พญานาค" ปรากฏตัวแล้วตัวแล้ว

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 22 พฤศจิกายน 2005.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,173
    [​IMG]ีภาพ/ข่าวจาก นสพ.ข่าวสด

    ฮือฮาวีซีดีบันทึกภาพพญานาคขึ้นเล่นน้ำแม่น้ำโขงนานนับสิบนาที ผลิตขายเป็นล่ำเป็นสัน เผยให้เห็นภาพประหลาด ผิวแม่น้ำโขงแตกเป็นคลื่นด้วยฝีมือของตัวอะไรบางอย่างที่มีขนาดใหญ่ ขณะที่ผิวน้ำส่วนอื่นเรียบสนิท "ช่างอ๊อด"ผู้บันทึกภาพไว้ได้

    เปิดใจ มั่นใจเป็นพญานาคแม่น้ำโขงจริง มีอยู่ทั้งหมด 7-8 ตน ว่ายทวนแม่น้ำโขงขึ้นไป ต้องวิ่งตามถ่ายเป็นระยะทางร่วม 300 เมตร ขณะที่กระแสของชาวบ้านริมโขงปีนี้ โจษขานกันหลายคนว่าได้พบเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันกับตา เกิดเป็นกระแสความเชื่อที่ยิ่งกว่าบั้งไฟพญานาค

    เมื่อวันที่ 17 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดทั้งวันมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในจ.หนองคาย เพื่อพิสูจน์ความลึกลับมหัศจรรย์ของปรากฏการณ์ "บั้งไฟพญานาค" ในคืนวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งปีนี้ตรงกับวันอังคารที่ 18 ต.ค. โดยเส้นทางถนนมิตรภาพ สายอุดรธานี-หนองคาย เนืองแน่นไปด้วยรถยนต์ทั้งรถยนต์ส่วนบุคคลและรถโดยสารปรับอากาศ มุ่งหน้าเข้าสู่หนองคาย อ.โพนพิสัย และกิ่งอ.รัตนวาปี

    แต่สภาพการจราจรยังคงคล่องตัวไม่ติดขัด ขบวนรถยังเคลื่อนตัวได้ดี ซึ่งตามพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ในหลายจุดที่เคยเกิดปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค มีพ่อค้าแม่ค้าตั้งโต๊ะขายของกินของใช้กันจำนวนมาก บางแห่งมีการจัดสวนสนุกให้เด็กๆ ได้เล่นกันด้วย ส่วนนักท่องเที่ยวต่างพากันจับจองสถานที่ชมบั้งไฟพญานาคกันก่อนล่วงหน้า

    นอกจากนี้ ที่วัดหลวง ต.วัดหลวง อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย มีเสียงเล่าลือจากชาวบ้านที่มาทำบุญช่วงออกพรรษาว่าพบเห็นพญานาคเล่นน้ำกลางลำน้ำโขง โดยนางสมศรี วงศ์เลิศสุวรรณ อายุ 44 ปี อยู่บ้านเลขที่ 11/3 หมู่ 10 ต.นครสวรรค์ออก อ.เมือง จ.นครสวรรค์ เล่าว่า ขณะที่ตนกับเพื่อนที่มาทำบุญด้วยกันประมาณ 30 คน กำลังนั่งทำกระทงรูปทรงพญานาคไว้ให้ประชาชนที่มาทำบุญได้นำไปลอยในน้ำโขงอยู่นั้น

    ได้มองไปบริเวณกลางน้ำโขง ก็เกิดเห็นสัตว์ชนิดหนึ่งคล้ายพญานาค มีเกล็ดเป็นประกายมีทองสวยงาม ขนาดความยาวกว่า 10 เมตร กำลังว่ายทวนน้ำโขง จากนั้นก็พบช่วงท้ายลำตัวพญานาคเล่นน้ำ นับรวมได้ 7 ตน เล่นน้ำนานอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมงก็หายไป นอกจากพวกตนที่นั่งอยู่ก็ยังมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและชาวบ้านที่มาทำบุญด้วยประมาณ 100 คน ก็พบเห็นด้วยเช่นเดียวกัน และพากันเชื่อว่าเป็นพญานาคมาปรากฏกายให้เห็นในช่วงวันออกพรรษา ต่างพากันยกมือกราบไหว้พญานาคในน้ำโขง

    นางสมศรีเล่าต่อว่า ก่อนหน้านี้ขณะที่ตนอายุ 27 ปี ตนเคยป่วยเป็นโรคไขข้ออักเสบ ปวดขาเป็นประจำ ต้องให้หมอฉีดยาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง จนมาคืนหนึ่งฝันเห็นพญานาคตัวสีเขียว สวยงามมาก บอกให้ตนทำกรวย 5 หรือขันธ์ 5 ดอกไม้ธูปเทียนมาบูชา แล้วจะหายป่วยและมีโชคลาภ พอตื่นเช้ามาก็ได้ทำตามความฝัน และตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยปวดขาอีกเลย เชื่อว่าเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของพญานาค ก็เกิดเลื่อมใสศรัทธาตั้งแต่นั้นมา

    ด้านนางหนูจีน รื่นจิต อายุ 55 ปี อยู่บ้านเลขที่ 819/2 หมู่ 10 ต.นครสวรรค์ตก อ.เมือง จ.นครสวรรค์ บอกว่า มาทำบุญที่วัดหลวง อ.โพนพิสัย แห่งนี้เป็นประจำทุกปี เพราะศรัทธาและเชื่อว่าพญานาคมีอยู่จริงในแม่น้ำโขง โดยได้บูชาพระภุชงค์นาคา และท้าวปู่ศรีสุทโธไว้ประจำที่บ้าน และได้มาทำบุญวันออกพรรษาที่อ.โพนพิสัย ตั้งแต่ต้นเดือนต.ค.48 ปฏิบัติธรรมมาเรื่อยๆ และยังไม่พบปรากฏการณ์หรือปาฏิหาริย์ จนเมื่อวันที่ 16 และ 17 ต.ค.นี้

    ตอนเช้าน้ำโขงยังนิ่งไม่มีคลื่นน้ำ จนกระทั่งเวลาประมาณ 09.00 น. ก็เห็นพญานาคเล่นน้ำอยู่กลางน้ำโขงค่อนไปทางฝั่งประเทศลาว และไม่คิดว่าเป็นปลา เพราะมีขนาดใหญ่มาก และมีประกายวาวแววสวยงาม ตนเคยเห็นบั้งไฟพญานาคแล้วเมื่อปีที่ผ่านมา ยิ่งทำให้เชื่อว่ามีบั้งไฟพญานาคเป็นสิ่งอัศจรรย์และเป็นสิ่งที่ทำให้เชื่อว่ามีพญานาคอยู่ใต้บาดาล หากใครจะมองว่างมงายก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นความเชื่อและศรัทธาส่วนตัว

    ก่อนหน้านั้นเมื่อเวลา 19.00 น. คืนวันที่ 16 ต.ค. ที่บริเวณที่ราชพัสดุ ข้างวัดลำดวน ริมฝั่งแม่น้ำโขง เขตเทศบาลเมืองหนองคาย นายทรงพล โกวิทศิริกุล นายกเทศมนตรีเมืองหนองคาย เป็นประธานเปิดการแสดงแสงสีเสียงเปิดตำนานบั้งไฟพญานาค ของชมรมนาฏศิลป์หนองคาย เป็นปีที่ 8 หนึ่งในกิจกรรมงานเทศกาลออกพรรษาบั้งไฟพญานาค ประจำปี 2548

    การแสดงแสงสีเสียงเปิดตำนานบั้งไฟพญานาค หรือการแสดงชุด "มหาพุทธบูชานาคประทีปนาฏนันทการ" เนื้อเรื่องเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวตามจินตนาการ ผสานกับตำนานพุทธประวัติที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าและพญานาคี ที่เลื่อมใสศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนา ถึงขั้นแปลงกายเป็นมนุษย์เพื่อปวารณาตัวกับพระพุทธเจ้าขอบวชเป็นพระภิกษุ แต่เมื่อพระพุทธเจ้ารู้ว่าจริงๆ แล้วพญานาคีเป็นพญานาค

    ซึ่งเปรียบกับสัตว์เดรัจฉาน ไม่เหมาะสมที่จะเป็นพระภิกษุ จึงขอให้พญานาคีลาสิกขาบท ซึ่งพญานาคียินยอม และพร้อมจะถวายความจงรักภักดีแด่พระพุทธเจ้า อีกทั้งพญานาคีได้ขอร้องให้กุลบุตรที่จะบวชเป็นพระภิกษุ ก่อนทำพิธีให้เรียกว่า "นาค" หรือ "พ่อนาค" เพื่อเป็นเกียรติแก่พญานาคี และพญานาคีได้ถวายพุทธบูชาด้วยการร่ายรำและพ่นลูกไฟถวายพระพุทธเจ้าในวันออกพรรษาเป็นประจำทุกปี

    โดยนักแสดงเป็นนักเรียน นักศึกษา จากโรงเรียนในจ.หนองคาย และชมรมนาฏศิลป์จังหวัดหนองคาย หรือแม้แต่นักศึกษาที่เป็นชาวหนองคายแต่ไปศึกษาที่อื่นก็กลับมาร่วมแสดงในครั้งนี้ด้วย โดยมีนางรำ 36 คน รวมนักแสดงเปิดตำนานบั้งไฟพญานาครวม 180 คน สร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยวและประชาชนที่มารับชมเป็นอย่างยิ่ง

