พระพุทธเจ้า เป็นผู้สั่งให้พระอานนท์ เป็นผู้ทำน้ำมนต์ แล้วจะเป็นเดรัจฉานวิชาได้อย่างไร

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Saber, 6 พฤษภาคม 2014.

  1. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    [​IMG]


    ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้า เป็นผู้สั่งให้พระอานนท์ เป็นผู้ทำน้ำมนต์ไปพรมที่เมืองไพสาลี
    แล้วจะบอกว่าการทำน้ำมนต์ เป็นเดรัจฉานวิชาได้อย่างไร?
    **************************************************************************************************************************************************************

    (((((เรื่อง น้ำมนต์เป็นไสยศาสตร์ ?!? )))))
    ( บทสนทนาธรรม หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี )


    ถาม : การที่มีคนกล่าวว่าการประพรมน้ำพระพุทธมนต์เป็นเรื่องของไสยศาสตร์ เป็นความเชื่อที่ไม่มีเหตุผล ถือเป็นการปรามาสคุณของพระพุทธเจ้าหรือไม่ ? ถ้าตกนรกจะลงไปอเวจีมหานรกหรือไม่ ?

    ตอบ : ไม่ต้องห่วง..! จริง ๆ แล้วที่โบราณใช้คำว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” นั่นชัดเลย เพราะว่าบาง สิ่งบางอย่างโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีคุณอนันต์แล้วก็โทษมหันต์ แตะผิดข้างก็เหมือนกับมีด ไปแตะด้านคมเข้าก็มีหวังมือขาด..!

    จริง ๆ แล้วถ้าหากว่าเราไม่เชื่อแล้วเงียบ ๆ ไว้ ก็ยังปลอดภัยกว่า เพราะเราก็รู้อยู่ว่า ที่เขาพูดเขาหมายเอาว่าต้องการตัวธรรมะที่บริสุทธิ์ไปเลย แล้วจำไว้ว่า ธรรมะบริสุทธิ์นั้นเหมือนกระดูกทั้งแท่ง แทะกันไม่เข้าหรอก ต้องใส่เนื้อใส่น้ำบ้าง ตัวคนพูดเองก็ไม่ได้ต้องการอย่างนั้นหรอก

    เพราะฉะนั้น..ท่านทั้งหลายเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็คือดีแต่ติคนอื่น ปราศจากการเตือนตัวเอง กล่าวโทษโจทย์ตัวเองไม่เป็น รู้จักแต่ว่าคนอื่นเขา รังแต่จะสร้างโทษให้แก่ตนเองมากขึ้น ถ้าสิ่งเหล่านั้นไม่ดีจริง พระพุทธเจ้าท่านคงไม่สั่งให้พระอานนท์ทำ ในรัตนสูตร บทนั้นท่านให้เอาไว้ทำน้ำมนต์ โดยเฉพาะที่ขึ้น “ยานีธะภูตานิ สมาคะตานิฯ” เพราะ ว่าตอนนั้นเมืองไพสาลีเกิดโรคระบาดขึ้น จึงทูลเชิญพระพุทธเจ้าไปแก้ไข พระพุทธเจ้าให้พระอานนท์ไปทำน้ำมนต์ไปพรม พวกอมนุษย์ต่าง ๆ หนีกันชนิดที่กำแพงเมืองพังไปแถบเลย

    ถ้าไม่มีผลจริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านไม่สั่งให้ทำหรอก ทีนี้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นศึกษาไม่ครบยังไม่พอ ใจคอยังคับแคบอีกต่างหาก เจออะไรที่ไม่ตรงกับกิเลสตัวเองก็ตำหนิเอาไว้ก่อน นี่ใช้คำพูดหนักไปไหม ?


    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ


    ����������������ʵ�� ?!? - ��дҹʹ����Ѵ��Ң�ع
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2016
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้า เป็นผู้สั่งให้พระอานนท์ เป็นผู้ทำน้ำมนต์ไปพรมที่เมืองไพสาลี
    แล้วจะบอกว่าการทำน้ำมนต์ เป็นเดรัจฉานวิชาได้อย่างไร?
     
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ถาม : การที่มีคนกล่าวว่าการประพรมน้ำพระพุทธมนต์เป็นเรื่องของไสยศาสตร์ เป็นความเชื่อที่ไม่มีเหตุผล ถือเป็นการปรามาสคุณของพระพุทธเจ้าหรือไม่ ? ถ้าตกนรกจะลงไปอเวจีมหานรกหรือไม่ ?


    ตอบ : ไม่ต้องห่วง..! จริง ๆ แล้วที่โบราณใช้คำว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” นั่นชัดเลย เพราะว่าบางสิ่งบางอย่างโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีคุณอนันต์แล้วก็โทษมหันต์ แตะผิดข้างก็เหมือนกับมีด ไปแตะด้านคมเข้าก็มีหวังมือขาด..!


    .
     
  4. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    เคยอ่านเจอ.. แต่จำรายละเอียดไม่ได้ จะยาวหน่อย ที่ต้องทำเช่นนั้นเพราะเมืองนั้น กำลังมีโรคระบาด ต้องลองหาเรื่องประวัติการทำน้ำมนต์จากGoogle

    ..........

    น้ำมนต์พระพุทธเจ้า (ตอนแรก) เทศนาโดย พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

    ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย และบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย วันนี้ก็จะมาคุยกันถึงเรื่อง น้ำมนต์ของพระพุทธเจ้า แต่ความจริงร่างกายผมมันก็แย่ วันนี้เป็นวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2527 ความจริงหยุดบันทึกเสียงมานาน ร่างกายไม่ดีแล้ว แถมวันนี้มันก็ยังไม่ดี ไม่ดีตลอดมา ก็เลยรำคาญร่างกาย แต่ว่าเสมหะมันก็มาก เป็นไข้ก็เป็น ก็ช่างมัน คอยมานานงานไม่มีผล ร่างกายไม่ดีก็เลยวันนี้แกล้งใช้ให้มันตายไปเสียเลย ในเมื่อมันไม่ดีก็ไม่รู้จะคบมันไว้ทำไม เรื่องน้ำมนต์ของพระพุทธเจ้านี่เป็นอย่างนี้ เพราะเวลานี้ได้ยินข่าวเขาบอกว่ามีพระบางวัด แต่ว่าในวัดนั้นจะเป็นทุกองค์รึเปล่าผมก็ไม่ทราบ เวลาที่ญาติโยมพุทธบริษัทไปหา เขาบอกไปงานศพ ออกมาพูด 2 องค์ 3 องค์ ก็โจมตีเรื่องเชื่อน้ำมันน้ำมนต์เป็นต้น ผมว่าพระเราทำอย่างนั้นมันก็ไม่ถูก ต้องศึกษากำลังใจคนเสียก่อน กำลังใจของคนน่ะ อยู่ระดับไหน แล้วก็ น้ำมนต์นี่มันไร้ผลหรือเปล่า ไอ้ที่เขามีผล มันก็มี ที่ทำให้เลอะเทอะไร้ผลก็มี ก็รวมความว่า คนติ น้ำมนต์ก็ถือว่าเป็นคนที่มีความไม่รอบคอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ติคน นินทาคน กล่าวร้ายป้ายสีคน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า ผู้นั้นยังไม่เข้าถึงสะเก็ดความดีของพระองค์ ที่พระองค์ทรงสั่งสอน เพราะเป็นอุปกิเลส

    ฉะนั้นขอบรรดาท่านทั้งหลายที่ฟังอยู่ที่นี่เลิกนินทาคนเสีย ถ้าเราจะนินทาคนมากเพียงเไร เราก็เลวมากเพียงนั้น ถ้าเราเลิกนินทาคนเราก็เป็นคนดี เพราะคนนินทาคนไม่ใช่คนดี เป็นคนเลว เป็นคนคบกิเลส คือความเศร้าหมองของจิต ก็รวมความว่าอารมณ์จิตชั่วนั่นเอง

    ผมจะนำเรื่องน้ำมนต์ของพระพุทธเจ้ามาเล่าสู่ท่านฟังใน พระธรรมบทภาคที่ 7 ท่านกล่าวว่า เป็น บุพกรรมของพระองค์ ไอ้เรื่องบุพกรรมของพระพุทธเจ้านี่ พระพุทธเจ้าทรงสั่งให้พระอานนท์ ทำน้ำมนต์ จะได้รู้กัน การทำน้ำมนต์ พระพุทธเจ้าก็ทรงสั่งให้พระอานนท์ทำ แล้วพระอานนท์เป็น พุทธอนุชาด้วย เป็นน้องชายแล้วก็เป็น พุทธอุปัฎฐาก เป็นพระอุปถัมภ์ เหมือนกับเงาตามตัวของ พระพุทธเจ้า ถ้าน้ำมนต์ไม่ดี ถ้าพระอานทท์ ไปทำเข้า พระพุทธเจ้าต้องเล่นงานแน่ แต่ทว่าในเรื่องนี้ คาถาทำน้ำมนต์ พระพุทธเจ้าให้พระอานนท์ บอกให้พระอานนท์ศึกษา เมื่อพระอานนท์เรียนไปแล้วก็ไปทำน้ำมนต์ ก็เป็นอันว่า คนที่ด่าคนทำน้ำมนต์ ก็ถือว่าคนนั้นด่าพระพุทธเจ้าด้วย คนที่ด่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ใช่สาวกของพระองค์ คำว่าสาวกหมายถึง ผู้รับฟัง คือคนที่ไม่ใช่คนของ พระพุทธเจ้านั่นเอง ถือว่าเป็นคนของเดียรถีย์

