พระอรหันต์มาโปรด โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 10 เมษายน 2011.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้เป็นวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๒ ที่บอกวันไว้เพื่อกันหลง เรื่องที่จะพูดต่อไปนี้ขอให้นามว่า พระอรหันต์มาโปรด ความจริงคำว่า พระอรหันต์

    บรรดาท่านพุทธบริษัท คงไม่ใช่พระอรหันต์แท้ แต่ทว่าตัวของท่านเองมีความเข้าใจว่าท่านเป็นพระอรหันต์ จึงให้ศัพท์ตามนี้ ขอเล่าเรื่องความเป็นมาให้ทราบ

    สำหรับวันที่ที่เกิดจำไม่ได้แน่นอนบรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะว่าเวลานี้อาการทางร่างกายไม่ดีมาก มันป่วยหนัก มีการทรุดโทรมลงไปทุกวัน เพลียทุกวัน
    ก็มีความรู้สึกว่าร่างกายนี้คงจะทนไม่ไหว เข้าใจว่าคงจะอยู่ได้ไม่นานนัก เมื่อประมาณวันที่ ๔ หรือวันที่ ๕ อาจจะไม่ตรง เพราะจำไม่ได้ เวลาลงไปรับแขก เวลาบ่ายโมงเศษ ๆ

    เมื่อลงไปถึงก็มีญาติโยมพุทธบริษัทคอยอยู่ประมาณ ๑๐ คนแล้ว ที่เก้าอี้พระนั่งก็มีพระอยู่องค์หนึ่ง ขอเรียกว่า พระ จะเป็นพระประเภทไหนนั้นไม่ทราบรูปร่างท้วม ๆ เรียกว่าเนื้อเต็ม

    ไม่ถึงกับอ้วนพลุ้ยมากนัก ผิวคล้ำ ห่มจีวรคล้ำ พอมองดูปั๊บก็ทราบทางด้านจิตใจ เห็นใจของเธอมีสีดำมาก มันดำสนิท แล้วก็มีสีแดงแทรก หน้าของเธอไม่ยิ้มแย้มแจ่มใส

    พิจารณาอีกนิดใช้เวลาอีกครึ่งวินาทีก็ทราบว่า เธอมาร่วมกับมานะ คือความถือตัวถือตน เพราะลักษณะใจสีแดง บอกถึงความยินดีในความรู้สึกของตัวเอง มีความยินดีในความรู้

    คิดว่าตัวเองบรรลุมรรคผล เป็นพระอรหันต์

    แล้วก็ต่อไปอีกนิดใช้เวลาอีกเสี้ยววินาที ก็ทราบว่าการมาของเธอวันนี้ไม่ได้มาด้วยศรัทธา ไม่ได้มาด้วยการเลื่อมใส ไม่มีธุระ ต้องการจะมาอวด คือว่าแสดงการทนงว่าฉันคือพระอรหันต์

    เมื่อมีความรู้สึกอย่างนี้ก็ไม่แปลกใจ เพราะถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ธรรมดาของเรื่องคือว่าการรับแขกนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงทุกวัน
    แต่ละวันก็มักจะมีบรรดาท่านพุทธบริษัทมีกำลังใจต่างกันถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ธรรมดาของโลกมีความไม่เที่ยงแท้แน่นอนแบบนี้ ต่อมาหลังจากนั้น เมื่อบรรดาท่านพุทธบริษัท

    หลายคนถามปัญหาต่าง ๆ ตามความข้องใจ เมื่อตอบแล้วตามความสามารถในการตอบ ก็ไม่แน่นอนนักว่าจะตอบถูกเสมอไป และเมื่อว่าง พระองค์นั้นก็เข้ามากราบ

