พระธรรมเทศนาหลวงปู่มั่นที่ยังให้พระอาจารย์ฝั้น อาจาโรศรัทธาในการปฏิบัติ

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 4 ธันวาคม 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,026
    พระธรรมเทศนาหลวงปู่มั่นที่ยังให้พระอาจารย์ฝั้น อาจาโรศรัทธาในการปฏิบัติ
    เมื่อพระอาจารย์ฝั้นได้พบพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะมหาเถระเป็นครั้งแรก
    บันทักโดยพระอาจารย์สุวัจ สุวโจ
    จากอาจาริยเถรประวัต
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="80%"> <tbody><tr> <td width="26%">
    [​IMG]
    หลวงปู่มั่น
    ภูริทัตตมหาเถระ
    </td> <td width="42%">
    [​IMG]
    พระครูสกลสมณกิจ
    ( ท่านพระอาญาครู ธรรม )
    </td> <td width="32%">
    [​IMG]
    พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
    เมื่ออายุ 58 ปี
    </td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="90%"> <tbody><tr> <td width="26%">
    [​IMG]
    วัดป่าภูไทยสามัคคี
    บ้านม่วงไข่ จ.สกลนคร
    </td> <td width="74%"> ...... เมื่อพระภิกษุฝั้น อาจาโร ได้อุปสมบทแล้ว ได้ศึกษาและปฏิบัติอยู่กับท่านพระอาญาครูธรรม เป็นเวลา 2 ปี ครั้นถึงเดือน 3 ข้างขึ้น ปีพุทธศักราช 2463 อาญาท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะมหาเถระ พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณรหลายรูปออกเที่ยววิเวกเดินธุดงค์รุกขมูล มาถึงบ้านม่วงไข่ ตำบลพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ได้เข้าไปพักปักกลดอยู่ในป่า อันเป็นป่าช้าข้างบ้านม่วงไข่ ( ปัจจุบันที่ตรงนั้นได้สร้างเป็นวัดแล้ว ชื่อว่า วัดป่าภูไทสามัคคี ) ส่วนญาติโยมชาวบ้านม่วงไข่ ได้ทราบข่าวว่ามีพระธุดงค์มาพักปักกลดอยู่ในป่าช้าข้างหมู่บ้านของตน พากันดีใจเป็นอย่างมาก เพราะทุกคนก็อยากจะเห็นพระธุดงค์ จึงได้กระจายข่าวให้ได้ทราบทั่วถึงกันอย่างรวดเร็ว คณะหญิงชายทั้งเด็กและผู้ใหญ่พากันออกไปต้อนรับ ได้ช่วยปัดกวาดจัดทำที่พักปักกลดและทางเดินจงกลมตลอดถึงน้ำดื่มน้ำใช้ถวาย คนผู้เฒ่าผู้แก่ก็นำเอาน้ำร้อนน้ำอุ่น หมากพลูบุหรี่ไปถวาย ตามธรรมเนียมของคนสมัยนั้น เสร็จแล้วโยมที่เป็นหัวหน้าผู้เป็นนักปราชญ์อาจารย์พากันนั้งคุกเข่ากราบพระ 3 หน แล้วนั้งสงบเรียบร้อย คอยฟังธรรม คำอบรมจากพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะมหาเถระ ต่อไป สำหรับพระภิกษุที่ไปร่วมฟังด้วยในคราวนั้นมี พระอาญาครูดี พระภิกษุฝั้น อาจาโร พระภิกษุกู่ ธมฺมทินฺโน ได้มีใจเลื่อมใสศรัทธาชวนกันออกไปฟังพระธรรมเทศนาอบรมธรรมปฏิบัติด้วย </td> </tr> </tbody></table>
    ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะมหาเถระ ท่านได้แสดงธรรมเทศนาสั่งสอนเริ่มตั้งแต่การให้ทาน การรักษาศีล ตลอดถึงการภาวนา ว่ามีผลอานิสงส์มาก แต่การที่ผู้ให้ทาน รักษาศีล ไหว้พระ ฟังธรรม กระทำเจริญกรรมฐานการภาวนา ที่ไม่ได้อานิสงส์ผลมากนั้น เพราะพวกเรายังมีการเห็นผิด มีความนับถือ และเชื่อถือผิดจากทางธรรมที่พระพุทธองค์นำพาสาวกประพฤติปฏิบัติมา ตัวอย่างเช่น ชาวบ้านเรายังบวงสรวงนับถือบูชา หอทะคาอารักษ์ (เรียกตามภาษาพื้นบ้านสมัยก่อน) ภูตผีปีศาจ พระภูมิเจ้าที่ ผีสางนางไม้ เคารพนับถือเอามาเป็นที่พึ่งตามความเข้าใจผิดของพวกเรา โดยเข้าใจว่าของเหล่านั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์ ดลบันดาล คุ้มครอง ปกปักรักษาและป้องกันภยันตรายได้จริง มีการฆ่าสัตว์ 2 เท้า 4 เท้า มีวัว ควาย หมู เป็ด ไก่ ตลอดถึง เหล้า สุรา ยาดองของมึนเมา เอามาทำพิธีกรรม เซ่นสรวง บวงสรวง ทะคา ปีศาจ วิญญาณภูตผี พระภูมิเจ้าที่ เทวาอารักษ์ เขาเหล่านั้นจะได้มาเสวยเครื่องสังเวยที่เอามาทำการเซ่นสรวงหรือไม่ ไม่มีใครเห็น เห็นแต่พวกเจ้าเองนั่นแหละอิ่ม เมา มึนเมามัวซัวเสียครึกครื้นกันทั้งบ้าน แล้วสิ่งเหล่านั้นก็จะมาช่วยอะไรเราไม่ได้ มีแต่จะมาก่อกวน ก่อกินกับพวกเราร่ำไป รอบปีหนึ่ง ๆ ก็ต้องเสียวัวเสียควาย หมู เป็ด ไก่ ให้มันทุก ๆ ปี พวกเรามีความเชื่อถือมาผิด ๆ เพราะความเห็นผิดนี้แล ไม่ใช่ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่สาวก อุบาสก อุบาสิกา ประพฤติปฏิบัติมา การไหว้พระ ภาวนา รักษาศีล ให้ทาน การทำบุญกุศลจึงไม่มีผลอานิสงส์มาก ให้พากันเลิกละความเชื่อถือผิดตามความที่เคยเชื่อถือและนับถือผิดมาแล้วนั้นเสียตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อย่าได้เกี่ยวข้องกับมันอีกอย่างเด็ดขาด คุณพระรัตนตรัยเท่านั้นเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของพวกเรา ​
    พระพุทธเจ้า 1 พระธรรม 1 พระสงฆ์ 1 ทั้ง 3 อย่างนี้ เรียกว่า พระรัตนตรัย ​
    พระพุทธเจ้า นั้น พระองค์ทรงคุณคือ กายกรรม การกระทำการใด ๆ ทางกาย พระองค์ทรงละเว้นการกระทำในทางที่ผิด มีการเบียดเบียนตนและคนอื่น ให้เกิดโทษ เป็นทุกข์ภัยอันตรายแก่ตนเองนั้นเสีย และพระองค์ทรงกระทำแต่ในทางที่ถูก ไม่เบียดเบียนตน และใครคนอื่นเขาตลอดถึงสัตว์อื่นด้วย ทำแต่คุณความดีที่ให้เกิดประโยชน์แก่ตนทั้งบุคคลอื่นและสัตว์อื่น กายของพระองค์ทำแต่กรรมดี มีความบริสุทธิ์ผ่องใสสะอาดปราศจากกรรมอันมัวหมองต้องโทษ พระพุทธเจ้านั้น พระองค์ทรงคุณคือ วจีกรรม การกล่าวออกเสียง ชี้แจงแสดงพูดออกเสียงมาทางวาจา พระองค์ทรงเว้นจาก การกล่าวเท็จ พูดคำหยาบ คำส่อเสียด คำเพ้อเจ้อ เหลวไหล ไม่เป็นประโยชน์ทั้งตนและคนอื่น พระองค์ทรงพูดแต่คำสัตย์จริง เป็นคำที่มั่นคงตั้งอยู่ตลอดกาลไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา จึงเป็นสวากขาโต