    วันนี้ผมอาจจะพูดแรงไปนิดหนึ่ง ก็ต้องขออภัย พูดให้พวกเราสู่กันฟังเรื่องของภายใน อย่าสุ่มสี่สุ่มห้า พูดส่งเดชไปมันจะลงนรก ท่านที่ปฎิบัติพระกรรมฐานได้แล้วไปดูเสียบ้างว่า คนที่พูดไม่ดูหนือ ดูใต้ประเภทนี้ เขาไปอยู่ขุมไหนกัน

    เนื้อความก็มีอยู่ว่า สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภบุพกรรมของพระองค์เอง จึงได้ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า มัตตาสุข ปริจจาคา เป็นต้น เนื้อความก็มีอยู่ว่า ในสมัยหนึ่งใน เมืองไพสาลี ซึ่งมีอาณาจักรติดต่อกับเมืองของ กรุงราชคฤห์มหานคร เวลานั้น เมืองไพสาลีเกิดโรคร้ายเกิดขึ้น โรคอันดับแรกก็คือ ความแล้ง ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล แล้วก็เกิดโรค คนก็อด โรคก็มาก ร้อนก็ร้อน ความจริง เมืองไพสาลี กับ เมืองราชคฤห์ นี่อยู่ใกล้กัน เขตนี้ถ้าร้อนก็ร้อนน่าดู อย่างพวกเรา ๆ ผมไปมาแล้วทนเกือบไม่ไหว ก็เป็นอันว่าคนก็เจ็บป่วยตายกันเป็นแถว ๆ

    อันดับแรกโรคก็เกิดก่อน ไอ้ความไข้มีเข้ามา ร่างกายทรุดโทรม อากาศไม่ดี โรคอื่น เข้ามาแทรก หนัก ๆ เข้าอหิวาตกโรคก็มา เมื่ออหิวาตกโรคนี่ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท อหินี่ก็แปลว่า งู วาตะนี่ก็แปลว่า ลม ไอ้โรคะก็แปลว่า การเสียดแทง อาการเสียดแทงที่เกิดจากลม ลมนี่มีพิษเหมือนงู เขาว่าอย่างนั้น คือเป็นแล้วมันตายเร็ว จำไว้ด้วยนะ คำว่าอหิวาตกโรคนี่ก็แปลว่า โรคหรืออาการ เสียดแทงที่มาจากลม ลมที่มีพิษเหมือนงู ฉะนั้นคนที่เป็นโรคอหิวาต์ตายเร็ว เหมือนกับถูกพิษงูกัน เวลานั้นการแพทย์ก็ดี แต่ทว่ามันก็ไม่ทัน ถึงวาระที่คนจะตาย ก็ตายกันเกลื่อนกลาด เมื่ออหิวาตกโรคมาตายกันเกลื่อน ฝังก็ไม่ค่อยจะทัน ทิ้งศพหมักหมมกัน โรคอื่นก็เข้ามาแทรก พวกอมนุษย์คือพวกอสุรกายบ้าง พวกเปรตบ้าง พวกอะไรบ้างก็เข้ามายื้อแย่งศพกิน ก็หมักหมมกันมาก คนตายหนัก

    อาการตาย เมื่อมากเข้าอย่างนั้นจริง ๆ บรรดาชาวบ้านเขาก็โทษพระราชา ความจริงพระราชานี่ เป็นกระโถนท้องพระโรงจริง ๆ ท่านก็อยู่เฉย ๆ ท่านก็ทำความดีทุกอย่าง แต่ว่าชาวบ้านก็โทษว่า เจ็ดรัชกาลมาแล้ว ไม่เคยมีโรคอย่างนี้เลย แต่มารัชกาลนี้เป็นรัชกาลที่ 8 นี่ หมายความ ความจริงเขาสืบ เขาปกครองราชสมบัติเป็นพระราชามาถึง 7,000 องค์กระมัง มันมากด้วยกันนะ ผมก็ไม่รู้กี่องค์ ขี้เกียจจำ นับว่าเป็นพัน ๆ องค์ ในเมืองนี้เขาไม่มีการปฎิวัติรัฐประาหาร บ้านเมืองก็มีความสุข แต่ว่าคนเขาทราบว่า สมัยตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึง 7 ในช่วงหลังนี้ไม่เคยมีโรคร้ายแบบนี้ แต่ว่าพอรัชกาลที่ 8 เข้ามา โรคหนักจริง ๆ เขาก็เลยโทษพระราชาว่าพระราชาไม่ทรงธรรม

    พระราชาท่านก็ดีแสนดี จึงประชุมอำมาตย์ข้าราชบริพาร ปุโรหิต คนที่มีความรู้ต่าง ๆ ให้ สอบสวน สืบสวนความประพฤคิของพระองค์ว่า ความประพฤติของพระองค์นี่มันไม่ดีตรงไหนบ้าง บกพร่องตรงไหนบ้าง ขอให้ชี้แจงออกมา ถ้ามีอะไรไม่ดีก็ทรงยอมรับผิด บรรดาประชาชนทั้งหลายเหล่านั้นก็พิจารณากันแล้ว เห็นว่าพระองค์ทรงทำดีทุกอย่าง อยู่ในศีลในธรรมทุกอย่าง แต่พอเวลานั้นโรคเกิด 3 รายการ คือ

    1. ภัยเกิดจากอาหาร อาหารนี่หาได้ยาก มันจนแล้วไม่มีอะไรจะกินเหมือนกับปี 2521 ของเรา
    2. ภัยเกิดจากพวกอมุษย์ คือพวกผี พวกเปรต พวกอสุรกาย
    3. แล้วภัยมันเกิดขึ้นจากโรค โรคมันเกิดขึ้นจากอากาศไม่ดี

    ในเมื่อทุกคนเห็นว่าพระราชาดี ก็กราบทูลให้ทรงทราบว่า ความผิดของพระองค์ไม่มีพระเจ้าค่ะ พระองค์จึงได้ปรึกษาว่า ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรดี เอาอย่างไรกันแน่ โรคจึงจะบรรเทา บรรดาลูกศิษย์ของอาจารย์ทั้งหกของเดียรถีย์ก็บอกว่า ถ้าไปนำอาจารย์ทั้ง 6 มา อาจารย์ทั้ง 6 มีฤทธิ์มาก มีบุญญา ธิการมาก โรคอย่างนี้จะหาย

    แต่ทว่าในเวลานั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลกใหม่ ๆ ก็นั่นหมายความว่า ใหม่เอี่ยมเลย เข้าไปอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร เห็นว่าจะประมาณ 1 ปี เห็นจะไม่ครบปี เป็นเวลาจวนที่จะเข้าพรรษา นั่นหมายความว่าถึงปีที่ 2 บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เข้ามาเป็นปีที่ 2 ก็มีคนที่ทราบข่าวพระพุทธเจ้าว่า เวลานี้พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก ขอให้ไปนิมนต์พระพุทธเจ้ามาที่นี่ โรคภัยไข้เจ็บมันจะหาย ภัยอันตายต่าง ๆ จะหมดไป ในที่ประชุมลงมติเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าเห็นด้วย อาจารย์ทั้ง 6 มีมานานแล้ว โรคมันก็มี แต่ว่าสมเด็จพระชินศรี คือพระพุทธเจ้าเราใฝ่ฝันกันมานาน ใคร ๆ ก็พูดถึงพระพุทธเจ้า แต่ไม่เคยได้พบพระพุทธเจ้าจริง ๆ สักที เวลานี้พบพระพุทธเจ้าจริง

    ขณะที่ปรึกษากันอยู่นั้นก็มี เจ้าลิจฉวี องค์หนึ่ง ท่านประทับอยู่ด้วย พระเจ้าลิจฉวี องค์นี้ไปฟังเทศน์ของพระพุทธเจ้าพร้อมกับพระเจ้าพิมพิสาร ในวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้ามากรุงราชคฤห์เป็นครั้งแรก แล้วเวลานั้น พระเจ้าพิมพิสาร กับบรรดาพุทธบริษัท เป็นพระโสดาบันกันเป็นแถว ๆ พระเจ้าลิจฉวีองค์นี้ก็เป็นพระโสดาบันด้วย ในเมื่อเขาพูดถึงพระพุทธเจ้า ท่านก็ทรงยืนยันว่า พระพุทธเจ้ามีความดีจริง ถ้าพระพุทธเจ้ามาในที่นี้ โรคภัยมันจะหายไป ความจริงโรคร้ายที่เบียดเบียน ร่างกายมันเป็นของธรรมดา มันเป็นโรคมาใหม่ แต่โรคร้ายที่สุดที่ประจำใจ คือความเลวของจิตมันจะหายไปด้วย ทุกคนก็ตัดสินใจว่า ถ้าอย่างนั้นต้องให้ พระเจ้าลิจฉวีองค์นี้กับลูกชายของปุโรหิตไปนิมนต์พระพุทธเจ้าที่ กรุงราชคฤห์มหานคร

