พระนิพพานเป็นแดนทิพย์วิเศษ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 24 เมษายน 2008.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444

    พระนิพพานเป็นแดนทิพย์วิเศษ


    [​IMG]

    พระนิพพานเป็นแดนทิพย์วิเศษ พ้นจากอำนาจของการเวียนว่ายตายเกิดจาก นรกโลก มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก คำว่า นิพพาน แปลว่า ดับ หรือ หมด ดับหรือหมดจากอะไร....


    1. ดับกิเลสสังโยชน์ 10 อย่าง มีกิเลส โลภ โกรธ หลง เป็นต้น ดับความโลภ ด้วยการให้ทานเพื่อสงเคราะห์ คนสัตว์ทั้งโลก ดับความโกรธ ด้วยการให้อภัยมีความสงสารเมตตาต่อคนสัตว์ทั้งโลก ดับความหลง ด้วยการเพียรคิดพิจารณาตามความเป็นจริงว่า โลกมนุษย์ เทวโลก พรหมโลกไม่มีความสุขจริง สุขชั่วคราว โลกมนุษย์เต็มไปด้วย ความทุกข์ยากลำบาก วุ่นวายเสื่อมสลายตลอดเวลา


    2. ดับขันธ์ 5 คือ กาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณคือระบบประสาท ตา หู จมูก ลิ้น กาย อารมณ์ใจ ดับหมด คือ ไม่มีถึงแม้มีตอนนี้ แต่ก็สลายตัวไปในที่สุด คือ แยกกาย รูป นาม ออกจากจิตที่เป็นของจริง กายเป็นเพียงเปลือก เป็นของปลอม เป็นภาพมายา จิตเพียงแต่มาอาศัยกายชั่วคราว

    เพราะความไม่รู้จริงของชีวิต จิตจึงต้องมาเกิดในร่างกายที่เป็นซากศพเดินได้ หายใจได้ พูดได้อย่างนี้ ขอย้ำว่า วิญญาณในขันธ์ 5 คือ ความรู้สึกของระบบประสาทในร่างกายทั้งหมด ไม่ใช่ จิต อารมณ์ต่าง ๆ ดี ชั่ว ก็ไม่ใช่ของจิต


    3. จิตเดิมแท้เป็นจิตสะอาด บริสุทธิ์ มีลักษณะเป็นจิตพุทธะประภัสสรมาก่อน เป็นจิตนิ่งเฉย ไม่วอกแวก ไม่สอดส่ายอยากรู้อยากเห็นในเรื่องของโลก จิตเดิมแท้ มีพลังงาน มีอานุภาพเหนือธรรมชาติ มีความฉลาดรอบรู้ในสิ่งที่ต้องการรู้ มีอภิญญา สมาบัติ และมีความสุขเลิศล้ำ

    จิตอันนี้จะมีรูปลักษณ์หรือจะทำให้ไม่มีรูปลักษณ์ก็ได้ ตามจิตปรารถนา ไม่ได้ดับสูญสลายเหมือนขันธ์ 5

    จิตที่เข้าถึงพระนิพพานจึงเป็นจิตที่อยู่ในขันธ์ 5 ทั้ง ๆที่ยังไม่ตาย เพียงแต่กิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชา อกุศลกรรม ไม่สามารถ บังคับให้จิตต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป จิตแบบนี้คือ จิต สอุปาทิเสสนิพพาน ถ้าหากร่างกายตาย จิตที่สะอาดปราศจากกิเลส ตัณหา อุปาทานก็ไปเสวยสุขยอดเยี่ยมแดนทิพย์วิเศษนิพพาน ไม่อยู่ในอำนาจของวัฏฏสงสารไม่อยู่ในอำนาจของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    พระนิพพานเป็นโลกุตรธรรม อยู่เหนือคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    นิพพานนัง สูญญัง แปลว่า พระนิพพานเป็นธรรมที่ว่างจากนรกโลก เทวโลก ว่างจากมนุษย์โลก คือ ว่างจากการเวียนว่ายตายเกิด ว่างจากความแปรปรวน ว่างจากความทุกข์ทั้งสิ้น ว่างจากอนัตตา ไม่มีวันสูญสลายตายไปเหมือนโลกทั้ง 3 พระนิพพานจะมีแต่จิตของพระพุทธเจ้า
    พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันต์ จิตของพระนิพพานเป็นจิตที่ว่างเปล่าจาก อวิชชา ความรู้ไม่จริง ว่างเปล่าจากความอยาก ตัณหา ว่างจากอุปาทาน ความยึดติดในกายคน กายเทพ กายพรหม ซึ่งเป็นของสมมุติชั่วคราว กายนิพพานละเอียดเบาใส สว่างเบิกบานมีพลังมาก

    กายทิพย์นิพพาน เรียกว่า ธรรมกาย เป็นอมตะธาตุ ที่ไม่มีดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ใช่กายเทพ กายพรหม เป็น อสังขธาตุ เป็นพุทธิธาตุ เป็นธาตุที่มีอยู่แล้ว เหนือกฎธรรมชาตทั้งปวง เป็น กายทิพย์ จิตทิพย์ จิตนิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นจิตของพระอรหันต์ พระขีณาสพ เรียก สภาวะจิตที่ไม่มีขันธ์ 5 ไม่มีกายหยาบ กายเทพ กายพรหม ว่า อนุปาทิเสสนิพพาน

