พระนิพพานเป็นแดนทิพย์วิเศษ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 15 พฤศจิกายน 2008.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    พระนิพพานเป็นแดนทิพย์วิเศษ พ้นจากอำนาจของการเวียนว่ายตายเกิดจาก นรกโลก มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก คำว่า นิพพาน แปลว่า ดับ หรือ หมด ดับหรือหมดจากอะไร....


    1. ดับกิเลสสังโยชน์ 10 อย่าง มีกิเลส โลภ โกรธ หลง เป็นต้น ดับความโลภ ด้วยการให้ทานเพื่อสงเคราะห์ คนสัตว์ทั้งโลก ดับความโกรธ ด้วยการให้อภัยมีความสงสารเมตตาต่อคนสัตว์ทั้งโลก ดับความหลง ด้วยการเพียรคิดพิจารณาตามความเป็นจริงว่า โลกมนุษย์ เทวโลก พรหมโลกไม่มีความสุขจริง สุขชั่วคราว โลกมนุษย์เต็มไปด้วย ความทุกข์ยากลำบาก วุ่นวายเสื่อมสลายตลอดเวลา


    2. ดับขันธ์ 5 คือ กาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณคือระบบประสาท ตา หู จมูก ลิ้น กาย อารมณ์ใจ ดับหมด คือ ไม่มีถึงแม้มีตอนนี้ แต่ก็สลายตัวไปในที่สุด คือ แยกกาย รูป นาม ออกจากจิตที่เป็นของจริง กายเป็นเพียงเปลือก เป็นของปลอม เป็นภาพมายา จิตเพียงแต่มาอาศัยกายชั่วคราว

    เพราะความไม่รู้จริงของชีวิต จิตจึงต้องมาเกิดในร่างกายที่เป็นซากศพเดินได้ หายใจได้ พูดได้อย่างนี้ ขอย้ำว่า วิญญาณในขันธ์ 5 คือ ความรู้สึกของระบบประสาทในร่างกายทั้งหมด ไม่ใช่ จิต อารมณ์ต่าง ๆ ดี ชั่ว ก็ไม่ใช่ของจิต


    3. จิตเดิมแท้เป็นจิตสะอาด บริสุทธิ์ มีลักษณะเป็นจิตพุทธะประภัสสรมาก่อน เป็นจิตนิ่งเฉย ไม่วอกแวก ไม่สอดส่ายอยากรู้อยากเห็นในเรื่องของโลก จิตเดิมแท้ มีพลังงาน มีอานุภาพเหนือธรรมชาติ มีความฉลาดรอบรู้ในสิ่งที่ต้องการรู้ มีอภิญญา สมาบัติ และมีความสุขเลิศล้ำ

    จิตอันนี้จะมีรูปลักษณ์หรือจะทำให้ไม่มีรูปลักษณ์ก็ได้ ตามจิตปรารถนา ไม่ได้ดับสูญสลายเหมือนขันธ์ 5

    จิตที่เข้าถึงพระนิพพานจึงเป็นจิตที่อยู่ในขันธ์ 5 ทั้ง ๆที่ยังไม่ตาย เพียงแต่กิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชา อกุศลกรรม ไม่สามารถ บังคับให้จิตต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป จิตแบบนี้คือ จิต สอุปาทิเสสนิพพาน ถ้าหากร่างกายตาย จิตที่สะอาดปราศจากกิเลส ตัณหา อุปาทานก็ไปเสวยสุขยอดเยี่ยมแดนทิพย์วิเศษนิพพาน ไม่อยู่ในอำนาจของวัฏฏสงสารไม่อยู่ในอำนาจของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    พระนิพพานเป็นโลกุตรธรรม อยู่เหนือคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    นิพพานนัง สูญญัง แปลว่า พระนิพพานเป็นธรรมที่ว่างจากนรกโลก เทวโลก ว่างจากมนุษย์โลก คือ ว่างจากการเวียนว่ายตายเกิด ว่างจากความแปรปรวน ว่างจากความทุกข์ทั้งสิ้น ว่างจากอนัตตา ไม่มีวันสูญสลายตายไปเหมือนโลกทั้ง 3 พระนิพพานจะมีแต่จิตของพระพุทธเจ้า
    พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันต์ จิตของพระนิพพานเป็นจิตที่ว่างเปล่าจาก อวิชชา ความรู้ไม่จริง ว่างเปล่าจากความอยาก ตัณหา ว่างจากอุปาทาน ความยึดติดในกายคน กายเทพ กายพรหม ซึ่งเป็นของสมมุติชั่วคราว กายนิพพานละเอียดเบาใส สว่างเบิกบานมีพลังมาก

