พระนิพพาน จากคำครูอาจารย์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย paang, 18 พฤศจิกายน 2005.

  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    <TABLE bgColor=#ffffcc><TBODY><TR><TD vAlign=top>[​IMG]

    พระพุทธเจ้าท่านเพียงไม่มีร่างเหลืออยู่เท่านั้น พระบารมีและคุณธรรมยังอยู่

    </TD><TD vAlign=top>สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

    (ยมกสูตร) มีผู้หลงว่า พระอรหันต์ตายแล้วสูญ พระพุทธเจ้าจึงตอบว่า ขันธิ์ 5 ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ ดังนั้น พระอรหันต์ตายแล้วไม่สูญ แต่ไม่ควรถามว่าตายแล้วไปไหน เหมือนกับไฟดับแล้ว ก็ไม่ควรบอกว่าไฟสูญหรือถามว่าไฟดับแล้วไปไหน.....
    อ่านเพิ่มเติมที่ หนังสือ ๔๕ พรรษา ของพระพุทธเจ้า หน้า 125-126 พิมพ์ครั้งที่ 1 ปี 2532 ครั้งที่ 1 ปี 2510

    <TABLE><TBODY><TR><TD vAlign=top>พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วไม่ได้หายไปไหน พระพุทธบารมียังปกปักรักษาโลกอยู่ คนในโลกยังรับพระพุทธบารมีได้ มิได้แตกต่างไปจากเมื่อยังทรงดำรงพระชนม์อยู่ เพียงแต่ว่าจำเป็นต้องเปิดใจออกรับ มิฉะนั้นก็จะรับไม่ได้ พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่ทรงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารอีกต่อไป แต่พระพุทธบารมียังพรั่งพร้อม พระอาจารย์สำคัญองค์หนึ่งท่านเล่าไว้ว่าเมื่อท่านปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นอยู่ในป่าดงพงพีนั้น พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปทรงสอนท่านด้วยพระพุทธบารมีเสมอ แล้วท่านพระอาจารย์องค์นั้น ต่อมาก็เป็นที่ศรัทธาเคารพของพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก ที่เชื่อมั่นว่าท่านปฏิบัติถึงจุดหมายปลายทางแล้ว พระพุทธเจ้าเมื่อเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ด้วยพระพุทธบารมีได้ เสด็จไปทรงแสดงธรรมโปรดพระอาจารย์องค์สำคัญให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้ ไม่มีอะไรให้สงสัยว่าเป็นสิ่งสุดวิสัย เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องของท่านพระโมคคัลลาน์เป็นเครื่องให้ความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ่มชัดว่าพระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันตเจ้าก็ดี แม้ดับขันธปรินิพพานแล้ว ท่านก็เพียงไม่มีร่างเหลืออยู่เท่านั้น บารมีและคุณธรรมทั้งปวงของท่านยังพรั่งพร้อมเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง......

    อ่านเพิ่มเติมที่ หนังสือ ชีวิตนี้สำคัญนัก

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE bgColor=#ccffff><TBODY><TR><TD vAlign=top>[​IMG]</TD><TD vAlign=top>สมเด็จพระสังฆราชคูรูปาจารย์ หลวงปู่ทวด(เหยียบน้ำทะเลจืด)
    พระเถระสมัยกรุงศรีอยุธยา

    พุทธะ อยู่ในกายมนุษย์

    อีกจุดหนึ่งที่มนุษย์ไม่ยอมสนใจ คือไม่สนใจค้นในกายของตนเอง สิ่งหนึ่งที่เรียกว่า พุทธะ นั้นอยู่ในกาย ถ้าจิตของผู้นั้นสามารถค้นเข้าไปถึงกายในกายอันบริสุทธิ์ สิ่งนี้ภาษาทางโลกเรียกว่า พลัง ชนิดหนึ่งที่ยอดเยี่ยมอยู่ในตัวเรา แต่เราไม่รู้จักค้นออกมาใช้ เพราะอะไรเล่า ทำไมเราจึงถามว่าเหตุใดองค์สมณะโคดมจึงสามารถระลึกชาติได้ เพราะมีบุพเพนิาสานุสติกญาณ มีอนาคตญาณ หรือมีญาณอะไร สิ่งเหล่านี้เราไม่ต้องไปรับรู้ เราไม่ต้องยุ่ง เราไม่ต้องไปคิดถึงว่าเราจะได้ฌานโน้นฌานนี้ หลักของการปฏิบัติอันหนึ่งมีอยู่ว่า เราจะยึดอะไรเป็นสรณะของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

    คำว่า กรรมฐาน นั้นหมายถึงการกำหนดจิตของเราให้จดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อรวมพลังจิตไม่ให้ฟุ้ง เมื่อรวมพลังจิตอันนั้นไม่ให้ฟุ้งแล้ว รวมอยู่ในจุดใดจุดหนึ่ง รวมจนได้อารมณ์แห่งปีติ คือนิ่งเฉยแห่งจุดนั้น เมื่อนั้นให้ขึ้นวิปัสสนา วิปัสสนาคือให้พิจารณาในทุกสิ่งทุกอย่างว่าเป็นอนัตตา อนัตตาคือการเดินทางไปสู่โลกแห่งนิพพาน โลกแห่งอรหันต์ โลกแห่งโพธิสัตว์ โลกแห่งอนาคา อนาคามี โลกเรานี้เป็นโลกแห่งอัตตา ทำอย่างไรเราถึงจะไปสู่จุดแห่งการเป็นอนัตตาได้

    เพิ่มเติม หนังสือ ประวัติสังเขป พระโพธิสัตว์ หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด พิมพ์ครั้งที่ ๑ ปี 2536 บ.เคล็ดไทย จำกัด จำหน่าย (ที่คัดมาหน้า 135-136)
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE><TBODY><TR><TD vAlign=top width=258>[​IMG]

    นิพพาน คือว่างจากกิเลส จิตวิญญาณของพระอรหันต์ไม่สูญ ที่วิญญาณสูญนั่นคือวิญญาณในขันธ์ ๕ เท่านั้น

    [​IMG]
    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) กับ เสด็จพ่อ ร.๕

    </TD><TD vAlign=top>สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี

    (คัดจากหน้า 41-43)
    ขุนราชฤทธิ์บริรักษ์ (ถาม) : อันว่านิพพาน ปรมัง สุญญัง เป็นอันว่านิพพานเป็นสูญอย่างยิ่ง คือหมายความว่าสูญเลย คำว่าสูญเลยเป็นที่สงสัยอย่างเกล้ากระผมซึ่งมีกิเลสหนา คำว่าสูญเลยตามตำราบอกว่าขันธ์นั่นสูญ รูปขันธ์ก็หายไป วิญญาณขันธ์ก็หายไป แล้วสังขารขันธ์ก็หายหมด ทีนี้เกล้ากระผมไม่ทราบว่าอะไรเหลือ เมื่ออะไรมันหายหมด เพราะนิพพาน ปรมัง สุญญัง นี่ เพราะฉะนั้นในฐานะพระเดชพระคุณสมเดจเป็นนักปราชญ์ผู้มีความเปรื่องในธรรม โปรดได้อธิบายให้เกล้ากระผมเพื่อเป็นแนวทางซักหน่อย ก็จะเป็นพระคุณและได้บุญกับสาธุชนผู้ที่นั่งฟังอีกด้วยเป็นอย่างมาก

    สมเด็จ (ตอบ) : คำว่า นิพพาน นี้ต้องเข้าใจว่ามีหลักแห่งความจริงของคำว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานัง ปรมัง สุญญัง ถ้าในหลักแห่งความจริงของพระสัมมาสัมพุทธโคดมแล้ว คำว่า นิพพาน ในโลกมนุษย์นี้ ก็คือว่า มนุษย์ผู้ใดปฏิบัติตนให้อยู่ในจิตแห่งความว่าง ให้อยู่ในจิตแห่งความนิ่ง ให้อยู่ในจิตแห่งความสิ้นจากสรรพกิเลสที่รอบล้อมอยู่ในตัว เขาเรียกว่า ....
    <CENTER>ใจกลางแห่งนิพพานตั้งอยู่เมือง
    รอบล้อมต่อเนื่องกำแพงอันแสนหนา
    ผู้ใดหาทางทะลุอยู่ในเมือง
    มนุษย์ผู้นั้นย่อมถึงนิพพาน
    </CENTER>นิพพานในโลกมนุษย์นี้เขาเรียกว่าปฏิบัติจิตให้ว่างที่สุด นานเท่านาน ผู้นั้นถึงนิพพานแห่งการเป็นมนุษย์ คือ สุญญัง นี้แหละเขาเรียกว่าสูญจากอาสวกิเลส สูญจากการป็นทาสอารมณ์แห่งการเป็นมนุษยจิตวิญญาณนี้พุ่งสู่แดนอรหันต์ ไม่ใช่สูญทั้งจิตและวิญญาณ ถ้าสูญทั้งจิตและวิญญาณ จะเอาอะไรไปเสวยกรรม สภาพการณ์วิญญาณที่สูญนั้นเขาเรียกว่า วิญญาณธาตุในเบญจขันธ์ วิญญาธาตุนี้เป็นอุปาทาน รูปนี้ประกอบขึ้นด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณธาตุจึงอยู่เป็นกาย แต่วิญญาณอีกอันหนึ่งเขาเรียกว่าวิญญาณซึ่งวนเวียนอยู่ในกฏแห่งวิฏสงสารนั้นแหล่

