พระพุทธเจ้า...ทรงมี..."สัญญา"

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย NARKA, 5 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,568
    ค่าพลัง:
    +4,560
    ...เรื่องนิพพานนี้....มิใช่เรื่องใจ.....ตามคำ
    กล่าวทั่วไป.....
    ..แต่เป็นเรื่อง"มรรค เพื่อ นิโรธ"
    มรรค...นั้นต้อง"สายกลาง" จึงนิโรธ ได้
    มรรคนั้น ต้องใช้ศีลเป็นพื้น สมาธิเป็นที่สอง และวิปัสสนากรรมฐาน เป็นลำดับสุดท้าย...
    ...สมาธิวิปัสสนา ...จะตัด"รูป"(ตัดอัตตา)ได้ในรูปฌานที่4
    ...สมาธิวิปัสสนา... จะตัด เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาได้(ตัดอนัตตา)ได้ในอรูปฌานที่4(ฌานแปด) หลังจากนั้น ถ้ามีบุญวาสนาจิตจะเข้าสู่นิพพาน ไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป(เป็นความเข้าใจเฉพาะตนของผู้เขียน)
    ...ทีนี้ก็มาถึงประเด็นว่า "ทำไม พระพุทธเจ้าหรือเหล่าอรหันต์สาวก...ที่สามารถตัดอนัตตา ใน"สัญญา"ได้แล้ว แต่ทำไม มีหลายครั้ง ที่นำกลับมาใช้ใหม่ ก็ได้....
    เช่น...ตอนที่มาอนุโมทนาบุญให้พระอาจารย์ มั่น ภูริทัติโต ที่สำเร็จอรหันต์ นั่นท่านใช้สัญญาเมื่อ2500ปีที่แล้ว มาปรากฏร่างเดิมให้พระอาจารย์มั่นฯเห็น(ในญาน)
    ...หรือ เช่น ตอนท่านไปโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ แต่อยู่คนละชั้น เทวดาต้องไปตามพุทธมารดาลงมา...และพุทธมารดา ก็เนรมิตร่างให้เป็นเหมือนตอนเกิดเป็นมนุษย์....
    ..กรณีแบบนี้ ผมวิเคราะห์ว่า เป็นการอำนวยความสะดวกให้ผู้รับ...เช่นพระอาจารย์มั่นฯหรือ พระพุทธเจ้า .....
    ..แต่ที่น่าแปลกใจคือ ทำไม พระพุทธองค์จึงต้องย้อนสัญญาเดิม แบบนั้นให้พระอาจารย์มั่นฯเห็น...ทั้งๆที่ท่านก็สำเร็จอรหันต์แล้ว.....
    ...หรือ ทำไม พระพุทธมารดา จึงย้อนสัญญา ให้พระพุทธองค์เห็น ทั้งๆที่ท่านเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว....
    ...ผมมีความเข้าใจหยาบๆส่วนตัวว่า นั่นคือ การละลึกชาติต่างๆได้ตามญานที่ได้
    แล้วนั้น เมื่อถึงคราวเผชิญหน้า ก็สามารถใช้ญานย้อนอดีต กลับไปสู่สัญญาเดิมครั้งมีวาสนาพบพานกัน หรือ วาสนาที่แม้อยู่กันคนละห่วงเวลาก็ตามทีได้...
    ...หรือ...เป็นเพราะพระพุทธเจ้าเอย สาวกทั้งพระและเณรอรหันต์เอย เหล่าเทวดาต่างๆเอย ต่างเห็นว่า พระอาจารย์มั่น ยังทรงขันธ์กายเนื้ออยู่ จึงแสดง"สัญญา"เดิมๆให้รู้...
    .....แต่กรณีพุทธมารดา...แปลกใจว่า ทำไมท่านจึงแสดง"สัญญา"เดิมให้พระพุทธองค์เห็น...หรือเป็นเพราะในขณะเสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดานั้น ท่านไปด้วยกายหยาบ กายเนื้อ....
    นี่อาจที่จะสามารถสรุปได้ว่า หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แม้สำเร็จแล้ว หรือ อยู่ในสุคติภพแล้วก็ตาม แต่หากว่า อีกฝ่ายนั้นยัง"ทรงขันธ์"อยู่แล้ว....เวลาพบกัน อีกฝ่ายจำเป็นที่จะต้องย้อนอดีตสัญญา ปรากฏร่างเดิมให้เห็นเป็นแม่นมั่นแน่นอน.......
    ดังนั้น ..."สัญญา"ความรู้ความจำเดิมนี่ ..มีประโยชน์ ขนาดพระพุทธองค์ยังทรงใช้กับขันธ์ของพระอาจารย์มั่นฯ และพุทธมารดา(เทวดา) ทรงใช้กับขันธ์ของพระพุทธองค์
    ..แต่กรณีของฆาราวาส....เป็นราษฏรอาวุโสแล้ว แต่แหม...เวลาเด็กๆชวนเตะบอล...วิ่งสู้ฟัดโดยนึกว่าตัวเองเป็นหนุ่มๆเอย...เจอเด็กๆจิ๊กโก๋ ก็เข้าไปตบกะบาลมัน โดยนึกว่าตัวเองอยู่ในฐานะเจ้าที่เก่า...หรือ เจอลูกหลานขาวๆของชาวบ้านก็กระหยิ่มยิ้มย่อง คืนสัญญาเดิมตอนเป็นหนุ่มๆทันที...
    ...การคืน"สัญญา"เดิมแบบนี้เท่าที่เห็น...หัวใจวายตายกันไปแล้วมากหลาย.....ฮา
     