    ดังนั้นพระนิพพานองค์พระศาสดาจึงแบ่งแยกไว้มี 2 ชนิด คือ

    1) สอุปาทิเสสนิพพาน คือ จิตดับจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชา อกุศลกรรม แต่ยังมีกายหยาบ คือ ขันธ์ 5 ของคน ขันธ์ทิพย์ของเทวดาพรหมอยู่ คือ ยังไม่ตายแต่จิต เป็นจิตของพระอรหันต์ ขีณาสพผู้ห่างจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง ยังรู้อาการเจ็บปวดของกายครบถ้วน

    2) อนุปาทิเสสนิพพาน กายหยาบขันธ์ 5 ตาย ดับสูญสลายจากกายสัตว์นรก กายมนุษย์ กายเทพ กายพรหม แต่จิตบริสุทธิ์ ไม่ดับสลาย ยังอยู่มีความสุขตลอดกาล ในแดนอมตะทิพย์นิพพาน เป็นนิพพานกาย-ธรรมกาย


    การปฏิบัติธรรม ตามเบื้องพระยุคลบาทขององค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ของ พุทธบริษัทในโลกนี้ต้องแบ่งแยกกันออกไป นั่นหมายความว่าสภาพจิตของแต่ละท่านนั้นแตกต่างกัน การสร้างบุญบารมีก็ไม่เหมือนกัน
    บางท่านมีบารมีเก่าในชาติก่อนมาแล้ว เมื่อมาเกิดในชาติปัจจุบันก็ได้พยายามสร้างบุญบารมีเพิ่มขึ้นอีก บุคคลประเภทนี้นั้น ไม่ว่าจะทำอะไรเกี่ยวข้องกับทางธรรมะขององค์สมเด็จพระพิชิตมารที่ได้ทรงสอนเอาไว้ เช่น ได้ฟังธรรมได้อ่านบทพระธรรมวินัยก็เกิดเลื่อมใส เกิดปิติ ศรัทธา แล้วก็นำคำสอนขององค์พระบรมโลกเชษฐ์มาพิจารณา ด้วนสติปัญญา เห็นสมควรดียิ่งแล้วนำเอาไปประพฤติ ปฏิบัติ และได้ประโยชน์ อย่างมหาศาลเป็นต้นว่า หยุดการเวียนว่ายตายเกิด

    องค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงค้นหาสัจธรรมด้วยความพากเพียร สู้อดทนต่อความยากลำบากด้วยพระปัญญาบารมี และเต็มไปด้วยพระเมตตาปรารถนาที่จะช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิด พระองค์ท่านได้เอาชนะอุปสรรคทุกอย่าง ต่อสู้อย่างเต็มความสามารถ มีความแน่วแน่เด็ดเดี่ยวที่จะค้นหาวิธีที่จะทำให้ไม่ต้องเวียนเกิดเวียนตายอีกต่อไป

    ในที่สุดพระองค์ก็ได้พบแดนทิพย์วิเศษที่ไม่มีใครทราบมาก่อน นั่นคือ สถานที่อันประเสริฐสูงสุดมีชื่อว่า พระนิพพาน เป็นแดนสงบสุขอย่างยอดเยี่ยม ไม่มีดินน้ำลมไฟ ไม่มีพระอาทิตย์ ไม่มีขันธ์ 5 ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีปัญหาต้องแก้ เสรีจากกฎของกรรม ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป มีจิตทิพย์ กายแก้ว มีอิสระ เสรีจากกฎของกรรม กฎของธรรมชาติ ไม่มีเพศหญิงเพศชาย ปรารถนาสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น ปรากฏทันที จะไปแดนไหน ๆ ก็ไม่มีใครห้าม

    นิพพานัง ปรมัง สุขขัง
    พระนิพพานเป็นแดนทิพย์มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น มีความสุขอย่างยิ่ง

    นิพพานนัง ปรมัง สุญญัง
    นิพพานสูญจากความทุกข์ทั้งสิ้น สูญจากรูปนาม ขันธ์ 5 สูญจากอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สูญจากการเวียนว่ายตายเกิด สูญจากธาตุดินน้ำลมไฟ สูญจากกรรมชั่วทุกอย่าง สูญในที่นี้หมายความว่า ไม่มีทุกอย่างที่โลกนี้มี

    การที่พระนิพพานมีลักษณะตรงข้ามกับโลกเช่นนี้ จึงเป็นการยากที่คนจะเข้าใจพระนิพพานได้ ผู้ที่จะเข้าใจพระนิพพานได้ชัดเจนจริง คือ ผู้ที่ปฏิบัติสมาธิ วิปัสสนา พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง (เช่น มโนมยิทธิ เป็นต้น)

    สัพเพ ธัมมา อนัตตา
    แปลว่าธรรมทั้งหลายทั้งปวงควบคุมไว้ไม่ได้ ต้องแตกสลายสูญหายไปทั้งสิ้น บางท่านจึงแปลไปว่า พระนิพพาน คือ ธรรมะ เป็นอนัตตา สูญสลาย ตามโลกมนุษย์ด้วย ซึ่งเป็นการเข้าใจผิด
    พระนิพพานไม่ใช่อนัตตา เป็นอมตะ ไม่อยู่ในกฎของไตรลักษณ์


    โปรดอย่าลืมว่าพระพุทธองค์ทรงสอนธรรม 2 แบบ

    1. โลกียธรรม คือ ธรรมที่ชาวโลกปฏิบัติให้มีชีวิตอยู่ไม่ทุกข์เกินไป แต่ก็ยังวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่