    (คัดจากหน้า 61-62)
    เรื่องวิญญาณนี้เป็นเรื่องละเอียด ในหลักการแห่งวิญญาณของเทพพรหมชั้นสูงนั้น เปรียบเสมือนหนึ่งในหลักทั่วไปของมนุษย์ ก็คือว่าเป็นอากาศ สภาวการณ์ท่านรู้ว่ามีอากาศ แต่ท่านไม่สามารถจับอากาศขึ้นมาเป็นตัวตนได้ นั่นคือสภาวะของวิญญาณเทพพรหมชั้นสูง

    ทีนี้วิญญาณเหล่าวิสุทธิเทพ วิญญาณเหล่าพรหมสุทธาวาส วิญญาณเหล่าอรหันต์ จะเปรียบให้เข้าใจในโลกมนุษย์นี้จะเปรียบเป็นอะไรเล่า อันนี้อาตมาภาพขอแถลงไขเปรียบเสมือนหนึ่งว่าวิญญาณเหล่านี้เป็นวิญญาณละเอียด สภาวการ์แห่งการเป็นวิญญาณละเอียดเหล่านี้ไซร้ ท่านจะต้องฝึกสมาธิใช้จิตสัมผัสเหสมือนหนี่งเปรียบคือ ลม ท่านลองโบกมือดูสิ ว่ามีลมไหม เมื่อท่านโบกมือย่อมเกิดลม นักวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าเป็นชั้นด็อกเตอร์ก็ยังไม่สามารถเอาหน้าลมออกมาตีแผ่ให้มนุษย์ดูได้ ทั้งๆ ที่มนุษย์ทุกคนยอมรับว่ามีลม เพราะฉะนั้นวิญญาณแห่งวิสุทธิเทพ วิญญาณแห่งเทพพรหมชั้นสูง วิญญาณแห่งอรหันต์ จึงเปรียบง่ายๆ เป็นภาษามนุษย์ว่า ลม

    ทีนี้วิญญาณเหล่าอมรมนุษย์ วิญญาณเหล่าผีเปรต อสรุกาย วิญญาณเหล่าเจ้าที่เจ้าทงเหล่านี้ วิญญาณจำพวกนี้ยังมีกายหยาบ ฉะนั้นต้องเข้าใว่า เมื่อท่านสิ้นจากโลกมนุษย์นี้แล้วไซร้ ท่านจะต้องไปเกิดในปรภพแห่งการเสวยกรรมวิบากที่ไม่เหมือนกัน เพราะต่างกรรมต่างวาระ ต่างคนต่างสร้างมาไม่เหมือนกัน ทีนี้สภาวการณ์แห่งการสร้างกรรมไม่เหมือนกันก็คือว่าท่านที่สิ้นจากโลกมนุษย์ก็ยังเป็นวิญญาณปุตุนั้นก็จะเป็นกายหยาบหลุดออกจากกายเนื้อ ทีนี้ถ้าท่านบำเพ็ญในหลักแห่งวิสุทธิมรรค แห่งการเป็นพระอรหันต์ แห่งการเป็นพระพรหมสุทธาวาสแล้วไซร็ ท่านต้องละลายกายทิพย์เหลือแต่วิญญาณ ทีนี้วิญญาณแห่งกายที่มีกายหยาบเหล่านี้แหล่ ที่บางครั้งสามารถปรับในการรวมกระแสแห่งอำนาจที่ตนมีเป็นกายเป็นรูปร่างให้มนุษย์เห็นได้เป็นบางครั้งบางคราว

    ทีนี้ปัญหาเหล่านี้ ท่านจะถึงหลักแห่งการถึงโลกอีกโลกหึ่ง แห่งโลกทิพยอำนาจนี้ ท่านจะไปได้อย่างไรเล่า ภาวการณ์แห่งการที่จะท่านจะไปโลกเหล่านี้ได้แล้วไซร้ ท่านจะต้องบำเพ็ญในด้านจิตวิญญาณ ตามที่องค์สัมมาสัมพุทธโคดมวางในหลักการให้เราเหล่านุษย์ทั้งหลายเจริญรอยตามท่าน ก็คือว่ามี ศีล สมาธิ ปัญญา

    หนังสือ ธรรมะ จากดวงวิญญาณบริสุทธ์ สมเด็จโต ชุด ของดีที่คนมองข้าม พระปัญญาวรคุณ วัดพนาสนฑ์ จ.นราธิวาส รวบรวม พิมพ์ครั้งที่ ๗ ปี 2536 บ.เคล็ดไทย จำกัด จัดจำหน่าย
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE bgColor=#ffccff><TBODY><TR><TD vAlign=top width=214>[​IMG]
    บุคคลผู้ไม่รู้แจ้งในพระนิพพานไม่ควรสั่งสอนพระนิพพานแก่ผู้อื่น ถ้าขึ้นสั่งสอนก็จะพาหลงทาง เป็นบาปกรรมแก่ตน

    </TD><TD vAlign=top>พระเดชพระคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย ์( สิริจนฺโท จันทร์ )

    .... อันตัวที่ไม่ตายนั้นท่านให้ชื่อว่าโพธิสัตว์ พึงสันนิษฐานได้ว่าสัตว์นั้นแลคือตัวเรา เป็นผู้ไม่ตายเหมือนอย่างพระอริยเจ้ามีพระพุทธเจ้าเป็นต้น เมื่อได้สำเร็จพระอรหัตตผลแล้ว ก็เป็นอันได้สำเร็จพระนิพพาน เมื่อท่านสำเร็จพระนิพพานแล้ว สัตว์ที่ตรัสรู้ที่ไม่เคยตายนั้น ก็ยังอยู่ไม่สูญไปข้างไหน สูญแต่กิเลสเครื่องก่อภพก่อชาติเท่านั้นเอง จึงพอสันนิษฐานเห็นได้ว่า พระนิพพานไม่สูญอย่างเอก แต่การที่จักทำให้สำเร็จ ต้องฝ่าฝืนอำนาจของพระยามาร ....

    เพิ่มเติมที่ แสดงพระธรรมเทศนากัณฑ์ที่ 8 เรื่องมงคลกถา เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2470 ในหนังสือพระธรรมเทศนา มงคลกถา 38 ธรรมวิจยานุศาสน์ คิริมานนทสูตร พร้อมด้วยอธาตุ ชุดพิเศษ เล่มที่ 5 หน้า 96-97

    ......บุคคลผู้มิได้พ้นจากิเลส ราคะ ตัณหา นั้นจะทำบุญให้ทานสร้างกุศลอย่างแข็งแรงเท่าใดก็ดี ก็จักได้เสวยความสุขในมนุษย์โลกแลเทวดาโลกเพียงเท่านั้น ที่จะได้เสวยความสุขในพระนิพพานนั้นเป็นอันไม่ได้ เลย ถ้าจะประสงค์ต่อพระนิพพานแท้ให้โกนเกล้เข้าบวชในพระศาสนา ในว่าบุรุษหญิงชายถ้าทำได้อย่างนี้ชื่อว่าปฏิบัติใกล้ต่อพระนิพพาน เพราะว่าเมืองพระนิพพานนั้นปราศจากกิเลสตัณหา เมืองมนุษย์แลเมืองสวรรค์เป็นที่ซึ่งทรงไว้กิเลสตัณหา ไม่เหมือนเมืองพระนิพพาน
    <TABLE><TBODY><TR><TD>........นิพฺพานํ นครํ นาม อันชื่อว่าเมืองพระนิพพาน ย่อมตั้งอยู่ในที่สุดแห่งโลก โลกมีทีสุดเพียงใด พระนิพพานก็ตั้งอยู่ที่สุดนั้น พระนิพพานเป็นพระมหานครอันใหญ่เป็นที่บรมสุขหาที่เปรียบมิได้ อย่าเข้าใจว่าจะไปนิพพานด้วยกำลังกาย หรือกำลังพาหนะมียานช้างม้าได้ อย่าเข้าใจว่านิพพานตั้งอยู่ในทีสุดโลกเหล่านั้น อย่าเข้าใจว่าตั้งอยู่ที่ใดเลย แต้ว่าพระนิพพานนั้นหากมีอยู่ในที่สุดของโลกเป็ของจริง ไม่ต้องสงสัย ให้ท่านทั้งหลายศึกษาให้เห็นโลกรู้โลกเสียให้ชัดเจน ก็จักเห็นพระนิพพาน พระนิพพานก็หากตั้งอยู่ในที่สุดแห่งโลกนั่นเอง