ภควาตา ธัมโม พระองค์ทรงกล่าวแต่คำที่จะทำให้เกิดความสมัครสมานประสานความสามัคคีในทางดีมีประโยชน์ซึ่งกันและกันตลอดถึงประโยชน์ส่วนรวมพร้อมทั้งประโยชน์ชาตินี้และชาติหน้า และประโยชน์อย่างสูงสุดชั้นวิมุติเฉทปหาน พระองค์ทรงคุณ คือเว้นจากการพูดคำหยาบคายซึ่งเป็นคำพูดที่แสลงหูของผู้ที่ได้ยินได้ฟัง ทำให้เป็นทุกข์โทษไม่เกิดประโยชน์ทั้งสองฝ่าย พระองค์ทรงคุณคือ เว้นจากคำพูดอันเหลวไหลไร้สาระ พูดแต่คำกอปรด้วยประโยชน์ เป็นคำพูดที่สะอาดหมดจดปราศจากมัวหมองธุลีละอองใด ๆ ทั้งสิ้น จนพระองค์ทรงได้บรรลุถึงซึ่งขั้นชั้นวจีวิสุทธิคุณอันยอดเยี่ยม พระพุทธเจ้านั้น พระองค์ทรงคุณคือ มโนวิสุทธิ มีจิตใจหมดจดสะอาดผ่องใสบริสุทธิ์ปราศจากละอองธุลีอันเป็นมลทิน อันมีความโลภ โกรธ หลง เป็นต้น พระองค์มีกาย มีวาจา มีจิตบริสุทธิ์ปราศจากเครื่องเศร้าหมอง คื กิเลสอาสวะไม่มีใน กาย วาจา จิต พระองค์ได้บรรลุถึงขั้นวิสุทธิคุณอันยอดเยี่ยม ซึ่งไม่มีมนุษย์และสัตว์ เทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ใด ๆในโลกได้บรรลุถึงคุณนามว่าวิสุทธิคุณอย่างยอดเยี่ยมนี้เลย ​
    พระพุทธเจ้านั้นพระองค์ทรงพระเมตตาพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงสุด แก่พวกเราและสัตว์ทั้งหลายในโลกหาประมาณมิได้ พระองค์ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากลำบากในพระวรกาย ท่องเที่ยวไปโปรดเทศนาแนะนำพร่ำสอนตามคามเขตนิคม ทุกแห่งทุกหน ทุกบ้านทุกตำบล ตามหมู่บ้านชนบท บ้านน้อยใหญ่ ตามไร่นาป่าเขา จะเป็นกษัตริย์ พราหมณ์ เศรษฐี คฤหบดี มีจนคนใดอย่างไรไม่เลือก พระองค์ทรงชักนำพร่ำสอน อนุเคราะห์ สงเคราะห์เวไนยชนเหล่านั้น ด้วยอาศัยพระมหากรุณาเมตตาธิคุณของพระองค์อย่างล้นฟ้า ล้นฝั่งไม่เคยบกพร่องแม้แต่น้อยเลย จึงได้ชื่อว่าพระองค์ทรงพระมหากรุณาธิคุณ ​
    พระพุทธเจ้านั้นพระองค์ทรงมีพระปัญญาคุณ เป็นคุณอันสำคัญยิ่งเพราพระปัญญษคุณนี้เอง ทำให้พระองค์ได้สำเร็จในการตรัสรู้บรรลุถึงอรหัตตคุณ เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ป็นเอกในโลก ธรรมที่พระองค์ทรงได้บรรลุถึงซึ่งการตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เองเหล่านั้น พระองค์ยังไม่เคยได้ยินได้ฟังมาจากใครคนใดที่ไหนมาก่อนเลย พระองค์ได้ตรัสรู้ด้วยพระปัญญาอันปรีชาหลักแหลม เฉลียวฉลาด องอาจแกล้วกล้า ยังความสามารถให้ได้บรรลุถึงคุณคือ พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธ ด้วยลำพังพระองค์เองอย่างเยี่ยมยอดเป็นเอกในโลกกับด้วยเทวดา มาร พรหม ในประชาชน กับด้วยสมณะและพราหมณ์ กับด้วยเทวดา และมนุษย์ สูงสุดไม่มีใครและสิ่งใดจะมาเปรียบเทียบเทียมเท่าพระมหาปัญญาคุณของพระองค์ได้ ​
