พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร) วัดถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ พิจารณาให้เห็นตัวเราเ

ในห้อง 'ทวีป อเมริกา' ตั้งกระทู้โดย Wat Pa Gothenburg, 1 ธันวาคม 2008.

  1. Wat Pa Gothenburg

    Wat Pa Gothenburg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    920
    ค่าพลัง:
    +260
    พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร) วัดถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ พิจารณาให้เห

    <table border="0" cellpadding="7" cellspacing="7" width="500"><tbody><tr><td colspan="3" align="center">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td colspan="3" align="center">[SIZE=+2]พระญาณสิทธาจารย์[/SIZE]
    [SIZE=+1](หลวงปู่สิม พุทธาจาโร) [/SIZE]</td> </tr> <tr> <td colspan="3" align="center">[SIZE=+1]วัดถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ [/SIZE]</td> </tr> </tbody></table>

    <center> พิจารณาให้เห็นตัวเราเป็นกระดูก 300 ท่อน </center> การฟังเทศน์วันนี้จะให้เราท่านทั้งหลายนั่งกรรมฐานฟังเทศน์ คือให้พากันนั่งสมาธิทุก ๆ คน ปรับปรุงที่นั่งของตนดูขยับให้มันห่าง ๆ กันนิดหน่อย การนั่งสมาธินี้ให้พากันนั่งขัดสมาธิทุก ๆ คน จัดแจงที่นั่ง นั่งได้ทั้งหญิงทั้งชายทั้งเด็กทั้งคนแก่คนชรานั่งหมดทุกคนนั่นแหละ เมื่อนั่งเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ให้หลับตาไม่ต้องดูคนโน้น คนนี้ดูใจ เวลานี้ได้ดูใจของเราเอง ดูตัวดูใจของเราว่าเดี๋ยวนี้เรานั่งขัดสมาธิเรียบร้อยหรือยัง ถ้ายังไม่เรียบร้อยก็ควรนั่งขัดสมาธิเอาขาขวาทับขาซ้าย เอามือขวาวางทับมือข้างซ้าย ตั้งกายของตนให้เที่ยงตรง แล้วก็หลับตา เวลานี้การพูดจาปราศรัยไม่ให้มี ให้ตั้งอยู่ในความสงบ ส่วนรูปร่างกายเมื่อเรานั่งสมาธิแล้วก็ให้อยู่ในท่าสงบ ไม่จำเป็นจริง ๆ เราจะไม่ลุกไปมาในที่ใด ๆ ทั้งหมด นั่งทำใจของเราให้สบายตั้งใจฟังธรรม ไม่ใช่ตั้งใจนึกคิดปรุงแต่งอะไรต่อมิอะไรไม่เอา กายให้สงบ วาจาให้อยู่ในท่าสงบจิตใจก็ให้อยู่ในท่าสงบหรือว่าใจให้จดจ่ออยู่ในการฟัง ธรรม ไม่ให้ไปอดีตอนาคตเรื่องภายนอก อะไร ๆ ทั้งหมดให้ยุติลงไปหมด เมื่อเรานั่งเรียบร้อยแล้วแม้ท่านจะตั้งนะโมพอเป็นพิธีก็ไม่ต้องประนมมือ นั่งสมาธิฟังต่อไปได้เลย
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)
    ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