    ลักษณะอาการกราบของเธอ ดูแล้วประกอบไปด้วยความทนง สายตาของเธอมองกร้าว ความจริงลักษณะอย่างนี้ อาจจะเป็นลักษณะปกติของเธอก็เป็นได้
    เมื่อเธอกราบเสร็จตามความรู้สึกก็คิดว่าพระองค์นี้มาในฐานะศัตรู แต่ทว่าพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาย่อมไม่ถือว่าใครเป็นศัตรู ใช้เมตตา ความรัก ความกรุณา ความสงสาร

    เป็นพื้นฐาน อาการอย่างนี้เคยอดทนมาได้ แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าวันนี้จะอดทนได้ไหม เธอบอกว่า เธอจะถามปัญหาสัก ๒ ข้อ ก็บอกให้เธอถามได้ เธอถามข้อแรกว่า

    ท่านที่บรรลุสุกขวิปัสสโกแล้วจะบำเพ็ญเพียรต่อไปเป็นอภิญญาสมาบัติได้ไหม

    ก็ตอบเธอว่า ตามปกติท่านที่ได้แล้ว ท่านไม่ทำต่อกัน เพราะว่าพระอรหันต์เป็นพระสิ้นตัณหา

    การจะทำต่อก็เป็นการมีความอยาก เป็นอารมณ์ของตัณหา ถ้าจะถามว่า มุ่งดี คือ ต้องการเจริญอภิญญาสมาบัติ เป็นสมาธิขั้นสูง ทำไมถึงเรียกว่า ตัณหา

    ก็ต้องขอตอบให้บรรดาท่านพุทธบริษัททราบว่า การที่เป็นพระอรหันต์แล้ว กับการทรงอภิญญา มันต่างกัน อรหันต์มีผลสูงกว่าอภิญญามาก
    อภิญญานั้นเป็นแต่เพียงเครื่องมือในการตัดกิเลส

    ในเมื่อพระอรหันต์ท่านตัดกิเลสเรียบร้อยแล้ว ต้องมาซื้อเครื่องมือทำไมกัน ต้องหาเครื่องมือทำไมกัน ก็เรียกว่าหลบอารมณ์ลงต่ำ ทำอารมณ์ต่ำลงมา คือ อยากดีอยากเด่น

    แต่ความจริงไม่ได้ตอบเธอขนาดนี้ ตอบเธอเพียงว่า ในเมื่อท่านได้กันแล้ว โดยมากไม่มีใครทำต่อ แล้วเธอก็ถามต่อไปว่า นิวรณ์ เกิดจากอะไร อาตมาฟังแล้วก็รู้สึกว่า

    ถ้าเราจะตอบว่า นิวรณ์เกิดจากอวิชชา เธอจะหาว่าเล่นลิ้น เพราะคำว่า อวิชชา นี้ เป็นศัพท์ยกยอดของความโง่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นกิเลสที่เกิดขึ้น มาจากอวิชชาทั้งหมด

    อวิชชาเป็นแม่บาทใหญ่ ก็ตอบเธอว่า นิวรณ์มันเกิดมาพร้อมกับการเกิดของคน เพราะอาศัยกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมเป็นเครื่องเสี้ยมสอน เธอฟังแล้วก็รู้สึกว่า

    ทั้ง ๒ อย่างนี้เธอไม่พอใจ แล้วเธอก็กราบ ๆ คำว่ากราบของเธอ ไม่ได้มีความเคารพ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ก็เบาใจคิดว่าเธอถามเท่านี้ก็ดีแล้ว แล้วเธอก็ลุกกลับไป เห็นเธอสะพายบาตร

    ก็นึกในใจว่าเอเวลาบ่าย ๒ โมงนี้ เธอจะไปบิณฑบาตที่ไหน? แล้วต่อมาบรรดาท่านพุทธบริษัท เมื่อเธอหายลับกลับไปแล้วก็ปรากฏว่า วันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๓๒

    ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจดหมายฉบับนั้นลง วันที่ ๕ มกราคม ๒๕๓๑ แสดงว่าเธอลง พ.ศ.ผิด บรรดาท่านพุทธบริษัท ลายมือของเธอ เป็นคนเขียนหนังสือเก่ง แต่บางตัวก็หวัด