    ด้านพ.ต.อ.ชัยทัต บุญขำ ผกก.4ทล. กล่าวถึงสภาพเส้นทางที่มุ่งหน้าเข้าสู่งานบั้งไฟพญานาคที่จ.หนองคายว่า สำหรับภารกิจโดยเฉพาะตำรวจทางหลวงที่ดูแลรับผิดชอบเส้นทางหลวงแผ่นดินนั้น ได้มีการจัดการเตรียมความพร้อมเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากเราได้ประสบการณ์จากงานนี้มาหลายปี จึงนำข้อมูลที่มีอยู่มาปรับปรุงแก้ไข ในการอำนวยความสะดวกให้กับผู้คนที่จะเดินทางไปเที่ยวชมบั้งไฟพญานาคครั้งนี้

    พ.ต.อ.ชัยทัต กล่าวต่อว่า การเตรียมความพร้อมนั้นในส่วนกก.4ทล.ที่รับผิดชอบ ได้จัดเตรียมกำลังตำรวจไว้ทั้งหมด 70 นาย รถวิทยุ 30 คัน รถพยาบาล 1 คัน รถยก 2 คน ซึ่งไม่รวมกับหน่วยงานอื่นที่จะเข้ามาดูแลร่วมกันในงานครั้งนี้

    สำหรับประชาชนที่เดินทางมาเกิดเครื่องยนต์ขัดข้องเราได้เตรียมนักเรียนเทคนิคที่เชี่ยวชาญด้านเครื่องยนต์มาคอยดูแล นอกจากนี้สำหรับการอำนวยการด้านจราจร ได้มีเฮลิคอปเตอร์ของตชด.ที่จะบินตรวจดูสภาพการจราจรบนอากาศเพื่อแจ้งให้กับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานภาคพื้นดินได้ทราบว่า จุดไหนติดขัด เพื่อจะได้ระบายการจราจรไปใช้เส้นทางอื่นที่ได้จัดเตรียมไว้ให้

    ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้สภาพการจราจรเป็นอย่างไร พ.ต.อ.ชัยทัต กล่าวว่า สภาพการจราจรตั้งแต่เช้าจนถึงช่วงเย็นพบว่าเส้นทางหลักมีสภาพการจราจรโล่งไม่ติดขัด ดังนั้น เชื่อว่าในวันอังคารที่ 18 ต.ค.นี้ ตรงกับวันออกพรรษา และงานบุญบั้งไฟ จะมีผู้คนหลั่งไหลมาชมงานเพิ่มมากขึ้น

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ได้มีแผ่นวีซีดีวางจำหน่าย อ้างว่าเป็นภาพถ่ายพญานาคจากแม่น้ำโขง เป็นภาพผิวน้ำของแม่น้ำโขงที่แตกเป็นทางนานหลายนาที ขณะที่ผิวน้ำส่วนอื่นเรียบสนิท จากการสอบถามไปที่นายวิสุทธิ์ สัตยเลขา หรือช่างอ๊อด ช่างภาพซึ่งอ้างตัวว่าเป็นช่างภาพที่สามารถถ่ายภาพพญานาคดังกล่าวได้ เปิดเผยว่า ตนถ่ายภาพพญานาคได้ในวันที่ 30 ต.ค.47 หรือวันแรม 1 ค่ำ ของช่วงออกพรรษาปีที่แล้ว ระหว่างที่ไปทำธุระกับภรรยา

    โดยระหว่างรอภรรยาอยู่นั้น ได้ยินชาวบ้านพูดคุยกันว่ามีพญานาคออกมาเล่นน้ำที่แม่น้ำโขง ตนจึงรีบหยิบกล้องวิดีโอออกมาแล้ววิ่งไปถ่ายภาพดังกล่าว ตอนแรกไม่มั่นใจว่าเป็นอะไร เพราะมองเห็นน้ำเคลื่อนไหวในระยะไกล แต่เมื่อเข้ามาใกล้ๆ

    ก็มั่นใจว่าใช่ คิดว่ามี 7-8 ตน ตัวยาวกว่า 30 เมตร ว่ายทวนน้ำขึ้นไป ตนก็วิ่งตามถ่ายไปเป็นระยะทาง 300 เมตร พญานาคกลุ่มนี้ปรากฏตัวให้คนได้เห็นนานประมาณ 12-13 นาที มีคนจำนวนมากออกมาดูปรากฏการณ์ครั้งนั้นด้วย โดยส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นพญานาค และไม่น่าเป็นสัตว์น้ำอย่างอื่นในแม่น้ำโขง

    นายวิสุทธิ์ เล่าในแผ่นวีซีดีดังกล่าวด้วยว่า ช่วงที่กำลังบันทึกภาพ มีความรู้สึกทั้งตกใจ ตื่นเต้น และดีใจ ที่สามารถบันทึกภาพพญานาคได้ เพราะเป็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน หลังจากถ่ายได้ ต่อมาหลานก็ฝันว่ามีงูใหญ่เข้าไปอยู่ในอ่างน้ำในบ้าน

    ทำให้ญาติถูกหวยในงวดต่อมาซึ่งออกตรงกับเลขที่บ้าน คือ 66 นอกจากนี้ หลังจากการถ่ายภาพพญานาคในครั้งนั้น ตนก็เจ็บป่วยอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งภรรยากลับไปถามแม่ยาย และได้แนะนำให้ตนและภรรยาขอขมาและทำพิธีเชิญพญานาค ทำให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ

    ด้านนายวิทยา กีฬา กรรมการผู้จัดบริษัทเกตุนุช ดิจิตอล ผู้ผลิตแผ่นวีซีดีภาพพญานาคที่ถ่ายได้โดยนายวิสุทธิ์ หรือช่างอ๊อด ออกเผยแพร่ กล่าวว่า ทราบเรื่องการถ่ายภาพดังกล่าวจากลูกค้าที่ได้ส่งภาพมาให้ดูเมื่อ 2-3 เดือนที่แล้ว ดูแล้วก็รู้สึกเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าน่าจะเป็นพญานาคจริงๆ โดยส่วนตัวแล้วก่อนที่จะเห็นภาพนี้ตนก็รู้สึกเชื่อ

    แต่ยังไม่เต็มร้อยนัก แต่เมื่อเห็นภาพแล้วค่อนข้างมั่นใจ จึงได้ติดต่อพูดคุยกับช่างอ๊อด ทราบว่าเป็นภาพจริงที่ถ่ายได้ ในที่สุดจึงพูดคุยกันว่าอยากจะทำออกมาเป็นแผ่นวีซีดีเผยแพร่ โดยทำแบบง่ายๆ เพื่อให้ชาวบ้านได้เห็นและนำไปวิเคราะห์กับความเชื่อที่เคยได้ยินกัน และอยากให้คนเดินทางไปดูที่หนองคายด้วย

    นายวิทยากล่าวว่า การถ่ายภาพพญานาคของช่างอ๊อด เมื่อวันที่ 30 ต.ค.ปีที่แล้ว ตรงกับขึ้น 15 เดือน 11 ของลาว พญานาคเลยโผล่ขึ้นมาให้เห็น โดยจากภาพของพญานาคที่ตนเห็นคิดว่า ไม่เหมือนกับพญานาคในจินตนาการ เพราะขนาดใหญ่มาก และมีหลายตน ตนเองก็เคยไปดูที่จ.หนองคายเหมือนกัน แต่ไม่เคยเห็นด้วยตาของตัวเอง พอได้เห็นภาพของช่างอ๊อดทำให้เชื่อว่าเป็น ตัวพญานาคจริง มีลักษณะการว่ายไม่เหมือนงู ถ้าจะเป็นปลาก็เป็นปลาที่ยาวมาก ภาพดังกล่าวก็เหมือนกับภาพที่ทหารอเมริกันเคยจับได้

    "หลังจากที่ทำแผ่นซีดีออกเผยแพร่ ตอนนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดี การงานราบรื่น ผมคิดว่าการที่พญานาโผล่ขึ้นมาและช่างอ๊อดสามารถจับภาพได้ น่าจะเป็นการสำแดงของพญานาคเพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่าง เพราะที่ผ่านมามีคนพูดถึง แต่ไม่เคยมีใครเคยเห็นหรือถ่ายภาพได้ รวมกับคำของพระและชาวบ้านที่อยู่ริมแม่น้ำโขงที่บอกว่าพญานาคจะมาเล่นน้ำที่บริเวณนี้ทุกปี และเชื่อว่าพญานาคจะมาสักการะพระธาตุที่จมอยู่ใต้น้ำบริเวณนี้" นายวิทยากล่าว
     
  2. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,173
    [​IMG]เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 15 ต.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากอาจารย์ละเอียด ด้วงน้อย อดีตข้าราชครูในจ.กำแพงเพชร ว่าเมื่อเวลาประมาณ 05.00 น. ขณะมาออกกำลังกายริมแม่น้ำปิง ในเขตเทศบาลเมืองกำแพงเพชร เห็นประชาชนจำนวนมากนำดอกไม้ธูปเทียนมากราบไหว้ต้นมะพร้าวที่ปลูกอยู่ริมแม่น้ำปิง เมื่อเข้าไปดูพบว่าต้นมะพร้าวที่คนกำลังกราบไหว้อยู่นั้นมียอดคล้ายกับหัวพญานาคจำนวน 5 หัว จึงใช้โทรศัพท์มือที่ติดตัวมาถ่ายเก็บภาพไว้นำมาให้พวกญาติๆ ดูที่บ้าน ทุกคนเมื่อได้เห็นต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ายอดมะพร้าวคล้ายหัวพญานาคมาก ตนจึงนำภาพที่ถ่ายไว้มาให้ผู้สื่อข่าวดูและให้ไปดูด้วยตัวเอง

    ผู้สื่อข่าวจึงรุดไปพิสูจน์พบว่า ต้นมะพร้าวดังกล่าวปลูกเรียงรายอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำปิงประมาณ 100 ต้น เพื่อเป็นสวนพักผ่อนของประชาชน โดยมะพร้าวต้นหนึ่งที่ออกยอดมามีรูปร่างคล้ายหัวพญานาค 5 ยอด บริเวณลำต้นประชาชนได้นำเอาดอกไม้ธูปเทียนมาคล้องและกราบไหว้เพื่อขอเลขเด็ด บางรายใช้แป้งฝุ่นมาทาลำต้นเพื่อขัดถูดูตัวเลขจนลำต้นลื่นไปทั้งต้น