    เมื่อท่านรับอนุมัติก็ทรงไปเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร ความจริงท่านเป็นเพื่อนกัน เอาเครื่องบรรณาการไปมอบให้แก่พระเจ้าพิมพิสาร ไปถวายอีก ทั้งบอกว่ามีความต้องการอยากจะได้พระพุทธเจ้าไปสงเคราะห์ที่ เมืองไพสาลี เพราะเวลานี้คนตายกันมาก ทับถม ฝังก็ไม่ทัน เผาก็ไม่ทัน มันตายกันเป็นเบือ แหม! ไอ้โรคตาย ๆ อย่างนี้นี่ครับ ผมเคยเจอะมาหลายสมัยในชีวิตผม มันน่ากลัวจริง ๆ บางทีคนเขามาเอาโลงที่วัด ไอ้คนเอาโลงจะไปใส่ศพ ไม่ทันจะเอาโลงไป เขามาส่งข่าวตายอีกแล้ว วันหนึ่งตาย 4-5 คน เฉพาะในเขตนั้นทำอย่างนี้ พระในวัดหนาวกันเป็นแถว ๆ นี่แหละครับ อย่าประมาท จะบอกสมัยไหนหมอเก่งนั่นน่ะสมัยนั้นหมอเก่ง ๆ โรคฉะหมอตายเป็นแถว ๆ

    รวมความว่า พระเจ้าพิมพิสาร ก็บอกว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ในอำนาจของกระผม ผมเองก็เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า พูดภาษาไทย ๆ นะ พระพุทธเจ้าจะเสด็จไปหรือไม่เสด็จไปเป็นเรื่องของท่านที่จะต้องเข้าไปกราบทูลเอง จะเอาเครื่องบรรณาการ เครื่องกำนัลอะไรก็ตาม เครื่องกำนัลเครื่องผู้ใหญ่บ้านมาให้น่ะ ผมรับไม่ได้ ทางที่ดีก็ไปนิมนต์เอง ดังนั้นพระเจ้าลิจฉวี กับลูกชายของปุโรหิตก็ไปกราบทูลองค์สมเด็จพระบรมศาสดาให้ทรงทราบ (นี่มันยังไม่สบาย ลิ้นมันไม่เป็นเรื่อง ที่มันไม่สบายมากกว่านี้ ก็พูดไปอย่างนั้นนะ มันอยากไม่สบาย พูดให้มันตายไปซะเลย ถ้าตายในธรรมก็ไม่เป็นไร)

    พระพุทธเจ้าทรงทราบ พิจารณาดูตามด้วยอำนาจพุทธญาณก็ทรงทราบว่า ถ้าตถาคตไปที่นั่น ถ้าเราไปที่นั่น นึกในใจนะ ไปถึงแล้วฝนจะตกหนัก จะชะสิ่งโสโครกทั้งหมดให้ไหลลง แม่น้ำคงคา ความสะอาดของพื้นที่จะเกิดขึ้น หนึ่ง โรคจะบางเพราะความสกปรกก็เริ่มหายไป แล้วก็ประการที่ 2 ถ้าเราแสดงพระธรรมเทศนา รัตนสูตร ยานีธ ภูตานิ (ในเจ็ดตำนาน) ผลจะเกิดมหันต์ เป็นมหันต์ให้คนเข้าถึงพระไตรสรณคมน์ อยู่ในศีลห้า ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ จะมีความสุขกัน คือ ไม่เบียดเบียนกันโดย ทางกาย ไม่ฆ่ากันบ้าง ไม่เบียดเบียน ไม่ทำร้ายร่างกายกันบ้าง ไม่ลักไม่ขโมยกัน ไม่แย่งคนรักกัน ไม่โกหกมดเท็จ ไม่พูดส่อ ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด เพ้อเจ้อเหลวไหล ไม่นินทาชาวบ้าน แล้วก็ ไม่เมาเกินไป อันนี้โลก เมืองไพสาลี จะมีความสุขขึ้นกว่าเดิม แต่ว่าจะให้หมดไปทีเดียวไม่ได้ เพราะความเลวของคนมันมีอยู่ ดูแต่สมัยนี้เถอะ อย่าว่าแต่คนนุ่งกางเกงเลย คนนุ่งสบงมันยังเลว

    เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยอำนาจพุทธญาณ ก็ทรงรับว่าตถาคตจะไป ต่อมาเมื่อ พระเจ้า พิมพิสาร ทรงทราบ ก็เข้าไปกราบทูลถามองคฺสมเด็จพระจอมไตรว่า จะเสด็จไปเมืองไพสาลี หรือ พระพุทธเจ้าข้า พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าไป ตถาคตจะไปสงเคราะห์ แต่ว่าจะไปไม่นาน จะต้องกลับมาเข้าพรรษาที่พระเวฬุวัน เวลานี้ก็เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน 10 วันกว่า ๆ จะเข้าพรรษา พระเจ้าพิมพิสาร ได้กลาบทูลว่า ก่อนที่พระองค์เสด็จไป รอข้าพระพุทธเจ้าก่อน ขอให้ปรับพื้นที่ให้ดีเสียก่อน พื้นที่ยังไม่ ราบเรียบ จึงได้ทรงสั่งให้พนักงานปรับพื้นที่ให้เรียบเดินสะดวก ๆ สำหรับพระพุทธเจ้ากับบรรดา พระสงฆ์ 500 รูป ระยะทางสิ้นทางไกล 5 โยชน์ แล้วก็จัดดอกไม้ 5 สี โปรยปรายด้วยทุกทางสูง แค่เข่า เป็นการบูชาพระพุทธเจ้า เมื่อเสร็จแล้วก็กราบทูลให้เสด็จพระพุทธดำเนิน

    เวลานั้นเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จ จะเอาร่มเอาฉัตร 2 ชั้นกั้นให้พระพุทธเจ้า ฉัตรชั้นเดียวกั้นให้ พระสงฆ์ 500 รูป คือ 1 รูป 1 องค์ ต่อฉัตร 1 คัน ก็หลังจากนั้นไปถึงแม่น้ำแล้วต้องข้ามฟาก ก็เอาเรือ 2 ลำเข้ามาเทียบกัน ทำเป็นเรือกัญญา ประดับประดาสวยสดงดงาม เวลาที่เรือถอยออกไป สำหรับพระพุทธเจ้าเรือพระพุทธเจ้าเรือต้องใช้มาก 500 องค์ แต่เรือของพระพุทธเจ้านี่ประดับประดาสวยงาม

    พระเจ้าพิมพิสารไปส่งเรือถึงน้ำแค่คอ เรือถอยออกไป ท่านก็เดินตามเรือไป มือพนมไป ไหว้พระพุทธเจ้าลงทั้งเครื่องทรง ไม่ใช่มีแต่ผ้าขาวม้า น้ำแค่คอ ก็กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ถ้าพระองค์ยังไม่เสด็จกลับเพียงใด ข้าพระพุทธเจ้าก็จะคอยพระองค์อยู่ที่นี่จนกว่าจะเสด็จกลับ

    พระพุทธเจ้าก็ทรงเสด็จไปทางเรือ ซึ่งระยะทาง 3 โยชน์ แล้วก็จึงขึ้นฝั่ง ที่ฝั่งโน้นก็เหมือนกัน เมื่อทราบข่าวว่า พระเจ้าพิมพิสาร ทำอย่างนั้น พระราชาเมืองไพสาลี ก็ลงมารับแค่คอเหมือนกัน น้ำแค่คอเหมือนกัน จัดที่ให้เรียบเป็นระยะทาง 3 โยชน์ ถึงเมืองแล้วก็เอาดอกไม้โปรยปรายเช่นเดียวกัน แต่ว่าทางโน้นจัดหนักของพระพุทธเจ้า ฝั่งนี้จัดฉัตร 2 ชั้น ฝั่งโน้นจัดฉัตร 4 ชั้นรับพระพุทธเจ้า ฝั่งพระเจ้าพิมพิสาร จัดฉัตร 1 ชั้น กั้นให้แก่บรรดาพระสงฆ์ ฉัตรคือร่ม ฉัตรแปลว่าร่ม แต่ฝั่งโน้นเอาร่ม 2 ชั้น ฝั่งนี้เอาร่ม 1 ชั้น ทำให้เกินกัน

    พอพระพุทธเจ้าทรงเหยียบพื้นดินฝั่งโน้นของเมืองไพสาลี มหาเมฆใหญ่ตั้งขึ้น ฝนตกหนักไม่ลืมหูลืมตานับเป็นชั่วโมง ๆ นาบางแห่งน้ำท่วมแค่เข่าบ้าง บางแห่งน้ำท่วมแค่อก น้ำก็พัดพาเอาสิ่งโสโครกต่าง ๆ ลงในแม่น้ำคงคา ทำให้บ้านเมืองสะอาดขึ้นมาเยอะ และไอ้สิ่งปฎิกูลพวกซากศพทั้งหลายเหล่านั้น ก็หล่นไหลลงมาในแม่น้ำลำคลองหมด ส่วนเลอะเทอะต่าง ๆ ก็มาตามพื้นดินสะอาด ความ ชุ่มชื่นก็ปรากฎ คนก็เริ่มมีความสบายเพราะฝนไม่ตกนาน

    ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารเสด็จเข้าไปในเขตเมืองไพสาลี เข้าไปในเขตพระราชฐาน แล้วองค์สมเด็จพระทีปแก้วก็ทรงเรียก พระอานนท์ ว่าอานันทะ ดูกร อานนท์ จงมานี่ เธอจงไปเรียน รัตนสูตร รัตนสูตร คือบท ยานีธ ภูตานิ เรียน รัตนสูตร ไป แล้วก็ไปเดินไปบริกรรมรอบ ๆ เขตของ เมืองไพสาลี ทั้ง 4 ทิศ