    ดูเพิ่มเติมที่ หนังสือ คิริมานนทสูตร และ อัตตปวัตติ หน้า ๑๐-๑๒ ISBN974-8239-69-1 สนพ.ดวงแก้ว
    </TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE bgColor=#ccff66><TBODY><TR><TD vAlign=top width=170>[​IMG]

    สรณะทั้ง ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มิได้เสื่อมสูญอันตรธานไปไหน ยังปรากฏอยู่แก่ผู้ปฏิบัติเข้าถึงอยู่เสมอ ผู้ใดยึดถือเป็นที่พึ่งของตนแล้ว ผู้นั้นจะอยู่ในกลางป่า หรือเรือนว่างก็ตาม สรณะทั้งสามก็ปรากฏแก่เราอยู่ทุกเมื่อ

    [​IMG]
    พระอัฐิธาตุหลวงปู่มั่น

    <TD width=10></TD><TD vAlign=top>พระเดชพระคุณพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ

    ๑๓. วิสุทธิเทวาเท่านั้นเป็นสันตบุคคลแท้
    อกุปฺปํ สพฺพธมฺเมสุ เญยฺยธมฺมา ปเวสฺสนฺโต บุคคลผู้มีจิตไม่กำเริบในกิเลสทั้งปวง รู้ธรรมทั้งหลายทั้งที่เป็นพหิทธาธรรม ทั้งที่เป็น อัชฌัตติกาธรรม สนฺโต จึงเป็นผู้สงบระงับ สันตบุคคลเช่นนี้แลที่จะบริบูรณ์ด้วยหิริโอตตัปปะ มีธรรมบริสุทธิ์สะอาด มีใจมั่นคงเป็นสัตบุรุษผู้ทรงเทวธรรมตามความในพระคาถาว่า หิริโอตฺตปฺปสมฺปนฺนา สุกฺกธมฺมสมาหิตา สนฺโต สปฺปุริสา โลเก เทวธมฺมาติ วุจฺจเร อุปัตติเทวา ผู้พรั่งพร้อมด้วยกามคุณ วุ่นวายอยู่ด้วยกิเลส เหตุไฉนจึงจะเป็นสันตบุคคลได้ ความในพระคาถานี้ย่อมต้องหมายถึง วิสุทธิเทวา คือพระอรหันต์แน่นอน ท่านผู้เช่นนั้นเป็นสันตบุคคลแท้ สมควรจะเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยหิริโอตตัปปะ และ สุกฺกธรรม คือ ความบริสุทธิ์แท้

    ๑๔. อกิริยาเป็นที่สุดในโลก - สุดสมมติบัญญัติ
    สจฺจานํ จตุโร ปทา ขีณาสวา ชุติมนฺโต เต โลเก ปรินิพฺพุตา สัจธรรมทั้ง ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ยังเป็นกิริยา เพราะแต่ละสัจจะๆ ย่อมมีอาการต้องทำคือ ทุกข์-ต้องกำหนดรู้ สมุทัย-ต้องละ นิโรธ-ต้องทำให้แจ้ง มรรค-ต้องเจริญให้มาก ดังนี้ล้วนเป็นอาการที่จะต้องทำทั้งหมด ถ้าเป็นอาการที่จะต้องทำ ก็ต้องเป็นกิริยาเพราะเหตุนั้นจึงรวมความได้ว่าสัจจะทั้ง ๔ เป็นกิริยา จึงสมกับบาทคาถาข้างต้นนั้น ความว่าสัจจะทั้ง ๔ เป็นเท้าหรือเป็นเครื่องเหยียบก้าวขึ้นไป หรือก้าวขึ้นไป ๔ พักจึงจะเสร็จกิจ ต่อจากนั้นไปจึงเรียกว่า อกิริยา อุปมา ดังเขียนเลข ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๐ แล้วลบ ๑ ถึง ๙ ทิ้งเสีย เหลือแต่ ๐ (ศูนย์) ไม่เขียนอีกต่อไป คงอ่านว่า ศูนย์ แต่ไม่มีค่าอะไรเลย จะนำไปบวกลบคูณหารกับเลขจำนวนใดๆ ไม่ได้ทั้งสิ้น แต่จะปฏิเสธว่าไม่มีหาได้ไม่ เพราะปรากฏอยู่ว่า ๐ (ศูนย์) นี่แหละ คือปัญญารอบรู้ เพราะลายกิริยา คือ ความสมมติ หรือว่าลบสมมติลงเสียจนหมดสิ้น ไม่เข้าไปยึดถือสมมติทั้งหลาย คำว่าลบ คือทำลายกิริยา กล่าวคือ ความสมมติ มีปัญหาสอดขึ้นมาว่า เมื่อทำลายสมมติหมดแล้วจะไปอยู่ที่ไหน? แก้ว่า ไปอยู่ในที่ไม่สมมติ คือ อกิริยา นั่นเอง เนื้อความตอนนี้เป็นการอธิบายตามอาการของความจริง ซึ่งประจักษ์แก่ผู้ปฏิบัติโดยเฉพาะ อันผู้ไม่ปฏิบัติหาอาจรู้ได้ไม่ ต่อเมื่อไรฟังแล้วทำตามจนรู้เองเห็นเองนั่นแลจึงจะเข้าใจได้ ความแห่ง ๒ บาทคาถาต่อไปว่า พระขีณาสวเจ้าทั้งหลายดับโลกสามรุ่งโรจน์อยู่ คือทำการพิจารณาบำเพ็ยเพียรเป็น ภาวิโต พหุลีกโต คือทำให้มาก เจริญให้มาก จนจิตมีกำลังสามารถพิจารณาสมมติทั้งหลายทำลายสมมติทั้งหลายลงไปได้จนเป็นอกิริยาก็ย่อมดับโลกสามได้ การดับโลกสามนั้น ท่านขีณาสวเจ้าทั้งหลายมิได้เหาะขึ้นไปนกามโลก รูปโลก อรูปโลกเลยทีเดียว คงอยู่กับที่นั่นเอง แม้พระบรมศาสดาของเราก็เช่นเดียวกัน พระองค์ประทับนั่งอยู่ ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์แห่งเดียวกัน เมื่อจะดับโลกสาม ก็มิได้เหาะขึ้นไปในโลกสาม คงดับอยู่ที่จิต ทิ่จิตนั้นเองเป็นโลกสาม ฉะนั้น ท่านผู้ต้องการดับโลกสาม พึงดับที่จิตของตนๆ จึงทำลายกิริยา คือตัวสมมติหมดสิ้นจากจิต
    ยังเหลือแต่อกิริยา เป็นฐีติจิต ฐีติธรรมอันไม่รู้จักตาย ฉะนี้แล

    ๑๕. สัตตาวาส ๙
    เทวาพิภพ มนุสสโลก อบายโลก จัดเป็นกามโลก ที่อยู่อาศัยของสัตว์เสพกามรวมเป็น ๑ รูปโลก ที่อยู่อาศัยของสัตว์ผู้สำเร็จรูปฌานมี ๔ อรูปโลก ที่อยู่อาศัยของสัตว์ผู้สำเร็จอรูปฌานมี ๔ รวมทั้งสิ้น ๙ เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ ผู้มารู้เท่าสัตตาวาส ๙ กล่าวคือ พระขีณาสวเจ้าทั้งหลาย ย่อมจากที่อยู่ของสัตว์ ไม่ต้องอยู่ในที่ ๙ แห่งนี้ และปรากฏในสามเณรปัญหาข้อสุดท้ายว่า ทส นาม กึ อะไรชื่อว่า ๑๐ แก้ว่า ทสหงฺ เคหิ สมนฺนาคโต พระขีณาสวเจ้าผู้ประกอบด้วยองค์ ๑๐ ย่อมพ้นจากสัตตาวาส ๙ ความข้อนี้คงเปรียบได้กับการเขียนเลข ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๐ นั่นเอง ๑ ถึง ๙ เป็นจำนวนที่นับได้ อ่านได้ บวกลบคูณหารกันได้ ส่วน ๑๐ ก็คือ เลข ๑ กับ ๐ (ศูนย์) เราจะเอา ๐ (ศูนย์) ไปบวกลบคูณหารกับเลขจำนวนใดๆ ก็ไม่ทำให้เลขจำนวนนั้นมีค่าสูงขึ้น และ ๐ (ศูนย์) นี้เมื่ออยู่โดยลำพังก็ไม่มีค่าอะไร แต่จะว่าไม่มีก็ไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งปรากฏอยู่ ความเปรียบนี้ฉันใด จิตใจก็ฉันนั้นเป็นธรรมชาติ มีลักษณะเหมือน ๐ (ศูนย์) เมื่อนำไปต่อเข้ากับเลขตัวใด ย่อมทำให้เลขตัวนั้นเพิ่มค่าขึ้นอีกมาก เช่น เลข ๑ เมื่อเอาศูนย์ต่อเข้า ก็กลายเป็น ๑๐ (สิบ) จิตใจเรานี้ก็เหมือนกัน เมื่อต่อเข้ากับสิ่งทั้งหลายก็เป็นของวิจิตรพิสดารมากมายขึ้นทันที แต่เมื่อได้รับการฝึกฝนอบรมจนฉลาดรอบรู้สรรพเญยฺยธรรมแล้วย่อมกลับคืนสู่สภาพ ๐ (ศูนย์) คือ ว่างโปร่งพ้นจากการนับการอ่านแล้ว มิได้อยู่ในที่ ๙ แห่งอันเป็นที่อยู่ของสัตว์ แต่อยู่ในที่หมดสมมติบัญญัติคือ สภาพ ๐ (ศูนย์) หรืออกิริยาดังกล่าวในข้อ ๑๔ นั่นเอง