    นางน้อย แม่ค้าที่ขายของอยู่ตรงข้ามต้นมะพร้าวประหลาด กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 14 ต.ค.ซึ่งเป็นวันใกล้หวยออกมีประชาชนแห่มาดูต้นมะพร้าวประหลาดจำนวนมาก บางรายก็นำดอกไม้ธูปเทียนมากราบไหว้ขอเลขเด็ด ส่วนใหญ่จะมาดูกันเวลาประมาณ 19.00 น.จนถึง 24.00 น. บางกลุ่มก็ตีตัวเลขเป็น 51 เพราะยอดมะพร้าวออกยอดมาคล้ายหัวพญานาค 5 หัว ต้นมะพร้าวก็ตีเป็นเลข 1 บางกลุ่มเมื่อรู้ข่าวได้ขับรถยนต์ส่วนตัวมาดูกันเพื่อหวังโชคลาภในวันที่ 16 ต.ค.ที่จะถึงนี้

    อีกรายเวลา 08.30 น.วันเดียวกัน ที่วัดราษฎร์รังสิตร์ บ้านหัวโนนตาล หมู่ 2 ต.โนนตาล อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด นายบุญมี พาดฤทธิ์ อายุ 67 ปี มัคนายกวัด นำชาวบ้านประมาณ 20 คน ทำความสะอาดวัดเพื่อเตรียมจัดงานตักบาตรเทโวโรหณะ เนื่องในวันออกพรรษาในวันที่ 19 ต.ค.นี้ ขณะทำความสะอาดถึงบริเวณริมรั้วด้านทิศเหนือของวัด ได้พบยอดมะพร้าวประหลาดรูปร่างคล้ายพญานาคทั้งตัวขดอยู่บนยอดมะพร้าวน้ำหอมสูงประมาณ 3 เมตร จึงพากันมามุงดูและโจษจันกันไปทั่วทั้งหมู่บ้านและพื้นที่ใกล้เคียง เมื่อทราบข่าวก็พากันแห่มาจุดธูปขอหวยกันไม่ขาดสาย บางคนถึงกับลูบคลำและขูดต้นมะพร้าวตีเป็นเลขเด็ดตามที่ตนมองเห็น อาทิ 77, 38, 538,

    นายสำลี ฮ้อยบุญศรี อายุ 50 ปี สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลโนนตาล บ้านหัวโนนตาล หมู่ 2 กล่าวว่า เกิดมายังไม่เคยเห็นยอดมะพร้าวประหลาดกลายเป็นพญานาคที่ชัดเจนเช่นนี้ ตนจะพาชาวบ้านรักษาไว้ให้เจริญเติบโตต่อไปโดยไม่ตัดทิ้งหรือทำลาย เนื่องจากเชื่อว่าเป็นต้นไม้เทพเจ้าที่อาจจะนำโชคดีมาสู่หมู่บ้านตลอดไป




    ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ข่าวสด
     
  3. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,173
    หลากหลายประสบการณ์...กับพญานาค

    บุญจันทร์ คำมุงคุณ ผู้ใหญ่บ้านและประธานโฮมสเตย์บ้านน้ำเป กิ่งอำเภอรัตนภูมิ จังหวัดหนองคาย เล่าให้ฟังว่า เมื่อ 7 ปีที่แล้ว ขณะที่กำลังลงเรือหาปลาอยู่ในบริเวณปากห้วยน้ำเปตอนประมาณสองทุ่ม ก็เห็นสัตว์ชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายงูอยู่ในน้ำ

    ที่ว่าลักษณะคล้ายงูก็เพราะ ตรงส่วนหัวนั้นไม่เหมือนงูทั่วๆ ไป คือมีลักษณะคล้ายหงอน และดวงตามีขนาดเท่าไข่ไก่เห็นเป็นสีแดง งูนั้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20 เซนติเมตร เพื่อนที่ไปด้วยกันอีกสองคนก็เห็นเหมือนกันหมด

    [​IMG]แต่ภาพที่เห็นก็ไม่เหมือนภาพพญานาคที่เคยเห็นตามรูปมากนัก แต่ก็อาจเป็นเพราะเห็นไม่ชัด เพราะความมืด และช่วงเวลาที่เห็นก็นิดเดียว เพราะพอเรือเข้าไปใกล้เค้าก็ลงน้ำหายไป นั่นเป็นครั้งเดียวที่เห็น และรู้สึกกลัวมาก ช่วงนั้นไม่กล้าไปหาปลาตอนกลางคืนอีกเลย แต่จริงๆ แล้วเค้าก็ไม่ได้มีท่าทีเป็นอันตรายหรือจะทำร้ายแต่อย่างใด

    ผู้ที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับพญานาคอีกคนหนึ่งก็คือ
     
  4. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,173
    เหตุเกิดที่เมืองโพนพิสัย