    พระอานนท์ เรียน รัตนสูตร แล้ว หลังจากนั้นก็เอาบาตรขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว เอาบาตรของพระพุทธเจ้าใส่น้ำเห็นไหม เริ่มทำน้ำมนต์ วิธีทำน้ำมนต์ของพระอานนท์ก็คือ


    1. อาราธนาบารมีของพระพุทธเจ้า 30 ทัศ คือบารมีปกติที่เรียกว่าบารมีเฉย ๆ 10 ทัศ อุปบารมี 10 ทัศ ปรมัตถบารมี 10 ทัศ แล้วก็
    2. มหาความดีของพระพุทธเจ้าอีกอันหนึ่ง คือ มหาบริจาค * 5 ประการ แล้วก็
    3. จริยา 3 ประการ คือโลกัตถจริยา ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงประพฤติให้เป็นประโยชน์แก่โลก ญาตัตถจริยา ที่พระ พุทธเจ้าทรงประพฤติให้เป็นประโยชน์แก่พระญาติ พุทธัตจริยา ทรงประพฤติให้เป็นประโยชน์ในฐานะที่เป็นพระพุทธเจ้า คือสอนคนให้บรรลุมรรคผล แล้วก็
    4. อาราธนาความดีขององค์สมเด็จพระชินศรี ในการก้าวลงสู่พระครรภ์ในภพที่สุด คือชาติ สุดท้าย แล้วการความดีของการประสูติ ความดีในการเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ของพระพุทธเจ้า แม้พระพุทธเจ้าทรงทำความเพียรถึง 6 ปี ต่อมาความดีของพระองค์ บารมีช่วยให้ขณะที่ ตลอดจนอาราธนาความดีที่แทงตลอด สัพพัญญุตญาณ เหนือโพธิบัลลังก์เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ การยังธรรมจักรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ธรรมจักร ให้เป็นไปกับปัญจวัคคีย์ฤาษี ทั้ง 5 ให้เป็นไปในโลก
    * มหาบริจาค การสละอย่างใหญ่ของพระโพธิสัตว์ 5 อย่างคือ
    1. ธนบริจาค สละทรัพย์สมบัติเป็นทาน
    2. อังคบริจาค สละอวัยวะเป็นทาน
    3. ชีวิตบริจาค สละชีวิตเป็นทาน
    4. บุตรบริจาค สละลูกเป็นทาน
    5. ทารบริจาค สละเมียเป็นทาน
    5. แล้วก็อาราธนา โลกุตตรธรรม 9 ประการ คือ มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 ได้แก่ โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตมรรค พระโสดาปัตติผล พระสกิทาคามิผล พระอนาคามิผล พระอรหัตผล แล้วก็นิพพาน อีก 1 เป็น 9

    หลังจากอาราธนาบารมีทั้งหมดเสร็จ พระอานนท์ก็เข้าไปยังเขตของเมืองในพระนคร เที่ยวทำ พระปริต คือสวด ยานีธ ภูตานิ เรื่อยไปในกำแพงทั้ง 3 ด้าน คือเดินกำแพง 3 ด้าน ตลอด 3 ยาม ในราตรีนั้น เดินไปเดินมาก็สวด รัตนสูตร ยานีธ ภูมินิ สมาคตนิ ภุมมานิ วา ยานิว อันตลิกเข ท่านรู้ แต่ท่านบอกว่า เมื่อพระอานนท์ใช้ศัพท์คำว่า ยังกิญจิ เท่านั้นล่ะ เป็นต้น เป็นอันว่าพระเถระกล่าวเท่านั้น น้ำที่สาดท่านก็สาดน้ำไปด้วยน้ำมนต์ อย่าลืมนะ ทำน้ำมนต์น่ะบทนี้นะ เมื่อสาดน้ำขึ้นไปเบื้องบน น้ำขึ้นไปลอยเบื้องบนตกลงมากระหม่อม กระหม่อมของอมนุษย์ทั้งหลายคือเปรต อสุรกาย เป็นต้น พวกนั้นทนไม่ไหว วิ่งกันพล่านไปหมด จำเดิมแต่การกล่าวคาถา ยานีธ ภูตานิ เป็นต้น หยาดน้ำเป็นราวกับว่า เทริดเงิน คือชฎาพุ่งขึ้นไปในอากาศ แล้วตกลงมาเบื้องบน ตกลงมาบนหัวของบรรดามนุษย์ ทั้งหลายผู้ป่วย บรรดาคนป่วยทั้งหลาย หายโรคทันทีทันใด นั้นเองเห็นไหมล่ะ แล้วก็ลุกขึ้นแวดล้อมพระเถระ

    หนังสือท่านว่าอย่างนี้นะ ท่านบอกจำเดิมแต่บทว่า ยังกิญจิ เป็นต้น อันพระเถระกล่าวแล้ว บรรดาอมนุษย์คือพวกเปรต อสุรกาย สัมภเวสีทั้งหลาย ถูกเมล็ดน้ำกระทบแล้วทนไม่ไหว รีบวิ่งกันหนีกันพล่านไปก่อน คนที่อาศัยที่กองหยากเยื่อก็ดี ส่วนแห่งฝาเรือนเป็นต้นก็ดี ก็หนี หนีไปแล้วโดยประตู ออกประตูนั้นบ้าง ประตูนี้บ้าง เท่าที่มีประตู ท่านบอกบรรดาประตูทั้งหลายไม่มีช่องว่างเลย พวกนี้มันดันกันหมด เบียดกันออกไป บรรดาอมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อไม่ได้โอกาสก็ทำลายกำแพงหนีไป มหาชนประพรมท้องพระโรงในท่ามกลางแห่งพระนคร ด้วยของหอมต่าง ๆ แล้วก็ผูกผ้าเพดานอันวิจิตรนั้นด้วยดาวทอง เป็นต้น ตกแต่งพุทธอาสน์นำเสด็จสมเด็จพระบรมโลกนาถเสด็จเข้าไป

    แหม! วันนี้ไม่ทันจะถึงไหนเลย นาฬิกากริ๊งซะก่อนแล้ว ไม่พูดอะไรกัน เวลามันหมดแล้ว ก็ขอบอกว่าเรื่องน้ำมนต์ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลถ้าทำถูก. ๚ะ

    สามารถค้น ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่

    จากพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
    ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
     
  5. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    สามารถค้น ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่

    จากพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
    ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
    �����ûԮ�������� �� - ����ص�ѹ��Ԯ�������� ��

    รายละเอียดมีมาใน อรรถกถารัตนสูตร ในขุททกปาฐะ
    ��ö��� �ط���ԡ�� �ط���Ұ� �ѵ��ٵ�㹢ط���Ұ� ˹�ҵ�ҧ��� � �� �

    ขอบคุณ น้ำมนต์พระพุทธเจ้า (ตอนแรก)
     
  6. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    คนที่ด่าคนทำน้ำมนต์ ก็ถือว่าคนนั้นด่าพระพุทธเจ้าด้วย คนที่ด่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ใช่สาวกของพระองค์ คำว่าสาวกหมายถึง ผู้รับฟัง คือคนที่ไม่ใช่คนของ พระพุทธเจ้านั่นเอง ถือว่าเป็นคนของเดียรถีย์
     
  7. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    มีคนจำนวนหนึ่งไม่มากนัก แต่มักจะเป็นนักวิชาการมีชื่อเสียง เขาจะเน้นเอาธรรมะบริสุทธิ์อย่างเดียว ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าบุคคลมี ๔ ประเภท มีอุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู เนยยะ และปทปรมะ ถ้าไปเอาประเภทธรรมะบริสุทธิ์อย่างเดียวเนยยะก็ตาย ศาสนาก็ไปไม่ได้

    อย่างศาสนาของเรา นักวิชาการสร้างแผนภาพเป็นรูปสามเหลี่ยมปิรามิด ฐานล่างสุดมีขนาดใหญ่ ก็คือพวกที่ยังติดพิธีกรรม ในช่วงกลางก็เป็นพวกที่เริ่มเข้าหาศีล สมาธิ ในช่วงปลายเป็นพวกที่ปฏิบัติครบในไตรสิกขา ก็คือมีปัญญาร่วมด้วย ก็แปลว่าขึ้นไปก็เหลือนิดเดียว คราวนี้ในส่วนที่ว่ามา เคยบอกไว้หลายครั้งแล้วว่า ต่อให้คนพูดเอง เอาธรรมะบริสุทธิ์ไปให้ล้วน ๆ ก็ไม่ทำหรอก แต่มักจะแสดงความเห็นให้ดูเก๋ เท่ ฉลาด

    ถ้าเราไปดูบาหลีซึ่งเป็นเกาะเล็ก ๆ ของอินโดนีเซีย ประเทศอินโดนีเซียเป็นประเทศอิสลามที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีประชากรอิสลามมากที่สุดในโลกถึง ๒๕๐ กว่าล้านคน บาหลีเป็นเกาะเล็ก ๆ นิดเดียว แต่เป็นฮินดู และความเป็นฮินดูเหนียวแน่นชนิดอิสลามแทรกไม่เข้า วันหนึ่ง ๆ มีการบวงสรวงบูชาพระเจ้า ๔ - ๕ รอบ เช้ายันค่ำ ต้องมานั่งเตรียมเครื่องบูชาไปถวายที่เทวาลัย กลับมาทำงานหน่อยหนึ่ง เดี๋ยวก็ไปต่ออีกรอบแล้ว หากเป็นงานเทศกาล วันเกิดของเทพเจ้าองค์นั้น วันฉลองของเทพเจ้าองค์นี้ ก็แทบไม่ต้องทำมาหากิน ไปกันทั้งวันเลย