    ดูเพิ่มเติมที่หนังสือมุตโตทัย
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE bgColor=#ccff99><TBODY><TR><TD vAlign=top>[​IMG]</TD><TD vAlign=top>หลวงพ่อ วัดปากน้ำภาษีเจริญ (พระมงคลเทพมุณี สด)

    ...... รูปทั้งหลายนั้นไม่ว่าประณีตสวยงามหรือไม่ ก็มาลงเอยที่อนิจจาด้วยกันทั้งสิ้น คือตายหมดไม่เหลือ ย่อมเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้ มีแต่ความไม่เที่ยง เมื่อไม่เที่ยงก็ต้องทุกข์ทั้งนั้น การที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าอะไรๆ ไม่เที่ยงนั้น จุดประสงค์คือจะให้เข้าถึง กายธรรม นอกจากกายธรรมแล้ว จะเป็นกายมนุษย์ กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม เหล่านี้ต่างเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทั้งนั้น คือต้องเวียนว่ายอยู่ในภพทั้ง ๓ ต่อเมื่อเข้าถึงกายธรรม จึงเป็นของเที่ยงเป็นสุขเป็นตัวตนทันที .....

    ดูเพิ่มเติมที่ หนังสือรู้ตรึกรู้นึกรู้คิด หน้า98 (หาซื้อได้ที่ร้านแพร่พิทยา)

    ......"นิพพานอยู่ข้างบน สูงจากภพ 3 โตเท่าภพ 3 นี่ สว่างเป็นแก้วไปหมดทั้งนั้น งดงามมาก โตเท่าภพ 3 นี่" .....

    จากพระธรรมเทศนาเรื่อง "โอวาทปาฏิโมกข์" 20 ตุลาคม 2497 ดูเพิ่มเติม
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE bgColor=#ffff99><TBODY><TR><TD vAlign=top><CENTER>[​IMG]

    [​IMG]
    หลวงพ่อ กับ หลวงปู่บุดดา

    [​IMG]
    หลวงพ่อ กับ ในหลวงฯ

    [​IMG]
    พระศพของหลวงพ่อไม่เน่าสลาย
    ประดิษฐานอยู่ที่วัดท่าซุง ในมณฑปแก้ว </CENTER>
    </TD><TD vAlign=top>หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน วีระ ถาวโร ปธ.๔) วัดท่าซุง อุทัยธานี

    .....ความหมายตามบาลี(ยมกสูตร) คนที่เห็นว่าพระอรหันต์ตายแล้วสูญ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าเป็นความเห็นผิด แล้วท่านบรรดานักเขียนนักแต่งทั้งหลายท่านเอามาจากไหนว่า นิพพานสูญ อันนี้น่าจะเกิดจากความเข้าใจผิดอะไรกันสักอย่าง เพราะมีพระบาลีบทหนึ่งว่า นิพพานนัง ปรมังสูญญัง แปลว่านิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง ท่านอาจจะไปคว้าเอา ปรมังสูญญัง โดยเข้าใจว่า สูญโญเข้าให้ ......

    ดูเพิ่มเติมที่ [ หนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน อุปสมานุสสติกรรมฐาน]

    ผู้ถาม : เกิดมาแล้วทำไมจึงต้องตายครับ
     
  2. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    <TABLE><TBODY><TR><TD vAlign=top>[​IMG]

    [​IMG]
    องค์หลวงตา กับ ในหลวง

    ดวงจิตนี้ไม่เคยสูญ แดนพระนิพพานมีจริง

    หลวงปู่มั่น ท่านเล่าว่า พระพุทธเจ้าหลายพระองค์ พร้อมด้วยพระสาวก เสด็จมาเยี่ยมท่าน

    </TD><TD vAlign=top>หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

    .... นรกมี สวรรค์มี พรหมโลก นิพพานมี พระพุทธเจ้าของเราทรงยืนยันจิตวิญญาณคือใจของคนของสัตว์นี้มีมาดั้งเดิม ตั้งแต่กาลไหนๆ ไม่มีต้นไม่มีปลาย จิตดวงที่ไม่ตายนี้แล ไม่เคยฉิบหาย ไม่เคยสูญ........

    ดูเพิ่มเติมที่ [ตายแล้วย้อนกลับมาบ้านเรือน]

    จากนั้นบุญกุศลทั้งหลายที่เราสร้างอยู่ไม่หยุดไม่ถอย เพิ่มพูนขึ้นเป็นลำดับลำดาเลยสวรรค์ไป เลยพรหมโลกไป จนกระทั่งถึงนิพพาน ดับทุกข์โดยประการทั้งปวงโดยสิ้นเชิงตลอดไป ไม่มีคำว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา จะเข้าไปเกี่ยวข้องในเมืองนิพพานนั้นได้เลย เรียกว่าเมืองนิพพานก็ได้ มหาวิมุตติ มหานิพพาน หรือธรรมธาตุก็ได้ นี่เรียกว่าสถานที่ดับทุกข์โดยประการทั้งปวง จากความดีของเราที่ได้สร้างมามากน้อย ท่านจึงได้สอนไว้ พระพุทธเจ้าท่านทรงนิพพาน ทุกสิ่งทุกอย่างทรงผ่านไปหมดแล้ว การขึ้นลงสวรรค์ชั้นพรหมไม่มีใครเกินโพธิสัตว์ ที่ได้สร้างคุณงามความดีแล้วก็ไปเกิดในสวรรค์ชั้นนั้นๆ ควรแก่กาลเวลาแล้วก็ลงมาสร้างบารมี

    กฎอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปอย่างโลกทั่วๆ ไปอย่างนี้ ไม่มีในนิพพาน นิพพานสิ้นสุดยุติตั้งแต่ขณะท่านตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมา พระอรหันต์ก็บรรลุธรรมปึ๋งขึ้นมา ทราบทันทีเลยว่าพ้นแล้วจากแดนแปรปรวน แดน ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา ถึงแล้วซึ่งพระนิพพาน เรียกว่าเมืองเที่ยงตรง เที่ยงไปตลอดอนันตกาล ไม่มีคำที่ว่าจะโยกย้ายผันแปรไปไหนอีกเลย แม้ขณะหนึ่งก็ไม่มีในแดนนิพพาน จึงเรียกว่าเป็นแดนแห่งความเลิศเลอของท่านผู้บรรลุธรรมอันเลิศเลอแล้วสถิตอยู่ในสถานที่นั้น ผู้อื่นผู้ใดไม่สามารถจะไปอยู่ในสถานที่นั้นได้ นอกจากผู้สิ้นกิเลสโดยสิ้นเชิงแล้วเท่านั้น นี่ก็คือการสร้างบุญสร้างกุศล

    สำหรับเราพอทุกอย่าง เอาอะไรมาให้ก็ไม่เอา ปล่อยวางหมด เช่นทองคำทั้งแท่งกับอิฐก้อนหนึ่ง ราคาทองคำทั้งแท่งสูง อิฐก้อนหนึ่งราคาต่ำแต่มันมีน้ำหนักเท่ากัน เมื่อมีน้ำหนักเท่ากัน น้ำหนักนั้นแหละจะเป็นกองทุกข์แก่ผู้แบกหาม ปล่อยเสียทั้งหมด ทองคำก็ไม่เอา อิฐ-ปูนก็ไม่เอา ปล่อยแล้วไม่หนัก นี้ละธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ได้เข้าในหัวใจดวงใดแล้วปล่อยหมดโดยสิ้นเชิง มีแต่ความพอแล้วด้วยความเลิศเลอ ไม่ใช่พอธรรมดาอย่างโลกทั้งหลายพอกัน พอในธรรมทั้งหลายนี้พอด้วยความเลิศความเลอ ถ้าว่าสุขก็ไม่มีสุขใดเสมอเหมือน ว่าเลิศเลอก็หาอะไรไปเทียบไม่ได้ เพราะนั้นเป็นแดนวิมุตติ ไม่ใช่สมมุติพอจะมาเทียบมาเคียงตามสัดตามส่วนได้ นี่ละท่านว่าแดนแห่งความเลิศเลอ

