ฝรั่งเพิ่งจะมารู้จักเรื่องการเจริญสติเมื่อเร็วๆ นี้เอง และพากันติดใจยกใหญ่

<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TD vAlign=top align=left>[FONT=Tahoma,]วันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11416 มติชนรายวัน[/FONT]


[FONT=Tahoma,]สู่การเจริญสติถ้วนหน้า (Mindfulness for All)[/FONT]

[FONT=Tahoma,]คอลัมน์ จิตวิวัฒน์[/FONT]

[FONT=Tahoma,]โดย ประเวศ วะสี ��ŹԸ�ʴ���-��ɴ��ǧ��, จิตวิวัฒน์ (jitwiwat) on Twitter แผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)[/FONT]



[FONT=Tahoma,]<TABLE border=0 cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[/FONT]
[FONT=Tahoma,][/FONT]
</TD></TR></TBODY></TABLE>เรื่องที่หนีไม่พ้นคือ มนุษย์จะเจริญสติกันมากขึ้นๆ จนในที่สุดเจริญสติกันถ้วนหน้า นั่นคือเจริญสติกันทั้งประเทศ และเจริญสติกันทั้งโลก เพราะเหตุอย่างน้อย 3 ประการด้วยกันคือ

[FONT=Tahoma,]หนึ่ง มนุษย์สุดทางไป ไม่มีทางออกอย่างอื่น อารยธรรมปัจจุบันได้นำมนุษย์มาสุดทางที่จะไปต่อในทางเดิมได้อีกแล้ว เพราะกำลังเกิดวิกฤตการณ์ขึ้นทุก ๆ ทางอย่างไม่มีทางออก ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตสังคม วิกฤตสิ่งแวดล้อม วิกฤตการเมือง และวิกฤตในตัวมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความเครียด ความขัดแย้ง ความรู้สึกหมดหวัง ทั้งนี้ เพราะเป็นอารยธรรมที่ขับเคลื่อนด้วยอกุศลมูลทั้งสามคือ โลภะ โทสะ โมหะ ที่จะไม่วิกฤตนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ จะเห็นได้ว่าระบบเศรษฐกิจ-การเมือง-การศึกษา ที่เชื่อมโยงกันนั้นตรงกับ โลภะ-โทสะ-โมหะ อย่างพอดี ระบบเศรษฐกิจที่เอาเงินขนาดใหญ่เป็นตัวตั้งนั้นเป็นมหาโลภจริต ส่วนการเมืองเรื่องอำนาจนำไปสู่ความรุนแรงนั้นก็คือโทสะ ยิ่งการเมืองผูกอยู่กับเงินจำนวนใหญ่เท่าใด ความรุนแรงก็ยิ่งมากขึ้น ระบบการศึกษาที่ไม่ก่อให้เกิดปัญญา เพียงมีความรู้ในศาสตร์ต่างๆ ศาสตร์ก็กลายเป็นศาตราใช้ทิ่มแทงกัน ระบบการศึกษาที่ไม่สร้างปัญญาก็ยิ่งไปเพิ่มความรุนแรงของโลภะและโทสะ โมหะ หรือความไม่รู้ หรือความหลงไป เป็นปัจจัยทำให้เกิดโลภะและโทสะ มนุษย์จึงตกอยู่ในความครอบงำของระบบเศรษฐกิจ-การเมือง-การศึกษา อันเป็นตัวแทนของอกุศลมูลทั้งสาม จึงเข้าไปสู่วิกฤตการณ์มากขึ้นเรื่อยๆ อย่างเปลี่ยนแปลงไม่ได้ อย่าไปคิดว่าโอบามาซึ่งชูประเด็น CHANGE จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้มาก เพราะอารยธรรมวัตถุนิยม บริโภคนิยมได้สร้างโครงสร้างไว้ในสมองของผู้คน และโครงสร้างทางสังคมเศรษฐกิจเรียบร้อยแล้ว ไอน์สไตน์จึงกล่าวว่า "เราจะต้องมีวิถีคิดใหม่โดยสิ้นเชิง ถ้ามนุษยชาติจะอยู่รอดได้" แต่มนุษย์ก็เปลี่ยนวิถีคิดไม่ได้ เพราะสมองได้เกิดโครงสร้างที่ทำให้คิดอย่างเดิมๆ ซ้ำรอยเดิมอยู่อย่างนั้น นอกจากเจริญสติ สติทำให้จิตเป็นกลาง เกิดปัญญา และวิถีคิดใหม่ได้ จึงกล่าวว่าเป็นเรื่องหนีไม่พ้นที่มนุษย์จะหันมาเจริญสติ เพราะสุดทางที่จะไปตามทางเดิมแล้ว[/FONT]