    2. โลกุตตรธรรม คือ ธรรมที่เหนือนรก โลก สวรรค์ พรหม เป็นธรรมที่ ทำให้หลุดพ้นทุกข์ นรก โลก สวรรค์ พรหม ไปสู่แดนที่เป็นสุขตลอดกาล คือ พระนิพพาน

    ท่านผู้ได้ปฏิบัติศึกษาทางธรรม เป็นที่เข้าใจ ตามองค์พระพุทธศาสดาทรงสอนไว้เป็นหลักฐานในพระคัมภีร์เรียกว่า พระไตรปิฏก ซึ่งมีพระธรรมคำสอนอยู่ครบถ้วนและท่านที่มีศรัทธาบารมี มีความเชื่อมั่นในพระธรรมคำสอน ได้เอาพระธรรมไปศึกษาพิจารณาปฏิบัติก็จะได้เกิดเป็นประโยชน์คือ มีความสุขกายสุขใจ
    พระธรรมนั้นไม่มีคำว่า ล้าสมัย ทันสมัยตลอดกาล เพราะพระธรรมเป็นของจริง พระธรรมคือ ธรรมชาติในกายเรารอบ ๆ ตัวเรา ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีใครเป็นเจ้าของจริง พระธรรมคือธรรมชาติในกายเรารอบ ๆ ตัวเรา ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เพราะอยู่ใต้บังคับบัญชาของกฎธรรมชาติ คือ ต้องเปลี่ยนแปลง วิ่งเข้าหาความสึกหรอทรุดโทรม แล้วสูญสลายแตกหักกระจายในที่สุด ถ้าเป็นคนสัตว์ก็เรียกว่า เน่าเหม็นตาย จิตวิญญาณที่มาอาศัยอยู่ในกายชั่วคราวไม่ใช่เจ้าของร่างกายเลย ร่างกายไม่ได้อยู่ในอำนาจของจิตวิญญาณ
    การปฏิบัติธรรมก็คือ ใช้จิตวิญญาณของเราที่มาอาศัยในกายหรือขันธ์ 5 ชั่วคราวนี้ ด้วยการทำง่าย ๆดังนี้

    1. ตั้งจิตไว้ว่าทำความชั่วด้วยการผิดศีล 5 เพราะกลัวบาปกรรม มีนรกเป็นที่ไปเมื่อทิ้งร่างกายแล้ว

    2. เอาคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระอริยสงฆ์ เทิดทูนบูชาไว้ในจิต ในใจตลอดเวลา เคารพเชื่อฟังท่านโดยการมีเมตตา มีความกตัญญูรู้คุณบิดา มารดา ไหว้พระสวดมนต์ ทำสมาธิ ดูลมหายใจเข้าออก พิจารณาว่าร่างกายคนสะอาดหรือสกปรก เป็นสุขหรือทุกข์ ต้องแบกภาระหาเงินหาอาหารมาเลี้ยงร่างกายเหนื่อยบากก็ต้องทน

    3. ไม่ลืมว่าทุกคนเดินเข้าหาความตายทุกลมหายใจเข้าออก ไม่กลัวตายเพราะรู้ว่า ร่างกายเป็นเพียงธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ ประชุมกันชั่วคราว กายนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ ความหิว ร้อน หนาว เหนื่อย เหม็น มีภาระต้องเอาใจใส่ดูแลทำความสะอาด ตลอดเวลา และร่างกายก็เสื่อมโทรม เจ็บป่วย ตลอดเวลา เป็นการตัดความหลงรักในกายเขากายเรา เพราะรู้สภาพความเป็นจริงของร่างกายว่า นอกจากเหม็น สกปรก น่าเกลียด แล้วยังน่ากลัวอีกเพราะเจ็บปวดทุกข์ทรมานก่อนตาย

    4. ตั้งใจอธิษฐานไว้ตลอดเวลาว่า เมื่อขันธ์ 5 ร่างกายนี้พังสลาย ตายเมื่อไร จิตวิญญาณเรามุ่งตรงไปพระนิพพานสถานเดียว เป็นการตัดอวิชชาความไม่รู้ไปโดยง่าย เพราะผู้ที่มีพระนิพพานอยู่ในใจเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้มีปัญญาดี
    การทำสมาธิคือ ความตั้งมั่นคงอย่างใดอย่างหนึ่ง การคิดถึงความตาย การมีทาน ศีล นึกถึงพระนิพพาน ก็เป็นสมาธิอย่างหนึ่ง

    ถ้าจิตไม่ตั้งมั่น คิดนอกเรื่องจาก 4 ข้อนี้เป็นจิตคิดไร้สาระ ก็ต้องฝึกให้จิตคิด ในสิ่งที่เป็นสาธารณะประโยชน์ คือ พิจารณาเฝ้าดูลมหายใจเข้าออก นึกว่า พุธ หายใจออก กำหนดจิตไว้ว่า โธ หรือ จะนึก สัมมาอรหัง นะโมพุทธายะ นึกพระนามขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แบบไหนก็ได้ ดีทั้งนั้น เป็นพุทธานุสติกรรมฐาน ทำให้เข้าถึงพระนิพพานได้ง่าย ๆ เพราะจิตนึกถึงองค์พระศาสดาเป็นจิตสะอาด ไม่มีกิเลส เครื่องกังวลเศร้าหมอง

