พระพุทธเจ้ากับพระพุทธมารดา

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 3 สิงหาคม 2009.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,494
    พระพุทธเจ้ากับพระพุทธมารดา
    . วชิรเมธี .


    [​IMG]


    ภิกษุทั้งหลาย
    ในอารยวินัยนี้ เรากล่าวว่า น้ำนมของมารดา กลั่นออกมาจากสายโลหิต ”

    [ พระพุทธพจน์ ] ​

    [​IMG]
    “ แม่ ” หรือ “ มารดา ” คำคำนี้เป็นคำสูง เป็นมงคลแห่งคำอันควรเทิดไว้เหนือบรรดาคำทั้งปวงในภาษาศาสตร์

    คำว่า “ แม่ ” จะฟังดูยิ่งใหญ่ที่สุดในตอนไหน อาจตอบได้ว่า ในตอนที่ลูกนอนป่วยแบ็บ อยู่คนเดียวที่ไหนสักแห่งหนึ่งในโลกซึ่งไร้ผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด กับในตอนที่ต้องพลัดพรากจากบ้านเมืองไปตกระกำลำบากอยู่ในบ้านอื่นเมืองไกล ซึ่งมองไปทางไหนก็ไม่มีใครที่เคยรู้จักมักคุ้นสักคน และอีกตอนหนึ่งซึ่งจะชัดเจนเห็นพระคุณแม่มากที่สุด ก็คือตอนที่กุลสตรีทั้งหลายกลายสถานภาพมาเป็น “ แม่คน ” ด้วยตนเองดูบ้าง หลังจากที่เป็นคน “ มีแม่ ” มาก่อนหน้านั้นนานแล้ว กล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า เมื่อเป็น “ แม่คน ” จึงเข้าใจ “ แม่ตน ” นั่นเอง
    พระพุทธองค์ทรงยกย่องพระพุทธมารดามาก ทั้งในทางคำสอนและในทางพระจริยวัตรที่ประทับไว้เป็นรอยแห่งความดีให้อนุชนเจริญรอยตาม ในแง่จริยวัตรนั้นปรากฏว่า ในพรรษาหนึ่งซึ่งเป็นช่วงต้นพุทธกาล พระองค์ถึงกับเสด็จขึ้นไปแสดงพระอภิธรรมโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มาแล้ว เคยมีนักศึกษาคนหนึ่งถามผู้เขียนว่า เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไร สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไม่น่าจะมีจริง ผู้เขียนถามกลับไปว่า เธอเอาอะไรมาวัดว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไม่มีอยู่จริง นิสิตคนนั้นอึ้งไป ความจริงเรื่องที่เราควรสนใจกันมากกว่าเรื่องความมีอยู่ของสวรรค์ก็คือ การมองให้ทะลุถึงแก่นของคติที่ว่า

    ทำไมพระพุทธองค์จึงเสด็จไปโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ต่างหาก

    ต่อปัญหานี้ผู้เขียนอยากจะถอดรหัสเสียใหม่ว่า พระพุทธจริยาในตอนนี้ท่านคงไม่ต้องการมุ่งแสดงให้เห็นว่า การที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์นั้น มีความสมจริงหรือไม่สมจริงหรอก แต่สิ่งที่ท่านต้องการแสดงให้ชาวโลกเห็นก็คือ พระพุทธองค์ทรงต้องการจะบอกพวกเราว่า ขนาดพระมารดาของพระองค์นั้นแม้จะเสด็จสวรรคตไปอุบัติเป็นเทพอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตแล้วก็ตาม ( เวลาฟังธรรมเสด็จลงมาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ) สถานที่หรือภพที่พุทธมารดาประทับอยู่กับสถานที่หรือภพซึ่งพระพุทธองค์ทรงมีพระชนม์โลดแล่นอยู่ซึ่งคือโลกของเรานั้น แม้จะอยู่กัน ” คนละภพ - คนละมิติ ” ก็จริงอยู่ แต่ถึงกระนั้น “ ความต่างแห่งภพ ” ก็หาได้เป็นอุปสรรคแห่งความกตัญญูที่บุตรจะพึงตอบสนองต่อผู้เป็นมารดาของตนแต่อย่างใดไม่

