่อนล่าง ส่วนท่อนบนนั้นเปลือยกาย ท้องก็อ้วนใหญ่ อยู่ในน้ำตกสะอาม

    พระอาจารย์จวนได้เข้าไปถามว่าเป็นใครทำไมถึงได้มาอยู่ในที่นี้ ยักษ์นั้นก็ได้ตอบว่า เป็นยักษ์อยู่ที่น้ำตกสะอาม เพราะแต่ก่อนได้เคยทำบาป คือในชาติที่ได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นได้เกิดมาเป็นภรรยา ของท่านอาจารย์

    แต่เป็นผู้ทุจริตประพฤติผิดมิจฉากาม ไม่ซื่อสัตย์ต่อสามีคือท่านอาจารย์ ไปคบชายอื่นเป็นชู้ เมื่อสามีจับได้ก็ล่อลวงปิดบังไว้ และด้วยบาปอกุศลกรรมอันนั้นก็จึงทำให้ต้องมาเกิดเป็นยักษ์อยู่ในที่นี้

    พระอาจารย์จวนได้ถามต่อไปว่า มีพระพุทธรูปโบราณอยู่ที่ถ้ำสะอานนี้ใช่ไหม ยักษ์ก็บอกว่ามีอยู่จริง แต่ยักษ์นั้นก็ไม่ยอมบอกว่าอยู่ที่ไหน เพราะเหตุว่า ยังเกลียดชังท่านพระอาจารย์ที่ได้ทิ้งยักษ์ไปตั้งแต่ชาติที่เคยเป็นคน และเป็นสามีภรรยากันนั่นเอง

    พระอาจารย์จวนก็ได้บอกญาติโยมว่า อย่าเข้าไปหาพระพุทธรูปโบราณนั้นเลย ไม่เห็นหรอก เพราะเขาไม่ให้เห็น

    ในพรรษาต่อมาพระอาจารย์จวนได้กลับลงมาพำนักอยู่จำพรรษากับหลวงปู่ขาวที่วัดถ้ำกลองเพล ได้ปฏิบัติหลวงปู่ ได้ฟังเทศนารับการอบรมจากหลวงปู่ขาวอย่างใกล้ชิด พอออกพรรษาแล้ว ก็ได้กราบลาหลวงปู่ขาวกลับไปวิเวกที่ภูวัวอีก

    ระยะที่พำนักวิเวกอยู่ที่ภูวัวได้ ๑ เดือน คืนวันหนึ่งขณะที่นั่งทำความเพียรอยู่นั้นก็ได้เกิดนิมิตขึ้นว่า ได้มีปราสาท ๒ หลังหนึ่งเล็ก อีกหลังนั้นมีความสวยงามวิจิตรมาก ตั้งอยู่ทางด้านเขาภูทอกน้อย และภูทอกใหญ่ เมื่อมองจากภูวัวจะปรากฏเห็นชัดเจนทีเดียว

    ในนิมิตนั้นพระอาจารย์จวนได้เหาะขึ้นไปบนปราสาทหลังนั้น แต่บังเอิญประตูเข้าปราสาทนั้นปิดอยู่ ท่านไม่สามารถจะเข้าไปข้างในได้ ก็จึงได้ตั้งจิตอธิฐานว่า ถ้าหากว่าท่านมีบารมีแรงกล้าแล้ว ขอให้ประตูนั้นเปิดออกมาให้ท่านเข้าไปข้างในได้

    ในทันใดนั่นเองประตูปราสาทหลังเล็กนั้นก็เปิดออก พระอาจารย์จวนก็จึงได้เข้าไปภายในปราสาทนั้น ในห้องมีความวิจิตรพิสดารงดงามเป็นอย่างยิ่ง มีหญิงสวยงาม ๔ คนด้วยกันเฝ้าอยู่ในปราสาทนั้น

    ได้นิมนต์ท่านพระอาจารย์จวนให้อยู่ร่วมด้วย แต่ท่านไม่ยอมตกลง เพราะเป็นพระจะอยู่ร่วมกับผู้หญิงไม่ได้ พระอาจารย์จวนจึงลงจากปราสาทหลังนั้น พอจิตถอนออกมาท่านจำนิมิตนั้นได้ติดตา พร้อมทั้งจำทางขึ้นทางลงได้อย่างแม่นยำ

    ดังนั้นพระอาจารย์จวนจึงเดินทางจากภูวัว ไปยังภูทอกน้อยเพื่อพิสูจน์นิมิตนั้น พอไปถึงก็เดินทางขึ้น ไปบนภูเขาระยะทางที่ผ่านไปนั้น เหมือนดังในนิมิตอยู่ทุกประการ

    ได้สำรวจดูเขาชั้นต่าง ๆ ก็ได้เห็นเป็นโตรก เป็นซอก เป็นถ้ำ เป็นหินผา อันสูงชัน มีภูมิประเทศที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะบูรณะให้เป็นสถานที่สำหรับพระภิกษุสามเณรจะได้อาศัย เป็นที่ปฏิบัติบำเพ็ญเพียรภาวนาธรรมต่อไป