    ขอท่านพุทธบริษัททั้งหลายรีบเร่งปฏิบัติความดีเถิดท่าน เวลาของทุกท่านเหลือน้อยลงที่จะทำคุณงามความดี การทำความดีก็เป็นการยากเพราะกิเลสมารและมารรอบ ๆ ตัวเรามีมาก (มารคือ ผู้ดึงจิตเราให้ตกต่ำเศร้าหมอง)
    การปฏิบัติตาม 4 ข้อนั้นจะเอาชนะมารได้ ชนะกิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชา ได้ เป็นพระอริยะบุคคล ท่านที่ตั้งใจทำจริง ไม่ย่อท้อจะได้พบสิ่งที่ท่านไม่เคยพบ คือ ความมหัศจรรย์ทางจิตของท่านเอง ท่านจะได้พบพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ แล้วท่านก็จะได้พบพระนิพพาน แดนที่องค์พระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังรอพุทธบริษัททุกท่านอยู่อย่างเมตตาเป็นห่วงและเอาใจช่วยทุก ๆ ท่านตลอดเวลา




    ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14524
     
  2. Khundeaw

    Khundeaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    339
    ค่าพลัง:
    +706
    ได้ความรู้มากมาย อนุโมทนาสาธุการเผยแผ่ความรู้ให้ผู้ที่ไม่รู้ได้ด้วยครับ
     
  3. 2499

    2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    450
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,033
    [​IMG]


    พระอาจารย์มั่นยืนยันว่า นิพพานไม่ใช่สูญ

    นิพฺพานํ ปรมํ สูญญํ แปลว่า นิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง

    เป็นแดนว่างหรือปลดจากอุปสรรคขัดขวาง หรือขัดข้องทั้งสิ้นทั้งปวง เป็นแดนของวิสุทธิเทพ คือผู้เป็นพระอรหันต์ ที่ละลายกายทิพย์หมดสิ้นแล้ว เหลืออยู่แต่จิตสุขใสเป็นดวงแก้วประกายพรึก

    พระอรหันต์สถิตย์อยู่ในแดนพระนิพพานนั้น ถ้าท่านต้องการจะทำอะไร อย่างไรจะให้เป็นอะไร ท่านก็สามารถนฤมิตได้สำเร็จทุกอย่างไม่มีอะไรขัดข้อง ปลอดจากอุปสรรคทั้งปวง ท่านสามารถแบ่งภาคได้ร้อยแปดพันประการไม่จำกัดขอบเขต ไม่จำกัดกาลเวลา

    คำว่า นิพฺพานํ ปรมํ สูญญํ ที่แปลกันไปว่า นิพพานเป็นแดนสูญสิ้นไม่มีอะไรเหลือเลยนั้น พระอาจารย์มั่นบอกว่า ไม่เป็นความจริง นิพพานไม่ใช่สูญ ปรมํ สูญญํ ที่ไปแปลกันว่าคือ สูญโญ อันหมายถึงสภาวะไม่มีอะไรเลยอย่างเด็ดขาดนั้น เป็นการแปลหรือตีความที่ผิด

    การแปลความแบบนี้ก็เพื่อจะยืนยันความนึกเดาเอาตามมติของตนเองว่า นิพพานคือภาวะดับสูญอย่างเด็ดขาด ซึ่งมีค่าเท่ากับที่สัทธิศูนยวาทว่าไว้ว่า ไม่มีอะไร ๆ ก็หายสาปสูญไปหมด เรียกไม่รู้ กู่ไม่กลับนั่นเอง

    นิพพานไม่ใช่แดนสูญอย่างที่เข้าใจกันเลย

    นิพพานเป็นแดนทิพย์คล้ายพรหมโลก แต่สวยงามวิจิตพิสดารยิ่งกว่าพรหมโลก ผู้สำเร็จพระอรหันต์เข้าไปสู่แดนพระนิพพานนั้น มีร่างทิพย์ละเอียดที่นฤมิต ไม่ใช่กายทิพย์ธรรมดาเหมือนโอปปาติกะทั้งหลาย

    กายทิพย์ หรือธรรมกายของพระอรหันต์ในแดนนิพพานเป็นกายทิพย์ที่นฤมิตขึ้นด้วยธรรม ไม่ได้เกิดขึ้นเองเป็นเองโดยธรรมชาติของโลกวิญญาณ

    ร่างธรรมกายของพระอรหันต์เป็นทิพย์ละเอียดใสสะอาดใสเป็นประกายคล้ายแก้วประกายพรึก มีรัศมีสว่างไสวมากกว่าพระพรหมอย่างเทียบกันไม่ได้เลย มีความสุขที่สุดอย่างไม่มีอะไรเปรียบ เพราะความรู้สึกอื่นไม่มี มีแต่จิตสงเคราะห์

    พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ที่เข้าสู่แดนพระนิพพานไปนมนานกาเลแล้วนั้น ไม่ได้สูญไป

    พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายยังอยู่ ทรงอยู่ในสภาพของจิตคล้ายดาวประกยพรึก แต่เป็นดวงจิตที่รอบรู้สัพพัญญุตญาณคือความเป็นผู้รู้แจ้งแทงตลอดหมดสิ้นในเรื่องของสกลจักรวาล รู้ทุกสิ่งทุกอย่างถูกต้องแม่นยำไม่มีผิดพลาด

    โลกเราเป็นเพียงวัตถุก้อนหนึ่งล่องลอยโครจรไปในอวกาศอันกว้างใหญ่ไฟศาลหาขอบเขตไม่ได้ เปรียบไปก็คล้ายเป็นยานวากาศลำกระจ้อยร่อยเหลือเกิน

    เมื่อเปรียบเทียบกับความกว้างใหญ่ไพศาลของจักรวาล เวลานับแสนนับล้านปีของโลกเราที่หมุนไป อาจจะเป็นเสี้ยววินาทีเดียวของเวลาสากลจักรวาลก็ได้