  2. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    การ "วิเคราะห์" และ "วิจารณ์" ธรรมะของพระพุทธองค์ โดยผู้ที่สะสมปัญญาบารมีมาเป็นระยะเวลาน้อยกว่าพระพุทธองค์หลายอสงไขย เป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก...

    ถ้าวิเคราะห์ถูกก็เสมอตัว ถ้าวิเคราะห์ผิด ก็ปิดมรรคผล ครับ
    ในปัจจุบันนี้ ความเข้าใจเรื่องวิปัสสนาญาณ และสภาวะในสมาธิ ของท่าน NARKA ตรงกับครูบาอาจารย์แน่แล้วหรือครับ ถ้าหากยังไม่ตรง แล้วพยายามวิเคราะห์ วิจารณ์ วิบากจากการกระทำตรงนี้อาจจะทำให้ยิ่งเบี่ยงออกจากทางสายเอกออกไปอีกได้นะครับ
     
  3. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    ใช้สัญญา...? อะไรคือใช้สัญญา..?
     
  4. ABT

    ABT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +1,524
    การรู้ได้เฉพาะตัว นี่แหละเป็นเหตุทำให้บางสิ่งในศาสนาพุทธ พิสูจน์โดยธรรมดาไม่ได้ เว้นแต่ได้ปฏิบัติถึงแล้วจึงรู้ได้ การที่เราไม่รู้แล้วใช้ภูมิธรรมอันน้อยนิดของเราคิดนะมันก็ลังจะไปปรามาสโดยไม่ตั้งใจ(หรือจะตั้งใจ) อันเป็นเหตุให้ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ หากท่านไปถามครูบาอาจารย์ที่บรรลุธรรมท่านจะได้คำตอบอีกอย่างก็ได้ ไ่ม่ตรงที่เราคิด(นี่แหละ ผมเองก็เคยคิดแบบนี้ ทุกวันนี้เข้าใจแล้วว่าเป็นอย่างไร)เราก็จะไม่พอใจ เกิดการต่อต้านทันที วางใจกลาง ๆ ฟัง คิด เป็นกลาง เมื่อถึงเวลาคำตอบนั่นจะมาเอง เหมือนกับคำว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม
     
  5. lionking2512

    lionking2512 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,525
    ค่าพลัง:
    +7,632
    คุณนาคา เรื่องวิสัยของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องอจินไตย คุณก็คงทราบผมอ่านหลายๆกระทู้ของคุณแล้ว ครั้งนี้ผมอดท้วงไม่ได้จริงๆ จริตคุณอาจชอบเรื่องฤทธิ์เดชนั่นก็เรื่องส่วนตัวของคุณ แต่การที่คุณมาบอกกล่าวว่าการเข้าสู่อริยะบุคคลนั้นต้องผ่านกระบวนการได้ฤทธิ์ได้เดชก่อนนั้นคุณศึกษาดีแล้วหรือ แล้วการที่คุณอ้างหลวงปู่มั่นเพื่อให้เข้าทางฤทธิ์เดชตามจริตคุณนั้น มันผิดหลวงปู่มั่น หลวงปู่ดุลย์ท่านมิได้เน้นสอนเช่นนั้นเลย ท่านเน้นอย่างเดียวเรื่องการประคับประคองรักษาจิตตนเองต่างหาก ผมอ่านมามากจนทนไม่ไหวครั้งนี้ต้องขอแย้งคุณบ้างละ มีเพื่อนสมาชิกท่านนึงเคยเรียนคุณว่าผู้ที่จะบรรลุอริยะบุคคลนั้นมีหลายประเภทมิใช่ต้องได้ฤทธิ์เดชแบบคุณท่านก็บรรลุของท่านได้ พระอรหันต์สุขขะวิปัสสิโกไงจำได้ไหม และขอโทษนะคุณพยายามลดละข้อเขียนเชิงเปรียบเทียบของคุณกับพระพุทธเจ้าลงล้างเถอะมันเทียบกันไม่ได้ เหมือนแสงหิ่งห้อยเล็กน้อยประชันขันแข่งกับแสงจันทร์เพ็ญทรงกลด
     