    นั่นพิธีกรรมล้วน ๆ แต่ทำไมพิธีกรรมเขาถึงได้เหนียวแน่นจนอิสลามแทรกไม่เข้า ? เป็นเรื่องที่น่าคิด เพราะว่าเขาใช้พิธีกรรมทำจนกระทั่งเป็นฌานไปแล้ว เป็นอนุสติ คือระลึกถึงเทพเจ้าของเขา นึกถึงเทวดาที่เขาเคารพ

    แบบเดียวกับอิสลาม อิสลามที่เคร่งครัดทำละหมาดวันละ ๕ ครั้ง การที่เขาทำละหมาดวันละ ๕ ครั้ง ก็คือหลักปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา เน้นตรงตัวสมาธิ ดังนั้นบรรดาอิสลามที่เคร่งครัด เขาถึงยึดพระเจ้าของเขาอย่างเหนียวแน่นสุดชีวิต เพราะเขาสร้างสมาธิจากการละหมาด ถ้าไม่มีตัวนี้อยู่ ไม่สามารถที่จะรักษาอิสลามิกชนเอาไว้ได้ เพราะว่าไม่มีอะไรหล่อเลี้ยงจิตใจเขา

    ดังนั้น..จะเห็นว่าในเรื่องของพิธีกรรมจริง ๆ ถ้าทำถูก ทำเป็น แล้วทำแบบจริง ๆ จัง ๆ ต้องบอกว่าเป็นส่วนในการค้ำจุนพระศาสนาที่สำคัญ ต้นไม้ต้นหนึ่ง เราจะเอาแก่นอย่างเดียว ต้นไม้อยู่ไม่ได้หรอก..ตายแน่ ต้องมีกระพี้ด้วย ต้องมีเปลือกด้วย นักวิชาการส่วนใหญ่จะเป็นนักวิชาเกิน อะไรที่ยากแล้วดูดีก็พยายามที่จะพูด"


    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๗

     
  8. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    "พุทธศาสนาของเรา ถ้าเอาพิธีกรรมที่เห็น ๆ คือใส่บาตรตอนเช้า ถ้าเราสามารถใส่บาตรได้ทุกเช้า ถึงเวลาเกิดความรู้สึกขาดไม่ได้ แสดงว่าการให้ทานของเราควบกับศีลไปในตัว เพราะว่าตอนเราใส่บาตรเราไม่ได้ล่วงศีลแม้แต่สิกขาบทเดียว จึงก่อให้เกิดสมาธิ เท่ากับว่าสามารถสร้างฌานสมาบัติจากพื้นฐานของทาน หลังจากนั้นเราจะไปต่อยอดอย่างไรก็ขึ้นอยู่ที่เราจะพิจารณา

    หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนว่า ถ้าไม่มีโอกาสใส่บาตรก็ให้ถวายข้าวพระทุกวัน แล้วก็จะมีพวกนักวิชาเกินคอยเที่ยวมาไล่งับ ไล่กัด ไล่ตำหนิชาวบ้าน บอกว่าไม่ใช่คำสอนของพุทธศาสนา ไม่มีในพระไตรปิฎก จะเรียกพวกนี้ว่าอย่างไร ? ปทปรมะ ก็ดูจะยกย่องเกินไป ต้องเรียกว่ามิจฉาทิฐิ

    ปทปรมะเป็นคนฉลาด ฉลาดมาก ๆ เลย แต่ฉลาดแบบไม่รับความคิดคนอื่น จึงเข้าถึงธรรมไม่ได้ แต่มิจฉาทิฐิไม่เอาใครไม่พอ หลงทางอีกต่างหาก แล้วท่านทั้งหลายเหล่านี้ ให้ปฏิบัติธรรมก็ไม่เอาหรอก กูอ่านพระไตรปิฎกอย่างเดียว แล้วมาวิเคราะห์ว่าพระไตรปิฎกมาจารึกขึ้นหลังพุทธกาลล่วงมาแล้วตั้ง ๓๐๐ - ๔๐๐ ปี ต้องมีการแต่งเติมขึ้นมาเพื่อสรรเสริญคุณศาสดาของตน ว่าให้ชุ่ยไปหมด อ่าน ๆ ไปแล้วก็สงสารเขา ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน กว่าจะรู้ตัวก็ตอนตายแล้ว ซึ่งแก้ไขอะไรไม่ทัน

    เขาโจมตีเกี่ยวกับพิธีกรรมต่าง ๆ ว่ากลบแก่นแท้ของศาสนา เสกน้ำมนต์ พ่นน้ำหมาก เสกวัตถุมงคลขึ้นมาทำให้ชาวบ้านยึดติด อย่างกับว่าถ้าไม่มีวัตถุมงคลแล้วชาวบ้านจะไม่ยึดติดอย่างอื่น หลวงปู่ดู่ท่านถึงบอกว่า "ติดวัตถุมงคลยังดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล" แล้วเป็นเรื่องแปลกว่า นักวิชาการเหล่านี้ส่วนใหญ่มักจะจบด็อกเตอร์กัน มีตำแหน่งทางวิชาการ เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ ศาสตราจารย์ ฉลาดจริงหรือเปล่า ? แม้กุศโลบายเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่โบราณจารย์ทำให้ใจเราเกาะความดีเบื้องต้นก็ยังมองไม่เห็น แล้วจบด็อกเตอร์มาได้อย่างไร ?"

    <!-- / message --><!-- sig --> __________________
    ........................

    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๗

     
  9. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ถาม : การที่มีคนกล่าวว่าการประพรมน้ำพระพุทธมนต์เป็นเรื่องของไสยศาสตร์ เป็นความเชื่อที่ไม่มีเหตุผล ถือเป็นการปรามาสคุณของพระพุทธเจ้าหรือไม่ ? ถ้าตกนรกจะลงไปอเวจีมหานรกหรือไม่ ?


    ตอบ : ไม่ต้องห่วง..! จริง ๆ แล้วที่โบราณใช้คำว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” นั่นชัดเลย เพราะว่าบางสิ่งบางอย่างโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีคุณอนันต์แล้วก็โทษมหันต์ แตะผิดข้างก็เหมือนกับมีด ไปแตะด้านคมเข้าก็มีหวังมือขาด..!
     
  10. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    พระพุทธเจ้าทรงสั่งให้พระอานนท์ ทำน้ำมนต์ จะได้รู้กัน การทำน้ำมนต์ พระพุทธเจ้าก็ทรงสั่งให้พระอานนท์ทำ แล้วพระอานนท์เป็น พุทธอนุชาด้วย เป็นน้องชายแล้วก็เป็น พุทธอุปัฎฐาก เป็นพระอุปถัมภ์ เหมือนกับเงาตามตัวของ พระพุทธเจ้า ถ้า น้ำมนต์ไม่ดี ถ้าพระอานทท์ ไปทำเข้า พระพุทธเจ้าต้องเล่นงานแน่ แต่ทว่าในเรื่องนี้ คาถาทำน้ำมนต์ พระพุทธเจ้าให้พระอานนท์ บอกให้พระอานนท์ศึกษา เมื่อพระอานนท์เรียนไปแล้วก็ไปทำน้ำมนต์ ก็เป็นอันว่า คนที่ด่าคนทำน้ำมนต์ ก็ถือว่าคนนั้นด่าพระพุทธเจ้าด้วย คนที่ด่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ใช่สาวกของพระองค์ คำว่าสาวกหมายถึง ผู้รับฟัง คือคนที่ไม่ใช่คนของ พระพุทธเจ้านั่นเอง ถือว่าเป็นคนของเดียรถีย์


    อย่าสุ่มสี่สุ่มห้า พูดส่งเดชไปมันจะลงนรก ท่านที่ปฎิบัติพระกรรมฐานได้แล้วไปดูเสียบ้างว่า คนที่พูดไม่ดูหนือ ดูใต้ประเภทนี้ เขาไปอยู่ขุมไหนกัน
     
  11. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    :cool:
     
  12. คิดดีจัง

    คิดดีจัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,626
    ค่าพลัง:
    +5,354
    ผมของยกพระสูตรมาให้อ่านดีกว่านะครับ
    ว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างไร

    พระพุทธเจ้าเว้นขาดจากการทำเดรัจฉานวิชา

    ภิกษุทั้งหลาย ! อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือ
    พราหมณ์บางพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ท่าน
    เหล่านั้นยังเลี้ยงชีวิตโดยมิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็น
    ปานนี้ คือ ทำนายอวัยวะ ทำนายตำหนิ ทำนายลางดีลางร้าย
    ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ ทำนายหนูกัดผ้า ทำพิธีบูชาไฟ
    ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ ทำพิธี
    ซัดรำบูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ
    ทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่าบูชาไฟ ทำพลีกรรม
    ด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะที่บ้าน ดูลักษณะที่นา
    เป็นหมอปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกัน
    บ้านเรือน เป็นหมองู เป็นหมอยาพิษ เป็นหมอแมลงป่อง
    เป็นหมอรักษาแผลหนูกัด เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอ
    ทายเสียงกา เป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็น
    หมอทายเสียงสัตว์.
    ส่วนสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีวิตโดย
    มิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้เสียแล้ว เมื่อปุถุชน
    จะกล่าวสรรเสริญตถาคต พึงกล่าวสรรเสริญอย่างนี้.

    อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉัน
    โภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังเลี้ยงชีวิต
    โดยมิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทายลักษณะ
    แก้วมณี ทายลักษณะผ้า ทายลักษณะไม้พลอง ทายลักษณะ
    ศัสตรา ทายลักษณะดาบ ทายลักษณะศร ทายลักษณะธนู
    ทายลักษณะอาวุธ ทายลักษณะสตรี ทายลักษณะบุรุษ ทาย
    ลักษณะกุมาร ทายลักษณะกุมารี ทายลักษณะทาส ทาย
    ลักษณะทาสี ทายลักษณะช้าง ทายลักษณะม้า ทายลักษณะ
    กระบือ ทายลักษณะโคอุสภะ ทายลักษณะโค ทายลักษณะ
    แพะ ทายลักษณะแกะ ทายลักษณะไก่ ทายลักษณะนก
    กระทา ทายลักษณะเหี้ย ทายลักษณะตุ่น ทายลักษณะเต่า
    ทายลักษณะมฤค.
    ส่วนสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีวิตโดย
    มิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้เสียแล้ว เมื่อปุถุชน
    จะกล่าวสรรเสริญตถาคต พึงกล่าวสรรเสริญอย่างนี้.

    อีกอย่างหนึ่งเมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉัน
    โภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังเลี้ยงชีวิตโดย
    มิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ดูฤกษ์ยาตราทัพว่า
    พระราชาจักยกออก พระราชาจักไม่ยกออก พระราชาภายใน
    จักยกเข้าประชิด พระราชาภายนอกจักถอย พระราชาภายนอก
    จักยกเข้าประชิด พระราชาภายในจักถอย พระราชาภายใน
    จักมีชัย พระราชาภายนอกจักปราชัย พระราชาภายนอกจัก
    มีชัย พระราชาภายในจักปราชัย พระราชาพระองค์นี้จักมีชัย
    พระราชาพระองค์นี้จักปราชัย เพราะเหตุนี้ๆ.
    ส่วนสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีวิตโดย
    มิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้เสียแล้ว เมื่อปุถุชน
    จะกล่าวสรรเสริญตถาคต พึงกล่าวสรรเสริญอย่างนี้.

    อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉัน
    โภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังเลี้ยงชีวิต
    โดยมิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทำนายว่าจัก
    มีจันทรคราส จักมีสุริยคราส จักมีนักษัตรคราส ดวงจันทร์
    ดวงอาทิตย์จักโคจรถูกทาง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักโคจรผิด
    ทาง ดาวนักษัตรจักโคจรถูกทาง ดาวนักษัตรจักโคจรผิดทาง
    จักมีอุกกาบาต จักมีดาวหาง จักมีแผ่นดินไหว จักมีฟ้าร้อง
    ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตร จักขึ้น จักตก จักมัวหมอง
    จักกระจ่าง จันทรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ สุริยคราส
    จักมีผลเป็นอย่างนี้ นักษัตรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวง
    จันทร์ดวงอาทิตย์โคจรถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์
    ดวงอาทิตย์โคจรผิดทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดาวนักษัตร
    โคจรถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดาวนักษัตรโคจรผิดทางจัก
    มีผลเป็นอย่างนี้ มีอุกกาบาตจักมีผลเป็นอย่างนี้ มีดาวหาง
    จักมีผลเป็นอย่างนี้ แผ่นดินไหวจักมีผลเป็นอย่างนี้ ฟ้าร้อง
    จักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตร
    ขึ้น ตก มัวหมอง กระจ่าง จักมีผลเป็นอย่างนี้.
    ส่วนสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีวิตโดย
    มิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้เสียแล้ว เมื่อปุถุชน
    จะกล่าวสรรเสริญตถาคต พึงกล่าวสรรเสริญอย่างนี้.

    อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉัน
    โภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังเลี้ยงชีวิต
    โดยมิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทำนายว่า
    จักมีฝนดี จักมีฝนแล้ง จักมีอาหารหาได้ง่าย จักมีอาหาร
    หาได้ยาก จักมีความเกษม จักมีภัย จักเกิดโรค จักมีความ
    สำราญหาโรคมิได้ หรือคำนวณฤกษ์ยาม คำนวณดวงชะตา
    จับยาม แต่งกาพย์ โลกายตศาสตร์.
    ส่วนสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีวิตโดย
    มิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้เสียแล้ว เมื่อปุถุชน
    จะกล่าวสรรเสริญตถาคต พึงกล่าวสรรเสริญอย่างนี้.
    อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉัน
    โภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังเลี้ยงชีวิตโดย
    มิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ให้ฤกษ์อาวาห
    มงคล ให้ฤกษ์วิวาหมงคล ดูฤกษ์เรียงหมอน ดูฤกษ์หย่าร้าง
    ดูฤกษ์เก็บทรัพย์ ดูฤกษ์จ่ายทรัพย์ ดูโชคดี ดูเคราะห์ร้าย
    ให้ยาผดุงครรภ์ ร่ายมนต์ให้ลิ้นกระด้าง ร่ายมนต์ให้คางแข็ง
    ร่ายมนต์ให้มือสั่น ร่ายมนต์ไม่ให้หูได้ยินเสียง เป็นหมอทรง
    กระจก เป็นหมอทรงหญิงสาว เป็นหมอทรงเจ้า บวงสรวง
    พระอาทิตย์ บวงสรวงท้าวมหาพรหม ร่ายมนต์พ่นไฟ ทำพิธี
    เชิญขวัญ.
    ส่วนสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีวิตโดย
    มิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้เสียแล้ว เมื่อปุถุชน
    จะกล่าวสรรเสริญตถาคต พึงกล่าวสรรเสริญอย่างนี้.

    อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสมณะหรือพราหมณ์บางพวก ฉัน
    โภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังเลี้ยงชีวิต
    โดยมิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน
    ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน
    ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธี
    ปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์
    ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยาแก้ลมตีขึ้น
    เบื้องบน ปรุงยาแก้ลมตีลงเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ
    หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัตถุ์ ปรุงยาทาให้กัด
    ปรุงยาทาให้สมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา
    ชะแผล.
    ส่วนสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีวิตโดย
    มิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้เสียแล้ว เมื่อปุถุชน
    จะกล่าวสรรเสริญตถาคต พึงกล่าวสรรเสริญอย่างนี้.
    ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่ปุถุชนกล่าวสรรเสริญตถาคต
    จะพึงกล่าวด้วยประการใด ซึ่งมีประมาณน้อย ยังต่ำนัก
    เป็นเพียงศีลนั้นเท่านี้แล.

    -บาลี พรหมชาลสูตร สี. ที. ๙/๑๑-๑๕/๑๙-๒๕.
     
  13. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังเลี้ยงชีวิตโดยมิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้



    พิจารณาดู สติปัญญาภูมิธรรมดู

    .
     
  14. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    พึงสังเกตว่าท่านไม่ได้ทำวิชาพวกนี้บ่อย ๆ และท่านก็ปรามสาวกไว้ว่าอย่าพยายามใช้อิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์เสียด้วย ถ้าท่านอยากให้ทำน้ำมนต์อะไรจริงก็คงไม่มีสูตรนี้หรอกครับ


    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    มหาศีล
    ติรัจฉานวิชา

    [๑๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า-
    ๑. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่
    สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา ๑- เห็นปานนี้ คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาต ๒- ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ ทำนายหนูกัดผ้า ทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ ทำพิธีซัดรำบูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่าบูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะที่บ้าน ดูลักษณะที่นา เป็นหมอปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองู เป็นหมอยาพิษ เป็นหมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัด เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทางเสียงกา เป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอทายเสียงสัตว์.


    [๒๐] ๒. ๑. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทายลักษณะแก้วมณี ทายลักษณะไม้พลอง ทายลักษณะผ้าทายลักษณะศาตรา ทายลักษณะดาบ ทายลักษณะศร ทายลักษณะธนู ทายลักษณะอาวุธทายลักษณะสตรี ทายลักษณะบุรุษ ทายลักษณะกุมาร ทายลักษณะกุมารี ทายลักษณะทาสทายลักษณะทาสี ทายลักษณะช้าง ทายลักษณะม้า ทายลักษณะกระบือ ทายลักษณะโคอุสภะ
    @๑. หมายเอาวิชาที่ขวางทางสวรรค์ทางนิพพาน ซึ่งไม่เป็นประโยชน์แก่ธรรมปฏิบัติ.
    @๒. คือสิ่งที่ตกจากเบื้องบน เช่นอสนีบาตเป็นต้น.
    ทายลักษณะโค ทายลักษณะแพะ ทายลักษณะแกะ ทายลักษณะไก่ ทายลักษณะนกกระทาทายลักษณะเหี้ย ทายลักษณะตุ่น ทายลักษณะเต่า ทายลักษณะมฤค.