    ดังนั้นเวลา 2525 ปี นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่พระปรินิพพานไป อาจจะเป็นเวลาเพียงเศษหนึ่งส่วนล้านวินาทีของเวลาในแดนพระนิพพานก็ได้

    พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกยังอยู่ในแดนพระนิพพาน ไม่ได้หายลับดับสูญไปไหน

    ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ เล่าไว้อย่างน่าสนใจว่า หลังจากที่ท่านบรรลุธรรมขั้นสูงสุดแล้วในคืนวันต่อมา พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวกอรหันต์จำนวนมาก ได้เสด็จมาทางนิมิตสมาธิ แสดงอนุโมทนาวิมุตติกับท่าน คือแสดงความยินดีที่ท่านพระอาจารย์มั่นบรรลุอรหันตผล




    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=all4u/&month=11-2007&date=21&group=38&gblog=13
     
  4. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    อ นุ โ ม ท น า ส า ธุ...พวกมิจฉาทิฐิน่ามาอ่าน
     
  5. Eddieshiki

    Eddieshiki นิพพานัง ปรมัง สุขัง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +535
    อนุโมทนากับทุกๆท่าน ขอทุกๆท่าน พุทธบริษัททั้งหลายรีบเร่งปฏิบัติความดี เพื่อไปสู่พระนิพพานกัน

    นิพพานัง ปรมัง สุขัง
     
  6. V NOOT

    V NOOT Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2008
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +43
    อนุโมทนา สว่างในทางธรรมแล้ว


    เมื่อสมัยเรียนมัธยม เค้าสอนว่า นิพพานคือการสูญ คือความว่างไม่มีซึ่งทั้งปวง
    เลยไม่เข้าใจว่าแล้วจะว่างไปทำไม ไม่มีเหตุผลเลย
    ทำให้ทำบุญตามประเพณีไปเรื่อย
    น่าจะเปลี่ยน สอนเด็กให้มีความเข้าใจ
    อาจจะสร้าง คน เข้าสู่กระแสธรรม ได้มากกว่านี้
    เสียดายจริงๆ
     
  7. คนมีกิเลส

    คนมีกิเลส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,973
    ค่าพลัง:
    +19,431
    "...กายทิพย์นิพพาน เรียกว่า ธรรมกาย เป็นอมตะธาตุ ที่ไม่มีดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ใช่กายเทพ กายพรหม เป็น อสังขธาตุ เป็นพุทธิธาตุ เป็นธาตุที่มีอยู่แล้ว เหนือกฎธรรมชาตทั้งปวง เป็น กายทิพย์ จิตทิพย์ จิตนิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นจิตของพระอรหันต์ พระขีณาสพ เรียก สภาวะจิตที่ไม่มีขันธ์ 5 ไม่มีกายหยาบ กายเทพ กายพรหม ว่า อนุปาทิเสสนิพพาน ..."

    สาธุ เจริญปัญญายิ่ง
    ขออนุโมทนาสาธุการในมหากุศลแห่งธรรมทานอันยิ่งใหญ่นี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มิถุนายน 2008
  8. โจฟะ

    โจฟะ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 เมษายน 2008
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +0
    ขออนุโมทนาครับ
    โพชฌงค์ 7 ธรรมะที่ เกิดพร้อม พระพุทธเจ้าครับ
    ทำให้มาก เจริญให้ มาก ครับ รอคนที่ จะเข้าไปพิสูจน์ครับ
     
  9. คนมีกิเลส

    คนมีกิเลส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,973
    ค่าพลัง:
    +19,431
    นิพพานสูตรที่ 1 จาก พระสุตตันตปิฎก เล่ม 17 ขุททกนิกาย อุทาน- ปาฏลิคามิยวรรคที่ 8 เขียนไว้ดังนี้
    [158] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้ภิกษุทั้งหลายเห็นแจ้งให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมมีกถาอันปฏิสังยุตต์ด้วยนิพพาน ก็ภิกษุเหล่านั้นกระทำให้มั่น มนสิการแล้วน้อมนึกธรรมีกถาด้วยจิตทั้งปวงแล้ว เงี่ยโสตลงฟังธรรม ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะวิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้าพระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสองย่อมไม่มีในอายตนะนั้น
    ดูกรภิกษุทั้งหลายเราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไปหาอารมณ์มิได้นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ
    ข้อความจากพระสูตรข้างต้น มีแต่คำว่า [อายตนะ] แสดงว่า ในภาษาบาลีคำว่า [อายตนะ] ในพระสูตรนี้ หมายถึง นิพพาน ต้องเข้าใจด้วยว่า พระไตรปิฎกที่เรากำลังนำมาศึกษากันนี้ เป็นพระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย คือ แปลมาจากภาษาบาลี หลักฐานจากพระสูตรข้างต้นแสดงให้เราทราบว่า [อายตนนิพพาน] เป็นภาษาไทย หลวงพ่อสดนำมาใช้เพื่อต้องการชี้เฉพาะให้ชัดเจนว่า หลวงพ่อหมายถึง "แหล่ง", "แห่ง", "ที่" ที่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ไป "อยู่" เมื่อ "ละ" ขันธ์ห้าของมนุษย์นี้แล้ว
    ข้อความจากพระสูตรดังกล่าวยังแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนอีกว่า ภาษาของมนุษย์ในโลกนี้ ไม่มี "คำ" ที่แสดงสภาพของนิพพานได้ การที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ "รู้" และ "เข้าใจ" นิพพานแล้ว แต่ก็ไม่ทรงบัญญัติศัพท์สำหรับนิพพานโดยเฉพาะ ก็เป็นเพราะว่า สภาวะของนิพพานนั้น "แตกต่าง" จากสภาวะของภพสามโดยสิ้นเชิง
    การบัญญัติศัพท์ขึ้นมาใหม่ จึงไม่มีประโยชน์อันใด เพราะ ไม่สามารถจะสื่อความกับมนุษย์ทั้งหมายได้ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์จึงต้องใช้ภาษาที่สามารถสื่อสารกับมนุษย์ให้เข้าใจได้ หลักการที่ว่านี้ ก็มีมากมายในพระไตรปิฎก
     