    การฟังเทศน์ในวันนี้นั้น ไม่ต้องนึกพุทโธ คือทางคณะกรรมการต้องการอยากจะฟังอัฏฐิกังกระดูกสามร้อยท่อนอันมีอยู่ในร่าง กายของเราทุกคน จะได้เทศน์จะได้สอนจะได้บรรยายเรื่องกระดูกในตัวเรานี่แหละ ทุกคนมีโครงกระดูกอยู่ ตามตำนานทางพระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าท่านจับนับได้สามร้อยท่อน แต่หมอแผนปัจจุบันนับไม่ถึงเพราะว่าแผนปัจจุบันนี้เขานับแต่กระดูกแข็ง กระดูกอับกระดูกอ่อนเขาไม่ได้นับก็เลยไม่ครบ 300 ท่อน ความจริงในโครงร่างกระดูกของเราเนี่ยมันมี 300 ชิ้น 300 อัน เวลาฟังเราตั้งใจให้ดีรวมเข้ามาไว้ภายใน เมื่อท่านอธิบายอย่างไรจิตของเราจะมุ่งไปในกระดูกที่ท่านอธิบายนั้น และให้มีสติเต็มที่จนเป็นมหาสติไม่ให้จิตคิดไปที่อื่น เรียกว่าจดจ่ออยู่ในดวงใจของเรากับกระดูกนั้นอยู่
    บัดนี้ เวลานี้ตามธรรมดาก็เรียกว่าเรายังมีชีวิตอยู่ มีเนื้อหนังมังสาหุ้มห่อร่างกายอยู่ทุก ๆ คน แต่ว่าเราจะฟังธรรมอัฏฐิกังกระดูก 300 ท่อนนี้ ให้เรานึกว่าตัวเรานี้มันตายไปนานแล้วเนื้อหนังมังสาเดี๋ยวนี้ไม่ให้มองดู ให้คิดว่าตัวเราทุกคนที่นั่งฟังธรรมอยู่นี้ยังเหลือแต่กระดูกเป็นโครงกระดูก มันตายมาหลายสิบปีแล้ว บัดนี้ยังเหลือแต่โครงกระดูก เมื่อเรานึกอย่างนั้นแล้วก็ให้เพ่งมาที่กะโหลกศีรษะของเรา เพ่งที่กระบอกตา ตาของคนเรามีทั้งสองข้าง ตานี้ก็ไม่ต้องมองให้เห็นเป็นลูกกระตามองให้เป็นโหว่เข้าไป เหมือนไข่ที่เขาเอาไปทำอาหารแล้วทิ้งไว้ กระดูกตากระบอกตาเรานี้เหมือนกันก็ให้เพ่งมองเข้าไปแล้วไม่คิดฟุ้งซ่านไปที่ อื่น การดูกระดูกนี้ถ้าเราแน่วแน่เท่าไรก็ชัดเจนขึ้นมา เวลานี้เป็นเวลาเรามองดูกระบอกตามันโหว่เข้าไป ถ้าหากว่าจิตนี้มารู้จักว่ากระบอกตามันโหว่เข้าไปในลูกตา ก็ย่อมรู้ได้ในขณะนี้ว่าไม่สวยไม่งาม กระบอกตากระดูกตานี้มันเป็นเหมือนกับผีหลอกอย่างนั้นแน่ะ โหว่เข้าไปไม่สวยไม่งามเพราะมันยังแต่กระดูก กระดูกกระบอกตา ตาเราก็ไม่ต้องมองดูให้เป็นลูกกระตามองให้มันโหว่เข้าไป นี้แหละที่เราหลงรักหลงชัง ว่าตาดี ว่าสวย ว่างามนี้ไม่ใช่เสียแล้ว ถ้าเรามองดูกระดูกนี้แล้วไม่มีใครสวยงามกว่ากันเท่า ๆ กันหมด แล้วกระบอกตานี้ถ้าหากว่ามันเหลือแต่กระบอกตาจริงแล้วไม่รู้ว่าตาหญิงตาชาย ไม่มีใครรู้ ถ้าเหลือแต่กระดูกแล้วไม่มีใครเข้าใจว่าเป็นหญิงเป็นชายเป็นคนโน้นคนนี้ไม่ ได้ทั้งนั้น ลงสู่สภาวะธาตุ ธาตุกระดูก ทีนี้เราก็เพ่งมองให้เข้าใจว่ามันเป็นอย่างนี้ ทีนี้ก็เลื่อนลงมา เลื่อนลงมาจากกระบอกตาทั้งสองข้างก็เป็นกระดูกแก้ม กระดูกแก้มมันเป็นกระดูกนี้มัน