    อ่านไม่ออก แต่ว่าการลง พ.ศ.ผิด ในเมื่อแสดงตัวเป็นพระอรหันต์อย่างนี้ก็ต้องคิด ถ้าหากว่าเขียนธรรมดา ๆ ลง พ.ศ.ผิด อันนี้ก็ไม่เป็นไร การจะยืนยันความเป็นพระอรหันต์

    แล้วลง พ.ศ.ผิด อันนี้ก็แสดงออกว่าความจริงเธอไม่ใช่พระอรหันต์ ใจของเธอดำตามปกติ คือ นิวรณ์ ใจดำนี่เป็น โมหะ บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าดำสนิทมันเป็น อวิชชา

    ถ้าสีแดง เป็นความยินดีถึงความดีที่มีอยู่ แล้วมีสีแดงอยู่จุดหนึ่ง แสดงว่าเธอยินดีในความรู้ที่เธอได้แล้ว ตามข้อความของจดหมาย เธอเขียนอย่างนี้เธอเขียนว่า

    สายเหนือ (นี่คงจะแบ่งเป็นสาย ๆ นะ การประกาศศาสนาของคณะนี้คงจะแบ่งออกเป็นสาย) เธอเขียนว่า สายเหนือ
    ๕ มกราคม ๒๕๓๑ (แต่ความจริง พ.ศ. ๒๕๓๒)

    ถึง หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    ผมอัคคปุญโญภิกขุ หรือ สุปปพุทธ ผู้เป็นโรคเรื้อนในอดีตกลับมาเกิดแล้วบวชในพุทธศาสนาแล้ว ปี ๓๐ และได้ตรัสรู้ตามพุทธองค์แล้ว (ฟังให้ดีนะ ทีนี้จะไม่พูดขัดจังหวะ)

    จดหมายมาบอกท่าน จงอย่าสอนนิพพานของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เลอะเทอะเกินไป เราขึ้นมาพบท่าน ถามปัญหาท่าน ๒ ข้อ
    ๑. วิหัสสนาล้วน สำเร็จแล้ว ต่ออภิญญาได้หรือไม่
    ๒. นิวรณ์ ๕ มีมาได้อย่างไร

    เพื่อดูว่าท่านจะได้นิพพานแล้วหรือยัง สุดท้ายท่านตอบโง่ ๆ ว่า มีมาตั้งแต่กำเนิด หากไม่มีนิวรณ์ก็ไม่มีการเกิดในวัฏฏะ ผมจะขอบอกให้ว่า ตัวนิวรณ์ ๕ ประการ

    เป็นตัวสังขารที่ ๒ ในหลักปฏิจจสมุหปบาท เหตุที่เกิดนิวรณ์ ๕ เพราะมี อวิชชาเป็นพื้นฐาน เพราะมีอวิชชาเป็นตัวนำ ท่านสอนคนไปนิพพาน แต่ตัวท่านยังไม่ถึงนิพพานเลย

    ท่านมีแต่จะเอาลาภสักการะผู้อื่นเขา หน้าด้านที่ไม่อยากจะฉีกหน้าท่าน ที่ท่านรับแขกนั้น ก็เป็นเพราะเห็นแก่หน้าท่าน ท่านตายไปเข้าแน่ อบายภูมิ ท่านไม่ต้องการบอกพระภิกษุ

    หรือคนอื่นไปหรอก ท่านตีเสมอพระพุทธองค์ สุดท้ายนี้ อย่าหนักเรื่องนิพพาน
    พระภิกษุบุญชัย บุตรนาม (นามสกุลที่อ่านไม่ชัด)
    สำนักวัดคลองเตยใน