    [​IMG]

    พูดให้ฟังง่ายกว่านั้นก็คือ แม้แม่ของพระองค์จะตายไปอยู่ไกลกันคนละภพคนละโลกแล้ว แต่พระองค์ก็ยังคงแสวงหาวิธีที่จะทดแทนพระคุณแม่ให้เสร็จสิ้นจนได้ แล้วคนธรรมดาสามัญอย่างเราเล่า อยู่ห่างกับคุณแม่แค่เพียงฝาห้องกั้น อยู่บ้านคนละหลังหรืออยู่ห่างกันแค่ชั่วยกหูโทรศัพท์ถึง ใกล้กันขนาดนี้ ภพเดียวกันขนาดนี้ แต่เราทั้งหลายเคยทำอะไรที่แสดงให้เห็นว่า เราเป็นลูกกตัญญูต่อมารดาบิดา เหมือนอย่างที่พระพุทธองค์ทรงวางพุทธจริยาเอาไว้ให้เห็นบ้างหรือไม่
    นั่นเป็นพุทธจริยาของพระองค์ต่อพระพุทธมารดาคนแรก ซึ่งถือกันว่าเป็น “ แม่บังเกิดเกล้า ” แท้ ๆ ของพระองค์ ต่อแม่คนที่สองหรือพระมารดาเลี้ยง ( พระมาตุจฉา ) ที่ชื่อพระนางมหาปชาบดีโคตมีเล่า ในฐานะที่ทรงเป็น “ ลูกเลี้ยง ” ทรงตอบแทนพระคุณพระมารดาเลี้ยงของพระองค์อย่างไร

    พุทธประวัติบันทึกเอาไว้ว่า ราวพรรษาที่ ๕ ขณะเสด็จนิวัติพระนครกบิลพัสดุ์ พระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงมีพระประสงค์จะผนวชเป็นภิกษุณีในพระธรรมวินัย ( พุทธศาสนา ) แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาตในทันที ทั้งนี้เพราะทรงตระหนักเป็นอย่างดีว่า การทรงเพศเป็นภิกษุณีเป็นเรื่องฝืนกระแสสังคมในสมัยนั้น และเป็นเรื่องที่เสี่ยงต่อภยันตรายเป็นอันมาก ดังปรากฏในเวลาต่อมาว่า ภิกษุณีรูปหนึ่งซึ่งถึงแม้จะเป็นพระอรหันต์แล้วก็ตามที กระนั้นก็ยังไม่วายถูกคนใจร้ายปลุกปล้ำข่มขืนจนกลายเป็นเรื่องราวอื้อฉาวในวงการศาสนาขณะนั้น
    แต่ในที่สุด ท่ามกลางความยากลำบากในการฝ่าฝืนกระแสสังคมสมัยนั้น พระพุทธองค์ก็ยังทรงเปิดโอกาสให้พระแม่น้ามหาปชาบดีโคตมี ได้ผนวชเป็นภิกษุณีรูปแรกในพระพุทธศาสนา ซึ่งถือว่าเหตุการณ์นี้เป็นการเปิดศักราชใหม่ให้แก่ “ สิทธิสตรี ” อย่างแท้จริงในเวทีโลกมาตราบจนบัดนี้ และในเวลาต่อมาก็ทรงอนุเคราะห์ทดใช้ค่าน้ำนมให้แก่พระแม่น้าของพระองค์จนหมดหนี้ศักดิ์ต่อกันด้วยการที่ทรงเป็น “ พระบิดา ” ในทางธรรมให้แก่พระนางสมดังคำที่ภิกษุณีมหาปชาบดีโคตมีกราบทูลเล่าเอาไว้ก่อนเสด็จปรินิพพานว่า
    “ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นที่พึ่งของมหาชนชาวโลก
    หม่อนฉันได้ชื่อว่าเป็นพระมารดา ( ในทางรูปกาย ) ของพระองค์
    แต่ในขณะเดียวกัน
    พระองค์ก็ได้ชื่อว่าเป็นพระบิดา ( ในทางธรรม ) ของหม่อมฉันด้วย
    พระองค์ทรงโปรดประทานสุขจากพระสัทธรรม
    อันทำให้หม่อนฉันได้ถือกำเนิดขึ้นมาในโลกแห่งพระธรรมอีกครั้งหนึ่ง
    หม่อมฉันเองได้อภิบาล พระรูปกาย ของพระองค์ขึ้นมาจนเติบใหญ่
    ในขณะเดียวกันพระองค์ก็ได้ทรงอภิบาล พระธรรมกาย ( คุณธรรม ) ที่น่ารื่นรมย์ใจของหม่อมฉันให้เจริญวัยไม่น้อยไปกว่ากัน
    หม่อมฉันได้น้อมถวายกษีรธาราให้พระองค์ทรงดื่มพอดับกระหายได้เป็นครั้งคราว
    แต่พระองค์เล่าก็ได้ทรงโปรดประทานกษีรธารา คือพระธรรมให้หม่อมฉันได้ดื่มดับกระหายได้อย่างเด็ดขาดเช่นเดียวกัน ฉันนั้น ...”
    การรู้คุณและแทนคุณมารดาบิดาผู้ให้กำเนิดนั้นเป็นพุทธจริยา หรืออารยวัตร ( ข้อปฏิบัติอันประเสริฐ ) ที่แม้แต่พระพุทธองค์ผู้ทรงเป็นอัครบุคคลของโลกก็ไม่ทรงละเลย วิญญูชนทุกหนทุกแห่ง ทุกศาสนา ทุกวัฒนธรรมในโลกก็ยกย่องสรรเสริญว่า มารดาบิดาเป็นอัครบุคคลที่หาได้ยาก เป็นหนึ่งไม่มีสอง เสียแล้วเสียเลย สิ้นแล้วสิ้นเลย นอกจากนี้แล้วปราชญ์ทั้งหลายยังเห็นตรงกันอีกว่ามารดาบิดาเป็นบุพการีชนที่คนเป็นบุตรธิดา จักต้องตอบแทนพระคุณไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเสมอ ปรมาจารย์ทางจิตวิญญาณสายตะวันออกอย่างขงจื๊อก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ยกย่องเรื่องความกตัญญูต่อมารดาบิดามาก ท่านสอนศิษยานุศิษย์ว่า