    โหนก ๆ ขึ้นมาหน่อยก็ดูให้เห็น ต่ำกว่าแก้มกระดูกลงมาก็จะเป็นกระดูกดั้งจมูก กระดูกดั้งจมูกนี้เป็นรู เป็นรูเข้าไปมีรูสองรูเข้าไปอันนี้ดูให้เห็นในใจ ไม่ต้องเอาตาดูเอาใจดู ตาใจ ตาใจคือจิตผู้รู้อยู่ในใจ ในตัวเรานี้แหละเพ่งมาสู่ที่เรียกว่ากระดูกจมูก กระดูกจมูกนี้ไม่ให้เห็นเนื้อหนังกระดูกเหมือนคนธรรมดาให้เหมือนคนที่ตาย แล้ว แล้วก็ยังเหลือแต่กระดูกจริง ๆ ถ้ามองมานี่แล้วคนเราเมื่อไม่มีจมูก เนื้อหนังไม่มีก็เป็นของไม่งามเหมือนกันเหมือนกับผีหลอก ถ้าดูกระบอกตาแล้วก็มาดูกระดูกแก้มแล้วก็กระดูกดั้งจมูกเป็นรูเข้าไปไม่มี อะไรจะเรียกว่าสวยได้ เป็นเหมือนผีหลอกอย่างนั้นแหละ ทีนี้ถ้าต่ำลงไปจากกระดูกดั้งจมูกนั้นก็จะเป็นกระดูกคางข้างบน กระดูกคางข้างบนนี้ยังเหลือแต่กระดูกไม่มีสวยงามที่เราไปเห็นลิงเห็นวานร เห็นลิงว่าขี้ร้ายขี้เหล่ แต่ถ้าเรามากำหนดถึงคางข้างบนแล้วมีฟันขาวเป็นซี่ ๆ อยู่ก็จะเห็นว่ากระดูกคางนี้ไม่สวยไม่งามเลยเป็นกระดูกคางผีหลอก แต่คนเราไปเห็นลิงก็ว่าลิงไม่งาม ถ้ามากำหนดกระดูกคางของเราให้เห็นแจ้งในจิตจะเห็นว่าไม่งามเหมือนกัน ยิ่งร้ายกว่าวานรกว่าลิง ทีนี้เมื่อเราดูฟันเป็นซี่ ๆ ตลอดทั้งข้างบนนั้นแหละ แล้วก็ดูคางข้างล่าง ของคนเรานั้นมันแขวนอยู่ด้วยเส้นเอ็น ในคางข้างล่างนี้ก็เป็นกระดูกฟันเหมือนกันแล้วก็ดูให้เห็นว่าเป็นอย่างนี้ จริง ๆ เอาจิตดูจนรู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นแล้วก็ดูให้มันชัดแจ้งในจิตให้เห็นว่าคาง ข้างล่างนี้ตามธรรมดามนุษย์คนเราที่ยังไม่ตายโน้นก็เรียกว่าปาก คนเราคางข้างบนข้างล่างนี้เป็นครกเป็นสากสำหรับบดเคี้ยวอาหารตำน้ำพริกก็ได้ แต่ว่าครกสากคนเราตำน้ำพริกนั้นตำลงข้างบนตำข้างบนไปหาข้างล่าง แต่ครกสากธรรมชาติคือคางของเรา มันเอาคางข้างล่างเป็นสากกระทบขึ้นมาข้างบน เวลาบดเคี้ยวอาหารเวลาบริโภคอาหารดื่มน้ำบริโภคอะไรก็ตามมันเอาคางข้างล่าง นี้ตำกระทบขึ้นมา
    ทีนี้ถ้าคนเรา ถ้าผู้ใดสังเกตเวลาคนเราชราแปดสิบเก้าสิบไป หน้าเนื้อหนังมังสามันจะหมดไปเวลาคนแก่คนชราทานอาหารกินข้าวจะมองเห็นคาง ข้างล่างนี่แหละแกว่งไกวเหมือนกับว่าแกว่งอยู่ร่องแร่ง นี่ละอัฏฐิกังกระดูก 300 ท่อน ให้เราดูไปตามนี้ ทีนี้เมื่อเราดูคางข้างบนข้างล่างและฟันเป็นซี่ ๆ ได้ดีแล้วก็ให้ดูกะโหลกศีรษะของคนเรา กะโหลกศีรษะนี้มันห่อหุ้มมันสมองไว้แต่มันเป็นกระดูกที่เรียวกว่าเข้ากัน เป็นซีกหรือเข้าสลับกันทั่วไปพ้นกะโหลกศีรษะก็ให้ดูข้างใต้กะโหลกข้างซ้าย