    [๒๑] ๑. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ดูฤกษ์ยาตราทัพว่า พระราชาจักยกออก พระราชาจักไม่ยกออกพระราชาภายในจักยกเข้าประชิด พระราชาภายนอกจักถอย พระราชาภายนอกจักยกเข้าประชิดพระราชาภายในจักถอย พระราชาภายในจักมีชัย พระราชาภายนอกจักปราชัยพระราชาภายนอกจักมีชัย พระราชาภายในจักปราชัย พระราชาพระองค์นี้จักมีชัย พระราชาพระองค์นี้จักปราชัยเพราะเหตุนี้ๆ.


    [๒๒] ๑. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ พยากรณ์ว่า จักมีจันทรคราส จักมีสุริยคราส จักมีนักษัตรคราสดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินถูกทาง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินผิดทาง ดาวนักษัตรจักเดินถูกทางดาวนักษัตรจักเดินผิดทาง จักมีอุกกาบาต จักมีดาวหาง จักมีแผ่นดินไหว จักมีฟ้าร้องดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักขึ้น ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักตก ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักมัวหมอง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักกระจ่าง จันทรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ สุริยคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ นักษัตรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เดินผิดทางจักมีผลเป็นอย่างนี้
    ดาวนักษัตรเดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดาวนักษัตรเดินผิดทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ มีอุกกาบาตจักมีผลเป็นอย่างนี้ มีดาวหางจักมีผลเป็นอย่างนี้ แผ่นดินไหวจักมีผลเป็นอย่างนี้ ฟ้าร้องจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรขึ้นจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรตกจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรมัวหมองจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรกระจ่างจักมีผลเป็นอย่างนี้.


    [๒๓] ๑. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ พยากรณ์ว่า จักมีฝนดี จักมีฝนแล้ง จักมีภิกษาหาได้ง่ายจักมีภิกษาหาได้ยาก จักมีความเกษม จักมีภัย จักเกิดโรค จักมีความสำราญหาโรคมิได้ หรือนับคะแนนคำนวณ นับประมวล แต่งกาพย์ โลกายตศาสตร์ ๑-


    [๒๔] ๑. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ให้ฤกษ์อาวาหมงคล ฤกษ์วิวาหมงคล ดูฤกษ์เรียงหมอนดูฤกษ์หย่าร้าง ดูฤกษ์เก็บทรัพย์ ดูฤกษ์จ่ายทรัพย์ ดูโชคดี ดูเคราะห์ร้าย ให้ยาผดุงครรภ์ร่ายมนต์ให้ลิ้นกระด้าง ร่ายมนต์ให้คางแข็ง ร่ายมนต์ให้มือสั่น ร่ายมนต์ไม่ให้หูได้ยินเสียงเป็นหมอทรงกระจก เป็นหมอทรงหญิงสาว เป็นหมอทรงเจ้า บวงสรวงพระอาทิตย์ บวงสรวงท้าวมหาพรหม ร่ายมนต์พ่นไฟ ทำพิธีเชิญขวัญ.


    [๒๕] ๑. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัดถุ์ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัดรักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ปุถุชนกล่าวชมตถาคต จะพึงกล่าวด้วยประการใด ซึ่งมีประมาณน้อย ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีลนั้นเท่านี้แล.
    จบมหาศีล.
    @๑. ตำราว่าด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับโลกชวนให้ตื่นเต้นอันไม่น่าเชื่อ เป็นศาสตร์ๆ หนึ่งของเดียรถีย์ ถ้าอาศัยตำรานี้แล้ว
    @ก็ไม่ยังจิตคิดทำบุญให้เกิดขึ้น.


    http://84000.org/tip...?B=9&A=0&Z=1071

    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


    ทีนี้เรามาวิเคราะห์กันชัด ๆ
    1.การพ่นน้ำมนต์ เสกน้ำมนต์เป็นดิรัจฉานวิชาชัดเจนตามบันทึก ดังนั้นพวกผมจะพูดว่าการเสกน้ำมนต์เป็นดิรัจฉานวิชาย่อมไม่ผิด
    เพียงแต่พวกผมไม่ได้ปรามาศพระพุทธเจ้า เพราะ ผมรู้ตามบันทึกว่า
    2.พระพุทธองค์สั่งพระอานนท์ให้ทำน้ำมนต์ ก็แสดงว่าพระองค์ไม่ได้ทำเอง แต่เป็นผู้บอกวิธีการทำให้พระอานนท์ แต่การกระทำในครั้งนี้พระพุทธองค์ไม่ได้กระทำการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยดิรัจฉานวิชา ไม่มีการซื้อขายวัตถุมงคล ไม่มีการรับปัจจัย ฯลฯ เหมือนสมัยนี้
    3.พระองค์ไม่ได้ทำวิชานี้บ่อย ๆ และยังปรามสาวกไม่ให้ใช้อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหารย์ พร่ำเพรื่อ อีกด้วย ทำไมหรือ ตีความกันเอาเอง ส่วนตัวผมเองตีความว่า พระองค์ไม่อยากให้สาวกมานับถือศาสนาของพระองค์เนื่องจากความศรัทธาในอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหารย์ มากไปกว่าที่ จะหันมานับถือศาสนาของพระองค์เพราะต้องการหลุดพ้นจากความทุกข์ ซึ่งเป็นสาระสำคัญของพุทธศาสนานั่นเอง
    เมื่อพระองค์ไม่ได้เลี้ยงชีพด้วยดิรัจฉานวิชาโดยทางผิดแล้วแล้ว จะมากล่าวตู่ว่าพวกผมที่ ต่อต้าน การทำดิรัจฉานวิชาแลกกับเงินของนักบวช นักบวชนอกศาสนา อาจารยฺ์อาคมต่าง ๆ ในสมัยนี้ ว่าเป็นการปรามาศพระพุทธเจ้าได้อย่างไร
    พระพุทธองค์ทำเพื่อช่วยคนและไม่ได้ทำพร่ำเพรื่อและไม่ได้ทำเพื่อเลี้ยงชีพ พระสมัยนี้ทำแล้วรับซองและทำพร่ำเพรื่อเกินความจำเป็น ยังไงก็เทียบกันไม่ได้

    พระพุทธองค์ทรงบัญญัติธรรมตามกาล บางที พระพุทธองค์อาจจะสอนพระสูตรนี้ หลังจากที่พระองค์ทรงทำน้ำมนต์ดังกล่าวก็เป็นได้ ถึงพระพุทธองค์สอนให้พระอานนท์ทำน้ำมนต์จริง แต่เมื่อมีสูตรนี้ขึ้นมา และมีอะไรบางอย่างที่ขัดแย้งกับเรื่องราวที่มีการบันทึกว่าพระพุทธเจ้าสอนพระอานนท์ให้ทำน้ำมนต์ ก็ต้องเอาสูตรนี้เป็นหลักเนื่องจากอาจสันนิษฐานได้ว่า พระสูตรนี้ถูกบันทึกขึ้นมาทีหลังเหตุการนั้น ดังนั้น ผมมีหลักฐานว่าที่ผมกล่าวว่าการทำน้ำมนต์เป็นดิรัจฉานวิชานั้นย่อมไม่ผิด(เพราะพระสูตรบอกว่าการทำน้ำมนต์เป็นดิรัจฉานวิชา) และไม่เป็นการปรามาศพระพุทธเจ้า เพราะได้มีบันทึกว่า"[๒๕] ๑. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัดถุ์ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัดรักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล" ผมพูดมีเหตุผลหรือเปล่าก็ขอให้คิดกันดูดี ๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2015
  15. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังเลี้ยงชีวิตโดยมิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้

    การ สงเคราะห์ ของพระสงฆ์ ปฎิบัติดี ปฏิบัติชอบ

    กับการหลอกลวง หารับประทาน คุณแยกออกไหมละครับ ถ้ายังงแยกแยะไม่ได้ ไม่ออกแบบนี้

    ก็แสดงว่าเป็นเพราะกรรม ภูมิธรรมของบุคคลนั้นๆเอง ก็คงเป็นไปตามกฏแห่งกรรม


    ลองถามตัวเองดูว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร แล้วตัวเอง ทำอะไรอยู่


    .
     