[FONT=Tahoma,]สอง มีแรงจูงใจสูงสุดที่จะทำให้เจริญสติ แรงจูงใจที่สูงที่สุดคือความสุข ถ้าทำอะไรแล้วมีความสุข มนุษย์ก็อยากจะทำสิ่งนั้นซ้ำๆ การเจริญสติจะทำให้พบความสุขที่ไม่เคยเจอมาก่อน เป็นความสุขอันประณีตลึกล้ำ มีความเบาสบาย เป็นอิสระ หลุดพ้นจากความบีบคั้นทั้งปวง ทำให้สมองดี เรียนอะไรก็ง่าย สุขภาพดี ไม่ค่อยเจ็บป่วยหรือถ้าเจ็บป่วยก็หายง่าย ภูมิคุ้มกันเพิ่ม อายุยืน ความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ดี เป็นปัจจัยให้อยู่ร่วมกันด้วยความสุข และอาจนิรทุกข์โดยสิ้นเชิงก็ได้ การเจริญสตินำมาซึ่งความสุขราคาถูก (Happiness at low cost) จึงเป็นไปได้สำหรับทุกคน และลดการทำลายสิ่งแวดล้อม[/FONT]

[FONT=Tahoma,]พระพุทธองค์ตรัสเรียกการเจริญสติว่า "ทางอันเอก" (เอกะ มัคโค) พระพุทธองค์ทรงค้นพบทางอันเอกนี้มากว่า 2,500 ปีแล้ว ฝรั่งเพิ่งจะมารู้จักเรื่องการเจริญสติเมื่อเร็วๆ นี้เอง และพากันติดใจยกใหญ่ เพราะเมื่อเจริญสติแล้วอะไรๆ ก็ดีขึ้นหมดดังกล่าวข้างต้น หนังสือที่ขายดีที่สุดในโลกขณะนี้คือตระกูลนี้ ในประเทศไทยก็มีการเจริญสติกันมากกว่าแต่ก่อนมาก เป็นแนวโน้มใหญ่ชัดเจนว่าต่อไปมนุษย์จะพากันเจริญสติถ้วนหน้า[/FONT]

[FONT=Tahoma,]สาม สมองของมนุษย์ ธรรมชาติสร้างมาให้เหมาะแก่การเจริญสติ (The Mindful Brain) เมื่อเจริญสติแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงในสมอง ทั้งเชิงโครงสร้างและในการทำหน้าที่ เมื่อเจริญสติ ส่วนต่างๆ ของสมองและร่างกายบูรณาการกันเข้ามา และเกิดดุลยภาพ ทำให้เกิดสุขภาวะและความสงบระงับ มีการหลั่งสารสุข (เอนดอร์ฟินส์ - Endorphins) ออกมามากขึ้น ทำให้เกิดความสุขแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย มีผลต่อสมองส่วนฮัยโปธาลามัส (Hypothalamus) ซึ่งส่งผลต่อต่อมเอ็นโดครีน (Endocrine) และภูมิคุ้มกันเหล่านี้เป็นต้น[/FONT]

[FONT=Tahoma,]เพราะเหตุอย่างน้อย 3 ประการดังกล่าวมานี้ จึงกล่าวว่า สิ่งที่หนีไม่พ้นคือมนุษย์จะเจริญสติกันถ้วนหน้า ฉะนั้น จึงควรมาช่วยกันดูว่าควรจะทำอะไรกันบ้าง จึงจะเกิดการเจริญสติกันทั้งประเทศ ซึ่งขอเสนอดังต่อไปนี้[/FONT]