เป็นอย่างไร ดูกะโหลกข้างขวาเป็นอย่างไร ดูกะโหลกข้างหลังเป็นอย่างไร แล้วก็กะโหลกส่วนบนเป็นอย่างไร จะเห็นว่ากะโหลกศีรษะของคนเรานี้ไม่น่าดูน่ารักใคร่พอใจประการใด เมื่อยังเหลือแต่กะโหลกไม่สวยไม่งามโหว่ไปหมดทุกส่วนทุกประการ คำที่ว่าสวยงามย่อมไม่มี กะโหลกศีรษะนี้ก็เป็นผีหลอกอันหนึ่ง ถ้าพิจารณาเห็นแจ้งว่ากะโหลกศีรษะไม่ใช่ดิบดีประการใด จิตอย่าได้มาหลงอัฏฐิกังกระดูก 300 ท่อนนี้เลย เพ่งดูให้มันรู้แจ้งในใจในตัวเราทุก ๆ คน
    เมื่อเห็นกะโหลกศีรษะแล้ว ทั่วถึงแล้ว ข้างหน้าข้างหลังข้างบนข้างล่าง กะโหลกศีรษะนี้ตั้งอยู่บนกระดูกคอเพ่งดูให้รู้แจ้งคือกระดูกคอของคนเรานั้น ตั้งอยู่บนกระดูกสันหลังแต่เป็นกระดูกพิเศษคือว่าเลื่อนไปมาได้ เมื่อมันเลื่อนได้ อย่างนี้แหละเวลาคนเราจะดูข้างไหนก็เลื่อนเอาที่คอนี้ก็ดูให้เห็นกระดูก กะโหลกกระดูกศีรษะมันมาตั้งกระดูกคอท่อนบน กระดูกคอท่อนล่างต่อกับกระดูกสันหลัง ในกระดูกสันหลังนี้ตรงกับกระดูกเหง้าแขนกระดูกเกิ้ง กระดูกเหง้าแขนนี้ต่อกับกระดูกสันหลังอีกทีหนึ่งแล้วก็ต้นแขนท่อนบนทั้งสอง ข้าง แขนท่อนล่างทั้งสองข้าง แขนนี้ก็มีกระดูกท่อนล่างมีกระดูกอยู่สองกระดูก ข้างละสองคือเวลาคนเราที่เกิดมาในโลกนี้จะต้องมีทำการงาน ธรรมชาติก็สร้างให้กระดูกแขนท่อนล่างนี้เป็นสองกระดูกมันจะได้ทนทาน ธรรมชาติมันจัดการกันเองให้เห็นดูท่อนบนดูท่อนล่างทั้งสองข้างว่าเป็นอยู่ อย่างนี้ที่ว่าอัฏฐิกังกระดูก 300 ท่อน
    ให้เรานึกว่าตัวเรานี้มันตายไปนานแล้ว เนื้อหนังมังสาเดี๋ยวนี้ไม่ให้มองดู ให้คิดว่าตัวเราทุกคนที่นั่งฟังธรรมอยู่นี้ยังเหลือแต่กระดูก เป็นโครงกระดูก มันตายมาหลายสิบปีแล้ว
    ทีนี้ต่อลงไปอีกกระดูกมือ กระดูกมือนี้ก็เป็นท่อน ๆ เป็นข้อ ๆ เพ่งดูในใจเราให้รู้มาจ่ออยู่ที่ข้อมือ ที่นี้ก็มีนิ้วเป็นข้อ ๆ ต่อออกไปอีก นี่แหละคือว่ากระดูกอัฏฐิกัง กระดูกต้องดูจนให้รู้แจ้งด้วยสติปัญญาของตัวเอง อย่ามาสำคัญผิดคิดว่าตัวเราสวยเรางาม ถ้าเราดูถึงขั้นกระดูกแล้วเห็นแจ้งตามความเป็นจริงจิตใจก็ย่อมถอนกิเลส ราคะ โมสะ โมหะ ได้ เพราะร่างกายสังขารนี้มันกองกระดูกจริง ๆ ไม่มีอะไรจะดีวิเศษไปกว่ากองกระดูกนี้ ให้รีบกำหนดพิจารณาดูว่าตลอดปลายมือ ตลอดปล้องแขนท่อนล่างท่อนบนก็เกี่ยวโยงติดต่อเข้าไปถึงกระดูกสันหลัง ทีนี้เมื่อเราดูนี่แล้วก็ดูกระดูกหน้าอกหรือกระดูกไหปลาร้าก็ว่า ถ้าเอาคอออกก็เหมือนไหปลาร้าที่เขาใส่ปลาร้าอย่างนั้นแหละกันแมลงวันก็ให้พา กันกำหนดเพ่งดูคำว่ากระดูกนี้ กระดูกไม่ใช่สวยงาม ถ้าเราเพ่งดูให้รู้แจ้งในใจให้ใจมันเห็นจะเห็นว่าไม่สวยไม่งามเลย เป็นท่อน ๆ จากกระดูกมือก็เป็นกระดูกนิ้วมือนิ้วโป้งนิ้วใหญ่นิ้วชี้นิ้วกลางนิ้วนาง นิ้วก้อยมันเป็นข้อ ๆ ก็ให้ดูทุกข้อ ดูทุก ๆ นิ้วมือนั้นจิตอย่าได้มาหลงอัฏฐิกังกระดูก 300 ท่อนแม้จิตจะหลงว่าสวยก็ไม่ถูก เพราะว่าถ้าลงถึงกระดูกแล้วไม่มีอะไรสวยงาม
    ที่กำหนดอย่างนี้เพื่อให้จิตใจมันถอนความยึดถือร่างกายสังขารกองกระดูกของ ตัวเอง เมื่อดูแขนทั้งสองจนกระทั่งมือนิ้วมือข้อ ๆ แล้วก็มาดูกระดูกข้างกระดูกหน้าอกกระดูกแขนซ้ายแขนขวา ดูกระดูกนี้มันมารวมอยู่ที่บ่าที่ไหล่ ถ้าอยู่ข้างหน้าเรียกว่ากระดูกหน้าอก มันอยู่ข้าง ๆ เรียกว่ากระดูกข้าง ให้ดูให้รู้แจ้งในใจเพ่งดูไปเลย ดูทำใจให้นิ่งแล้วก็เพ่งดูให้รู้แจ้งมันไม่คงทนจริง ๆ กระดูกนี้ กระดูกหน้าอกหรือกระดูกในคอนี้เขาว่าเป็นกระดูกอย่างหนึ่งคือว่ากระดูกไหปลา ร้าเหมือนกับไหปลาร้าเขากันไม่ให้แมลงวันไปไต่ตอมเข้าได้ กระดูกหน้าอก กระดูกคอของเรากับกระดูกสันหลังนี้กระดูกข้างออกข้าง ๆ ก็ให้ดูให้เห็น เห็นตามความเป็นจริงคือจิตมันเห็นอย่างไรก็รู้ตามไปกับสิ่งที่เห็นนั้น จะเห็นว่ากระดูกนี้ไม่ใช่สวยงาม ยิ่งไม่มีเนื้อไม่มีหนังหุ้มห่อเหลือแต่กระดูกจริง ๆ นั้นน่าเกลียดน่ากลัวเป็นเหมือนกับว่าเป็นซากศพเป็นซากอสุภะ เป็นซากกองกระดูก อัฏฐิกังกระดูก 300 ท่อน เป็นอยู่อย่างนี้ให้ดูให้รู้แจ้งในใจ ทำใจของเราให้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่าที่แท้ก็คือกระดูกนั่นเอง ไม่มีอะไรวิเศษไปกว่านั้น
    แต่ว่าอัฏฐิกังกระดูก 300 ท่อน กระดูกข้างนั้นคือมันอยู่ข้างสมัยเมื่อคนเรายังไม่ตายจิตนี้มันมายึดเอาถือ เอารูปขันธ์ร่างกายกองกระดูกอันนี้ว่าเป็นของสวยงาม แท้ที่จริงแล้วกระดูกข้างกระดูกบั้นเอวกระดูกสันหลังนี่ไม่ใช่ของสวยของงาม เลย คอยจะแตกจะดับอยู่ตลอดเวลามีภัยอันตรายรอบด้านจึงให้พากันนึกน้อมเจริญภาวนา เข้ามาภายในร่างกายกองกระดูกของตัวเองของคนอื่นไม่เกี่ยว มันก็เหมือนกันนั่นแหละถ้ารู้ของเราของเขามันก็รู้ ฉะนั้นให้รวมใจเพ่งดูอัฏฐิกังกระดูก 300 ท่อนของเราเอง กระดูกสันหลังนั้นมันเป็นท่อน ๆ ต่อกันลงไป แต่มันมีกระดูกข้างงอกออกมาอีกเป็นเครื่องกั้นเวลามนุษย์ยังไม่ตายหกล้มไป อะไรก็ตาม ภัยอันตรายก็ไม่มีเพราะกระดูกข้างนั้นช่วยรักษา ต่อลงไปอีกเรียกว่ากระดูกบั้นเอว กระดูกบั้นเอวนี้เป็นกระดูกไม่มีกระดูกข้างแต่เป็นกระดูกเป็นท่อน ๆ เหมือนกันก็ไปต่อกับกระดูกตะโพก