  10. คนมีกิเลส

    คนมีกิเลส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,973
    ค่าพลัง:
    +19,431
    นิพพานสูตรที่ 3 จาก พระสุตตันตปิฎก เล่ม 17 ขุททกนิกาย อุทาน- ปาฏลิคามิยวรรคที่ 8 เขียนไว้ดังนี้
    [160] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้ภิกษุทั้งหลายเห็นแจ้งเงี่ยโสตลงสดับธรรม ลำดับนั้นแลพระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้วอันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว จักไม่ได้มีแล้วไซร้ การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่ ฉะนั้น การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้วจึงปรากฏ ฯ
    พระสูตรนี้ เป็นข้อความที่ถัดมาจากจากพระสูตรที่ยกตัวอย่างไปข้างต้น กล่าวคือ พระสูตรในตัวอย่างแรกเป็นนิพพานสูตรที่ 1 ส่วนพระสูตรนี้เป็นนิพพานสูตรที่ 3 ในพระสูตรนี้ พระพุทธเจ้ายืนยันว่า นิพพาน "มีอยู่" โดยทรงกล่าวว่า นิพพานเป็นธรรมชาติ ที่ไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว ปัจจัยต่างๆ ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว "มีอยู่"
    จะเห็นได้ว่า นิพพานสูตรที่ 1 และนิพพานสูตรที่ 3 ต่างก็ยืนยันว่า นิพพานมีอยู่ และมีอยู่อย่างคงที่ถ้าเปรียบเทียบกับภาษาของมนุษย์ในโลก การที่นิพพานมีอยู่อย่างคงที่ ก็ไม่มีอะไรที่จะไป "ดับนิพพาน" ได้ เพราะ พระสูตรดังกล่าวเป็นพุทธพจน์ หลักฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นของใครก็ตาม ถ้า "ขัด" กับพุทธพจน์ก็ถือว่าใช้ไม่ได้
     
  11. คนมีกิเลส

    คนมีกิเลส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,973
    ค่าพลัง:
    +19,431
    พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๒ ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เขียนไว้ดังนี้
    [659] อมตนิพพาน ความสงบสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้น ตัณหา ความคลายกำหนัด ความดับ ความออกจากตัณหา เป็นเครื่องร้อยรัด ท่านกล่าวว่า นิพพานอันอะไรๆ นำไปไม่ได้ ในอุเทศว่า อสํหิรํ อสงฺกุปฺปํ ดังนี้.
    คำว่า อันอะไรๆ นำไปไม่ได้ ความว่า อันราคะ โทสะ โมหะ ความโกรธ ความผูกโกรธ ความลบหลู่ ความตีเสมอ ความริษยา ความตระหนี่ ความลวง ความโอ้อวด ความกระด้าง ความแข่งดี ความถือตัว ความดูหมิ่นท่าน ความเมา ความประมาท กิเลสทั้งปวง ทุจริตทั้งปวง ความกระวนกระวายทั้งปวง ความเร่าร้อนทั้งปวง อกุสลาภิสังขารทั้งปวงนำไปไม่ได้ เป็นคุณชาติเที่ยง ยั่งยืน มั่นคง มีความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อันอะไรๆ นำไปไม่ได้.
    อมตนิพพาน ความสงบสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหาความคลายกำหนัด ความดับ ความออกจากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด ท่านกล่าวว่านิพพาน อันไม่กำเริบ ในคำว่า อสงฺกุปฺปํ ดังนี้.
    ความเกิดขึ้นแห่งนิพพานใด ย่อมปรากฏ ความเสื่อมแห่งนิพพานนั้นมิได้มี ย่อมปรากฏอยู่โดยแท้. นิพพานเป็นคุณชาติเที่ยง ยั่งยืน มั่นคง มิได้มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อันอะไรๆ นำไปไม่ได้ ไม่กำเริบ.
    ข้อความในพระสูตรนี้ มีคำว่า "อมตนิพพาน" กับ "นิพพาน" คำว่า "อมตนิพาน" หมายความว่า นิพพานเป็นอมตะ และข้อความท้ายๆ ของพระสูตรก็ยังยืนยันอีกว่า นิพพานนั้น เที่ยง ยั่งยืน มั่นคง ไม่แปรปรวน
    โดยสรุป จากพระสูตรทั้ง 3 พระสูตรดังกล่าว จะเห็นว่า นิพพานเป็น "สิ่ง" ที่ยั่งยืน เป็นอมตะ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่แปรปรวน ถ้าจะเขียนอีกอย่างหนึ่งก็ได้ว่า นิพพานเป็นนิจจัง/สุขัง/อัตตา
    [ตรงนี้ขอแทรกเพื่ออธิบายว่า คำว่านิจจัง/สุขัง/อัตตานี้เป็นคำคุณศัพท์ (adjective) คำประเภทนี้มีหน้าที่สำหรับอธิบายสภาพของคำนาม (noun) เช่นคำว่า เสื้อขาว ขาวนั้นมีไว้เพื่อบรรยายสีของเสื้อ ดังนั้น ถ้ามีใครจะเขียนหรือพูดว่า "ไม่มีอัตตา" นั้น แสดงว่า ไม่ได้เข้าใจในหน้าที่ของคำ ขอยกตัวอย่างให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ถ้ามีคนบอกว่า "ประเทศไทยไม่มีหิมะ" ประโยคนี้ ถูกต้องทั้งในด้านธรรมชาติและภาษา เพราะ หิมะเป็นคำนาม เราจึงปฏิเสธได้ว่า "ไม่มี" แต่ถ้ามีคนกล่าวว่า ประเทศไทย ไม่มี "ขาว" อันนี้ไม่ถูกต้อง เพราะ "ขาว" เป็นสภาวะหรือสภาพ เราไม่สามารถบอกว่า คำคุณศัพท์ (adjective) ไม่มี]
    ข้อที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือ พระไตรปิฎกเมื่อกล่าวถึงนิพพานจะใช้คำว่า "อายตนะ", "อมตนิพพาน", และ "นิพพาน" ไม่ได้ใช้คำว่า "อายตนนิพพาน" คำว่าอายตนนิพพานนั้น ขอย้ำอีกครั้งเป็นภาษาไทย