    เทศน์อบรมพระสงฆ์และฆราวาส ณ ศาลาใหญ่วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๖ [บ่าย]
    ดูเพิ่มเติมที่ [เอาธรรมจักรเข้าไปผันหัวกิเลส]


    ใจนี้ไม่เคยตาย ตั้งกัปตั้งกัลป์ก็เป็นมาอย่างนี้ แม้จะไปตกนรกตั้งกี่กัปกี่กัลป์ก็ตาม การที่ว่าได้รับความทุกข์ในแดนนรกแต่ละหลุม ๆ นั้นยอมรับ ส่วนที่จะให้ใจนี้ฉิบหายไม่มี ทุกข์ขนาดไหนก็ยอมรับว่าทุกข์ แต่ไม่เคยฉิบหายคือใจดวงนี้ เวลาชำระสะสางแล้วด้วยอำนาจแห่งคุณงามความดีของเรา ก็ค่อยสงบผ่องใสได้บริสุทธิ์ขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงขั้นความบริสุทธิ์เต็มที่แล้ว ดังพระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์ทั้งหลาย ท่านถึงนิพพานเลย นั่น ถึงนิพพานก็ไม่สิ้นสูญ ใจดวงนี้ไม่มีคำว่าสูญ ตกนรกก็ไม่สูญใจดวงนี้ จนกระทั่งบริสุทธิ์เต็มที่แล้วไปถึงนิพพานก็ไม่สูญ นี่แหละท่านว่านิพพานเที่ยง ก็คือจิตดวงที่ไม่สูญนี้แหละเป็นผู้บริสุทธิ์เต็มที่แล้ว เรียกว่าธรรมธาตุ อยู่ในแดนแห่งนิพพาน นี่แหละเป็นผู้เสวยความบรมสุขตลอดไป ท่านจึงเรียกว่านิพพานเที่ยง ๆ ก็เพราะจิตดวงนี้ไม่ตาย มีความเที่ยงตรงอยู่ด้วยบรมสุขตลอดไป นี่คือการสร้างความดีให้ผลแก่เราอย่างนี้ ให้พากันอุตส่าห์พยายามสร้างคุณงามความดี

    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดเขาน้อยสามผาน จ.จันทบุรี เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ (บ่าย)
    ดูเพิ่มเติมที่ ความสุขอันแท้จริง

    นี่ละตัวพาให้เกิด ก็รู้ได้ชัดละซิ ทีนี้จะเอาอะไรไปเกิด เอ้า เห็นกันอยู่รู้กันอยู่ ตัวนี้จะไปเกิดที่ไหนที่นี่ เอ้า เกิดที่ไหนล่ะ อะไรพาให้เกิด ก็สิ่งที่ดับไปตะกี้นี้พาให้เกิด นั่นมันรู้ชัดขนาดนั้นนะ ทีนี้ไม่เกิดแล้วจะดับไหมจิตดวงนี้ จะเอาอะไรมาดับ นั่น ไม่เกิดด้วยไม่ดับด้วย ไม่มีคำว่าว่ามีอยู่แบบโลกด้วย ไม่สูญแบบโลกด้วย มีอยู่แบบความบริสุทธิ์ ถ้าว่าสูญก็สูญแบบความบริสุทธิ์ เหมือนอย่างที่ว่านิพพาน มีอยู่แบบนิพพาน สูญแบบนิพพาน ไม่ได้สูญแบบโลกสงสาร

    เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘
    ดูเพิ่มเติมที่ ความมุ่งมั่นของนักรบ


    ก็กิเลสมันไม่เคยเห็นมรรคผลนิพพาน เกิดมาเต็มอยู่ในหัวใจของสัตว์นับแต่โคตรแต่แซ่ของมันลงมา มันจะเอามรรคผลนิพพานมาอวดสัตว์โลกอย่างไร เพราะคำว่ามรรคผลนิพพานก็คือแดนสุดวิสัยของมันแล้ว มันเอื้อมไม่ถึง จิตดวงใดถ้าได้เข้าสู่แดนนิพพานแล้ว กิเลสประเภทต่าง ๆ เรียกว่ากิเลสมารสุดเอื้อมหมดหวัง หมดอาลัยตายอยากแล้ว มันจะอุตริไปสอนจิตดวงใดโลกใดสัตว์ตัวใดให้ไปสู่สวรรค์นิพพานเล่า นอกจากมันจะกว้านเข้ามาเพื่อผลรายได้ของมันโดยอุบายต่าง ๆ เท่านั้น เช่น บาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี นิพพานไม่มี นี่เป็นอุบายที่จะให้เกิดผลรายได้แก่มันโดยถ่ายเดียวเท่านั้น

    เพราะฉะนั้นหลักความจริงแล้วจึงไม่มีคำว่า พระพุทธเจ้านิพพานไปนานแสนนาน เป็นการตัดขาดจากมรรคผลนิพพาน ที่ทรงแสดงไว้แล้วโดยถูกต้องตามหลักสวากขาตธรรม การนิพพานเป็นเรื่องของพระองค์เท่านั้น และการนิพพานไปก็ไม่ใช่เป็นการขาดทุนสูญดอก สำหรับพระพุทธเจ้าเป็นการเปลี่ยนสภาพในทางธาตุทางขันธ์อันเป็นสมมุติเข้าสู่ตามสมมุติเดิมของตน โดยหมดความเยื่อใยตายอยาก ไม่ยึดมั่นถือมั่น โดยจิตที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ แล้วเท่านั้น จิตที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ แล้วอะไรไปเป็นข้าศึกไปทำลายให้พินาศฉิบหายได้ แม้แต่กิเลสก็ไม่สามารถ ไม่มีอำนาจวาสนาที่จะไปทำลายจิตที่บริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้าให้สูญให้อันตรธานไปได้ แล้วนิพพานจะสูญไปไหน จิตผู้บริสุทธิ์จะสูญไปได้อย่างไร เพราะธรรมชาตินี้นอกเหนือไปจากสมมุติทั้งมวลแล้ว จึงไม่มีอะไรที่จะเข้าไปทำลายจิตที่บริสุทธิ์แล้วให้สูญไปได้ ให้ฉิบหายไปได้

    เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๒๗ เพิ่มเติมที่ ความหวังของชาวพุทธ

    พระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์เสด็จอนุโมทนา พระอาจารย์มั่น

    หลังจากท่านเดินทางถึงแดนแห่งวิมุตติแล้ว คืนต่อ ๆ มามีพระพุทธเจ้าพร้อมพระสาวกจำนวนมากเสด็จมาอนุโมทนาวิมุตติธรรมกับท่านเสมอมิได้ขาด
     
  3. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    <TABLE bgColor=#ffffcc><TBODY><TR><TD vAlign=top>[​IMG]</TD><TD vAlign=top>หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าโคกมน บ้านโคกมน ตำบลผาน้อย อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย

    ...... นิพพานไม่ได้สูญ ไม่ได้อยู่ตามที่โลกคาดคะเนหรือเดากัน ทำจริงจะได้เห็นของจริง รู้จริง และจะเห็นนิพพานเอง เห็นพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เห็นครูบาอาจารย์ที่ท่านบริสุทธิ์เอง และหายสงสัยโดยประการทั้งปวง.....

    เพิ่มเติม หนังสือชีวประวัติ ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2535 หน้า 129-130 </TD><TD vAlign=top>[​IMG]
    หลวงปู่ชอบ กับ ในหลวง</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE bgColor=#ffcc99><TBODY><TR><TD vAlign=top>หลวงปู่อ่ำ หรือ พระราชกวี (อ่ำ ธมฺมทตฺโต) ปธ. ๖ วัดโสมนัสวิหาร กทม.

    ......มีการขุดพบแผ่นหินโบราณ หลายพันแผ่น ที่ เมืองโบราณและวัดใกล้เคียงใน จ.ราชบุรี แผ่นหินมีการจารึกคำไทยโบราณ หรือลายสือไทย โดยมีหลวงปู่ที่อ่านออกเท่านั้น พบว่าเป็นบันทึกของคนไทยที่อาศัยอยู่บริเวณ ราชบุรี เมื่อประมาณ พ.ศ. 235-300 โดยมีบันทึกประวัติศาสตร์ชาวไทย ตั้งแต่สมัยพุทธนันดรที่ ๑ (พระพุทธเจ้ากกุกสัณโธ) คือเมื่อประมาณ 5000 ล้านปีก่อน เรื่อยมาจนถึง พุทธนันดรที่ ๔ (พระพุทธเจ้าสมณโคดม) คือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน โดยคนไทยใน พ.ศ. 200 กว่านี้มีวิชาที่สามารถคุยกับดวงวิญญาณของต้นตระกูลคนไทยเมื่อสมัยพุทธนันดรที่ ๑ ได้ ต้นตระกูลไทยได้เล่าความเป็นมาตั้งแต่ต้นกัปจนถึงสมัยพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน โดยหลวงปู่อ่ำได้อ่านข้อความในแผ่นจารึกที่ ๗๑๕ หน้า ๑ เป็นคำเล่าสมัยคนไทยในพุทธนันดรที่ ๓ เป็นภาษาไทยโบราณ ดังนี้

    ....เมื่อคนเหลืองสองสิ้นนานล้นหลาย เมืองนี้ชื่อ เมืองแผน ขุนชื่อแผนเมืองฟ้า ขุนหญิง ชื่อดวงขวัญใจ หมู่มึงชื่อ ลวไทย ถึงคนเหลืองสามก็ดีมาสอนเหล่ามึง มื้อนั้น ข้าฟังด้วยสางมิลุอื่น ลุแผน(พรหม) หมู่ลวไทยไปสู่เมืองแสงใสมาก กูยังอยู่กับมึง......