    “ นอกจากความเจ็บป่วยอันเป็นสามัญของตนเองแล้ว อย่าได้ทำเหตุอื่นใดอันจะส่งผลให้มารดาต้องน้ำตาตกเป็นอันขาด ”




    มารดาของแผ่นดิน

    เอียงอกเทออกอ้าง อวดองค์ อรชร
    เปรื่องปราชญ์ปัญญายง หยั่งรู้
    ขี่คอคชสารทรง ขอสับ ศึกพ่อ
    แม่อีกภริยากู้ เกียรติแก้วแก่สมัย .
    ผู้หญิงเป็นมารดามหาบุรุษ
    เป็นพระพุทธก็เป็นได้ไม่น้อยหน้า
    เป็นผู้นำยุคสมัยในโลกา
    เป็นภรรยาสุดแสนดีสามีรัก
    เป็นผู้อวดองค์อรชรชวนชม้าย
    เป็นสหายแห่งชีวิตสิทธิศักดิ์
    เป็นแม่ทัพนำไทยให้คึกคัก
    เป็นเสาหลักการเมืองเรืองฤทธี
    เป็นขวัญเรือนรินธรรมชี้นำลูก
    เป็นผู้ปลูกค่านิยมสมศักดิ์ศรี
    เป็นผู้กล้าที่จะก้าวเข้าต่อตี
    เป็นผู้มีศักยภาพควรปราบดา
    นี่แหละคือผู้หญิงที่จริงแท้
    โลกควรแก้เกณฑ์กดลดโมหา
    เคารพหญิงอย่างที่เป็นเช่นสัจจา
    เพราะหญิงคือมารดาของแผ่นดิน .



    หมายเหตุ .
    หากเห็นว่า “ บทความ ” นี้ พอจะมีคุณค่าอยู่บ้าง จะช่วยกันเผยแผ่ให้กว้างขวางออกไปให้มากที่สุด เพื่อบูชาพระคุณแม่ร่วมกับผู้เขียนและมวลกัลยาณมิตร ก็ขออนุโมทนาล่วงหน้าเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ด้วย .