    • [*]ใต้เมืองโพนพิสัย
    ลักษณะของอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคายที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ด้านหัวเมืองจะมีลำห้วยหลวงไหลออกมา เรียกว่า ปากห้วยหลวง ตรงข้ามกับอำเภอโพนพิสัย คือ บ้านโดน ที่ขึ้นกับเมืองปากงึม [​IMG]ทุกวันนี้มีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับเมืองบาดาลที่เชื่อว่าอยู่ใต้อำเภอโพนพิสัย ว่า ในหน้าแล้งจะมีหาดทรายขึ้นกลางแม่น้ำโขง แต่บริเวณอำเภอโพนพิสัยหาดทรายนี้จะขึ้นอยู่ฝั่งลาว บริเวณบ้านโดน วันหนึ่งในหน้าแล้งตอนเที่ยงวัน ได้มีหญิงสาวชาวบ้านโดนคนหนึ่ง ได้ลงมาตักเพื่อไปดื่ม โดยมีกระป๋องน้ำ (หาบครุ) ลงมาที่หาดทราย เพราะบริเวณนั้นมีน้ำออกบ่อ (น้ำริน) เมื่อลงมาแล้วได้หายไป ชาวบ้านลงมาเห็นแต่กระป๋องน้ำ (หาบครุ) พ่อ แม่ ต่างก็ตามหากันแต่ไม่พบ จนครบ 7 วัน เมื่อไม่เห็นลูกสาว และคิดว่าลูกสาวคงจมน้ำตายแล้ว จึงได้พร้อมกับญาติพี่น้อง ชาวบ้านจัดทำบุญอุทิศให้ ในตอนกลางคืนก็มีหมอลำสมโภช จนเวลาต่อมาเวลาประมาณเที่ยงคืน ลูกสาวคนที่เข้าใจว่าจมน้ำตาย ก็ปรากฎตัวขึ้นที่บ้าน ขณะที่ชาวบ้านกำลังฟังหมอลำกันอยู่ ทำให้ญาติพี่น้องแตกตื่นกันเป็นอย่างมาก บางคนก็วิ่งหนีเพราะคิดว่าเจอผีหลอกเข้า สุดท้ายลูกสาวจึงได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง หลังจากที่ตั้งสติได้ และแล้วญาติพี่น้องก็เข่ามาร่วมวงนั่งฟัง หญิงสาวเล่าให้ทุกคนฟังว่า
    "วันนั้นอากาศร้อนมาก น้ำดื่มหมดโอ่ง เมื่อลงไปเพื่อจะตักน้ำ เมื่อวางกระป๋องน้ำ (หาบครุ) ปรากฎว่าเห็นมีหมู เหมือนกับว่าได้ยกเท้าหน้าเรียกให้เข้าไปหา ตนได้เดินเข้าไปหา แล้วหมูตัวนั้นก็บอกว่าให้หลับตา จะพาลงไปเมืองบาดาล พอหลับตาได้สักครู่ หมูตัวนั้นก็บอกให้ลืมตา เมื่อลืมตาขึ้นปรากฎว่าตนมาอยู่อีกเมืองหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับเมืองมนุษย์ มีดิน มีบ้านเรือนเรียงรายกันอยู่ แต่จะมีแปลกก็ตรงที่ทุกคนจะนุ่งผ้าแดง และมีผ้าพันศรีษะเป็นสีแดงเหมือนกัน โดยด้านหน้าจะปล่อยให้ผ้าแดงห้อยลงเหมือนกับหัวงู เมื่อเดินตามชายคนนั้น (กลับร่างหมู กลายเป็นคน) ก็มีชาวบ้านถามกันว่า นำมนุษย์ลงมาทำไม (เพราะกลิ่นมนุษย์ต่างกับเมืองบาดาล) ชายคนนั้นก็บอกว่าพามาเที่ยวดูเมือง ได้เดินไปเรื่อย ๆ เมื่อแหงนหน้ามองดูท้องฟ้ากลับปรากฎว่าเป็นสีน้ำตาลอ่อน ๆ เหมือนสีขุ่น ๆ ของน้ำ ชายคนนั้นได้บอกว่า นี่เป็นเมืองบาดาล และเป็นเมืองหน้าด่าน ส่วนตัวเมืองหลวงนั้นยังอยู่อีกไกล และชาวเมืองจะมีงานสมโภชเมื่อถึงวันออกพรรษาของเมืองมนุษย์ ซึ่งถือว่าตลอด 3 เดือน ที่เข้าพรรษานั้นเหล่าชาวเมืองที่นี่ก็จะจำศีลปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นการบูชาพระพุทธเจ้า หลังจากที่เดินชมเมืองอยู่ไม่นาน ชายคนนั้นก็ได้นำขึ้นมาส่ง โดยการเดินมาทางเดิม ก็เป็นการเดินมาเรื่อย ๆ แต่ได้ขึ้นมายืนอยู่บริเวณหาดทรายเหมือนเดิม แล้วก็ได้ขึ้นมาหาพ่อ แม่ นี้"
    จากการเล่าของลูกสาว พ่อ แม่ ญาติพี่น้องจึงได้จัดงานทำบุญทำพิธีสู่ขวัญ เพื่อเป็นการต้อนรับขวัญให้กับลูกสาว ต่อมาอีก 7 วัน ลูกสาวก็ได้เจ็บป่วยและเสียชีวิตในที่สุด (เหตุการณ์นี้สอบถามได้จากผู้เฒ่า ผู้แก่ชาวโพนพิสัย คุ้มวัดศรีเกิดได้)
    • สิ่งต้องห้ามของชาวอำเภอโพนพิสัย
    สิ่งต้องห้ามสิ่งหนึ่งของชาวอำเภอโพนพิสัย ก็คือ ห้ามนำมุ้งลงไปซักในแม่น้ำโขง ไม่ว่าจะเป็นที่ใด เพราะจะทำให้บริเวณนั้นพังทลายเมื่อถึงหน้าฝน และก็เป็นเช่นนั้นจริง เมื่อถึงหน้าฝนทุกปี หากมีคนนำมุ้งลงไปซัก หลายคนไม่เชื่อได้นำมุ้งลงไปซักในแม่น้ำโขง ก็มักพบกับสิ่งแปลก ๆ บางคนก็เห็นปลาว่ายวนเวียนไปมาอยู่บริเวณนั้น แต่หลายคนจะเห็นเป็นงูว่ายน้ำไปมาอยู่ใกล้ ๆ ที่ซักมุ้ง บางคนจะเห็นเป็นงูขนาดใหญ่ว่ายน้ำเป็นสายตรง จากท่าวัดจุมพล แล้วมุ่งหน้าไปที่ปากห้วยกุง บ้านหนองกุงฝั่งลาว จะเป็นสายน้ำ ลักษณะเช่นนี้จะเห็นในตอนเที่ยงวัน ที่วันไหนแดดร้อน ชาวบ้านเรียกสิ่งนี้ว่างูใหญ่ ที่มีชื่อว่า "นาคตาเดียว" เนื่องจากครั้งหนึ่งได้มีฝรั่งไปนอนอาบแดดอยู่หาดทรายบ้านโดน แล้วมีคนหนึ่งจมน้ำตายไป เมื่อฝรั่งขึ้นเครื่องบินดูกลับเห็นว่า มีงูใหญ่ตัวหนึ่งทับร่างอยู่ จึงได้โยนลูกระเบิดลงมาและถูกงูใหญ่ตัวนั้น ทำให้ตาข้างหนึ่งบอด (เรื่องนี้สอบถามชาวบ้านได้) จนต่อมาชาวบ้านก็จะเรียกว่า "ไอ้เดี่ยว" หรือ "นาคตาเดียว" และมักจะปรากฏให้ชาวบ้านที่ออกไปหาปลาเห็นอยู่เสมอ แต่ไม่ทำร้ายใคร ตั้งแต่ถูกลูกระเบิด บางครั้งที่บริเวณห้วยกุง (ฝั่งลาว) บางวันแดดร้อน ๆ ชาวบ้านจะเห็นน้ำพุ่งขึ้นจากห้วยเป็นลักษณะเหมือนละอองน้ำเป็นลูกใหญ่ขนาดเท่าลำตาล และเห็นหัวงูขนาดใหญ่ในละอองน้ำ เหมือนกับว่ากำลังพ่นน้ำเล่นอยู่ในห้วย สายน้ำที่มีลักษณะเหมือนงูว่ายน้ำนั้น ผู้เขียนเองก็เห็นมากับตา เพราะผู้เขียนเองได้นั่งอยู่ที่ท่าน้ำวัดจุมพล พร้อมกับพรรคพวก ขณะพักผ่อนที่ริมน้ำ
    นอกจากการเห็นงูใหญ่ว่ายน้ำไปมาเป็นแนวตรง ดังกล่าวแล้ว สิ่งหนึ่งที่ชาวโพนพิสัย ได้กระทำกันเป็นประเพณีติดต่อกันมา เพื่อเป็นการสักการะเจ้าแม่คงคา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในลำแม่น้ำโขง โดยการไหลเรือไฟ ที่ทำจากกาบกล้วยใส่ขี้ใต้จุดให้ไหลไปตามน้ำ ซึ่งทำการไหลตั้งแต่ท่าน้ำบ้านแดนเมือง ต.วัดหลวง แต่ไม่มีการแข่งขันประกวดกันเหมือนทุกปี ซึ่งจะทำกันในวันออกพรรษาของทุกปี ซึ่งจะมีการไหลเรือไฟก็ต่อเมื่อเสร็จจากการเวียนเทียน
    • ลูกไฟประหลาด
    หลังจากการเวียนเทียนเสร็จในวันออกพรรษาที่วัดไทย (ทุกวัดจะมารวมกัน) อ.โพนพิสัย แล้ว พระเณรส่วนหนึ่ง พร้อมด้วยชาวบ้านก็จะนั่งเรือหางยาวนำเรือไฟที่ทำด้วยกาบกล้วย ต้นกล้วย ขึ้นไปปล่อยจากท่าน้ำวัดบ้านแดนเมือง ตงวัดหลวง (รวมทั้งผู้เขียนด้วย) ได้ขึ้นไปในเรือและก็ปล่อยเรือไฟลงมา ตอนนี้ก็จะดับเครื่องเรือแล้วปล่อยให้ไหลลงมาเรื่อย ๆ ในความเงียบนี้เมื่อมาถึงแถวท่าน้ำวัดหลวงก็จะเริ่มเห็นมีสิ่งเหมือนลูกไฟผุดขึ้นมาจากใต้น้ำ เป็นลูกสีแดงอมชมพู ขึ้นสูงจากผิวน้ำประมาณ 2-3 วา แล้วก็ดับไปในอากาศ จะขึ้นจุดละ 1 ลูก นาน ๆ จะขึ้นลูกหนึ่งและก็เรื่อยมา ที่ปากห้วยหลวงท่าวัดจุมพล และจะมีมากที่ท่าน้ำวัดไทย ซึ่งเป็นที่รวมของพระเณร และชาวบ้านที่มาร่วมกันเวียนเทียน และอีกแห่งที่เห็นลูกไฟนี้คือ ท่าน้ำวัดจอมนาง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย
    ลูกไฟที่ว่านี้จะขึ้นก็ต่อเมื่อบนฝั่งเงียบสงัด เกิดขึ้นในเวลาประมาณ 3 ทุ่ม ไปจนถึงเที่ยงคืนก็คืน จะเกิดขึ้นลูกเดียวโดด ๆ จะเกิดห่างกันหลายนาที และจะเกิดขึ้นเฉพาะในวันออกพรรษาเท่านั้น สมัยเมื่อปี 2516 ลงไป ลูกไฟนี้จะเกิดน้อยมาก แต่ชาวบ้านก็รอดูกันโดยการปูเสื่อนั่งรอดูอยู่ตามวัดไทย วัดจุมพล คนดูก็ไม่มาก บางคนก็หลับไปเพราะรอดูลูกไฟประหลาด
    ลูกไฟประหลาดที่ว่านี้เกิดขึ้นเป็นเวลานานมาแล้ว เพราะว่าคนแก่ที่มีอายุ 80 ปี (เมื่อปี พ.ศ.2540) ได้บอกว่าเมื่อตนยังเป็นเด็กก็เคยเห็นลูกไฟนี้เหมือนกัน และพ่อแม่ก็ได้บอกว่าเห็นมาตั้งแต่เด็กเหมือนกัน
    ต่อมาเมื่อชาวอำเภอโพนพิสัย ได้ไปอยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ และประกอบกับสื่อสารมวลชนได้ลงข่าวเมื่อปี พ.ศ.2519 ก็เริ่มเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป แต่ชาวอำเภอโพนพิสัย ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเห็นมาทุกปี จึงไม่ได้สนใจอะไรมากมาย ซึ่งผิดกับชาวต่างจังหวัดที่พากันมาดูแล้วบอกต่อกันไปเรื่อย ๆ จึงมีคนมาในแต่ละปีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขนาดทำให้รถยนต์ติดกันเป็นแถวในวันออกพรรษาของทุกปี
    • ลักษณะของลูกไฟ
    จะมีลักษณะเป็นสีแดงอมชมพู พุ่งขึ้นจากใต้น้ำ บริเวณขึ้นก็ไม่แน่นอน บางครั้งขึ้นกลางแม่น้ำโขง และบางครั้งจะขึ้นใกล้ฝั่ง การเกิดขึ้นกลางแม่น้ำโขงลูกไฟจะเอนเข้าหาฝั่ง แต่หากขึ้นริมฝั่ง ลูกไฟจะเอนออกไปกลางโขง
    ในปัจจุบันนี้ ลูกไฟจะขึ้นตั้งแต่ตอนหัวค่ำ คือเวลาประมาณ 18.00 น. จะขึ้นจุดละไม่ต่ำกว่า 20 ลูก และขึ้นสูงจากผิวน้ำตั้งแต่ 50-100 เมตร จะมีลูกใหญ่ เล็กไม่แน่นอน และจุดเกิดไม่แน่นอน จะเปลี่ยนจุดเกิดไปเรื่อย ๆ แต่จะเกิดในเขตบริเวณ อ.โพนพิสัย ตลอดแนวของแม่น้ำโขง นอกจากแม่น้ำโขงแล้ว ในหนองน้ำขนาดใหญ่ก็มีลูกไฟขึ้นเช่นกัน เช่น หนองสรวง บ้านร่อนถ่อน ต.จุมพล อ.โพนพิสัย จังหวัดหนองคาย เมื่อถึงวันออกพรรษาของทุกปี ทุกวันนี้จะมีชาวต่างจังหวัด และต่างประเทศเดินทางไปที่ อ.โพนพิสัย เพื่อดูลูกไฟประหลาดนี้กันเป็นจำนวนมาก เรียกว่าจากทั่วสารทิศ
    • ที่เกิดของลูกไฟ...
    ลูกไฟประหลาด นี้จะเกิดขึ้นตามบริเวณตั้งแต่ท่าน้ำวัดหลวง ต.วัดหลวง ปากห้วยหลวง ท่าน้ำจุมพล ท่าน้ำวัดไทย ท่าน้ำวัดจอมนาง และบริเวณปากน้ำงึม บ้านหนองกุง ต.กุดบง ท่าน้ำบ้านน้ำเป ต.รัตนวาปี ท่าน้ำบ้านท่าม่วง กิ่ง อ.รัตนวาปี และที่แก่งอาฮง บ้านอาฮง ต.หอคำ อ.บึงกาฬ และที่บริเวณท่าน้ำวัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ ที่กล่าวมทั้งหมดอยู่ในจังหวัดหนองคาย
    แต่ก่อนจะมีคนเห็นเฉพาะที่บริเวณเขต อ.โพนพิสัย เป็นส่วนมาก ลูกไฟที่เกิดขึ้นกลางแม่น้ำโขงนี้ ที่เกิดมาเป็นเวลานาน ชาวบ้าน อ.โพนพิสัย เรียกว่า "บั้งไฟพญานาค"