    ซึ่งหลวงปู่อ่ำได้อธิบายไว้ว่า หลังจากสิ้นยุคพุทธนันดรที่ ๒ (คนเหลืองสอง = คนไทยยุคที่ ๒) คนไทยสมัยต่อมาคือยุคที่ ๓ นั้นได้เกิดและได้ฟังธรรมกับพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓ แห่งกัปนี้คือ พระพุทธกัสสป พระองค์มีพระชนม์ชีพอยู่ ๒ หมื่นปีจึงดับขันธ์ปรินิพพาน เข้าเมืองแสงใส ซึ่งก็คือเมืองแก้วแสงใส ชื่อไทยนี้ คนไทยคงเรียก นิพพาน มานานแล้ว ปราชญ์บัณฑิตโบราณาจารย์จึงกล่าวเสมอๆ เช่น ถึงเมืองแก้ว อันกล่าวแล้ว คือ อมตมหานครนฤพาน ดังใน มหาเวสสันดรเทศนา กุมารกัณฑ

    อ่านเพิ่มเติมดูที่หนังสือ พุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย (ที่คัดมานี้อยู่หน้า 69-70) หนังสือเล่มนี้หนามากกว่า 700 กว่าหน้า</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE><TBODY><TR><TD vAlign=top>[​IMG]</TD><TD vAlign=top>พระครูพัฒนกิจจานุรักษ์ (หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา)
    วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อ.ลี้ ลำพูน


    .... (หลวงปู่เล่าเรื่องประวัติตัวเอง ตอนสอนชาวเขาในดอยเรื่องศีลและเรื่องบุญที่ผิดและถูก) บางคนก็ไม่เคยเห็นหน้าทุพระสักชาติ รู้จักแต่ชื่อเท่านั้น เพราะเขาเป็นคนป่าบางคนก็ถามว่าตัวศีลนั้นมันเป็นตัวอย่างไร ใหญ่หรือเล็ก เราอยากรุ้แน่ๆ ถ้าดีแท้เราก็จักเอา พระชัยยวงศา ก็บอกให้เขาไปว่าตัวศีลนั้นมี ๕ ตัวใหญ่ที่สุด ถ้าเราถือไม่ได้ก็หนักที่สุดพาเราล่มจมลงไปสู่นรก ครั้นเราถือได้มันก็เบา คือศีลนี้จักพาเราขึ้นไปเสวยสุขคือ ชั้นฟ้า ชั้นพรหมโลก สุขที่สุดก็คือ เวียงแก้วยอดเนรพาน อยู่เสวยสุขไม่มีทุกข์ ไม่มีตาย มีความสบายสุดเสี้ยงหั้นแลสูเหย......

    ดูเพิ่มเติมที่ หนังสือ พระชัยวงศานุสสติ (มีขายที่ร้านแพร่พิทยา) เนื้อหาข้างต้นคัดมาจากหน้า 76</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE><TBODY><TR><TD vAlign=top><CENTER>[​IMG]
    หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศา กับในหลวง</CENTER></TD><TD vAlign=top> .... นิพพานเป็นแดนแห่งความมั่นเที่ยง นิพพานแล้วเป็นสุข นิพพานมีสาระเป็นแก่นสาร นิพพานมีความเป็นสุขอย่างยิ่ง พระนิพพานไม่ใช่อัตตา พระนิพพานเป็นปัจจัตตัง......
    .... เราจะเดินทางไปนิพพานจะทำอย่างไร จะขี่เครื่องบินก็ไม่ถึง ขี่จรวดก็ไม่ถึง ถ้าทำได้บันไดแก้ว บันไดทอง จะปรากฏมาเองไม่ต้องเดินเหนื่อย
    .... เราเป็นมนุษย์ ปัจจุบันนี้พวกเทพอยู่ข้างบนมองเราคล้ายกับหนอนอยู่ในอาจม เทพจะมาใกล้ก็ไม่ได้เพราะเหม็นเน่า สุดแล้วแต่ตัวเราเองจะดึงตัวเองขึ้นมา เราจะดึงตัวเองขึ้นได้คือ่ารู้จักโทษ อันนี้เป็นโทษอันนั้นเป็นโทษ โดยการรรักษาศีล ๕ ศีล ๘ ให้ได้เรียกว่า ช่วยตัวเองแล้ว รับศีลแล้วก็ภาวนารำพึงหากุศลผลบุญที่ได้สร้างก็ดี รำพึงหาคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็ดี ให้จิตสว่างกระจ่างแจ้งตั้งใจจะติดตามพระอริยเจ้าให้ทัน
    พระพุทธจ้าก็รออยู่ชั้นบนนั่นแหละ กวักมือเรียก มา มา คนก็ไม่อยากขึ้นไป จะขึ้นไปก็สงสัย ไม่รู้จะขึ้นไปทางใด
    ให้ตั้งมั่นภาวนารึงพึงทิ้งขันธ์ ๕ ขันธ์ก็ไม่เอา อะไรก็ไม่เอา พวกเทพจะมาโปรดก็มาได้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะมาโปรดก็มาได้ ถ้าเราไม่ยอมกระโดดออกจากหลุม จะจมอยู่ในอาจมนั้น พวกเทพจะมาช่วยก็เหม็นมาไม่ได้ มีแต่พวกเดียวกันถึงมาได้
    พวกเหม็นเหมือนกันคือ พวกเทพที่ไม่ดี เทพกาลกิณีก็มา เราไม่ทำก็บังคับให้ทำ เราจะทำดีมันไม่ให้ทำ ให้ทกแต่ทีร้ายๆ ......

    (ท่านใดทราบชื่อหนังสือ และหน้าของคำสอนของหลวงปู่ กรุณาแจ้งให้ทางเว็บทราบด้วย ขอบคุณครับ)</TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE width="100%" bgColor=#ffffcc><TBODY><TR><TD vAlign=top>[​IMG]</TD><TD vAlign=top>หลวงปู่ลี ธมมฺโร วัดอโศการาม จ.สมุทธปราการ

    .... โลกมนุษย์มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย โลกของเทวดานันมีเกิดกับตาย ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ โลกนิพพาน ไม่มีทั้งเกิด ไม่มีทั้งตาย......
    .... กายเป็นของสูญ เปื่อยเน่า จิต เป็นของไม่สูญ ไม่ตาย ......
    .... จิตที่ดับจากกาย ย่อมหายไป เหมือนกับไฟที่ดับจากเทียน ไม่มีรูปร่างลักษณะให้ตาเนื้อของเราแลเห็น แต่ไฟนั้นก็มิได้สูญหายไปจากโลก......

    ดูเพิ่มเติมที่ ธัมมธโรวาท ใน หนังสือ ธรรมโอวาท ๙ หลวงปู่อริยสงฆ</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE width="100%" bgColor=#ffcc00><TBODY><TR><TD vAlign=top>[​IMG]
    หลวงปู่ฝั้น กับในหลวง</TD><TD vAlign=top>หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร

    .... ความสุขใด เสมอจิตสงบไม่มี......
    .... จุติแปลว่าความเคลื่อน ภาษาเราว่าตาย แท้ที่จริงนั้นจิตวิญญาณมันไม่ใช่ของแตกของทำลาย แลไม่ใช่ของสูญหาย......
    .... ผู้รู้ ไม่ใช่ของแตก ของทำลาย ของตาย ของดับ......
    ..... เมื่อเราพิจารณาเห็นควมจริง แจ้งประจักษ์ อย่างนี้แล้วจิตมันก็เลยละได้ เมื่อจิตละได้แล้ว มันก็วางจากรูป วางจากรูปมันก็ถึงอรูปภพ อรูปภพคือเป็นอย่างไร คือจิตว่างหมดไม่มีอะไร แต่เหลือผู้รู้ ความรู้นี้แหละ เป็นของสำคัญที่เรียกว่า "พุทธ" คือผู้รู้......
    .... พระพุทธเจ้าสอนให้จิตมันเที่ยง เหมือนพระนิพพานเป็นของเที่ยง ไม่แปรผัน ยักย้าย ไม่มีอะไรทั้งนี้เราไม่เที่ยง เราถึงเป็นยังงี้ สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็ฯทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นก็ไม่ใช่ ตัวตน ท่านจึงสอนให้ทำจิตให้มันเที่ยง......