    ---
    ที่มา:บทความบางส่วนของชมรมกัลยาณธรรม
    ��оط����ҡѺ��оط���ô�
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2009
  2. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    ข้าพเจ้าได้สดับมาว่า พระมารดาของพระพุทธเจ้าที่เมื่อละสังขารจากภพมนุษย์ก็ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรที่สวรรค์ชั้นดุสิต เพราะท่านไม่มีวิบากกรรมกาเมสุมิจฉา แล้ว แต่ที่ลงมาเกิดเป็นผู้หญิงในชาตินี้ เนื่องจากท่านอธิษฐานจิตมา ที่จะเป็นพุทธมารดา จึงต้องมีกายหยาบเป็นผู้หญิงเป็นกรณีพิเศษที่ไม่ได้เป็นผู้หญิง เพราะวิบากกรรมกาเมฯ แต่เป็นเพราะผลบุญที่จะลงมาทำหน้าที่ เพื่อเป็นทางผ่านให้พระโพธิสัตว์ลงมาเกิดเพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ว่ากันว่าท่านมีบุญมาก ได้อธิษฐานจิตขอเป็นพุทธมารดาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึง 5 พระองค์ในพุทธันดรนี้
    และท่านอยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิตอันไม่เกาะเกี่ยวกับการเสพกามแบบมนุษย์(ไม่มีการเสพเมถุน) ไม่ใช่ดาวดึง แต่เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ ท่านไปที่ดาวดึง เพื่อให้เทวดาทุกชั้นสามารถเข้าเฝ้าได้ เพราะชั้นดาวดึง เป็นสวรรค์ขั้นที่ 2 ที่ชาวจาตุฯก็สามารถขึ้นมา เพื่อฟังพระธรรมได้ ส่วนเทวดาชั้นอื่นๆที่สูงขึ้นไป ก็ลงมาได้ดังนั้นเทพบุตรพุทธมารดา จึงลงมาจากชั้นดุสิต เพื่อฟังพระธรรมที่ชั้นดาวดึง และสำเร็จเป็นพระอริยบุคคล ขั้นโสดาบัน
    ดังนั้นพระนางสิริมหามายาได้สร้างบารมีและอธิษฐานมาเพื่อมาเป็นพระพุทธมารดา เมื่อความปรารถนาได้เสร็จสมบูรณ์แล้วก็กลับไปรอเพื่อมาเกิดเป็นพุทธมารดาของพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป ซึ่งเป็นองค์สุดท้ายในภัทรกัปนี้ คือพระศรีอารยเมตไตรสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนการที่พระนางสิริมหามายาต้องสิ้นพระชนม์เร็ว ก็เพราะว่าพระครรภ์ที่เป็นที่รองรับกายเนื้อของมหาบุรุษผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นไม่สมควรที่จะให้ผู้หนึ่งผู้ใดที่บารมียังไม่เต็มเปี่ยมมาใช้ร่วมด้วย ดังเช่นในวันที่พระองค์ประสูติได้ทรงกล่าว อสภิวาจาว่า
    อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏฺโฐ เสฏฺโฐ หมสฺมิ
    อยนฺติมา เม ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ฯ
    "เราเป็นผู้ที่เลิศที่สุด เราเป็นผู้ที่ประเสริฐที่สุด ผู้อื่นที่ประเสริฐยิ่งกว่าเรานั้นไม่มี ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา"
    ก็หมายความว่าเมื่อพระองค์ประสูติแล้ว ได้ทรงตรวจดูทั่วทั้งจักรวาลนี้ไม่พบเลยว่าจะมีผู้ใดที่มีบารมีมากเกินกว่าพระองค์ เพราะบารมีของพระองค์เต็มเปี่ยมแล้วนั่นเอง เพราะได้สร้างบารมีมาอย่างยาวนานถึง ๒๐ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป จึงจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (นอกจากนี้ยังมีเทพบุตรผู้มีฤทธิ์คอยอารักษ์ มิให้มนุษย์หรืออมนุษย์ประทุศร้ายพระองค์และพระครรภ์ได้)
    อนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...