    อย่าลืมนะ ท่านเขียนตอนท้ายว่า พระภิกษุบุญชัย บุตรนาม นามสกุลนี่ไม่แน่นอน สำนักวัดคลองเตยใน แต่ชื่อข้างบนของท่านบอกว่า ผมอัคคปุญโญภิกขุ หรือว่า สุปปพุทธ

    ความจริงสุปปพุทธนี้น่าจะต่อท้าย มันต้องต่อว่า สุปปพุทธกุฏฐิ สุปปพุทธผู้เป็นโรคเรื้อน แต่ความจริงจดหมายนี้อาตมาก็ไม่วิจารณ์ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเป็นจดหมายที่บอกชัดว่า

    ท่านเองเก่งปฏิจจสมุปบาท แต่ว่าเก่งไม่จริง
    ถ้าจะใช้คำว่าอวิชชามันก็ครอบโลกก็ปล่อยท่านไปเถิด เป็นเรื่องของท่าน อย่าไปสนใจเลยนะ ทุกคนฟังแล้วอย่าโกรธ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ทีนี้เรื่องในพระพุทธศาสนา

    ขอบอกว่าหน้านี้นะ คาสเซทตอนนี้ หรือหนังสือตอนนี้เป็นเรื่องจริงทั้งหมด ไม่ใช่นิทาน หรือไม่ใช่นิมิต เรื่องนิพพาน บรรดาท่านพุทธบริษัท ต่อไปก็คุยกันเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ

    อาตมาเองก็เป็นคนงมงายมาก่อน ในกาลก่อนใครพูดเรื่องนิพพานไม่เชื่อ นิพพานมีสภาพสูญ เขาว่าอย่างนั้น ต่อมา หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ซึ่งเป็นอาจารย์ ท่านเห็นว่า

    เรามีสันดานชั่วละมั้ง ก็ส่งให้ไปหา หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ไปเรียนกับหลวงพ่อสดประมาณ ๑ เดือน ก็ทำได้ตามสมควร เรียกว่าพื้นฐานมีอยู่แล้ว ต่อมาวันหนึ่งประมาณ เวลา ๖ ทุ่มเศษ

    หลังจากทำวัตร สวดมนต์ เจริญกรรมฐานกันแล้ว หลวงพ่อสดท่านก็คุยชวนคุย คนอื่นเขากลับหมด ก็อยู่ด้วยกันประมาณ ๑๐ องค์ วันนั้น ท่านก็บอกว่าฉันมีอะไรจะเล่าให้พวกคุณฟัง

    คือ พระที่ไปถึงนิพพานแล้ว มีรูปร่างเหมือนแก้วหมด ตัวเป็นแก้ว เราก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปมากแล้ว นิพพานเขาบอกว่ามีสภาพสูญ แล้วทำไมจะมีตัวมีตน
    แล้วท่านก็ยังคุยต่อไปว่า นิพพานนี้เป็นเมือง แต่ว่าเป็นทิพย์พิเศษ เป็นทิพย์ที่ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก มีพระอรหันต์มากมาย คนที่ไปนิพพานได้ เขาเรียกว่า พระอรหันต์

    จะตายเมื่อเป็นฆราวาสจะตายเมื่อเป็นพระก็ตาม ต้องถึงอรหันต์ก่อน เมื่อถึงอรหันต์ก่อนแล้วก็ตาย ตายแล้วก็ไปอยู่ที่นั่น ร่างกายเป็นแก้วหมด เมืองเป็นแก้ว สถานที่อยู่แพรวพราวเป็นระยับ

    อาตมาก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปเยอะ ตอนก่อนก็ดี สอนดี มาตอนนี้ชักจะไปมากเสียแล้ว แต่ก็ไม่ค้าน ฟังแล้วก็ยิ้ม ๆ ท่านก็คุยต่อไปว่า เมื่อคืนนั้น ขี่ม้าแก้วไปเมืองนิพพาน (เอาเข้าแล้ว)