    ดูเพิ่มเติมที่ อาจารโรวาท ใน หนังสือ ธรรมโอวาท ๙ หลวงปู่อริยสงฆ์ โดย ธรรมสภา ชมรมนักเรียนเก่าแอล เอส อี 2535 </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE width="100%" bgColor=#ffffcc><TBODY><TR><TD vAlign=top>[​IMG]</TD><TD vAlign=top>หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต

    .... พระนิพพานมิใช่ผู้รู้ เหนือผู้รู้ไปจนไม่มีที่หมาย พระนิพพานเหนือผู้รู้ไป จนไม่มีที่หมาย ถ้าหมายอยู่ก็พอเหมือนๆ นี่เอง ก็พอหมุนๆ นี่เอง มีปัญหาว่าถ้าอย่างนั้นก็สูญสิ แต่สูญในพระนิพพานมีขอบเขต สูญจากกิเลสเท่านั้น รสของพระนิพพานมีอยู่ ใครเป็นผู้ดื่มรสพระนิพพาน ก็พระนิพพานเท่านั้น จะได้รับรสพระนิพพาน ไม่เป็นหน้าที่ของสังขารจะไปก้าวก่าย พระนิพพานเป็นอนัตตาหรือไม่ พระนิพพานไม่ได้อยู่ในวงแขนของท่านผู้ใดโดยถ่ายเดียว เป็นของกลางอยู่อย่างนั้น ไม่เกิดไม่ดับไปไหน เป็นอนัตตาธรรม ที่ไม่เกิดไม่ดับไปไหน ไม่มีใครใส่ชื่อล้อนามให้ก็ตาม ก็เป็นจริงทางไม่เกิด ไม่ดับอยู่อย่างนั้น เราจะเอาพระนิพพานมาเป็นอนัตตา เหมือนขันธ์ ๕ และกิเลสทั้งหลายมันก็ไม่ถูก เรียกว่าแยกอนัตตาธรรมไม่ถูก เช่นผู้รู้ดังนี้ จะเอาผู้รู้พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเทียบกับพระปัจเจกๆ มาเที่ยบกับสาวก สาวิกา อรหันต์ก็เรียนกว่ายกตนเทียมท่าน สิ่งเหล่านี้เป็นหน้าที่ ชาวพุทธจะรู้เท่านั้น ......

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    พระนาคเสน มหาเถระ พระอรหันต์สมัยพุทธปรินิพพานไป ๕๐๐ ปี ผู้ตอบปัญหาพระเจ้ามิลินทราชา

    ......ผู้ที่ยังไม่ได้นิพพานก็รู้ว่านิพพานเป็นสุข เพราะได้ยินเสียงพวกได้นิพพาน.....
    ..... พระพุทธเจ้ามีจริง แต่พระพุทธเจ้าปรินิพพานดับขันธ์แล้ว ไม่อาจชี้ด้ว่าอยู่ที่ไหน เหมือนเปลวไฟที่ดับแล้วก็ไม่อาจชี้ได้ว่าอยู่ที่ไหน อาจชี้ได้เพียงพระธรรมกาย ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น........
    ..... นิพพานมีอยู่จริง แต่ว่าไม่มีใครอาจแสดงให้เห็ฯได้ว่า นิพพานมีสี สัณฐาน เล็ก ใหญ่ ยาว สั้น อย่างไร เปรียบเหมือน ลม ที่มีอยู่จริง แต่ก็ไม่มีใครสามารถ แสดงลมให้เห็นด้วย สี สัณฐาน เล็ก ใหญ่ ยาว สั้น ได้
    ...... นิพพานเป็นของไม่ควรกล่าวว่าเกิดขึ้นแล้ว หรือยังไม่เกิด จักต้องเกิด ไม่ควรกล่าวว่าเป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบัน ไม่ควรกล่าวว่า เป็นของต้องเห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู รู้ด้วยจมูก ลิ้นกาย อย่างใดเลย.........
    ......นิพพานเป็นของต้องรู้ด้วยใจ พระอริยสาวกผู้ปฏิบัติชอบแล้วย่อมได้เห็นนิพพาน ด้วยใจอันบริสุทธิ์ อันสงบประณีต อันเที่ยงตรง ไม่มีเครื่องกั้นกาง อันไม่มีอามิส ....
    ...... นิพพานไม่มีของเปรียบ ไม่อาจชี้รูป หรือสัณฐาน วัย ประมาณ แห่งนิพพานได้ด้วยอุปมา หรือด้วยเหตุ หรือด้วยปัจจัย หรือด้วยนัย .....
    ...... นิพพานธาตุ อันสงบ อันเป็นสุข อันประณีตนั้นมีอยู่ ผู้ปฏิบัติชอบ เมื่อพิจารณาสังขารตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็กระทำให้แจ้งนิพพานธาตุด้วยปัญญา.....
    ...... ที่ตั้งของนิพพานไม่มี นิพพานไม่ได้ตั้งอยู่ในทิศใด แต่นิพพานมี ผู้ปฏิบัติชอบ เมื่อเห็นความตั้งขึ้นและเสื่อมไปของสังขารทั้งหลายด้วยโยนิโสมนสิการแล้ว ก็กระทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน ดังเช่น ไฟมีอยู่ แต่ที่ตั้งแห่งไฟไม่มี เมื่อบุคคลเอาไม้มาสีกันเข้าก็ได้ไฟฉันใด .....

    ดูเพิ่มเติมที่ หนังสือมิลินทปัญหา


    <TABLE width="100%" bgColor=#ffcc99><TBODY><TR><TD vAlign=top></TD><TD vAlign=top>พระเทพสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม) วัดอัมพวัน สิงห์บุรี

    นิพพานคืออะไร

    นิพพาน ๒ (ดับกิเลสมีเบญจขันธ์ และดับเบญจขันธ์แตกดับ)
    นิพพาน ๓ (ดับกิเลสมีเบญจขันธ์ และดับเบญจขันธ์เหลือแต่ธาตุดับธาตุสิ้นสลายหมดสิ้นไปด้วย)
    นิพพาน ๔ (ความดับกิเลสของพระอริยะตามลำดับชั้น พระโสดาบัน- สกิทาคามี-อนาคามี-อรหันต์)
    นิพพาน คือความเย็นทางวิญญาณ เย็นทางอารมณ์
    นิพพาน คือความไม่ร้อน (เพราะถูกไฟราคัคคิ-โทสัคคิ-โมหัคคิเผา)
    นิพพาน คือความสะอาดในภายใน นิพพาน คือความสว่างทางปัญญา
    นิพพาน คือความสงบทางอารมณ์ นิพพาน คือความอิ่ม ไม่หิวด้วย ตัณหา
    นิพพาน คือความบริบูรณ์ในความปรารถนา นิพพาน คือความพ้นจากห้วงมายาของโลก
    นิพพาน ไม่ดำ-ไม่ขาว-ไม่ยาว-ไม่สั้น-ไม่มีผู้หญิง-ไม่มีผู้ชาย
    นิพพาน มิใช่ความตาย หรือถึงได้เมื่อตายแล้ว นิพพานไม่ใช่เมืองแก้ว
    คนสามัญเปรียบเสมือนอาหารดิบ (คนดิบ-คนเถื่อน)
    นิพพาน ดุจอาหารที่สุกแล้ว ผลไม้ที่สุกแล้ว
    นิพพาน เปรียบประดุจภาชนะที่ขัดสีเกลี้ยงแล้วสะอาดแล้ว
    นิพพาน เปรียบประดุจการนอนหลับเต็มอิ่มไม่ฝัน
    นิพพาน เปรียบประดุจการเดินทางถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
    นิพพาน คือภาวะความพ้นจากความเถื่อน
    นิพพาน มีแต่อาการเคลื่อนไหว ตนผู้เป็นผู้โกรธเกลียดไม่มี

    พ้นปุถุชน ก็ถึงอริยะ-พุทธะ / พันสังสารวัฏฎ์ ก็ถึงพระนิพพาน / พ้นมืด ก็สว่าง / พ้นโง่ ก็ฉลาด / พ้นสกปรก ก็สะอาด / พ้นโลกิยะ ก็ถึงโลกุตระ / พ้นร้อน ก็เย็น / พ้นเด็ก ก็ผู้ใหญ่ / พ้นดิบ ก็สุก / พ้นเห็นแก่ตัว ก็เสียสละ / พ้นทุกข์ ก็สุข / พ้นร้าย ก็ดี