    ถ้ากล่าวถึงหนังสือของหลวงพ่อสด หลวงพ่อใช้คำนี้เพื่อหมายถึง "ที่" ที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์จะไป "สถิตอยู่"
     
  12. rawiphan

    rawiphan บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    เมื่อทิ้งกาย จะได้กลับคืน ยังแดนนิพพาน
    พ้นกายสามัญ บรรลุโสดา เป็นพระอรหันต์
    เครื่องทรงทิพย์ อาภาพิไล ได้สวมใส่กัน
    นั่งบัวบัลลังก์ มาลาประดับ บาทาเกือกเซียน
     
  13. อกนิษฐกา

    อกนิษฐกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    219
    ค่าพลัง:
    +117
    ธรรมปฏิบัติ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้นั้น ทรงแสดงตามอัชฌาศัยของผู้ปฏิบัติ ๔ สาย ที่หาครูบาอาจารย์ ณ.ปัจจุบัน ศึกษาและปฏิบัติจนเข้าถึงเข้าใจครบในทุกๆสายนั้นแทบไม่มีเลย ฉะนั้นคำสอนของคณาจารย์ปัจจุบันจึงสอนเป็นการเฉพาะจุด ไม่ครอบคลุมทั้งหมด เมื่อไม่ครอบคลุมก็ย่อมมีแนวปฏิบัติที่แตกต่างจากที่ท่านปฏิบัติ และท่านก็ไม่เข้าใจ จนอาจมีความเข้าใจว่าข้อปฏิบัติที่ไม่เหมือนตัวเองนั้น ไม่ถูกก็เป็นได้ อย่างเช่นวิธีการเดิน จงกรมเป็นต้น
    แนวปฏิบัติ ๔ สายนั้น เห็นมีก็แต่องค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ วัดท่าซุงเท่านั้นที่ท่านสอนลูกศิษย์ครบทุกสาย กรรมฐาน ๔๐ ท่านก็ปฏิบัติจนครบทั้งหมด และนำมาแนะนำวิธีปฏิบัติให้แก่ลูกศิษย์ทั้งหมด มหาสติปัฏฐาน ๔ ท่านก็ปฏิบัติจนครบ และ อธิบายวิธีปฏิบัติให้แก่ลูกศิษย์อย่างละเอียด อารมย์พระอริยะเจ้า ตั้งแต่พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีและพระอรหันต์ ท่านก็อธิบายไว้อย่างละเอียดครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เราจะหาศึกษาได้ คำสอนของท่านถึงพร้อมด้วยปริยัติ ปฏิบัติ และ ปฏิเวธ
    ไม่ใช่เป็นการบรรยายธรรมแบบเลื่อนลอยไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมายปลายทางอย่างที่นิยมกันมากในปัจจุบัน
    ทาง๔ สายคือ
    ๑.สุขวิปัสสโก สามารถปฏิบัติและตัดกิเลสได้ เป็นพระอริยะเจ้าตั้งแต่พระโสดาบัน ถึงอรหันต์ได้ แต่ไม่มีทิพยจักขุญาณ ไม่สามารถเห็น ผี เห็นเปรต เห็นนรก สวรรค์ พรหม นิพพานได้ แต่ท่านเชื่อว่ามีจริงเพราะละมิจฉาทิฏฐิได้ในเบื้องต้นแห่งการปฏิบัติแล้ว
    ๒.เตวิชโช หรือ วิชชา ๓ คือมีทิพยจักขุญาณ สามารถเห็นสภาวะธรรมที่เป็นทิพย์ได้ เช่น เห็นผี เปรต นรก สวรรค์ พรหม และถ้าปฏิบัติจนถึงพระโสดาปฏิมรรค ก็จะสามารถเห็นพระนิพพานได้ สามารถระลึกชาติได้ และ ทำอาสาวะให้สิ้นไป ตั้งแต่ระดับโสดาบัน จนถึงอรหันต์ได้ ตัวอย่างสมัยพุทธกาลคือพระอนุรุธ
    ๓.ฉฬภิญโญ หรืออภิญญาหก ไม่เห็นอย่างเดียวอย่างวิชชา๓ สามารถไปนรก สวรรค์ ไปภพภูมิต่างๆได้ แสดงฤทธิ์ต่างได้ สุดท้ายทำอาสาวะให้สิ้นไปได้ ตัวอย่างสมัยพุทธกาลก็ พระมหาโมคคัลลานะ
    ๔.ปฏิสัมภิทัปปัตโต หรือ ปฏิสัมภิทาญาณ มีความสามารถครอบคลุมทั้ง ๓ สายข้างต้นทั้งหมด ที่พิเศษคือ จะรู้ทุกภาษาในโลกนี้ ทั้งภาษามนุษย์ และ ภาษาสัตว์ ความเป็นปฏิสัมภิทาญาณนี้ จะปรกกฏแก่ผู้ปฏิบัติได้เมื่อทำอาสาวะกิเลสให้สิ้นไประดับพระอนาคามีผล คือละสังโยชน์ได้ ๕ ขึ้นไป
    วิธีปฏิบัติทั้ง ๔ สายนี้ ท่านสอนไว้ครบ ว่าจะปฏิบัติอย่างไรถึงจะนำไปสู่ วิชชา๓ อภิญญา ๖ ปฏิสัมภิทาญาณ ผู้สนใจหามาศึกษาเพื่อนำมาปฏิบัติได้ตามอัชฌาศัย ถ้าท่านได้วิชชา ๓ และละอาสาวะกิเลส ได้ถึงระดับพระโสดาปฏิมรรค ท่านก็จะสามารถเห็นแดนพระนิพพานได้ ถ้าท่านได้มโนมยิทธิท่านก็สามารถไปพระนิพพานได้ด้วยอทิสสมานกายอันบริสุทธิ์อย่างน้อยก็ระดับพระโสดาปฏิมรรค แม้ได้มโนมยิทธิ แต่ถ้าจิตสะอาดไม่ถึงระดับนี้ ก็ไม่สามารถเห็นและเข้าสู่พระนิพพานได้ สำหรับผมพอปฏิบัติตามคำสอนของท่านได้บ้าง พอมีความเข้าใจว่า สภาวะนรก สวรรค์ พรหม และพระนิพพานเป็นเช่นไร เลยไม่มีความสงสัยในสภาวะเหล่านี้ เพราะสามารถสัมผัสได้ด้วยตัวเอง จึงอยากให้ท่านผู้ยินดีในการปฏิบัติธรรมทุกๆท่าน พยายามปฏิบัติจนถึงขั้นหายสงสัยในสภาวะพระนิพพานบ้าง เพราะความเข้าเนื้อเข้าใจในสภาวะพระนิพพานอันเกิดจากการปฏิบัติได้ของเรานั้น มันอธิบายไม่ได้จริงๆ และที่สำคัญที่สุดคือการโต้เถึยงกันเรื่องพระนิพพานจนคนพุทธเราแตกเป็น สองกลุ่ม สามกลุ่มอย่างปัจจุบันนี้ก็จะได้หมดไป
    ผู้ปฏิบัติได้ย่อมเห็นได้ด้วยตนเอง และเป็นสิ่งที่ไม่เหลือวิสัยสำหรับผู้ที่ไม่ถือทิฏฐิมานะจนเกินไป แล้วเมื่อเรารู้แล้วเราก็จะพูดเหมือนกันหมดว่า นิพพานัง ปะระมังสุขังนั้นเป็นเช่นไร เพราะไม่ได้พูดจากการศึกษาจากตำรา หรือเชื่อมาจากครูบาอาจารย์ที่ยังมีความเห็นต่างๆกันไป
     