    [​IMG]
    ภาพลูกไฟประหลาดที่ผุดขึ้นจากแม่น้ำโขง ชาวบ้านเรียก "บั้งไฟพญานาค"
    • บั้งไฟพญานาค...จะแตกต่างจากลูกไฟทั่วๆ ไปที่มนุษย์ทำขึ้น เพราะลูกไฟที่มนุษย์ทำขึ้นนั้นจะมีลักษณะเป็นสีแดง มีเปลวไฟขณะกำลังพุ่งขึ้น แล้วโค้งตกลงมา แต่ บั้งไฟพญานาค นี้ เป็นลูกไฟสีแดงอมชมพู ไม่มีเสียง ไม่มีเปลวไฟ ขึ้นตรง ดับกลางอากาศ ไม่มีตก ไม่มีควัน ซึ่งจะสังเกตได้ง่ายกว่าลูกไฟทั่ว ๆ ไป
    [​IMG]
    ฝูงชนที่มาเฝ้าดูลูกไฟประหลาด ไม่เคยผิดหวัง จะเห็นมากหรือน้อยเท่านั้น
    • คลื่นประชาชน...
    หลังจากที่ข่าวแพร่ออกไปเกี่ยวกับเรื่อง บั้งไฟพญานาค ทำให้ประชาชนในต่างจังหวัด และคน อ.โพนพิสัย เมื่อไปทำงานที่อื่น เมื่อวันออกพรรษาก็จะชักชวนเพื่อน ๆ มาดูสิ่งมหัศจรรย์แห่งลุ่มแม่น้ำโขงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้ อ.โพนพิสัย เต็มไปด้วยผู้คน รถยนต์แทบหาที่จอดไม่ได้ ต้องจอดไว้ที่ทุ่งนาที่ทางอำเภอจัดให้จอด เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องขอกำลังจาก สภ.อ. และ สภ.ต. ใกล้เคียงมาช่วยในการจัดการด้านจราจร เนื่องจากมีชาวบ้านต่างจังหวัดมากันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในจังหวัด และในกรุงเทพฯ ก็จะมาจองห้องพักตามโรงแรมต่าง ๆ ในจังหวัดเรียกว่า ห้องเต็มวันก่อนเป็นเดือน เพราะสิ่งมหัศจรรย์อย่างนี้ถือว่าได้ดูแล้วเป็นบุญวาสนาแก่ตนเอง หรือจะพูดว่าเป็นสิริมงคลแก่ตนเองก็ไม่ผิด เพราะสิ่งประหลาดไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก
    • ถนนทุกสายมุ่งสู่อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย
    พอถึงวันออกพรรษาของทุกปี คลื่นประชาชนจากทั่วสารทิศก็มุ่งสู่ อ.โพนพิสัย ทั้งด้วยรถยนต์ส่วนตัว รถเหมา และรถประจำทาง ความหวังและจิตใจจดจ่ออยู่ที่สิ่งมหัศจรรย์ ที่เกิดขึ้นในแม่น้ำโขงในเขต อ.โพนพิสัย ที่ชาวบ้านตั้งแต่สมัยปู่ ย่า ตา ยาย ว่า บั้งไฟพญานาค สาเหตุที่เรียกว่าอย่างนั้นก็คงไม่มีใครสามารถให้คำอธิบายได้มากว่านี้ แต่สาเหตุที่เรียกว่าอย่างนั้น คือ ลูกไฟนี้เกิดขึ้นมาจากใต้แม่น้ำโขง ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งอุตริลงไปทำในน้ำได้ แต่หากทำได้ จะเพื่ออะไร ทำทำไม แล้วได้อะไร แต่หากทำจริง ในการทำแต่ละครั้งจะต้องใช้คนไม่น้อยกว่า 300 คน กระจายกันอยู่ใต้น้ำ อีกอย่างหนึ่งน้ำในแม่น้ำโขงจะมีสีขุ่น การทำงานนี้ต้องใช้ทุนอย่างมหาศาล จึงไม่มีความจำเป็นที่จะทำ
    แต่ถึงแม้หลายคนจะไม่เชื่อว่าเป็น บั้งไฟพญานาค ตามที่ชาว อ.โพนพิสัย เรียก แต่ก็บอกไม่ถูกว่าเป็นอะไร แต่เมื่อได้เห็นกับตาแล้วค่อนข้างจะเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นจริง เพราะไม่มีอะไรอื่นที่จะเรียกและเกิดขึ้นได้ การเกิดของบั้งไฟพญานาค ก็จะเกิดเฉพาะวันออกพรรษาเท่านั้น และวันออกพรรษา ( ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ) จะต้องตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ ของประเทศลาว บั้งไฟพญานาค นี้จะขึ้นจำนวนมาก เท่าที่ผู้เขียนสังเกตมาตั้งแต่เด็ก ๆ โดยการนำเสื่อไปปูคอยดูที่ท่าน้ำวัดไทยในสมัยนั้น เมื่อประมาณปี 2513 บั้งไฟพญานาคนี้จะขึ้นก็ต่อเมื่อในน้ำเงียบสงบ บนฝั่งเงียบ ไม่มีเสียงอึกทึกครึกโครม ราว ๆ ประมาณ 3 ทุ่ม ก็จะมีลูกไฟพุ่งขึ้นมาจากใต้น้ำสูงจากผิวน้ำประมาณไม่เกิน 3 วา แต่มาในปัจจุบัน ( ปี 2530-2539 ) ลูกไฟนี้จะขึ้นตั้งแต่เวลา 18.00 น. ไปจนถึงราว ๆ 22.00 น. ต่อจากนั้นไปก็ค่อย ๆ หมดไป แต่จะเกิดมากช่วง 18.00-21.00 น. ขึ้นแต่ละครั้ง แต่ละจุดไม่ต่ำกว่า 30-50 ลูก จะเกิดจากช่วงบริเวณ ท่าน้ำวัดหลวง ท่าน้ำปากห้วยหลวง ท่าน้ำวัดจุมพล วัดไทย และท่าน้ำวัดจอมนาง เป็นส่วนใหญ่ นอกนั้นจะมีบ้างเป็นจุด ๆ ไป แต่ไม่มากเหมือนกับเกิดที่บริเวณดังกล่าว
     
  5. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,173
    เมืองหลวงพญานาค
    เหตุที่เชื่อเช่นนั้นเพราะที่นี่มีลูกไฟที่เรียกว่า [​IMG]บั้งไฟพญานาค เกิดขึ้นเช่นกัน แต่แตกต่างจากที่อื่น เพราะที่อื่นลูกไฟที่เกิดขึ้นจะเป็นสีแดงอมชมพู แต่บริเวณแก่งอาฮงนี้จะเป็น ลูกสีเขียว มีคนเคยเห็นลูกไฟที่เกิดขึ้นที่นี่เมื่อหลายปีก่อนว่า ลูกไฟโตเท่าแท้งค์น้ำ สีเขียวสว่างพุ่งขึ้นจากใต้น้ำ ทำให้บริเวณใกล้เคียงสว่างไสวราวกับว่าเป็นเวลากลางวัน ขึ้นสูงประมาณ 20 เมตร และสาเหตุที่เชื่อว่าแก่งอาฮงเป็น เมืองหลวงของเมืองบาดาล ก็เพราะว่า ตลอดแนวแม่น้ำโขงตลอดสาย ตั้งแต่ประเทศจีน ผ่านมาจนถึงจังหวัดหนองคาย แก่งอาฮง ออกสู่ทะเล แก่งอาฮงถือว่าเป็นสะดือทะเล แม่น้ำโขงที่มีความลึกในหน้าแล้ง ที่ชาวประมงใช้เชือกผูกก้อนหินหย่อนลงไป มีความยาววัดได้ 99 วา ของผู้ใหญ่ เพราะตรงนั้นจะเป็นแอ่งที่มองเห็นด้วยตามนุษย์ บริเวณด้านหลังศาลาวัดอาฮง และยังมีความลึกลับกว่านั้นอีกว่า บริเวณสะดือแม่น้ำโขงดังกล่าวยังเป็นถ้ำใต้น้ำทะลุไปออกที่ ภูงู ฝั่งตรงข้ามที่ประเทศลาวอีกด้วย