  6. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,568
    ค่าพลัง:
    +4,560
    เรียนคุณไลออนส์คิงส์ 2512
    คนเรารักกันจึงได้เตือนกัน....แต่เมื่อเตือนแล้วไม่ฟังก็ต้องฆ่าทิ้ง ... ฮา(ไม่สอนไม่เตือน)
    พระอรหันต์มี4ประเภท ทุกคนก็รู้กันอยู่ดีแล้ว....สำเร็จโดยไม่มีอภิญญาเลยก็มีดังคุณกล่าว
    แต่ประเด็นของผมในแต่ละประเด็นนั้น มันมีวิธีพิจารณา 2 ทางใหญ่ๆ
    1.ปฏิบัติรู้เอง เห็นเอง....นี่ไม่ใช่แน่นอน
    2.เป็นหนอนตำรา(อ่าน ฟัง ถาม คิดฯ) นี่ จริงแท้แน่นอน...
    ..ในหลักการของศาสนาต่างๆ เท่าที่รู้ ต่าง"เน้นศรัทธาและความเชื่อ" ซึ่งตัวจริงของมันคือการปฏิบัติตาม...แต่ศาสนาพุทธ บอกวิธีปฏิบัติที่เป็นวิทยาศาสตร์คือ สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง....
    ...ดังนั้น เมื่อเราวิเคราะห์ศาสนา... มันจึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนว่า เราไม่เชื่อและศรัทธาหรือไร.....แต่สำหรับผมแล้ว...ไม่ใช่....ผมนี่ล้านเปอร์เซ็นต์เลย เพราะเคยเห็นผีและเทวดามาด้วยตาเนื้อแล้ว.....แต่การวิเคราะห์ศาสนาของผมนั้น มันหมายถึงว่า ใครก็ตาม มีความเชื่อและศรัทธาต่อศาสนาหรือครูบาอาจารย์ต่างๆของตนเองว่าเลอเลิศประเสริฐศรีแล้ว...แต่บางครั้ง ผมจะมองว่า"ไม่ใช่ ไม่จริง" เพราะผมไม่หลงงมงาย แต่ก็ไม่ใช่เซียนที่ทดลอง"ยิงพระเครื่อง"แล้วจึงเชื่อจึงซื้อ...แต่ผมก็มีวิธีพิสูจน์ทราบของผมเอง...ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ นั่นบาปก็ต้องตกแก่ผมแน่นอน....
    อีกอย่างก็ต้องถามว่าแล้วไปวิเคราะห์ทำไม....คำตอบก็คือว่า ก็ผมเป็นมนุษย์ ผมก็อยากรู้อยากเห็นเป็นของธรรมดา....ยิ่งใครที่บอกว่า พระพุทธเจ้าบอกว่ามันเป็นอจินไตย...นั่นยิ่งทำให้อยากรู้มากขึ้น แต่ก็มีคำตอบว่า อยากรู้ก็ปฏิบัติเอาเอง....นั่นก็ใช่ แต่ผมไม่...เพราะผมรู้ว่าการปฏิบัติ(ธุดงค์ภาวนา)นั้นมันยากเกินวาสนาของผม....ดังนั้น ผมจึงหาความรู้จากการวิจัยวิเคราะห์ตามหลักระเบียบวิจัยทางสังคมศาสตร์ ซึ่งมันก็เป็นศาสตร์ที่แสวงหาความรู้ความจริงเหมือนกัน...แม้ว่ามันยังไม่สามารถรู้ถึงปรมัทถ์ธรรมได้ แต่มันก็ช่วยสร้างความเข้าใจที่น่าจะใกล้เคียง"ความจริงสุดท้าย"ที่พระพุทธเจ้ารู้ได้...
    ...ไอน์สไตน์ใช้วิธีวิจัยทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ความจริง จนใกล้เคียงความจริงทางศาสนาพุทธมาแล้ว....ผมเลยลองพยายามเดินตามก้นไอน์สไตน์ แม้เพียงธุลีดินก็ตามที..และเอ้อ..ที่คุณบอกว่าผมเปรียบเหมือนจุดเล็กๆของพระพุทธเจ้านั้น...ให้เกียรติกันเกินไป...ความจริงคือ ผมไม่สามารถไปเปรียบเทียบได้เลยทุกกรณี...มนุษย์ที่ยังเวียนว่ายตายเกิด....แค่ไปเปรียบเทียบกับมนุษย์ด้วยกันก็ยังไกลกันมากแล้ว...ยิ่งไปเปรียบกับสัตว์ บางทีก็แพ้สัตว์ในบางกรณีด้วย เช่นหมามันยังเลี้ยงลูก เป็นต้น......
    ...การเคารพเชื่อถือในศาสนาเป็นสิ่งดี แต่ถ้าเชื่อแบบไม่มีวิธีการตรวจสอบเพื่อหาความรู้ความจริงแล้ว มันก็อันตราย...เช่นอาจหลงทาง อาจถูกหลอกเสียทรัพย์ฯลฯ...
    .....ตัวอย่างพระไตรปิฏก ที่สังคายนามาแล้ว5ครั้งนี่ ผมฟันธงได้เลยว่า"ความน่าจะเป็นที่จะคลาดเคลื่อนในบางเรื่องนั้นมีสูง" เช่น กะอีแค่400กว่าปีกรุงศรีอยุทธยานี่ หาหลักฐานยืนยันกันยังแทบไม่มีหลักฐานเลย...มีแต่ผู้ค้นคว้า ดำน้ำกันเองเป็นส่วนใหญ่...ดังนั้น 2600ปีนี่ ถ้าไม่คลาดเคลื่อน หาหลักฐานแทบไม่ได้แล้ว ดังนั้น ส่วนใหญ่จึงเป็นเรื่องแต่งขึ้นในภายหลังทั้งสิ้น.....สวัสดีครับ.
     