กระดูกตะโพกกระดูกเกงเกกระดูกเหง้าขามารวมกันอยู่ที่นี่ทั้งข้างซ้ายและข้าง ขวา ก็กำหนดพิจารณาให้รู้จักนี้มันกองกระดูก กระดูกเขาไม่รู้อะไรจิตใจคนเรานี้แหละเป็นผู้รู้ว่ากระดูกมันเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ เมื่อเรากำหนดไปถึงกระดูกตะโพกก็มีกระดูกเหง้าขาจากเข่ามาเป็นกระดูกจนถึง เหง้าขาเหง้ากระดูกทั้งสองข้างก็ให้เพ่งดูให้มันเห็นตามความเป็นจริง คือมันเห็นอย่างไรเราก็กำหนดไปตามนั้นก่อน ว่าในตัวเรามันมีกองกระดูกอย่างนี้อัฏฐิกังกระดูก 300 ท่อน
    เราต้องกำหนดพิจารณาให้เกิดความรู้ความเข้าใจขึ้นมาให้เต็มที่ ถ้าเราไม่กำหนดพิจารณาเวลานี้ก็ไม่มีเวลาใดกำหนดพิจารณาได้ เวลาเรานั่งกรรมฐานนั่งสมาธิภาวนา เป็นโอกาสอันดีที่จิตใจเราจะได้ดูอัฏฐิกังกระดูก 300 ท่อน มันมีอยู่ในตัวเราเดี๋ยวนี้เวลานี้ทุกคน เมื่อเราดูกระดูกที่มาต่อตะโพกนี้แล้ว ก็ดูลงไปกระดูกขาท่อนบนมันจะมาต่อกับกระดูกตะโพกกระดูกเกงเกนี้ แล้วส่วนล่างก็ต่อกับกระดูกแข้งที่มันขึ้นมา กระดูกเข่านี้กระดูกขาท่อนล่างกระดูกแข้งท่อนบนมันมีกระดูกพิเศษอันหนึ่ง เรียกว่าเป็นกระดูกต้านทาน ในสมัยที่มนุษย์คนเรายังมีชีวิตไปมาได้อยู่ เวลายกของหนักนี้มันจะไม่หลุดเขาเรียกว่ามีกระดูกสะบ้าหัวเข่าเป็นกลม ๆ แบน ๆ อันนี้เวลามันจะหลุดก็อาศัยกระดูกสะบ้านี้ช่วยไว้ เพราะคนเรานั้นตามธรรมดาถ้าเรายืนเราเดินแล้วความหนักมันจะถ่วงลงไป ถ้ายิ่งเราแบกหามของหนักก็ยิ่งไปอีก นี่ให้ดูลงไปทั้งสองข้างขาสองข้าง ข้างซ้ายเป็นอย่างไร ข้างขวาเป็นอย่างไรส่วนมากมันก็เหมือนกัน เมื่อกระดูกนี้ต่อหัวเข้าแล้วก็มีกระดูกแข้ง กระดูกแข้งนี้ก็มีสองดูกเหมือนกัน
    เพราะว่าธรรมชาติมันสร้างมาให้เวลาทำงานยกของหนักหนักแบกของหนักหามของหนัก อะไรต่อมิอะไรนั้น กระดูกแข้งมันจะช่วยได้ ถ้ามีสองดูกแล้วมันก็ช่วยได้มีกำลังดี ก็ดูให้เห็นเพ่งดูในใจไม่ต้องไปคิดไปก่อน ถ้าจิตของเราวางเฉยนิ่งได้แล้วมันเห็นเองไม่ต้องไปบังคับบัญชาให้เห็น มันมีความเกิดมาแล้วมันต้องเป็นอย่างนี้ เราต้องให้ดูว่ากระดูกแข้งทั้งสองข้างก็เป็นสองกระดูก กระดูกแข้งก็ไปต่อกระดูกเท้า กระดูกเท้าก็เป็นท่อน ๆ เหมือนกันที่ว่ากระดูกเท้าก็คือกระดูกแข้งท่อนล่างส้นล่างนั้นมันไปตั้งอยู่ ที่กระดูกเท้าแล้วไปท้าวไว้ ไปตั้งไว้ ไปท้าวไว้เป็นท่อน ๆ อีกเหมือนกันทั้งสองข้าง แล้วก็มีกระดูกนิ้วเท้า กระดูกนิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย กระดูกนิ้วเท้านี้เป็น