    กายทิพย์นิพพาน เรียกว่า ธรรมกาย เป็นอมตะธาตุ ที่ไม่มีดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ใช่กายเทพ กายพรหม เป็น อสังขธาตุ เป็นพุทธิธาตุ เป็นธาตุที่มีอยู่แล้ว เหนือกฎธรรมชาตทั้งปวง เป็น กายทิพย์ จิตทิพย์ จิตนิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นจิตของพระอรหันต์ พระขีณาสพ เรียก สภาวะจิตที่ไม่มีขันธ์ 5 ไม่มีกายหยาบ กายเทพ กายพรหม ว่า อนุปาทิเสสนิพพาน

    ดังนั้นพระนิพพานองค์พระศาสดาจึงแบ่งแยกไว้มี 2 ชนิด คือ

    1) สอุปาทิเสสนิพพาน คือ จิตดับจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชา อกุศลกรรม แต่ยังมีกายหยาบ คือ ขันธ์ 5 ของคน ขันธ์ทิพย์ของเทวดาพรหมอยู่ คือ ยังไม่ตายแต่จิต เป็นจิตของพระอรหันต์ ขีณาสพผู้ห่างจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง ยังรู้อาการเจ็บปวดของกายครบถ้วน

    2) อนุปาทิเสสนิพพาน กายหยาบขันธ์ 5 ตาย ดับสูญสลายจากกายสัตว์นรก กายมนุษย์ กายเทพ กายพรหม แต่จิตบริสุทธิ์ ไม่ดับสลาย ยังอยู่มีความสุขตลอดกาล ในแดนอมตะทิพย์นิพพาน เป็นนิพพานกาย-ธรรมกาย


    การปฏิบัติธรรม ตามเบื้องพระยุคลบาทขององค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ของ พุทธบริษัทในโลกนี้ต้องแบ่งแยกกันออกไป นั่นหมายความว่าสภาพจิตของแต่ละท่านนั้นแตกต่างกัน การสร้างบุญบารมีก็ไม่เหมือนกัน
    บางท่านมีบารมีเก่าในชาติก่อนมาแล้ว เมื่อมาเกิดในชาติปัจจุบันก็ได้พยายามสร้างบุญบารมีเพิ่มขึ้นอีก บุคคลประเภทนี้นั้น ไม่ว่าจะทำอะไรเกี่ยวข้องกับทางธรรมะขององค์สมเด็จพระพิชิตมารที่ได้ทรงสอนเอาไว้ เช่น ได้ฟังธรรมได้อ่านบทพระธรรมวินัยก็เกิดเลื่อมใส เกิดปิติ ศรัทธา แล้วก็นำคำสอนขององค์พระบรมโลกเชษฐ์มาพิจารณา ด้วนสติปัญญา เห็นสมควรดียิ่งแล้วนำเอาไปประพฤติ ปฏิบัติ และได้ประโยชน์ อย่างมหาศาลเป็นต้นว่า หยุดการเวียนว่ายตายเกิด

    องค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงค้นหาสัจธรรมด้วยความพากเพียร สู้อดทนต่อความยากลำบากด้วยพระปัญญาบารมี และเต็มไปด้วยพระเมตตาปรารถนาที่จะช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิด พระองค์ท่านได้เอาชนะอุปสรรคทุกอย่าง ต่อสู้อย่างเต็มความสามารถ มีความแน่วแน่เด็ดเดี่ยวที่จะค้นหาวิธีที่จะทำให้ไม่ต้องเวียนเกิดเวียนตายอีกต่อไป