    ดังนั้นเองท่านพระอาจารย์จวน จึงได้ตัดสินใจอยู่บูรณะและก่อสร้างเป็นวัดขึ้น และขณะนั้นก็ประกอบเข้าด้วยกับว่าบรรดาชาวบ้านนาคำแคน บ้านนาต้องได้พากันอาราธนาให้ท่านพระอาจารย์จวนได้อยู่โปรด พวกเขาเป็นหลักยึดเหนี่ยวต่อไปอีกทางหนึ่งด้วย

    ท่านพระอาจารย์จวนได้เริ่มขึ้นไปอยู่บนภูทอกนี้ ตั้งแต่เดือนมกราคม ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ระยะแรกที่ขึ้นไปอยู่นั้นอยู่กันเพียง ๒ องค์กับท่านพระครูสิริธรรมวัฒน์ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดสามัคคีอุปถัมภ์ ในอำเภอบึงกาฬนั้น กับผ้าขาวน้อยองค์หนึ่งเท่านั้น ได้อาศัยอยู่ที่ตีนเขาซึ่งเป็นโรงที่ต่อกับโรงครัวในปัจจุบัน

    บริเวณโดยรอบยังเป็นป่าทึบ และรกชัดมาก มีสัตว์ป่าเป็นจำนวนมากทีเดียวสมัยนั้น ความเป็นอยู่ต้องอดน้ำ ต้องอาศัยน้ำฝนที่ค้างขังอยู่ตามแอ่งหิน

    และเรื่องการบิณฑบาต ก็ต้องอาศัยจากชาวบ้านนาคำแคน ซึ่งอพยพเข้าไปอยู่กันใหม่ ๆ ประมาณ สัก ๑๐ หลังคาเรือน จึงทำให้การบิณฑบาตขาดแคลนมาก พอที่จะได้อาศัยฉันไปตามมีตามได้

    พอเข้าหน้าแล้งท่านก็ได้ขอให้ชาวบ้านช่วยกันสร้างทำนบกั้นน้ำ และได้ปลูกกระต๊อบไว้ชั่วคราว ที่โขดหินตีนเขาบนชั้นที่ ๒ นั้นเอง

    ในปีแรกที่ไปพำนักจำพรรษาอยู่ที่ภูทอกนั้น มีพระอยู่ด้วยกัน ๓ องค์ ได้พากันปลูกกระต๊อบขึ้นพอที่จะอาศัยทำความเพียรกันได้ ๔ หลังด้วยกัน พระทุกองค์ต่างก็ทำความเพียรกันอย่างเต็มที่

    พอตกค่ำพระอาจารย์จวนจะขึ้นไปจำวัดอยู่บนชั้น ๕ โดยปีนขึ้นไปตามเครือของเถาวัลย์ตามรากไม้ ปัจจุบันบนชั้น ๕ นั้นเป็นถ้ำวิหารพระ ซึ่งในสมัยก่อนยังเป็นป่าทึบมีต้นไม้ขึ้นอย่างหนาแน่น

    แต่ด้วยความอุตสาหะของท่านพระอาจารย์จวนระหว่างกลางพรรษาที่ ๒๗ นั่นเอง พระอาจารย์จวนได้ชักชวนญาติโยมให้ทำบันไดเวียนขึ้นไปบนเขาชั้นที่ ๕ และชั้นที่ ๖ จนสำเร็จ ได้ทำอยู่ประมาณแค่ ๒ เดือน กับ ๑๐ วันเท่านั้นจึงเสร็จเรียบร้อยดี

    การสร้างบันไดนี้เสร็จในกลางพรรษาโดย ได้อาศัยศรัทธาญาติโยมช่วยกันคนละเล็กคนละน้อย ส่วนใหญ่จะเป็นการช่วยกันด้วยกำลัง เรื่องกำลังทรัพย์นั้นหายากเพราะต่างก็เป็นคนยากจน มีแต่ศรัทธาความเชื่อ ความเลื่อมใส และใช้กำลังเป็นที่ตั้งเท่านั้น

    มาในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ระหว่างกลางพรรษานั้นเอง พระอาจารย์จวนได้นิมิตไปว่า ท่านได้เดินอุ้มบาตรลัดเลียบ ไปตามหน้าผาที่ภูทอกใหญ่ อ้อมไปเรื่อย ๆ ก็ได้เห็นหน้าต่างปิดอยู่ และตามหน้าผานั้นมองไม่เห็นใครเลย

    ท่านจึงหยุดยืนรำพึงว่า
     
  2. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,977
    สาธู....ขอกราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อรหันต์อริยเจ้าทุกรูป สาธู
     

แชร์หน้านี้

Loading...