    จิตนี้มันประมาท กระดูกมีอยู่ก็ไม่ดู ไปดูกองกระดูกคนอื่น กองกระดูกของตัวเองไม่ดูไม่พินิจพิจารณา เกิดความโกรธ ความอิจฉาพยาบาทอาฆาตจองเวรซึ่งกันและกัน
    เวลาภาวนากำหนดด้วยสติปัญญาของตัวเอง เมื่อจบแล้วก็ไม่เอาเท่านั้นดูกระดูกข้างล่างขึ้นมากระดูกนิ้วเท้าเป็นข้อ ๆ ก็ให้เห็นในจิตว่ามันเป็นอย่างนี้ กระดูกเท้ามันเป็นท่อน ๆ ก็ให้ดูแล้วกระดูกแข้งทั้งสองข้างมันมาตั้งอยู่กระดูกเท้าหลังเท้า ดูขึ้นมาจนกระทั่งถึงกระดูกหัวเข่ากระดูกสะบ้า กระดูกแข้งมีสองท่อนกระดูกใหญ่เป็นสามเหลี่ยม สรุปแล้วก็ช่วยไม่ให้มันหักง่ายก็ดูให้มันเห็นในจิตทั้งสองข้าง กระดูกขาท่อนบนมันก็มาจดต่อที่กระดูกตะโพกกระดูกเกงเกนะ มันมีรอยบุ๋ม ๆ เข้าไปเพื่อไม่ให้หลุด ในสมัยที่ยังไม่ตายแล้วยังเหลือแต่กระดูกที่เรามองเห็นนี้ มันไม่รู้สึกเจ็บปวดอย่างไรแหละ ดูขึ้นมาจนกระดูกบั้นเอวกระดูกสันหลังกระดูกข้างสำหรับป้องกันตับไตไส้พุง หัวใจม้ามตับปอด ทั้งหมดนี้กระดูกข้างมันป้องกันไว้ มีอะไรมาถูกตำเข้าไม่รุนแรงก็ไม่ถึงจะแตกจะตายได้ ก็ให้ดู ๆ กระดูกขึ้นมาเรื่อยขึ้นมาจนถึงกระดูกหน้าอก ไหปลาร้า กระดูกเหง้าแขน กระดูกสันหลัง กระดูกเหง้าแขนต่อออกจากกระดูกสันหลังมาจดเป็นกระดูกเหง้าเบื้องบน แล้วกระดูกแขนท่อนล่างกระดูกมือกระดูกนิ้วมือดูให้มันเห็นเป็นข้อ ๆ
    จิตไม่ให้คิดไปที่อื่น ดูลงไปแล้วก็ดูขึ้นมา มาถึงกระดูกคอ กระดูกคอเป็นกระดูกพิเศษเลื่อนได้ ทำใจของเราให้เย็นให้สบายเพ่งดูในจิตมันเห็นเอง กระดูกคอตั้งอยู่บนกระดูกสันหลังท่อนข้างล่าง ข้างบนเรียกว่าต่อกันกับกระดูกกะโหลกศีรษะ กระดูกคาง กระดูกกะโหลกศีรษะ กระดูกคางข้างล่าง กระดูกคางข้างบน กระดูกฟันเป็นซี่ ๆ ก็ดูให้เห็นอยู่คางข้างบนข้างล่างแล้วก็กระดูกดั้งจมูกเป็นรูสองรูกระดูก แก้มกระดูกกระบอกตาให้ดูให้เห็นการภาวนานั้นถ้าจิตไม่สงบดูอยู่อย่างนั้น แหละจนติดตานั่งก็เห็นนอนก็เห็นยืนเดินไปมาที่ไหนก็เห็น แม้กระทั่งเดินไปที่ไหน ๆ ก็เห็นกระดูกสามร้อยท่อนของตัวเอง มันเดินไปอย่างนั้นแหละ ดูให้เข้าใจในใจของเรานั้นอย่ามาเห็นว่าตัวเราเป็นของมั่นคงถาวรไม่ได้ อัฏฐิกังกระดูก 300 ท่อนนี้มันรอวันแตกวันทำลายอยู่ จิตอย่าได้ประมาท ต้องดูให้แจ้งในจิตจนถึงกะโหลกศีรษะในกะโหลกศีรษะก็ไม่ให้เห็นเป็น มันสมองก็ไม่ต้องเอา เอาให้เป็นโครงกระดูกจะเห็นว่ามันเข้ากันเป็นซีก ๆ เรียงสลับกันเพื่อไม่ให้กะโหลกศีรษะแตกง่าย ๆ ธรรมชาติมันสร้างมาอย่างนี้ ในร่างกายอยู่ในกองกระดูกนี้แหละแต่ไม่ค่อยได้พินิจพิจารณาประการใด