    พระมหาปัญญาคุณอันเลิศประเสริฐสูงสุดนี้เอง ทำให้พระองค์มีความสามารถได้ลุถึงซึ่งความสำเร็จพระมหาสัพพัญญุตญาณคุณ เป็นคุณธรรมยิ่งใหญ่สูงสุดกว่าโลกทั้ง 3 คุณของพระพุทธเจ้านั้นมีมาก ไม่สามารถที่นำเอามาแสดงที่นี้ให้สิ้นสุดได้ ขอให้พวกเราศึกษาจดจำไว้โดยอย่างย่อเพียง 3 อย่างก่อน คือ ทรงพระมหาปัญญาคุณ 1 ทรงพระมหาบริสุทธิคุณ 1 ทรงพระมหากรุณาธิคุณ 1พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของชาวเราทั้งหลายพระองค์ทรงไว้ด้วยดีแล้ว ซึ่งพระมหาปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ พระสัพพัญญคุณ พระสัพพอนันตคุณดังแสดงมาแล้วนี้ ให้พวกเราทั้งหลายทุกท่านทุกคนตั้งจิตน้อมนึกระลึกถึงพระคุณของพระองค์ ทุกวันทุกเวลา เคารพนบไหว้น้อมกราบบูชานับถือเป็นสรณะ ที่พึ่งของตนทุกคนทุกท่านเถิด จักได้เป็นมหากุศล อันล้ำเลิศประเสริฐนักแล ที่พวกเรานบไหว้บูชา เซ่นสรวงเทวดาอารักษ์ พระภูมิเจ้าที่ ภูตผีปีศาจ อะไรเหล่านี้ มันไม่สามารถที่จะช่วยอะไรเราได้ อย่าพากันเชื่อถือและนับถือผิดๆกันต่อไป ​
    พระธรรม นั้นคือ สภาวะที่ให้เกิดความสุขและทุกข์จากบุคคลที่ฉลาดและไม่ฉลาดกระทำขึ้นมานี้เอง เป็นความจริงมีตลอดกาล อย่างมั่นคง เป็นของประจำโลก จึงเรียกว่า ธรรมเป็นสภาพที่ดำรงทรงไว้ซึ่งความจริง พระธรรมนั้นบางอย่างเมื่อบุคคลกระทำแล้ว ให้เกิดความสุข เป็นคุณความดี มีประโยชน์แก่ตนผู้ทำก็มี บางอย่างทำแล้วกลับให้เกิดทุกข์เป็นโทษภยันตรายแก่ตัวผู้กระทำก็มี บางอย่างทำแล้วเป็นกลาง ๆ ไม่เป็นคุณเป็นโทษก็มีแต่ที่นี่ จัดแสดงธรรมในส่วนที่เป็นคุณและเป็นโทษเท่านั้น บุคคลใดที่ยังไม่ฉลาดไม่รอบรู้ในทางธรรม เขาย่อมฆ่าสัคว์ ลักทรัพย์ ประพฤติมิจฉาจารทางกาม เป็นความทุจริตทางกาย เรียกว่ากายทุจริตบ้าง เขาย่อมนำเอาความไม่จริงมาพูดทั้ง ๆ ที่รู้เรียกว่าพูดเท็จ ย่อมพูดส่อเสียดนำเรื่องยุยงให้แตกร้าวซึ่งกันและกัน พูดคำหยาบไม่เสนาะเพราะหูแก่ผู้ที่ได้ยินได้ฟังบ้างพูดเพ้อเจ้อเลอะเทอะเหลวไหลไร้ประโยชน์ เป็นการทุจริตทางวาจาที่เรียกว่า วจีทุจริต เขาย่อมมีความละโมบโลภเพ่งเล็งในวัตถุข้าวของของคนอื่นมาเป็นของตน เรียกว่า อภิชฌาวิสมโลภะ คิดปองร้ายผูกอาฆาตบาดหมางจองเวรจองผลาญ เป็นการคิดพยาบาทย่อมมีความคิดเห็นผิดจากความเป็นธรรมที่มีเหตุผลตามความเป็นจริง เป็นมิจฉาทิฎฐิ นี้เรียกว่า มโนทุจริต คนไม่ฉลาดย่อมทำกรรมเป็นการทุจริต ด้วย กาย วาจา จิต เป็นอกุศลธรรม คือ อกุศล อันเป็นที่มาจากจิตที่ประกอบกีบกิเลส มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นมูลชวนให้ทำบาป อปุญญาภิสังขารเป็นปัจจัย อาศัยมาจากอวิชชา เป็นนายช่างผู้ปรุง ชวนจิตของคนผู้ไม่ฉลาดให้ทำกรรมที่เป็นบาปอกุศลให้ผลเป็นโทษ ได้รับความเสวยทุกข์ทรมานกายและจิตใจ อาศัยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์จึงได้ทรงชี้แจงแสดงพร่ำสั่งสอนชาวเราผู้ยังโง่ ยังไม่ฉลาดทั้งหลายเหล่านี้ว่า สัพพปาปัสสะอะกรณัง เอตังพุทธานะสาสะนัง อย่าทำกรรมอันเป็นบาปน้อยใหญ่ด้วยทั้งกาย วาจา ใจทั้งปวง นี่เป็นพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่เราเรียกว่าพระศาสดาดังนี้ ​