    บริเวณแก่งอาฮง ตรงที่เป็นสะดือแม่น้ำโขง ภูเขาที่ด้านหลังคือภูงูที่มีถ้ำทะลุถึง
    • แก่งอาฮง...บริเวณดังกล่าวเมื่อวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ บรรดาวิญญาณทั้งหลายก็จะมารวมกันที่นี่ ส่วนจะมารวมกันเพื่ออะไรนั้นยากที่จะบอกได้ แต่ที่แน่ ๆ บรรดาวิญญาณทั้งหลายจะมารวมกัน แต่หากผู้ใดมีจิตใจเข้มแข็ง เข้าไปนั่งสงบสติอารมณ์ ไม่วอกแวก ก็จะได้ยินเสียงโหยหวน บ้างก็มีเสียงปี่ เสียงกลอง เหมือนกับคนกระทำพิธีกรรมอะไรสักอย่าง แต่หากคิดอีกทางหนึ่งก็เพราะว่าบริเวณแก่งอาฮงนี้ หากมีคนตายไหลตามน้ำมาก็จะติดอยู่แก่งนี้ เมื่อก่อนหากมีคนตายในแม่น้ำโขง ก็จะมาโผล่ที่นี่ติดอยู่ตามเกาะ แก่งที่มีอยู่มากมายในหน้าแล้ง แม้แต่หน้าฝนที่นี่ก็จะมีคลื่น เนื่องจากกระแสน้ำกระทบเข้ากับแก่งหิน จึงเป็นที่รวมวิญญาณต่าง ๆ ก็เป็นไปได้
    • เทพเจ้าทางน้ำ...สิ่งหนึ่งที่ปรากฏให้เห็นตามริมแม่น้ำโขงในเขตจังหวัดหนองคาย จากตัวจังหวัดลงไปถึงอำเภอบึงกาฬ ซึ่งสิ่งนี้คือ หอเจ้าแม่สองนาง ซึ่งจะมีอยู่ที่วัดหายโศก อ.เมืองหนองคาย เรื่อยไปที่ อ.โพนพิสัย อยู่ที่ปากห้วยหลวง แก่งอาฮง และที่หน้าโรงพยาบาล อ.บึงกาฬ คำว่า สองนางในที่นี่คือ งู 1 คู่ คือ งู 2 ตัว
    [​IMG]สมัยก่อนชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำโขง จะใช้การติดต่อกันในทางทำธุรกิจค้าขาย ต้องเดินทางกันทางน้ำ เพราะไม่มีรถยนต์เหมือนทุกวันนี้ ดังนั้นจะต้องใช้เรือล่องผ่านหมู่บ้านต่าง ๆ และหมู่บ้านก็จะตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะการเดินทางไปมาสะดวกสบาย เพราะฉะนั้นการเดินทางค้าขายจึงต้องมีการทำพิธีบวงสรวง เทพเจ้าทางน้ำ ที่เขาเชื่อและนับถือว่าจะให้ความปลอดภัยในการเดินทาง ในการทำพิธีบวงสรวงก็จะมีเครื่องเซ่นไหว้ประกอบไปด้วย เหล้าขาว หมากพูล ข้าวดำ ข้าวแดง ก่อนออกเรือก็จะเทเหล้าขาวลงน้ำ เพื่อเป็นการบอกกล่าวว่า การออกเรือครั้งนี้ขอให้มีความปลอดภัย ประสบความสำเร็จในการค้าขายและเดินทาง ก่อนออกเดินทางทุกครั้งชาวลุ่มแม่น้ำโขงจะต้องทำพิธีบวงสรวงให้เกิดโชคลาภทุกครั้ง และการเดินทางทางเรือจะต้องใช้เวลานานเป็นเดือน ๆ ยิ่งตอนกลับทวนน้ำแล้วยิ่งต้องใช้เวลานาน
    บ่อยครั้งเหมือนกันที่มีชาวลุ่มน้ำโขงต้องเสียชีวิตลงในระหว่างการเดินทางทางน้ำ แต่นั้นพวกเขาจะเชื่อว่าเป็นการทำผิดต่อเจ้าแม่สองนาง หรือเทพเจ้าทางน้ำ จึงถูกลงโทษ เหตุการณ์เหล่านี้จะถูกเรียกว่า "เงือกกิน" "เงือก" "งู" เป็นสิ่งเดียวกัน "พญานาค" ก็เป็นสิ่งเดียวกัน แต่พญานาคนั้นมีภพที่อยู่อีกมิติหนึ่ง พญานาคจึงสามารถแปลงร่างได้หลายชนิด และแปลงกายเป็นมนุษย์ หรืออะไรก็ได้ สุดแท้แต่จะแปลง เพียงแค่คิดก็แปลงร่างแล้ว ถึงแม้จะแปลงเป็นมนุษย์ได้ แต่การอยู่ก็มีภูมิ หรือภพอยู่ต่างมนุษย์
    จึงมีปรากฏการณ์ให้เห็นอยู่บ่อย ๆ ว่ามีคนเห็นงูใหญ่ หรือเห็นคนเดินลงไปในน้ำแล้วหายไปต่อหน้าต่อตา บางครั้งถึงกับมีการแปลงร่างเป็นหนุ่มมาเกี้ยวสาว จนกระทั่งมีการติดพันเกิดความรักระหว่างพญานาคกับมนุษย์ ก็มีอยู่บ่อยครั้ง เรื่องนี้สามารถสอบถามชาวบ้านท่าม่วง ตาลชุมได้ ขึ้นต่อกิ่ง อ.รัตนวาปี จ. หนองคา ย เพราะสมัยก่อนสาว ๆ บ้านท่าม่วง และบ้านตาลชุม จะมีพญานาคแปลงกายเป็นหนุ่ม ๆ ขึ้นมาเกี้ยวพาราสีอยู่เป็นประจำ ถึงขนาดได้ชวนสาว ๆ ลงไปชมเมืองบาดาล แต่หลังจากนั้นอีก 7 วัน สาว ๆ ที่ลงไปก็เกิดอาการเจ็บป่วยและเสียชีวิตไปในที่สุดก่อนเวลาอันสมควร คือหลังจากขึ้นมาได้ 7 วัน ก็เสียชีวิต
    • รอยพญานาค
    ในแต่ละปีของวันออกพรรษา อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย จะเป็นแหล่งนัดพบของบรรดาผู้ที่ต้องการพิสูจน์ความจริงของปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่ได้ยินแต่คนอื่นพูดให้ฟังว่า ที่เขต อ.โพนพิสัย นั้นมีลูกไฟที่พุ่งขึ้นมาใต้แม่น้ำโขง เป็นลุกไฟสีแดงอมชมพู ไม่มีเสียง ไม่มีแสง และไม่มีควัน ไม่มีโค้งตกลงมาเหมือนลูกไฟทั่วๆ ไป และลูกไฟที่ว่านี้จะไม่เป็นที่กำหนดว่าจะเกิดขึ้นบริเวณใด จำนวนกี่ลูก และจะขึ้นสูงขนาดไหน ไม่มีกำหนด แต่จะเฉลี่ยแล้วจะขึ้นไม่แน่นอน จุดละ 3-20 ลูก ขึ้นสูงกว่า 100 เมตร ตามจุดต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว ลูกไฟนี้ชาวบ้าน อ.โพนพิสัย ตั้งแต่สมัยผู้เฒ่าผู้แก่ เรียกว่า "บั้งไฟพญานาค" เพราะเป็นที่เชื่อว่าจะเป็นบั้งไฟที่พญานาคจุดขึ้นมา เพื่อเป็นพุทธบูชาต่อพระพุทธเจ้า ที่เสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หลังจากที่ไปโปรดพระมารดา เป็นเวลา 3 เดือน จึงมีทั้งเมืองมนุษย์ สวรรค์ และเมืองบาดาล ที่ต่างก็สาธุการจัดงานสมโภช ที่ประเพณีไทยทำมาก็คือ การตักบาตรเทโวในวันออกพรรษา
    หลังจากเหตุการณ์บั้งไฟพญานาคขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ผ่านไปแล้ว ก็เหลือแต่ความทรงจำ และความประทับใจสำหรับผู้ที่มาพิสูจน์ความจริงว่า ลูกไฟนั้นคืออะไร หลายคนก็ต้องนำกลับไปคิด ไปวิเคราะห์ เนื่องจากสิ่งที่เห็นมากับตานั้นเป็นอะไรกันแน่ พอผ่านไปได้อีก 7 วัน หลังออกพรรษา ชาวโพนพิสัยก็จะจัดงานแข่งเรือยาวประจำปี เหมือนกับทุกปีที่ผ่านมา แต่ปีนี้ 2536 [​IMG]มีสิ่งที่ประหลาดเกิดขึ้นบนหน้ารถยนต์ของสองสามีภรรยา ที่นำผลไม้ไปขายในวันแข่งเรือ โดยนำรถยนต์โตโยต้า สีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน ป.8380 อุดรธานี จอดไว้บริเวณหน้าวัดไทย เพื่อขายส้มในงาน สองสามีภรรยา ชื่อ นายลี และนางอารีย์ ไม่ทราบนามสกุล เป็นคนจังหวัดอุดรธานี พอตกกลางคืน หลังจากขายส้มแล้วก็นอนพักเอาแรงเพื่อจะได้ขายในวันต่อมา พอตกกลางคืน นางอารีย์ก็ฝันว่า มีชายสองคน นุ่งห่มผ้าขาว โพกหัวด้วยผ้าขาว ผูกด้านหน้าเป็นกระจุกเหมือนหัวพญานาค ขึ้นมาขอกินส้ม แต่นางไม่ให้กิน พอคืนที่สองมาก็ฝันเห็นเรือยาวลำหนึ่งจอดขวางอยู่กลางลานวัด (จอดบนบก) และได้ยินเสียงชายคนเดิมมาขอกินส้มอีก แต่นางก็ไม่พูดอะไร พอตื่นเช้ามาก็เล่าเรื่องฝันให้ชาวบ้านฟัง คนแก่ก็เลยบอกให้สองสามีภรรยา จัดขันดอกไม้ ธูปเทียน เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตนเอง พอคืนต่อมาอีก ก็ฝันเห็นชายดังกล่าวมาขอส้มอีก แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรแล้ว เพราะฝันเห็นมา 3 วัน หลังจากตื่นขึ้นตอนเช้าก็จะมาขายส้มต่อ ก่อนนอนสองสามีภรรยา ได้นำผ้าคลุมรถเอาไว้ก่อนนอน ก่อนขายส้มตอนเช้าจึงได้เปิดผ้าคลุมรถออก นำส้มมาวางขาย แต่เช้าของคืนที่ 3 ก็ต้องตกใจ เมื่อเปิดผ้าคลุมรถยนต์เพราะในความรู้สึกบอกว่ามีอะไรบางอย่างขดอยู่หน้ารถในความรู้สึกว่ามีจริง จนสุดท้ายจึงตัดสินใจเดินมาเปิดผ้าคลุมรถยนต์ออก แต่ก็ต้องแปลกใจอีกครั้งที่เห็น รอยประหลาดเหมือนกับรอยตะขาบขนาดใหญ่ เป็นรอยนูนและยังเปียก เป็นดินโคลนสีแดง ตรวจดูตามข้างรถยนต์ ก็ไม่มีรอยปีนขึ้น-ลง มีเฉพาะนอนขดอยู่หน้ารถมีรูปร่างเหมือนตะขาบ มีเกล็ด มีขา เป็นรอยมันใส ดู ๆ แล้วเป็นดินที่ไม่เหมือนกับดินในหนองน้ำ หรือโคลนบนบก เพราะดมดูก็ไม่มีกลิ่นเหมือนโคลนทั่ว ๆ ไป นางอารีย์ตกใจมาก เพราะกลัวว่าจะเป็นลางบอกเหตุที่ไม่ดีกับตน เมื่อชาวบ้านทราบเรื่องเข้าก็มามุงดูกันใหญ่ ด้วยความตกใจ ต่อมาจึงมีคนมาแนะนำให้ไปเข้าทรงดูว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อได้เข้าทรงก็ทราบว่า โดยการเชิญดวงวิญญาณของหลวงพ่อใหญ่ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่ในอุโบสถวัดไทย และหลวงพ่อใหญ่นี้สามารถที่จะติดต่อกับเมืองพญานาค หลังจากที่เข้าทรงทราบว่า รอยดังกล่าวเป็นรอยของพญานาคจริง ที่แปลงร่างขึ้นมาปรึกษากับหลวงพ่อใหญ่ในการที่จะบำรุงรักษาวัดให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป เพราะสภาพปัจจุบันนี้ขาดการดูแล และพญานาคที่ขึ้นมานั้นก็เป็นพญานาคระดับหัวเมือง ที่มาเพื่อที่จะแสดงให้เหล่ามนุษย์รู้ว่าเมืองบาดาล และพญานาคนั้นมีจริงและบังเอิญขึ้นมาพบกับนายลี ซึ่งในชาติก่อน นายลีเป็นลูกชายของพญานาค ที่เมืองบาดาล เมื่อมาพบจึงเกิดความดีใจ พร้อมกับได้ขอกินส้ม และประกอบกับความดีใจจึงได้กระโดดขึ้นบนหน้ารถยนต์แล้วประทับรอยเอาไว้ ได้ขึ้นมาตอนเที่ยงคืน มาทั้งหมด 7 คน อีก 6 คนไม่แสดงตัวให้เห็น ส่วนสองสามีภรรยา ที่ไปขายส้ม ก็ไม่เคยไปที่ อ.โพนพิสัย มาก่อน
     