    แล้วต่อมาคุยไปคุยมาท่านก็บอกว่า (ท่านคงจะทราบ ท่านไม่โง่เท่าเด็ก เพราะพระขนาดรู้นิพพานไปแล้ว อย่างอื่นก็ต้องรู้หมด แต่ความจริงคำว่า รู้หมด ในที่นี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท

    ไม่ใช่รู้เท่าพระพุทธเจ้า แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ควรจะรู้ ก็สามารถรู้หมด) ท่านก็เลยบอกว่า เธอดูดาวดวงนี้นะ ดาวดวงนี้สุกสว่างมาก ประเดี๋ยวฉันจะทำให้ดาวดวงนี้ริบหรี่ลง

    จะค่อย ๆ หรี่ลงจนกระทั่งไม่เห็นแสงดาว ท่านชี้ให้ดู แล้วก็มองต่อไป ตอนนี้เริ่มหรี่ ละ ๆ แสงดาวก็หรี่ไปตามเสียงของท่าน ในที่สุด หรี่ที่สุด ไม่เห็นแสงดาว ท่านถามว่า

    เวลานี้ทุกคนเห็นแสงดาวไหม ก็กราบเรียนท่านว่า ไม่เห็นแสงขอรับ ท่านบอกว่า ต่อนี้ไป ดาวจะเริ่มค่อย ๆ สว่าง ขึ้นทีละน้อย ๆ จนกระทั่งถึงที่สุด แล้วก็เป็นไปตามนั้น

    พอท่านทำถึงตอนนี้ก็เกิดความเข้าใจว่า ความดีหรือวิชาความรู้ที่เรามีอยู่ มันไม่ได้ ๑ ในล้านที่ท่านมีแล้ว ฉะนั้นคำว่านิพพานจะต้องมีแน่ ท่านมีความสามารถอย่างนี้เกินที่เราจะพึงคิด

    ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ที่ศึกษามาในด้านกรรมฐานก็ดีหรือที่คุยกันมาก็ดี นี่ท่านรู้จริง ท่านก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนิพพาน คำว่านิพพานสูญท่านไม่ยอมพูด ไปถามท่านเข้าว่านิพพานสูญรึ

    ท่านนิ่ง ในที่สุดก็ไปถาม ๒ องค์ คือ หลวงพ่อปาน กับหลวงพ่อโหน่ง ถามว่านิพพานสูญรึ ท่านตอบว่า ถ้าคนใดสูญจากนิพพาน คนนั้นก็เรียกว่านิพพานสูญ แต่คนไหนไม่สูญจากนิพพาน

    คนนั้นก็เรียกนิพพานไม่สูญ ก็รวมความว่า นิพพานไม่สูญแน่ ทีนี้ต่อมา หลวงพ่อสดท่านก็ยืนยันเอาจริงเอาจัง ต่อมาท่านก็สงเคราะห์คืนนั้นเอง ท่านก็สงเคราะห์บอกว่า

    เรื่องต้องการทราบนิพพาน เขาทำกันอย่างนี้ ท่านก็แนะนำวิธีการของท่าน รู้สึกไม่ยาก เพราะเราเรียนกันมาเดือนหนึ่งแล้ว ตามพื้นฐานต่าง ๆ ท่านบอกว่าใช้กำลังใจอย่างนี้

    เวลาผ่านไปประมาณสัก ๑๐ นาที รู้สึกว่านานมากหน่อย ทุกคนก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนิพพานมีจริง เห็นนิพพานเป็นแก้ว แพรวพราวเป็นระยับ พระที่นิพพานทั้งหมด เป็นแก้วหมด

    แต่ไม่ใช่แก้วปั้น เป็นแก้วเดินได้ คือแพรวพราวเหมือนแก้ว สวยงามระยับทุกอย่างที่พูดนี้ยังนึกถึงบุญคุณหลวงพ่อสดท่านยังไม่หาย ท่านมีบุญคุณมาก รวมความว่า เวลานั้นเรายังเป็นคนโง่