  16. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    แยกออก คนทำบางคนก็ทำด้วยเจตนาบริสุทธิ์ แต่คนเอาไปถือครองจะมีใครสักคนที่ใช้แล้วพ้นทุกข์จริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านจึงปรามไม่ให้ใครทำฤทธิ์ เพราะจะทำให้การเข้าใจศาสนาเกิดความคลาดเคลื่อน มีแต่ทำให้คนนับถือของมากขึ้นมากกว่าที่จะสนใจสาระสำคัญของพระพุทธศาสนา ดังนั้นผมเห็นว่าของพวกนี่เหมือนจะมีประโยชน์ก็จริง แต่โทษของมันกลับมีมากกว่า เพราะทำให้คนไม่เข้าถึงหลักศาสนาที่แท้จริง ไปเข้าใจว่า ศาสนาพุทธพาให้รวย พาให้อยู่ยงคงกระพัน แคล้วคลา่ด ผีกลัวไปโน่น อีกอย่างในเมื่อพระศาสดาไม่อยู่ เวลาจะมีใครใช้อวิชชาก็ไม่มีผู้ห้ามปราม ก็มีพระไม่กี่องค์หรอกครับที่จะตั้งใจศึกษาพระไตรปิฏกได้ทั้งหมด บางรูปก็ไม่รู้หรอกว่ามีสูตรนี้ ดังนั้นจะมีพระที่หลุดมาทำอวิชชาบ้างมันก็ไม่แปลก สาวกบางรูปมีความคิดเห็นแย้งกับพระศาสดาบ้างก็มี ดังนั้น ถ้าจะมีสาวกที่ใช้ประโยชน์จากอวิชชาหรือเดรัจฉานวิชาพวกนี้ก็ไม่แปลกเหมือนกัน

    จะเล่าอะไรให้ฟัง ตอนเด็ก ๆ ผมเคยถือพระเครื่อง เพราะเข้าใจว่าพระกันผีได้ โตขึ้นมาหน่อยก็เข้าใจว่าเป็นพระแล้วผีกลัว พอได้เรียนธรรมะจริง ๆ แล้วปรากฏว่าผีไม่กลัวพระ แต่พระนั่นแหละกลัวผี อ้าว แล้วของนี่มันช่วยให้เราเข้าใจธรรมได้ตรงไหน มีแต่ทำให้เราหลงเข้าใจผิด // ใครเป็นอย่างผมบ้างยกมือขึ้น

    แล้วภูมิธรรมของท่านเห็นว่าอย่างไรล่ะ ของนี่มันช่วยให้ท่านบรรลุธรรมอะไรบ้าง มันทำให้ท่านเข้าถึงพระธรรมอันบริสุทธิได้อย่างไร ลองเล่ามาตามสติปัญญาของท่านสิ ส่วนผมของมันทำให้ผมเข้าถึงพระธรรมไม่ได้ มีแต่การเรียนรู้ คิดวิเคราะห์ แยกแยะเท่านั้นตามกำลังของปุถุชนคนหนึ่งที่ไม่มีอำนาจฌานใด ๆ เท่านั้นที่ทำให้ผมเข้าถึงพระธรรม แล้วได้ถามตัวเองหรือเปล่า ว่า พระพุทธองค์ท่านสอนให้เราพึ่งอวิชชาเหรอ


    พระพุทธเจ้าสอนทางพ้นทุกข์ ตัวผมเอง ปรารถนาพุทธภูมิ จึงกำลังศึกษาพระธรรมของพระพุทธเจ้าและธรรมชาติ ยังไม่เดินตามทางที่จะพ้นทุกข์ตามที่พระองค์ได้ทำทางไว้ให้ แต่ผมพยายามในการศึกษาธรรมชาติเท่าที่กำลังของผมจะทำได้อยู่ ผมบอกเลยว่าผมไม่ใช่สาวก แต่เป็นลูกศิษย์ เพราะผมปรารถณาพุทธภูมิ

    ว่าแต่ท่านเถอะ ยิ่งมีของให้ถือมาก ยิ่งขัดกับหลักของศาสนาพุทธที่สอนให้ปล่อยวางไม่ใช่หรือ วางได้แล้ว พุทธศาสนาสอนให้พึ่งตน ไม่ใช่พึ่งของ แม้สรณะสูงสุดของพุทธศาสนาคือพระรัตนไตร
    คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

    แต่การน้อมนำแก้วอันประเสริฐทั้งสามสิ่งนี้มานับถือ จะนาพาให้เราเดินไปสู่เส้นทางที่ต้องพึ่งพาตนเอง โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นครู พระธรรมเป็นหลักปฏิบัติ พระอริยสงฆ์เป็นแบบอย่าง สรณะอันประเสริฐในศาสนาพุทธมีเพียงแค่ 3 อย่าง ก็เพียงพอแล้ว พระพุทธองค์ท่านไม่ให้พึ่งอวิชชา แล้วยังจะไปพึ่งอีกน้อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2015
  17. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    แหม่ พูดได้ดี ปล่อยวาง ว่าแต่ ตัวเองปล่อยวาง จากพระเครื่อง น้ำมนต์ เดรัจฉานวิชา หรือยังถือไว้อยู่ ^^

    ศาสนาพุทธ แบ่งระดับ ออกเป็น ทาน ศีล ภาวนา

    ถ้าบารมีทานไม่ถึง ก็รักษาศีลไม่ได้ รักษาศีลไม่ได้ ก็ภาวนาไม่ได้

    สามอย่างนี้ ก็เป็นตัววัดได้แล้วว่าตัวเอง บารมีธรรมอย่างไร


    จะพ้นทุกข์ได้ ก็ต้อง ทำสมาธิ ภาวนา วิปัสสนากรรมฐาน

    แล้วมีพุทธพจน์ข้อไหน ที่เทศน์บอกว่า ทำพระเครื่องให้เป็นวัตถุมงคลบูชา ทำน้ำมนต์ สงเคราะห์ ญาติโยม แล้พระผู้ทำ หรือ ญาติโยม ห้าม ห้ามบรรลุนิพพาน มรรคผล ครับ

    ลองศึกษาดูดีๆ

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2015
  18. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    เอ้า จะถือก็ถือไป ไหน ๆ ก็มีการทำนายว่าเดรัจฉานวิชาจะครองเมืองอยู่แล้วทางใครทางมันละกัน ท่านจะถือก็ถือไป ผมไม่ถือก็ทางของผม ถามตัวเองเถอะว่าจะเลิกถือมั้ย เพราะท่านเป็นฝ่ายปกป้องดิรัจฉานวิชานี่ ไม่ใช่ผม

    ผมไม่ถือละล่ะของพวกนั้น น้ำมนต์ พระเครื่อง เดรัจฉานวิชา ขนาดในห้องดูดวงของเว็บนี้แท้ ๆ ผมยังด่าหมอดูเลย แต่ถ้าไปในที่ชุมนุมชนที่มีพีธีการต่าง ๆ น้ำมนต์ก็ต้องถูกต้องตัวเป็นธรรมดา แต่ก็ไม่ได้คิดว่านี่เป็นสรณะ มีนี่ไว้กับตัวแล้วจะแคล้วคลาด เพราะมันขึ้นอยู่กับตัวเองเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นมีบางคนออกรถใหม่แล้วให้พระเจิมรถให้ ออกจากวัดไม่ทันไรรถชนพังยับเสียแล้ว บางรายตายเสียด้วย อีกอย่าง ผมบอกไปแล้วว่าผมยังไม่อยากพ้นทุกข์ เพราะผมปรารถนาพุทธภูมิครับท่าน อะไรไม่อยากรู้ก็ต้องทำให้รู้แม้ไม่อยากรู้สักแค่ไหนก็ตาม เรื่องทานศีล ภาวนาน่ะ หายห่วง ผมทำอยู่ แต่อาจเพราะบารมียังน้อยเลยภาวนาไม่ไปถึงไหน แต่ศีล 5 นี่ ผมรักษาของผมได้ก็แล้วกัน

    ก็ใช่ว่าพึ่งพวกนั้นไม่ห้ามการสำเร็จมรรคผล แต่พระองค์ก็ไม่สนับสนุนการพึ่งอวิชชา หรือใช้อวิชชา ลองศึกษาดูดี ๆ - -

    ถ้าท่านคิดว่าพึ่งดิรัจฉานวิชา มันไม่ได้ห้ามมรรคผลนี่ ก็ใช่นะ เท่าที่ผ่านตามาผมเองก็ไม่เห็น แต่พึงระลึกว่า พระพุทธองค์ทรงสอนไม่ให้เราพึ่งพาดิรัจฉานวิชานะครับ
    ดังนั้นการที่ท่านไปพึ่งดิรัจฉานวิชา จะเป็นการไม่เชื่อฟังคำสอนของพระศาสดาซึ่งเข้าข่ายเป็นตู่พระศาสดาว่าท่านเปิดช่องให้พึ่งพาดิรัจฉานวิชาหรือไม่ เพราะที่จริง ท่านสอนไม่ให้พึ่งพาสิ่งเหล่านี้ ท่านก็ลองคิด วิเคราะห์ แยกแยะดูเอาเอง
    ท่านรู้ผลกรรมที่จะได้รับจากเรื่องนี้ดีใช้มั้ยครับ

    เฮ้อ สาวกหาช่องทางที่จะทำให้ตนพอใจ ไม่เอาคำสอนของพระศาสดามันก็แย่อยู่ แม้ไม่ห้ามมรรคผล แต่พระองค์ก็ไม่ให้พึ่งพา ท่านว่าคำสอนของพระศาสดา หรือความสุขของท่านอะไรใหญ่กว่ากันครับ งี้แหละ ปุถุชนเต็มขั้นมีความสุขของตัวเองเป็นประธาน ธรรมชาติของปุถุชนอย่างเรา ๆ ก็เป็นแบบนี้ ถ้าท่านมีปัญญา ใช้ปัญญาของท่านในการเข้าหาพระศาสดาเถิดครับ อย่าใช้ปัญญาของท่านนำตนออกห่างจากพระศาสดาเลย ย้ำอีกทีนะ การพึ่งพาหรือใช้ดิรัจฉานวิชาบ้างไม่ได้ห้ามมรรคผล แต่พระพุทธองค์ไม่ให้พึ่งดิรัจฉานวิชา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2015
  19. กฮ

    กฮ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    430
    ค่าพลัง:
    +415
    อ้างว่าหมอใช้กัญชาได้ แล้วจะใช้กัญชามอมเมาคน ข้ออ้างฟังขึ้นสุดๆ เลยนะนี่
     
  20. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    หมอท่านก็ห้ามใช้กัญชาอยู่นะ แต่คนไข้ไม่ฟัง คงเพราะเมากัญชา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2015

แชร์หน้านี้

Loading...