  6. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,173
    วังนาคินทร์
    คำชะโนด หรืออีกชื่อหนึ่งที่ชาวบ้านเรียกคือ เมืองชะโนด อยู่ระหว่าง ต.วังทอง และ ต.บ้านม่วง และ ต.จันทร์ อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี
    ตามตำนานกล่าวว่า เมืองชะโนด มี [​IMG]เจ้าพ่อพญาศรีสุทโธ เป็นใหญ่ ครองเมืองหนองกระแสครึ่งหนึ่ง มีบริวาร 5,000 ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นของ สุวรรณนาค และมีบริวาร 5,000 เช่นกัน ทั้งสองฝ่ายอยู่ด้วยกันด้วยความรัก สามัคคี มีอะไรก็แบ่งกันกินเป็นเช่นนี้ตลอดมา จนอยู่มาวันหนึ่ง สุวรรณนาค พาบริวารออกไปล่าเนื้อหาอาหาร ได้ช้างมาเป็นอาหาร จึงได้แบ่งให้ สุทโธนาค ครึ่งหนึ่ง พร้อมกับนำขนช้างไปให้ดูเพื่อเป็นหลักฐาน ต่างฝ่ายต่างก็อิ่มหนำสำราญ และอยู่มาวันหนึ่ง สุวรรณนาค ก็ออกหาอาหารอีก ครั้งนี้ได้เม่นมาเป็นอาหาร จึงได้แบ่งให้สุทโธนาคไปครึ่งหนึ่ง พร้อมกับนำขนไปให้เพื่อเป็นหลักฐานเช่นเคย เม่นตัวนิดเดียวแต่ขนใหญ่ เมื่อแบ่งให้ สุทโธนาค ก็ไม่พอใจ เพราะพิจารณาดูแล้ว ขนาดขนยังใหญ่ขนาดนี้ แล้วตัวคงใหญ่กว่านี้แน่นอน จึงไม่รับเนื้อเม่น พร้อมกับส่งคืน สุวรรณนาค เห็นดังนั้นจึงไปชี้แจงให้ทราบ ขอให้รับไว้เป็นอาหาร และผลสุดท้ายทั้งสองจึงประกาศสงครามกัน สาเหตุที่เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งออกหาอาหาร อีกฝ่ายหนึ่งจะต้องไม่ต้องออกไป เพราะกลัวว่าบริวารจะปะทะกัน
    เมื่อประกาศสงครามกันขึ้น ต่างฝ่ายต่างก็ระดมไพร่พลบริวาร สงครามเกิดขึ้น ไม่มีฝ่ายไหนแพ้ ชนะ พญานาคทั้งสองรบกันอยู่เป็นเวลา 7 ปี ก็ไม่มีใครแพ้ ชนะ เพราะต่างฝ่ายต่างก็หวังครองหนองกระแสเพียงฝ่ายเดียว จนทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่รอบ ๆ หนองกระแสเกิดความเสียหาย เดือดร้อนไปตาม ๆ กัน พื้นโลกสะเทือนเกิดแผ่นดินไหว เทวดาต่างก็เดือดร้อนกันไปด้วยสามภพ ความเดือดร้อนทราบไปถึงพระอินทราธิราชผู้เป็นใหญ่ เทวดาทั้งหลายต่างก็พากันไปร้องทุกข์และเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้พระอินทร์ได้ทราบ ดังนั้นจึงได้หาวิธีให้พญานาคทั้งสองหยุดรบกัน เพื่อความสงบสุขของไตรภพ จึงได้เสด็จลงจากดาวดึงส์มายังเมืองมนุษย์โลก ที่หนองกระแส แล้วตรัสเป็นเทวราชโองการ ว่า "ให้ท่านทั้งสองหยุดรบกันเดี๋ยวนี้" การทำสงครามครั้งนี้ถือว่าเสมอกัน และให้หนองกระแสเป็นเขตปลอดสงคราม และให้พญานาคทั้งสองสร้างแม่น้ำคนละสาย จากหนองกระแส ใครสร้างถึงทะเลก่อนจะได้ปลาบึกไปไว้ในแม่น้ำแห่งนั้น และให้ถือเอาภูเขาพญาไฟเป็นเขตกั้นคนละฝ่าย ใครข้ามไปราวีรุกรานกันขอให้ไฟจากภูเขาไฟไหม้ฝ่ายนั้นเป็นจุลมหาจุล
    หลังจากพระอินทร์ตรัสเป็นเทวราชโองการเช่นนั้น สุทโธนาค พร้อมไพร่พลอพยพออกจากหนองกระแสสร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศตะวันออกของหนองกระแส เมื่อถึงตรงไหนเป็นภูเขาก็คดโค้งไปตามภูเขา หรืออาจจะลอดภูเขาบ้างตามความยกง่ายในการสร้าง เพราะสุทโธนาคเป็นคนใจร้อน แม่น้ำนี้เรียกว่า "แม่น้ำโขง" คำว่า โขง มาจากคำว่า โค้ง ได้ถึงทะเลก่อนจจีงได้เป็นผู้ชนะปลาบึกจึงอยู่แม่น่ำโขง ส่วนฝั่งลาวเรียกว่า แม่น้ำของ
    ส่วน สุวรรณนาค เมื่อได้รับเทวราชโองการก็พาบริวารไพร่พลออกจากหนองกระแส สร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศใต้ของหนองกระแส สุวรรณนาค เป็นคนตรงพิถีพิถันและยังเป็นผู้มีจิตใจเย็น การสร้างแม่น้ำจึงต้องทำให้ตรง เ แม่น้ำนี้เรียกว่า แม่น้ำน่าน แม่น้ำแห่งนี้จึงเป็นแม่น้ำที่ตรงกว่าแม่น้ำทุกสานในประเทศไทย
    [​IMG]การสร้างแม่น้ำแข่งขัน ปรากฏว่า สุทโธนาค สร้างแม่น้ำโขงเสร็จก่อนตามสัญญาของพระอินทร์ สุทโธนาค เป็นผู้ชนะ และปลาบึกจึงต้องไปอยู่แม่น้ำโขงแห่งเดียวในโลก จากนั้น สุทโธนาค สร้างเสร็จ ปลาบึกขึ้นอยู่แม่น้ำโขงและเป็นผู้ชนะตามสัญญาแล้ว จึงได้แผลงฤทธิ์เหาะไปเฝ้าพระอินทร์ ณ ดาวดึงส์ ทูลถามพระอินทร์ว่า "ตัวข้าเป็นชาติเชื้อพญานาค จะอยู่โลกมนุษย์นานเกินไปก็ไม่ได้" จึงได้ขอทางขึ้นลงระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองมนุษย์ เอาไว้ 3 แห่ง พร้อมกับทูลถามว่า "จะให้ครอบครองอยู่ตรงไหนแน่นอน" พระอินทร์ผู้เป็นใหญ่จึงอนุญาตให้มีรูพญานาคเอาไว้ 3 แห่ง คือ ที่ธาตุหลวงนครเวียงจันทน์ ที่หนองคันแท และที่พรหมประกายโลก(คำชะโนด) ธาตุหลวงนครเวียงจันทน์ และหนองคันแท เป็นทางขึ้น-ลงของพญานาคเท่านั้น ส่วนพรหมประกายโลก คือที่พรหมได้กลิ่นไอดิน เมื่อพรหม เทวดา ลงมากินดินจนหมดฤทธิ์ กลายเป็นมนุษย์ แล้วให้สุทโธนาคไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่นั่น ซึ่งมีต้น
    ชะโนดขึ้นเป็นสัญลักษณ์ (ชะโนดมีลักษณะเหมือนต้นมะพร้าว ต้นหมาก และต้นตาล ผสมกัน) และให้ถือเป็นต้นไม้บรรพกาลให้สุทโธนาค มีลักษณะ 31 วัน ข้างขึ้น 15 วัน ให้สุทโธนาคและบริวารกลายร่างเป็นมนุษย์ เรียกว่า "เจ้าพ่อพญาศรีสุทโธ" มีวังนาคินทร์คำชะโนดเป็นถิ่น และอีก 15 วันข้างแรม ให้สุทโธนาคและบริวารกลายร่างเป็นนาค และเรียกชื่อว่า "พญานาคราชศรีสุทโธ" ให้อาศัยอยู่เมืองบาดาล
    ดังนั้นชาวบ้านม่วง บ้านเมืองไพร บ้านวังทอง อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี จึงพบเห็นชาวเมืองชะโนดไปเที่ยวงานบุญประจำปี ทั้งผู้หญิงผู้ชายอยู่หลายครั้ง บางทีจะเห็นผู้หญิงไปยืมฟืม (เครื่องมือทอผ้า) ไปทอผ้าอยู่เป็นประจำ และเมื่อคุยกับชาวบ้านถูกคอกันก็ได้นอนพักที่บ้านชาวบ้าน แต่ขอให้จัดที่นอนให้เป็นใต้ถุนบ้านในพะเนียด (กระเฌอใหญ่) แต่เมื่อชาวบ้านตื่นขึ้นมาดูหญิงสองคนนั้นกลายเป็นงูใหญ่นอนขดอยู่หรือไม่บางครั้งชาวเมืองชะโนด ได้จัดงานบุญประจำปี มีการมาว่าจ้างเอาภาพยนตร์ไปฉายที่เมืองชะโนดก็เคยมี จนหน่วยฉายหนังเร่เมืองอุดรธานี กลัวไปตาม ๆ กัน เรื่องนี้สามารถที่จะสอบถามชาวบ้านในระแวกนั้นได้ถึงเรื่องอัศจรรย์ต่าง ๆ หรือแม้เวลาที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ แต่ที่คำชะโนดกลับยกตัวลอยขึ้นทั้งเกาะ น้ำจะไม่ท่วม เมื่อเวลาน้ำลดก็จะลดลงเหมือนเดิม
     