    อาจจะมีจิตทึมทึก แต่ความจริงขอพูดตามความเป็นจริงเวลานั้นจิตไม่ดำ จิตใสเป็นแก้ว แต่ความแพรวพราวของจิตไม่มีการใสเป็นแก้วนั้น เวลานั้นเป็นฌานโลกีย์ ฌานสูงสุด

    ใช้กำลังเฉพาะเวลานะ ฌานโลกีย์นี้เอาจริงเอาจังกันไม่ได้ จะเอาตลอดเวลานี้ไม่ได้ เพราะอยู่ต่อหน้าครูบาอาจารย์ แล้วท่านก็สั่งว่า หลังจากนี้ต่อไป ทุก ๆ องค์

    จงทำอย่างนี้จิตต่อให้ถึงนิพพานทุกวัน ตามที่จะพึงทำได้ อย่างน้อยที่สุด จงพบนิพพาน ๒ ครั้ง คือ ๑. เช้ามืด และประการที่ ๒. ก่อนหลับ หลังจากนี้ไป เธอกลับไปแล้ว

    ทีหลังกลับมาหาฉันใหม่ ฉันจะสอบ เมื่อได้ลีลามาอย่างนั้นแล้วก็กลับ มาหาครูบาอาจารย์เดิม คือ หลวงพ่อปาน พอขึ้นจากเรือก็ปรากฏว่าพบหลวงพ่อปานอยู่หน้าท่า

    ท่านเห็นหน้าแล้วท่านก็ยิ้ม ว่าอย่างไรท่านนักปราชญ์ทั้งหลาย เห็นนิพพานแล้วใช่ไหม ตกใจ ก็ถามว่า หลวงพ่อทราบหรือครับ บอก เออ ข้าไม่ทราบหรอก วะ เทวดาเขามาบอก

    บอกว่าเมื่อคืนที่แล้วมานี่ หลวงพ่อสดฝึกพวกเอ็งไปนิพพานใช่ไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ใช่ขอรับ ท่านบอกว่า นั่นแหละ เป็นของจริง ของจริงมีตามนั้น

    หลวงพ่อสดท่านมีความสามารถพิเศษในเรื่องนี้? ก็ถามว่า ถ้าหลวงพ่อสอนเองจะได้ไหม ท่านก็ตอบว่า ฉันสอนเองก็ได้ แต่ปากพวกเธอมันมาก มันพูดมาก ดีไม่ดีพูดไปพูดมา

    งานของฉันก็มาก งานก่อสร้างก็เยอะ งานรักษาคนเป็นโรคก็เป็นประจำวัน ไม่มีเวลาว่าง ถ้าเธอไปพูดเรื่องนิพพาน ฉันสอนเข้าฉันก็ไม่มีเวลาหยุด เวลาจะรักษาคนก็จะไม่มี

    เวลาที่จะก่อสร้างวัดต่าง ๆ ก็ไม่มี ฉันหวังจะสงเคราะห์ในด้านนี้ จึงได้ส่งเธอไปหาหลวงพ่อสด ก็ถามว่า หลวงพ่อสดกับหลวงพ่อรู้จักกันดีรึ ท่านก็ตอบว่า รู้จักกันดีมาก

    เคยไปสอบซ้อมกรรมฐานด้วยกัน สอบกันไปสอบกันมาแล้ว ต่างคนต่างต้นเสมอกัน ก็รวมความว่ากำลังไล่เรื่อยกัน บรรดาท่านพุทธบริษัท นี่เป็นจุดหนึ่งที่อาตมาแสดงถึงความโง่กับครูบาอาจารย์

    และอีกประการหนึ่ง ก็มีเรื่องหนึ่ง คือเป็นเรื่องจริงทั้งหมด เรื่องมีมาในธรรมบท มีพราหมณ์คนหนึ่ง อาตมาอาจจะจำชื่อผิดเพราะไม่ได้นำหนังสือมา ไม่ได้ดูมา เวลานี้ก็ป่วย