    บุคคลผู้มีสติปัญญาดี เมื่อได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง พระสัจธรรมอันเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว เขาย่อมเป็นผู้มีจิตแสนฉลาด รู้ความหมายมีศรัทธาเลื่อมใส เข้าใจในอรรถในธรรม เขาทำแต่กรรมดี ละกายทุจริต ดังจิตเจตนา เว้นห่างจากบาป เช่นไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมยเอาข้าวของของผู้อื่นไม่ประพฤติผิดมิจฉาทางกาม ไม่พูดความเท็จ พูดแต่ความจริง ไม่พูดส่อเสียดให้เกิดความทะเลาะแตกความสามัคคีต่อกัน ไม่พูดคำหยาบ ไม่แสลงหู ทำให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจดี ไม่มีภัยในคำพูด พูดมั่นคงมีหลักฐาน ไม่เป็นคำเพ้อเจ้อเหลวไหลไร้ประโยชน์ เป็นวาจาสะอาด นักปราชญ์นิยมชมชอบ ​
    บุคคลผู้ฉลาดนั้น แม้จะคิดสิ่งใด ก็ไม่คิดเพื่อเบียดเบียนตนเองและคนอื่น อนภิชฌา อพยาบาท มีความเห็นถูกต้อง คิดเว้นกรรมชั่ว ศึกษาสมาทานทำแต่กรรมดี ยินดีพอใจในการทำบุญ มีทานามัย ศีลามัย ภาวนามัย ให้ความสำเร็จเป็นบุญ อาศัยได้กำลังหนุนมาจาก ปุญญาภิสังขาร เป็นนายช่าง มีวิชชามาเป็นปัจจัย ให้เป็นไปสมควรแก่กำลังของตน นี่เป็นฝ่ายกุศลธรรม ทำได้ทุกคน เมื่อจิตใจมีความฉลาดแล้ว ย่อมยังกุศลให้ถึงพร้อม ที่เรียกว่า กุสลัสสูปสัมปทา ( กุสลสฺสูปสมฺปทา ) เอตังพุทธสาสนันติ นี้เป็นพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เราทุกคนควรระลึกนึกมาเป็นธรรมคำภาวนา ว่า สวากขาโต ภควตา ธมฺโม หรือจะบริกรรมว่า ธมฺโม เม นาโถ หรือ ธมฺโม ธมฺโม ธมฺโม ๆๆๆ ก็ได้ ให้พากันปฏิบัติอย่างนี้จึงจะถูก จึงจะมีผลอานิสงส์มาก เป็นทางสุคติ ปฏิบัติถูกอย่างนี้จึงจะได้รับประโยชน์สำเร็จสุขในมนุษย์สมบัติ และสวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ เป็นสมบัติสุขอย่างยิ่ง ได้เลิกละความเชื่อถือ ที่นับถือผิด ๆ อันพวกเราเคยถือมาแล้วนั้นเสีย ​
    พระสงฆ์ นั้นคือ ท่านปฏิบัติรักษากายของท่านดี วาจาของท่านก็ปฏิบัติดี จิตของท่านก็มีสติปัญญาเป็นเครื่องรักษาและป้องกันอย่างดียิ่ง เป็น สุปฏิปันโนสงฆ์ ท่านบุคคลใดปฏิบัติจิตและอบรมจิตด้วยสติปัญญาอันคมกล้าอย่างถูกต้องตรงตามทางของพระอริยะเป็นทางเอกเหนือทางโลกทั้ง 3 ท่านนี้แล เป็น อุชุปฏิปันโนสงฆ์ ท่านบุคคลใดเป็นผู้ปฏิบัติจิตอาศัยที่ได้พลังมาจากมหาสติมหาปัญญาที่ตนได้เตรียมไว้อย่างถูกต้องตามศีลธรรมของพระอริยะ เหมือนคนผู้ฉลาด รู้จักเลือกเอาลูกกุญแจถูกกับตัวของมันพอจับเข้าไปถึงจุดไขนิดเดียวก็หลุดพ้นออกมาทันนี นี้ฉันใดท่านผู้ปฏิบัติถูกต้อง