    อาลยสมุคฆาโล ผู้ละความอาลัยได้แล้ว
    อนาลโย ผู้หมดความอาลัย
    นิโรโธ ผู้ดับความทุกข์ได้
    นิพพานัง ผู้ดับสิ่งเสียบแทงใจได้
    ปิปาสวินโย ผู้ไม่กระทำบาป
    มทนิมมทโน ผู้ละความเมาในวัยในชีวิตได้
    วัฎภูปัจเฉโท ผู้ดับกระแสของวัฏฏะได้
    ตัณหักขโย ผู้ดับตัณหา ๓ ประการได้
    วิสุทโธ ผู้ถึงซึ่งความบริสุทธิ์
    วิมุตติ ผู้หลุดพ้นแล้ว
    วิสังขาร ผู้หยุดปรุงแต่ง ผู้ที่สิ่งใดมาปรุงแต่งไม่ได้ ผู้หมดการปรุงแต่ง
    อมตะ ผู้ไม่ตาย ผู้ถึงธรรมะที่ทำให้เป็นผู้ไม่ตายอีกต่อไป

    ขอให้สำเร็จในสิ่งที่ต้องการ กล้าหาญในสิ่งที่ชอบ ประกอบกิจด้วยมานะ อย่าละเลยผู้มีพระคุณ เจือจุนต่อผู้ต่ำต้อย อย่าด้วยมารยา ฉลาดในการคบเพื่อน ไม่แชเชือนในการงาน อาจหาญเมื่อมีอุปสรรค พลาดแพ้เป็นครูอดสูทำไม ลุกขึ้นยืนหยัดติดขัดแก้ไข ชีพยังหายใจดิ้นไปจนได้ดี อย่าเคืองคำสอน อย่าถอนคำสั่ง จงระวังคนยุ อย่าลุอำนาจ อย่าขาดความสามัคคี อย่าดีคนเดียว อย่าเที่ยวนินทา อย่าว่าคนเมา อย่าเอาของสงฆ์ อย่าขาดปลงกรรมฐาน.

    ดูเพิ่มเติมที่ www.jarun.org </TD></TR></TBODY></TABLE>




    <TABLE bgColor=#ffff99><TBODY><TR><TD vAlign=top width=300>[​IMG]

    .....จิตของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ นั้นจะสูญสลายเมื่อนิพพานแล้ว ใครเข้าใจว่าจิตแม้จะถึงนิพพานแล้วก็ยังคงมีจิต ยังไม่สูญ ถือว่าเข้าใจเพี้ยน ใครเข้าพระพุทธเจ้าหลังปรินิพพานมีจิตมีวิญญาณมีอำนาจบันดลบันดาล ถือว่าไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ...
    </TD><TD vAlign=top>พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ สันติอโสก

    นิพพานนี้ แปลว่า ความดับ ความทำลาย (ฆ่าให้ตาย) ความสงบเย็น แล้วมัน ก็มีการหมายถึงให้ชัดลงไปอีกว่า อะไรดับ หรือ ทำลายอะไร จึงเกิดความสงบเย็น ความชัดที่สุด ก็เจาะลงไปได้เลยว่า "กิเลสดับ" เป็นเป้าแท้เป็นผลแท้ที่สุด ดังนั้น ความทำลาย ก็คือ "ทำลายกิเลส" และ "ความสงบเย็น" ก็เป็นผลสมบูรณ์ของ "นิพพาน" เมื่อดับเมื่อทำลายถูกเนื้อแท้ ถูกเป้าแท้ เสร็จกิจ กิเลสไม่เกิดอีก - สูญสนิท

    "จิต"เมื่อนิพพานแล้ว ก็อยู่ตามเหตุปัจจัย ชี้ไม่ได้ว่า อยู่ที่ไหน เมื่อหมดเหตุปัจจัย ก็จะสูญสลายไป

    ผู้ถามยังหลงเห็นว่า จิตเป็นอัตตา ก็เลยนึกว่า คนผู้ถึงนิพพานแล้ว ตายลง "จิต" ก็ต้องยังคงอยู่ เพราะมีความเห็น หนักไปข้าง "สัสสตทิฏฐิ" คือเห็นว่า จิตไม่มีสูญ จิตยิ่งบริสุทธิ์ ยิ่งเที่ยงแท้ ยิ่งนิรันดร์ เป็นความเห็นแนวเดียวกันกับศาสนาเทวนิยม หรือไม่ก็ "เลยเถิด"ไปยิ่งกว่านี้อีก จนกระทั่ง ขนาดว่า จิตแม้จะถึงนิพพานแล้ว แต่เมื่อตายลง ก็ยังคงมีจิต ยังไม่สูญ จึงสงสัยว่า เมื่อตายลง จิตพวกนี้จะไปอยู่ที่ไหน? อย่างคนที่ถามมานี่ไง? เพราะนิพพานแล้ว ไม่มีทั้งนรก ทั้งสวรรค์ นี่ขนาดเป็นพวกหินยาน หรือพวกเถรวาทแท้ๆ ในเมืองไทยเองนะนี่ ก็ยังหลง เข้าใจเพี้ยน ไปได้เช่นกัน

    หรือเป็นอัตตา จนกระทั่ง "เลยเถิด" เป็นสัสสตะนิรันดร์ แม้จะบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ เป็น พระพุทธเจ้าแล้ว ได้สร้างศาสนพุทธไว้แล้ว "ปรินิพพาน" ไปจากโลกแล้ว ล่วงเลยไปหลายพัน หลายหมื่นปี แล้ว ก็ยังหลงเห็นว่า ยังมีจิตมีวิญญาณ มีอำนาจบันดลบันดาล มาจากจิตวิญญาณพระพุทธเจ้า ซึ่งเนรมิตนั่น ให้คนนั้น มีฤทธิ์บันดาลนี่ให้คนนี้ ไม่สัมมาทิฏฐิกันอยู่ในวงการพุทธศาสนา สายเถรวาท หรือ หินยาน เต็มไปหมดในประเทศไทยนี่เอง มากมายถมถืด

    ตรงกันข้ามกับพวกสุดโต่งอีกฟากหนึ่ง คือ พวก "อุจเฉททิฏฐิ" ซึ่งเป็นพวกที่มีความเห็นว่า "จิตไม่มีตัวตน" (อนัตตา) แบบพาซื่ออีกเหมือนกัน ดังนั้น เมื่อคนตายลงไป ทางร่างกายนี่แล้ว ก็จบกันเรื่องจิตวิญญาณ จิตก็ไม่มี วิญญาณก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว มันก็สูญไปเลย คนพวกนี้น่ากลัวมาก เพราะเขาจะไม่มีกรรมปางก่อน ปางหลัง เขาจะไม่เชื่อวิบากกรรม เขาจะเชื่อแต่กรรมปัจจุบันนี้เท่านั้น ดังนั้น เขาอาจทำกรรมชั่วได้ ถ้าปลอดภัย ในชาตินี้ หรือคุ้มกับการแลกเปลี่ยนกับโทษภัย เขาจะกล้าทำชั่วนั้น ถ้าความต้องการมากพอ เพราะบาป - บุญ ในชาติต่อไป เขาเชื่อว่าไม่มี ตายแล้วก็จบกัน

    เพราะพระพุทธเจ้าทรงยืนยันนักหนาว่า จิตแท้ๆ หรือวิญญาณบริสุทธิ์จากกิเลสนั้น มันไม่เป็นตัวตน (อนัตตา) มันหมดได้ว่างได้สูญได้ ไม่เกาะกุมยึดติดกันอยู่เป็นจิตเป็นวิญญาณอีกได้จริงๆ ถ้าหมดเหตุ หมดปัจจัย ในโลกนี้

    ที่จริงแล้ว จากคำถามของผู้ที่ถามนี้ ทวนดูดีๆ แล้ว แสดงว่า ผู้ถามรู้อยู่บ้างเหมือนกันว่า นิพพาน หมายถึง ความดับ หรือ ความไม่เกิด แต่รู้ไม่ครบ รู้ไม่ละเอียด รู้แต่เพียงความหมายตื้นๆ ต้นๆ ของคำว่า นิพพาน อย่างพาซื่อ ไม่มีนัยละเอียดลึกซึ้ง และส่อถึงอีกว่า เป็นคนที่เข้าใจว่า "จิตเป็นอัตตา" ด้วย ก็เลยงง!

    นิพพาน หมายถึง ความดับนั้นก็จริง! แปลว่า ความไม่เกิดนั้นก็ถูกต้อง!
    แต่มันหมายถึง กิเลส หรือ ตัณหา หรือ อุปาทาน นั้นๆ ต่างหาก ที่ "ดับ" ที่ "ไม่เกิด"

    ผู้ที่เชื่อมั่นและกล่าวกันอยู่ว่า "พระอรหันต์เมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก" จึงเป็นผู้มี "ทิฏฐิชั่วช้า" ตามที่ภิกษุทั้งหลาย (ในสมัยพุทธกาล) ตามที่พระสารีบุตร ตามที่พระพุทธเจ้า ทรงกล่าว ยืนยันกับพระยมก ตรงกันหมด (พระไตรปิฏก เล่ม ๑๗ ข้อ ๑๙๘-๒๐๗ "ยมกสูตร")

    ดูเพิ่มเติมที่ [นี่....ตอบทุกปัญหา ๒]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...