    วันนี้เวลานี้เราท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟังอัฏฐิกังกระดูก 300 ท่อน แต่ไม่ต้องการให้ฟังอย่างเดียว ให้เรานำไปคิดอ่านพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงว่าที่แท้ตัวเราก็คือว่า อัฏฐิกังกระดูก 300 ท่อนดี ๆ นั่นแหละ อย่ามาหลงรัก อย่ามาหลงชัง อย่าไปเกลียดกันอย่าไปฆ่าฟันรันแทงก็คือเอากระดูก 300 ท่อนนี้แหละ มันเอาไปฆ่าคนฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เมื่อผู้ใดมาพินิจพิจารณาอยู่ทุกคืนวันเดือนปีไม่ทอดธุระชั่วชีวิตของเรา เวลานั่งก็ดูกระดูก 300 ท่อน นั่งสมาธิก็ดูมัน นั่งธรรมดาก็ดูอัฏฐิกังกระดูก 300 ท่อน เวลายืนขึ้นเป็นอย่างไรก็ดูมันไป เวลาเดินมันเป็นอย่างไรก็ดูกระดูก 300 ท่อนมันเดิน เวลามันโกรธให้กัน ด่าให้กัน ว่าให้กัน ก็ดูกระดูก 300 ท่อนมัน เวลากินก็ดูกระดูก 300 ท่อนมันกิน เวลานอนก็ดูกระดูก 300 ท่อนมันนอน เพ่งดูในกองกระดูกนี้ตลอดเวลาจนมองเห็นแจ้งชัด เห็นคนก็เห็นกระดูกไปพร้อมกัน คนเดินมาก็ใจนึกให้เห็นว่านั่นกระดูก 300 ท่อนเดินมา เวลาเดินไปก็กระดูก 300 ท่อนเดินไป จิตให้รู้ว่าไม่มีอะไรวิเศษวิโสไปจากกระดูก 300 ท่อนนี้ ภาวนาให้เห็นตลอดตั้งแต่เราหัดภาวนาไปดูไปจนถึงวันแตกวันตาย จิตใจจะไม่วุ่นวายประการใดเพราะว่าร่างกายคำว่าตัวเราของเราตัวข้าของข้า ตัวกูของกูนี้ที่แท้ก็คือกระดูก 300 ท่อนนั่นเอง
    ให้ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติบูชาภาวนาจริง ๆ อย่าเพียงแต่ว่านึก ๆ คิด ๆ ไปเอาให้แจ้งภายในจิตใจไม่ต้องไปถามใครของมีอยู่ทำไมไม่รู้ไม่เห็น ที่ไม่รู้ไม่เห็นนั้นคือจิตไม่สงบตั้งมั่นต่างหาก ถ้าจิตเราสงบตั้งมั่นแล้วเห็นได้ทุกคนไม่เลือกชั้นวรรณะ นี่แหละเราท่านทั้งหลายอัฏฐิกังกระดูก 300 ท่อน นี้ไม่ใช่มีแต่ของคนอื่นมีอยู่ในตัวของเรา แต่จิตนี้มันประมาทกระดูกมีอยู่ก็ไม่ดู ไปดูกองกระดูกคนอื่น กองกระดูกของตัวเองไม่ดูไม่พินิจพิจารณา จึงได้เกิดความโกรธ ความอิจฉาพยาบาทอาฆาตจองเวรซึ่งกันและกัน ต่อไปนี้เมื่อเราได้ยินได้ฟังอัฏฐิกังกระดูก 300 ท่อนแล้ว ก็ให้กำหนดจดจำนำไปพินิจพิจารณาแล้วทำในใจให้เห็นแจ้งตามความเป็นจริง มันเป็นจริงอยู่อย่างใดก็รู้ตามความเป็นจริงนั้น นี่เป็นอุบายภาวนาในทางพุทธศาสนาอย่างหนึ่ง เมื่อว่าเราท่านทั้งหลาย พากันได้ยินได้ฟังแล้ว ให้กำหนดจดจำนำไปประพฤติปฏิบัติก็คงได้รับความสุขความเจริญ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

    *********
     

แชร์หน้านี้

Loading...