    ในที่สุดพระองค์ก็ได้พบแดนทิพย์วิเศษที่ไม่มีใครทราบมาก่อน นั่นคือ สถานที่อันประเสริฐสูงสุดมีชื่อว่า พระนิพพาน เป็นแดนสงบสุขอย่างยอดเยี่ยม ไม่มีดินน้ำลมไฟ ไม่มีพระอาทิตย์ ไม่มีขันธ์ 5 ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีปัญหาต้องแก้ เสรีจากกฎของกรรม ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป มีจิตทิพย์ กายแก้ว มีอิสระ เสรีจากกฎของกรรม กฎของธรรมชาติ ไม่มีเพศหญิงเพศชาย ปรารถนาสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น ปรากฏทันที จะไปแดนไหน ๆ ก็ไม่มีใครห้าม

    นิพพานัง ปรมัง สุขขัง
    พระนิพพานเป็นแดนทิพย์มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น มีความสุขอย่างยิ่ง

    นิพพานนัง ปรมัง สุญญัง
    นิพพานสูญจากความทุกข์ทั้งสิ้น สูญจากรูปนาม ขันธ์ 5 สูญจากอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สูญจากการเวียนว่ายตายเกิด สูญจากธาตุดินน้ำลมไฟ สูญจากกรรมชั่วทุกอย่าง สูญในที่นี้หมายความว่า ไม่มีทุกอย่างที่โลกนี้มี

    การที่พระนิพพานมีลักษณะตรงข้ามกับโลกเช่นนี้ จึงเป็นการยากที่คนจะเข้าใจพระนิพพานได้ ผู้ที่จะเข้าใจพระนิพพานได้ชัดเจนจริง คือ ผู้ที่ปฏิบัติสมาธิ วิปัสสนา พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง (เช่น มโนมยิทธิ เป็นต้น)

    สัพเพ ธัมมา อนัตตา
    แปลว่าธรรมทั้งหลายทั้งปวงควบคุมไว้ไม่ได้ ต้องแตกสลายสูญหายไปทั้งสิ้น บางท่านจึงแปลไปว่า พระนิพพาน คือ ธรรมะ เป็นอนัตตา สูญสลาย ตามโลกมนุษย์ด้วย ซึ่งเป็นการเข้าใจผิด
    พระนิพพานไม่ใช่อนัตตา เป็นอมตะ ไม่อยู่ในกฎของไตรลักษณ์


    โปรดอย่าลืมว่าพระพุทธองค์ทรงสอนธรรม 2 แบบ

    1. โลกียธรรม คือ ธรรมที่ชาวโลกปฏิบัติให้มีชีวิตอยู่ไม่ทุกข์เกินไป แต่ก็ยังวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่

    2. โลกุตตรธรรม คือ ธรรมที่เหนือนรก โลก สวรรค์ พรหม เป็นธรรมที่ ทำให้หลุดพ้นทุกข์ นรก โลก สวรรค์ พรหม ไปสู่แดนที่เป็นสุขตลอดกาล คือ พระนิพพาน

    ท่านผู้ได้ปฏิบัติศึกษาทางธรรม เป็นที่เข้าใจ ตามองค์พระพุทธศาสดาทรงสอนไว้เป็นหลักฐานในพระคัมภีร์เรียกว่า พระไตรปิฏก ซึ่งมีพระธรรมคำสอนอยู่ครบถ้วนและท่านที่มีศรัทธาบารมี มีความเชื่อมั่นในพระธรรมคำสอน ได้เอาพระธรรมไปศึกษาพิจารณาปฏิบัติก็จะได้เกิดเป็นประโยชน์คือ มีความสุขกายสุขใจ
    พระธรรมนั้นไม่มีคำว่า ล้าสมัย ทันสมัยตลอดกาล เพราะพระธรรมเป็นของจริง พระธรรมคือ ธรรมชาติในกายเรารอบ ๆ ตัวเรา ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีใครเป็นเจ้าของจริง พระธรรมคือธรรมชาติในกายเรารอบ ๆ ตัวเรา ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เพราะอยู่ใต้บังคับบัญชาของกฎธรรมชาติ คือ ต้องเปลี่ยนแปลง วิ่งเข้าหาความสึกหรอทรุดโทรม แล้วสูญสลายแตกหักกระจายในที่สุด ถ้าเป็นคนสัตว์ก็เรียกว่า เน่าเหม็นตาย จิตวิญญาณที่มาอาศัยอยู่ในกายชั่วคราวไม่ใช่เจ้าของร่างกายเลย ร่างกายไม่ได้อยู่ในอำนาจของจิตวิญญาณ
    การปฏิบัติธรรมก็คือ ใช้จิตวิญญาณของเราที่มาอาศัยในกายหรือขันธ์ 5 ชั่วคราวนี้ ด้วยการทำง่าย ๆดังนี้