    ร่างกายไม่ดีสมองแย่ อย่านึกว่ามันเพลียลงทุกวัน ๆ มันจะอยู่ไปถึงไหนก็ไม่ทราบคงไม่นานนัก มีพราหมณ์คนหนึ่ง ถ้าจำชื่อไม่ผิด ก็มีชื่อว่า ติสสะ ชื่อไม่ขอพูดดีกว่า อาจจะผิด

    ขออภัยด้วยถ้าผิด มีพราหมณ์คนหนึ่งท่านมีความรู้สึกตนเองว่ามีความรู้มาก มีลูกศิษย์ลูกหามาก ประกาศศาสนา คำว่าศาสนาคือคำสอน สอนคนเป็นลูกศิษย์ลูกหามาก

    แต่พราหมณ์คนนี้มีกรณีพิเศษ คือใช้เหล็กพืดคาดพุง ถ้าใครเขาถามว่าทำไมถึงใช้เหล็กพืดคาดพุง คาดพุงรอบตัวเลย ท่านบอกว่า วิชาความรู้ของท่านมีมาก
    ท่านเกรงว่าวิชาความรู้จะระเบิดออกมา พุงจะแตกตาย นี่มันก็เหมือน ๆ กันเลยนะ ก็เกรงว่าพุงจะแตก เลยเอาเหล็กพืดคาดพุงไว้ แต่พราหมณ์คนนี้มีความรู้พิเศษอยู่อย่างหนึ่ง

    สามารถรู้สภาวะคนตายได้ คือคนตายแล้วไปเกิดที่ไหน ไปเกิดเป็นสัตว์นรก ไปเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรือเป็นพรหม

    เขาทราบได้แน่นอนถูกต้อง เพียงแต่เอากระโหลกศีรษะของคนที่ตายแล้วมา เอาเล็บกรีดไป เล็บจะติดอยู่ในสถานที่เขาเกิด ถ้าติดตำแหน่งไหน ตำแหน่งนั้นจะบอกว่าเกิดที่ไหน

    ต่อมาเขาเข้าใกล้สำนักองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทราบว่าพระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนา เขาก็อยากจะแบ่งคงจะเบ่งเหมือน ๆ กัน อยากจะเบ่งทับพระพุทธเจ้า

    เขาก็ไปถามปัญหาพระพุทธเจ้าหลาย ๆ อย่าง พระพุทธเจ้าก็ทรงตอบ แต่การตอบของพระพุทธเจ้าอาจจะมีหลายลีลา ตอบตรงไปตรงมาบ้าง ตอบเลี่ยงเพื่อให้ซักบ้าง ตอบแบบอนุโยคบ้าง

    แต่การตอบเวลาเหลือน้อย บรรดาท่านพุทธบริษัท จะไม่พูดให้ฟังว่าตอบแบบไหน เป็นอย่างไร? ต่อมาองค์สมเด็จพระจอมไตรเห็นเขาหมดปัญหา ท่านก็ถามว่า

    ทำไมจึงเอาเหล็กมาคาดพุง เขาก็บอกว่าความรู้ของเรามากเกรงพุงจะระเบิดเพราะความรู้ ความรู้ระเบิดออกมา พุงมันแตกตาย เขายังกลัวตาย สมเด็จพระจอมไตรถามว่า

    ความรู้พิเศษของเธอมีอะไร เขาก็ตอบว่า เอาหัวกระโหลกมา จะบอกได้ทันทีว่าใครไปเกิดที่ไหน เอาหัวกระโหลกปุถุชนมา เรากรีด เขาก็บอกได้เลยว่า คนนั้นเกิดที่นั่น คนนี้เกิดที่นี่