ตามทางของพระอริยะเพื่อมรรคผลนิพพานก็เช่นนั้น ผู้ปฏิบัติอย่างนี้แล เป็น ญายปฏิปันโนสงฆ์ บุคคลท่านใดแล เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติตรง ปฏิบัติอย่างถูกต้องปฏิบัติชอบยิ่ง เป็นผู้บริสุทธิ์หมดจดงดงามสะอาด ปราศจากกิเลสตัณหาอาสวะเห็นแจ้งพระนิพพานพระองค์ท่านนี้แล เป็น สามีจิปฏิปันโนสงฆ์ บุคคลท่านผู้ปฏิบัติดังได้แสดงมานี้จึงได้ชื่อว่าเป็น พระอริยะสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงคุณอันประเสริฐเราทั้งหลายควรนบนอบคำนับ ต้อนรับเคารพกราบไหว้สักการบูชา ตั้งจิตด้วยสติระลึกน้อมนึกเอาเข้ามาภาวนาว่าเป็นสรณะ ที่พึ่งของเราอันประเสริฐ สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ หรือจะบริกรรมว่า สังโฆ เม นาโถ หรือ สงฺโฆ สงฺโฆ สงฺโฆ ๆๆๆ ก็ได้ เมื่อพากันได้ยิน ได้ฟัง แล้วต้องปฏิบัติตามจักได้เป็นที่พึ่งที่อาศัยของเรา ถ้าไม่ปฏิบัติก็พึ่งอะไรไม่ได้ จะเป็นคนอนาถาหาที่พึ่งไม่มี มีแต่ภัยแตแวร ทุกข์ยากลำบากเดือดร้อน จะพึ่งพาอาศัยอะไรก็ไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติไว้ให้ได้เป็นสมบัติตัวของเราเอง เมื่อเราได้มาฝึกหัดปฏิบัติเพื่อให้จิตใจของเรามีความฉลาดเกิดมีสติปัญญา ศรัทธาเลื่อมใส เคารพนับถือเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย คือ คุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ แล้วกราบไหว้บูชาทุกวันทุกเวลา อย่างนี้เราก็พึ่งได้ เพราะที่พึ่งของเรามีแล้วเราทำบุญให้ทานการกุศลใด ๆ ย่อมได้ผลอานิสงส์มาก เราอยู่ในชาติใด ภพใดเราก็ได้อาศัยซึ่งบุญกุศลที่ตนได้ทำไว้แล้ว เป็นที่พึ่งอาศัย บำรุงตกแต่ง คุ้มครองรักษา กาย วาจา ใจ ให้พ้นภัยอันตรายมีแต่ความสุขกายสบายใจ เราจะปรารถนาสิ่งใด ก็ย่อมได้บรรลุถึงซึ่งความสำเร็จ เพราะมีผู้ได้รับความสำเร็จมากต่อมากนับจำนวนไม่ได้ ทั้งในอดีต และปัจจุบันมาแล้ว อย่างนี้พวกเราต้องการไม่ไช่หรือ เมื่อเราต้องการแต่เราไม่ทำจะได้หรือ ไม่ได้ถ้าเราไม่ทำ ได้จำเพาะผู้ที่ได้ทำไว้แล้วเท่านั้น ข้อนี้ควรจำไว้ให้ดี ​
    พระอาจารย์มั่น ท่านได้เทศน์สอนอบรมแสดงถึงเรื่อง ทาน ศีล ภาวนา ว่ามีผลมากก็เมื่อเรามีศรัทธา เลื่อมใส ตั้งใจปฏิบัติให้ถูกต้อง ให้เลิกละการนับถือ และเชื่อถือผิด แล้วก็ปฏิบัติผิด ๆ กันมานั้นเสีย ท่านได้แสดงอุปมาอุปมัยเปรียบเทียบให้พวกเราเห็นแจ้งจริงประจักษ์ในจิตใจ ทำให้เกิดมีความพอใจเลื่อมใสศรัทธา ในพระธรรมเทศนาของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะมหาเถระ ในกาลครั้งนั้นเป็นอันมาก จึงมอบกายถวายตัวเป็นลูกศิษย์ ตั้งจิตปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ เลิกละการเซ่นสรวงบูชา เทสดาอารักษ์ วิญญาณพระภูมิเจ้าหน้าที่ มเหศักดิ์หลักคุณ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา พากันนับถือเคารพกราบไหว้สักการะบูชาแต่ในคุณพระรัตนตรัย คือ คุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่งของตนมาจนตราบทุกวันนี้ ​