    1. ตั้งจิตไว้ว่าทำความชั่วด้วยการผิดศีล 5 เพราะกลัวบาปกรรม มีนรกเป็นที่ไปเมื่อทิ้งร่างกายแล้ว

    2. เอาคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระอริยสงฆ์ เทิดทูนบูชาไว้ในจิต ในใจตลอดเวลา เคารพเชื่อฟังท่านโดยการมีเมตตา มีความกตัญญูรู้คุณบิดา มารดา ไหว้พระสวดมนต์ ทำสมาธิ ดูลมหายใจเข้าออก พิจารณาว่าร่างกายคนสะอาดหรือสกปรก เป็นสุขหรือทุกข์ ต้องแบกภาระหาเงินหาอาหารมาเลี้ยงร่างกายเหนื่อยบากก็ต้องทน

    3. ไม่ลืมว่าทุกคนเดินเข้าหาความตายทุกลมหายใจเข้าออก ไม่กลัวตายเพราะรู้ว่า ร่างกายเป็นเพียงธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ ประชุมกันชั่วคราว กายนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ ความหิว ร้อน หนาว เหนื่อย เหม็น มีภาระต้องเอาใจใส่ดูแลทำความสะอาด ตลอดเวลา และร่างกายก็เสื่อมโทรม เจ็บป่วย ตลอดเวลา เป็นการตัดความหลงรักในกายเขากายเรา เพราะรู้สภาพความเป็นจริงของร่างกายว่า นอกจากเหม็น สกปรก น่าเกลียด แล้วยังน่ากลัวอีกเพราะเจ็บปวดทุกข์ทรมานก่อนตาย

    4. ตั้งใจอธิษฐานไว้ตลอดเวลาว่า เมื่อขันธ์ 5 ร่างกายนี้พังสลาย ตายเมื่อไร จิตวิญญาณเรามุ่งตรงไปพระนิพพานสถานเดียว เป็นการตัดอวิชชาความไม่รู้ไปโดยง่าย เพราะผู้ที่มีพระนิพพานอยู่ในใจเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้มีปัญญาดี
    การทำสมาธิคือ ความตั้งมั่นคงอย่างใดอย่างหนึ่ง การคิดถึงความตาย การมีทาน ศีล นึกถึงพระนิพพาน ก็เป็นสมาธิอย่างหนึ่ง

    ถ้าจิตไม่ตั้งมั่น คิดนอกเรื่องจาก 4 ข้อนี้เป็นจิตคิดไร้สาระ ก็ต้องฝึกให้จิตคิด ในสิ่งที่เป็นสาธารณะประโยชน์ คือ พิจารณาเฝ้าดูลมหายใจเข้าออก นึกว่า พุธ หายใจออก กำหนดจิตไว้ว่า โธ หรือ จะนึก สัมมาอรหัง นะโมพุทธายะ นึกพระนามขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แบบไหนก็ได้ ดีทั้งนั้น เป็นพุทธานุสติกรรมฐาน ทำให้เข้าถึงพระนิพพานได้ง่าย ๆ เพราะจิตนึกถึงองค์พระศาสดาเป็นจิตสะอาด ไม่มีกิเลส เครื่องกังวลเศร้าหมอง