    ทั้งหมดตอบถูกหมด พระพุทธเจ้าก็ยอมรับ ต่อมา พระพุทธเจ้าเอากระโหลกศีรษะพระอรหันต์ที่นิพพานแล้ว อย่าลืมนะบรรดาท่านพุทธบริษัท พระอรหันต์ที่นิพพานแล้ว

    ไม่ใช่กระดูกละเอียดเหมือนกันหมด ที่ยังเป็นท่อน ๆ ยังมีอยู่เยอะ ไม่ใช่ว่าต้องละเอียดเหมือนกันจึงเป็นพระอรหันต์ อย่าเข้าใจผิด มีคนเข้าใจผิดอยู่มาก
    เอากระโหลกศีรษะพระอรหันต์มาให้ ก็ปรากฏว่าเขาไม่รู้ กรีดไม่ติด ตอบไม่ได้ องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงตรัสว่า พระองค์นี้ไปนิพพานแล้ว เขาไม่รู้คำว่า นิพพาน ก็อยากจะศึกษาต่อไป

    องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตอบว่า ถ้าจะเรียนเป็นของไม่ยาก เรียนได้ แต่ว่าต้องแต่งตัวเหมือนกัน ถ้าแต่งตัวไม่เหมือนกันนี่เรียนไม่ได้ อย่างไร ๆ ก็พุงยังไม่แตก ในที่สุดเธอก็ยอมรับ

    ยอมบวช เมื่อบวชแล้ว ฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็กน้อยก็บรรลุอรหัตผล เป็นพระอรหันต์ พร้อมไปด้วยปฏิสัมภิทาญาณ นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท

    เรื่องคนที่มีความเข้าใจในความรู้ว่ามีมากเป็นอย่างพราหมณ์คนนี้ ความจริงก็ไม่มากจริงอย่างอาตมาก็เช่นเดียวกัน ที่ไปหาหลวงพ่อสดท่าน ท่านสอน ทั้ง ๆ ที่ท่านสอนมาแล้ว

    ก็ยังมีความเคลือบแคลงสงสัย ในเมื่อท่านพูดถึงนิพพาน แสดงว่าความโง่ยังไม่หมด เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาเหลือไม่ถึง ๑ นาที ตอนนี้ก็ต้องขอลากันก่อน แต่ก่อนจะลา

    รายการนี้เป็นรายการธรรมะ ขอยืนยันว่าเรื่องนี้ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่นิทาน ไม่ใช่นิมิต ขอบรรดาท่านทั้งหลายที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระธรรมสามิสร
    จงมีความสุขจากธรรม ๔ ประการ คือ
    ๑. ทาน การให้ทาน เป็นปัจจัยให้เกิดความรัก
    ๒. ปิยวาจา พูดดี เป็นปัจจัยให้เกิดความรัก
    ๓. การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นปัจจัยให้เกิดความรัก
    ๔. ความไม่ถือตัวถือตน เป็นปัจจัยให้เกิดความรัก


    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เวลานี้จวนจะหมดเวลาแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี

    จากหนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๖
     
  2. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    *
    [​IMG]

    เชิญแวะอ่านธรรมะของหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง ที่
    เฟสบุ๊ค ศูนย์พุทธศรัทธา
    และร่วมกันแบ่งปันธรรมะของหลวงพ่อฯ ไปยังกระดานของท่าน

    <IFRAME style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; WIDTH: 600px; HEIGHT: 300px; OVERFLOW: hidden; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" src="http://www.facebook.com/plugins/likebox.php?href=http%3A%2F%2Fwww.facebook.com%2Fpages%2FBuddhaSattha%2F158726110822792&width=600&connections=20&stream=true&header=false&height=300" frameBorder=0 allowTransparency scrolling=no></IFRAME>
    *<!-- google_ad_section_end -->
    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p

    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
    www.tangnipparn.com
    <O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา

    [​IMG]</O:p>
     

แชร์หน้านี้

Loading...