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="75%"> <tbody><tr> <td>
    [​IMG]
    พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
    </td> <td>
    [​IMG]
    พระอาจารย์กู่ ธัมมทินโน
    </td> <td>
    [​IMG]
    พระอาญาครู ดี
    </td> </tr> </tbody></table>
    ฝ่ายพระสงฆ์ผู้ซึ่งมีศรัทธาได้มาร่วมฟังธรรมเทศนาของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะมหาเถระ ในคราวครั้งนั้น มีท่านพระอาญาครูดี พระภิกษุฝั้น อาจาโร พระภิกษุกู่ ธัมมทินโน ฟังท่านแสดงจบลงแล้วเกิดความปิติปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้ง 3 องค์ จึงเข้าไปมอบกายถวายตัวเป็นลูกศิษย์ ด้วยจิตศรัทธาอันแรงกล้าเพื่อจะได้ฝึกศึกษาและปฏิบัติติดตามพระอาจารย์ไป เมื่อพระอาจารย์มั่น และคณะได้พักอยู่ที่นั้นตามสมควรแก่อัธยาศัยแล้ว ท่านก็ได้พาคณะของท่านจาริกออกเดินธุดงค์ต่อไป เป็นเหตุให้ศิษย์ใหม่ทั้ง 3 องค์ตระเตรียมบริขารการออกธุดงค์อยู่ป่าไม่ทัน ถึงอย่างนั้นใจของท่านก็ไม่ยอมเลิกละความพยายามที่จะติดตามท่านพระอาจารย์มั่นไปด้วยใจศรัทธาอันเปี่ยมฝั่งไม่เคยบกพร่องตลอดเวลา ....
    ศรัทธาพิมพ์โดย Pure Geo#27 Swu


    ที่มาค่ะ..http://www.luangpumun.org/fun.html
     
  2. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,977
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=5 bgColor=#cccccc border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน
    [​IMG]
    ประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต


    ---------------------------------------------------------



    [​IMG]



    [SIZE=+2]ภาพครูบาอาจารย์[/SIZE]

    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="103%" border=0><TBODY><TR><TD> </TD></TR><TR><TD>
    </TD></TR><TR><TD>
    </TD></TR><TR><!-- InstanceBeginEditable name="EditRegion4" --><TD>
    [​IMG]
    </TD><!-- InstanceEndEditable --></TR><TR><!-- InstanceBeginEditable name="EditRegion30" --><TD>
    [SIZE=+2]หลวงปู่ฝั้น อาจาโร [/SIZE]
    [SIZE=+2]ศิษย์หลวงปู่มั่น[/SIZE]
    [SIZE=+2]วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร[/SIZE]
    </TD><!-- InstanceEndEditable --></TR><TR><TD>
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    </TD></TR><TR><TD> </TD></TR></TBODY></TABLE>




    [​IMG]


    หลวงปู่ฝั้น กับหลวงปู่เทสก์
     

แชร์หน้านี้

Loading...