    ขอท่านพุทธบริษัททั้งหลายรีบเร่งปฏิบัติความดีเถิดท่าน เวลาของทุกท่านเหลือน้อยลงที่จะทำคุณงามความดี การทำความดีก็เป็นการยากเพราะกิเลสมารและมารรอบ ๆ ตัวเรามีมาก (มารคือ ผู้ดึงจิตเราให้ตกต่ำเศร้าหมอง)
    การปฏิบัติตาม 4 ข้อนั้นจะเอาชนะมารได้ ชนะกิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชา ได้ เป็นพระอริยะบุคคล ท่านที่ตั้งใจทำจริง ไม่ย่อท้อจะได้พบสิ่งที่ท่านไม่เคยพบ คือ ความมหัศจรรย์ทางจิตของท่านเอง ท่านจะได้พบพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ แล้วท่านก็จะได้พบพระนิพพาน แดนที่องค์พระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังรอพุทธบริษัททุกท่านอยู่อย่างเมตตาเป็นห่วงและเอาใจช่วยทุก ๆ ท่านตลอดเวลา


    ที่มา
    http://www.dmc.tv/forum/index.php?showtopic=16775&mode=threaded

    ----------------------------------------------------------------
     
  2. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    ขอบคุณครับ อนุโมทนาครับ
    ขออนุญาติแสดงความคิดสักเล็กน้อย
    บางคนตีนิพพานความว่า เป็นภพภูมิหนึ่งที่สงบ ไม่มีทุกข์ มีชีวิตนิรันด์
    ผมว่าบางทีนิพพานอาจมีอายุไขแต่ยาวนานมากมาย เช่นอายุไขอนันต์ จนไม่มีผุ้ที่เข้าไปหมดอายุไขก็ได้
    แต่ก็เป็นอจินไตย เมื่อพิจารณาโดยปัญญาแล้วกลับพบว่า
    อันว่านิพพาน นั้นเหนือโลก จึงมิอาจกล่าวอธิบายในภาษาโลกได้
    จะเป็นสถานที่ก็หาไม่ หากแต่เป็นสภาวะแห่งจิตที่พ้นไปจากการเปลี่ยนแปลงตามมูลเหตุของโลก(หลุดพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด)
    แต่ก็มิอาจกล่าวถึงว่าเมื่อปรินิพพานแล้วจะไปยังที่ใด กล่าวได้แค่ ไม่ไปเกิดในภพน้อยใหญ่ทั้งหลายแล้ว ไม่พบแล้วซึ่งวิญญาณในภพทั้งหลาย แม้มีฤทธิ์มากดั่งพญามัจจุราชก็มิอาจหาพบ
    โดยสรุป เนื่องจากนิพพานนั้นเหนือโลกเราทั้งหลายหากมิเคยสัมผัสย่อมไม่รู้ว่าสภาวะนิพพานนั้นเป็นอย่างไร
    และเมื่อดับขันธ์หลังนิพพานแล้วเป็นอย่างไร
    เเม้ผู้ถึงแล้วซึ่งสภาวะนั้นก็มิอาจอธิบายให้ ผู้ที่ยังมิถึงภาวะนั้นเข้าใจได้
    ทำอย่างไรเล่าเราจะทราบหรือรับรู้ได้
    ก็ต้องนิพพานเองไงครับ หึ หึ
    ทำอย่างไรจึงจะนิพพานก็ ทำตามที่พระศาสดาสั่งสอน ครับ
    สู้ๆ ทำตามสิ กำลัง ที่มี ที่จะปฏิบัติได้ ไม่นิพพานในชาตินี้ก็ ชาติต่อๆไป อย่างน้อยเราก็ต้องงดีขึ้นๆ สาธุๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2008
  3. ไตรวิสุทธิ์

    ไตรวิสุทธิ์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +10
    อนุโมทนาสาธุกับ พี่เต้ และคุณปรมิตรครับ

    นิพพานเป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน

    เป็นสภาวะพ้นโลก ไม่อาจอธิบายเป็นวาจาให้ผู้อื่นเข้าใจถึงสภาวะแห่งนิพพานได้

    อุปมาเหมือน ผู้ที่มิเคยได้ลิ้มรสน้ำตาล

    ไฉนเลยจะรู้ว่า ความหวานเป็นเช่นไร แม้จะอธิบายเพียงใดให้ผู้อื่นรับรู้

    ผู้ที่ไม่เคยลิ้มรสน้ำตาลก็ยากที่จะรู้ว่าน้ำตาลมีรสอย่างไร นิพพานก็เฉกเช่นกัน

    หากตนมิปฏิบัติ ไฉนเลยจักเข้าถึงสภาวะธรรมนั้นได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...