  7. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่สามารถพิสูจน์ตามได้ด้วยความคิด

    สภาวะที่ท่านอยากพิสูจน์นักหนานั้น ไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยการคิด

    ถ้าอยากพิสูจน์ ให้หยุดวิ่งไปตามความคิด แล้วกลับมามีสติ

    แต่ถ้ายังคิดอยากพิสูจน์ไม่หยุด ก็จะไม่หลุดจากวังวนนี้ ที่คุณเป็นมานานไม่หายสักที (มากกว่า 1 ชาติ)

    จริงๆ แล้ว ผมเคยเตือนท่าน NARKA ไว้ว่า ในการปฏิบัติของท่าน ท่านยังติดทิฏฐิบางอย่าง ที่ทำให้สภาวะธรรมไม่ก้าวหน้าขึ้น ตอนนั้นผมบอกไว้แบบอ้อมๆ ไม่คิดว่าเวลาผ่านมา ทิฏฐินอกจากจะไม่คลาย แล้วยังเหนียวแน่นขึ้น

    ดังนั้น ขออาราธนา คำสอนของหลวงปู่ดูลย์ เอาไว้เป็นเข็มทิศนะครับ
    "คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ หยุดคิดจึงรู้ แต่ต้องอาศัยคิดนั่นแหละจึงรู้" - หลวงปู่ดูลย์

    หากสงสัย ว่า "คิด" กับ "รู้" ต่างกันยังไง หรือ ถ้าอยากหาทางออกจากวังวนของความคิด ก็ถามเพิ่มเติมได้ แต่ถ้าท่าน NARKA จะไม่สนใจ ทิ้งเข็มทิศไปเฉยๆ ผมก็คงต้องวางอุเบกขา ปล่อยไปตามวิบากกรรมที่ยังต้องชักนำท่านอยู่ครับ
     
  8. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,568
    ค่าพลัง:
    +4,560
    ท่านอินทร์ฯ ขอบคุณหลายๆเด้อ....
    ของหลวงปู่ดุลย์นี่ ผมวิเคราะห์อย่างนี้(เอาอีกแล้ว ฮา)
    คือ สมองมนุษย์นี่ ยิ่งคิดยิ่งยุ่ง มันจะคิดไม่ออก เพราะล้า
    แต่ถ้าหยุดคิด ในความหมายคือการทำสมาธิภาวนานั่นเอง...เมื่อจิตสงบนิ่งเป็นหนึ่ง...ก็จะเกิดญาน...
    ..เมื่อเกิดญานก็ใช้วิปัสสนา ซึ่งก็คือการคิดอีกนั่นแหละ แต่เป็นการคิดด้วยปัญญาญานที่เกิดขึ้น....ดังนั้น วิธีคิดแบบนี้...จึงรู้....ขอบคุณอีกครั้งครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...