  7. นักเดินทาง

    นักเดินทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    726
    ค่าพลัง:
    +9,112
  8. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    http://www.greenworld.or.th/1_rspy_newsletter_p3_a.htm


    คนปัจจุบันเชื่อกันว่าเป็นเพียงสัตว์ในตำนาน ในขณะที่คนโบราณเชื่อว่านาคมีอยู่จริง ในพุทธศาสนามีการจำแนกและจัดหมวดหมู่นาคไว้นับพันชนิด นาคถูกใช้เป็นสัญลักษณ์หลายประการ แต่ที่เห็นพ้องต้องกันมากที่สุดคือ ความที่นาคเกี่ยวพันเชื่อมโยงกับน้ำ ในฐานะที่เป็นผู้บันดาลความอุดมสมบูรณ์ให้ทุกชีวิต ศิลปะไทยก็ยังยกให้พญานาคเป็นตัวแทนแห่งน้ำ

    ดูแลแม่น้ำลำธาร
    กล่าวกันว่านาคเป็นผู้รักษาพลังแห่งชีวิต ด้วยเหตุที่มีฤทธิฤทธิ์บันดาลให้ฝนตกหรือไม่ตกได้ แปลงกายเป็นเมฆฝนก็ได้ จึงถือกันว่านาคเป็นจุดเริ่มต้นของแม่น้ำน้ำลำธารทั้งปวง
    คนจีนยังยกย่องมังกรว่าเป็นเทพเจ้าผู้ดูแลสวรรค์ ให้ลมให้ฝน ดูแลแม่น้ำลำธารและทรัพย์สมบัติด้วย

    นาคกับฝน
    เมื่อพญานาคอาศัยอยู่ในทะเลสีทันดร (ทะเลที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ ซึ่งอยู่ห่างไกลพ้นจากโลกนี้) พ่นน้ำในทะเลเล่นกันนั้น น้ำก็ลอยขึ้นไปในอากาศ แล้วถูกลมหอบมาเป็นฝน ข้างคนจีนเชื่อคล้ายกันว่า มังกรเป็นผู้ดูดน้ำจากทะเลแล้วพ่นออกมา ด้วยฤทธิ์ของมังกร น้ำเค็มได้เปลี่ยนเป็นน้ำจืด คือฝนตกลงมายังโลกมนุษย์
    คนไทยวัดความสมบูรณ์ของน้ำฝนแต่ละปีด้วยคำ "นาคให้น้ำ" ปีไหนมีน้ำอุดมสมบูรณ์ดีเรียกว่า "นาคให้น้ำ ๑ ตัว" ปีไหนแห้งแล้งมากแสดงว่า "นาคให้น้ำ ๗ ตัว" น่าประหลาดที่ว่า นาคหลายตัวให้น้ำ กลับมีน้ำน้อย ผู้รู้พยายามหาคำตอบด้วยการสันนิษฐานว่า ยิ่งนาคหลายตัวยิ่งกลืนน้ำไว้ในท้องมาก บางท่านก็เชื่อว่า นาคหลายตัวเกี่ยงกันทำงานมากกว่าตัวเดียว จึงให้น้ำน้อย
    ตามคติอินเดียก็เชื่อว่า นาคผู้เป็นพาหนะของพระพิรุณทำหน้าที่ให้น้ำตามคำสั่ง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ฯ ของไทย ก็ใช้ตรา "พระพิรุณทรงนาค" เป็นสัญลักษณ

    เป็นสายรุ้งเชื่อมโลกและสวรรค์
    อีกตำนานหนึ่งเชื่อว่า สายรุ้งกับนาคเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทำหน้าที่เชื่อมโยงโลกและสวรรค์ ลำตัวของนาคเป็นตัวส่งน้ำสู่สวรรค์ นาคหรือรุ้งจะดูดน้ำจากโลกขึ้นไปข้างบน เมื่อถึงจุดสูงสุดจะปล่อยลงมาเป็นสายฝน

    บันไดนาค
    คติฮินดูถือว่านาคเป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับที่สถิตของเทพ
    การสร้างนาคสะดุ้งที่ราวบันไดโบสถ์ สร้างตามคติความเชื่อเรื่อง "บันไดนาค" ที่เชื่อมระหว่างโลกมนุษย์และสวรรค์ หรือหมายถึงระหว่างภาวะปกติกับภาวะศักดิ์สิทธิ์ ตามตำนานที่พระพุทธเจ้าเสด็จกลับลงจากดาวดึงส์โดยบันไดแก้วที่เทวดานิรมิตขึ้น โดยมีพญานาค ๒ ตนหนุนบันไดนี้ไว้

    ตุง
    ในทำนองเดียวกัน มีผู้เชื่อว่าตุงของชาวล้านนามีการคลี่คลายมาจากรูปนาค อันมีนัยถึงบันไดสู่สวรรค์ ตุงที่สะบัดปลายสู่ท้องฟ้าคือการส่งวิญญาณผู้วายชนม์สู่เบื้องบน

    บั้งไฟอิสาน
    บั้งไฟอิสาน ทำลวดลายเป็นพญานาค เสมือนเป็นตัวกลางที่ชาวบ้านส่งไปบอกพญาแถนบนฟ้าให้ปล่อยฝนลงมา

    อยู่ใต้บาดาล
    ในหนังสือไตรภูมิพระร่วงกล่าวว่า นาคอยู่ในปราสาทลึกลงไปใต้ติน ๑ โยชน์ (๑๖ กิโลเมตร)
    คนไทยเชื่อว่ามีพญานาคอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำใหญ่ เช่น แม่น้ำโขง และกว๊านพะเยา
    ตามตำนานสุวรรณโคมคำกล่าวถึงกำเนิดแม่น้ำโขงว่า พญานาคที่เมืองหนองแส ประเทศจีน เกิดทะเลาะกัน จนมีพวกหนึ่งที่ต้องหลบหนีลงใต้ การอพยพของนาค ทำให้อกไถแผ่นดินเกิดเป็นร่องน้ำใหญ่ คือแม่น้ำโขง
    แม่น้ำโขงเป็นสายน้ำที่มีตำนานกล่าวถึงพญานาคมากที่สุด ฝายนาคหรือแก่งหลี่ผีที่ขวางกั้นลำน้ำโขงทางตอนใต้สุดของประเทศลาวนั้น เชื่อกันว่าเป็นฝายที่นาคทำขึ้นกันลำน้ำ
     
  9. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    :cool: :cool: :cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...