  14. เกสรช์

    เกสรช์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    827
    ค่าพลัง:
    +1,401
    ขออนุโมทนา สาธุกับบทความนี้และทุกๆคำตอบด้วยคะ

    เราปรารถนาเข้าสู่พระนิพพาน เบื่อหน่ายการเกิด แก่ เจ็บ ตาย.....
     
  15. พระศุภกิจ ปภัสสโร

    พระศุภกิจ ปภัสสโร เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    2,015
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +11,168
    สุข...อันนิรันดร

    [​IMG]
    ดับเย็นก็เป็นสุข
     
  16. อรวี จุฑากรณ์

    อรวี จุฑากรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    439
    ค่าพลัง:
    +189
    อนุโมทนา สาธุ กับกระทู้ดีดีค่ะ ที่นำมาให้เราชาวพลังจิต
    -----------------------------------------------------------------------
    สุขกาย สุขใจ รักษา ตนให้ พ้นจาก ทุกข์ภัย ทั้งสิ้นเทอญ
     
  17. โสภา จาเรือน

    โสภา จาเรือน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    2,013
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,332
    อนุโมทนาสาธุ


    พึงบำเพ็ญ ตบะ ละกิเลส
    อันเป็นเหตุ หักห้าม กามฉันท์
    มุ่งทำลาย ถ่ายบาป สาบสูญพันธุ์
    เข้าสู่ขั้น สุโข ฌาณโกลีย์
     
  18. หญ้าคา

    หญ้าคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    247
    ค่าพลัง:
    +138
    อนุโมทนาสาธุครับผม เวลาเรามีไม่มาก เกิดมาชาติหนึ่ง เวลาสูญเปล่ามีมาก เวลาทำงานจริงๆมีไม่มาก เวลาเหลือน้อย จะทำอะไรรีบๆทำ
    หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศา
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    [​IMG] อนุโมทนาบุญอย่างยิ่งครับ[​IMG]
     
  20. lasomchai

    lasomchai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +2,036
    ขออนุโมทนากับเจ้าของกระทู้และผู้ร่วมอนุโมทนาด้วยทุกท่านครับ

    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...