[FONT=Tahoma,](1) แต่ละคน แต่ละครอบครัวที่รู้พากันขวนขวายศึกษาและปฏิบัติในการเจริญสติ บางคนอาจทำได้เอง บางคนอาจต้องการครูบาอาจารย์[/FONT]

[FONT=Tahoma,](2) บุคคลหรือกลุ่มบุคคล ที่เจริญสติเป็นแล้วและได้รับผลดีจากการเจริญสติ พยายามแนะนำและช่วยเหลือคนอื่นให้เจริญสติเป็น[/FONT]

[FONT=Tahoma,](3) สื่อมวลชน นำเรื่องการเจริญสติและผลการเจริญสติมาเผยแพร่ เชิญอาจารย์ที่สอนเก่งมาสอนทางวิทยุและโทรทัศน์เป็นประจำ[/FONT]

[FONT=Tahoma,](4) องค์กรต่างๆ ทั้งของรัฐและเอกชนส่งเสริมและสนับสนุนให้คนในองค์กรฝึกเจริญสติ องค์กรจะได้ผลงานสร้างสรรค์มากขึ้นด้วย[/FONT]

[FONT=Tahoma,](5) วัดเจริญสติ ประเทศไทยมีวัดอยู่ประมาณ 3 หมื่นแห่ง ชุมชนควรจะร่วมกับวัด ทำวัดให้ร่มรื่น สะอาด สงบ และมีอาจารย์สอนการเจริญสติ[/FONT]

[FONT=Tahoma,](6) ทุกชุมชนและท้องถิ่น พยายามให้ในพื้นที่ของตนมีผู้รู้ในการเจริญสติ คอยแนะนำฝึกสอนให้คนในชุมชนและท้องถิ่นเจริญสติกันมากๆ [/FONT]

[FONT=Tahoma,](7) โรงพยาบาลทุกแห่ง ควรมี "คลีนิคเจริญสติ" มีแพทย์พยาบาลที่เจริญสติเป็นผู้คอยแนะนำอบรมคนไข้และญาติให้เจริญสติเป็น โรงพยาบาลต้องแสวงหาเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ในการวินิจฉัยและรักษาโรคอยู่แล้ว เทคโนโลยีเหล่านี้มักราคาแพง การเจริญสติก็เป็นเทคโนโลยีอย่างหนึ่ง ที่ได้ผลมากแต่ราคาถูก สปสช. (สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) ควรสนับสนุนให้โรงพยาบาลทุกแห่งนำเทคโนโลยีการเจริญสติมาใช้ เพราะจะทำให้ค่าใช้จ่ายเรื่องสุขภาพลดลง ในขณะที่คุณภาพชีวิตทั้งของผู้รับและผู้ให้บริการสูงขึ้น[/FONT]

[FONT=Tahoma,](8) ระบบการศึกษาทั้งหมด ควรนำการเจริญสติเข้ามาเป็นเครื่องมือการเรียนรู้ ควรสร้างครูอาจารย์ที่เจริญสติเป็นให้มากที่สุด ขณะนี้บางมหาวิทยาลัยได้จัดให้มีหลักสูตร "จิตตปัญญาศึกษา" (Contemplative Education) ซึ่งมีรูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลายน่าสนใจ แต่หัวใจของการเรียนรู้แบบจิตตปัญญาศึกษาก็คือการดูจิตของตัวเองจนเกิดปัญญา ซึ่งก็คือการเจริญสตินั่นเอง มหาวิทยาลัยที่ทดลองหลักสูตร "จิตตปัญญาศึกษา" จนเกิดความชำนาญแล้วในระดับหนึ่ง ควรจะคิดถึงการขยายผลสู่การเจริญสติถ้วนหน้า ตามนัยที่กล่าวมาทั้ง 8 ข้อ หรือจะมีวิธีอื่นในนอกเหนือไปจากนั้นอีกได้ก็ยิ่งดี[/FONT]

[FONT=Tahoma,](9) คณะรัฐมนตรีเจริญสติ เรื่องนี้ผู้คนอาจจะหัวเราะขบขันเห็นว่าเป็นไปได้ยาก แต่ถ้าเป็นไปได้ก็จะเกิดความดีงามตามมาอีกมาก กิจกรรม (1)-(8) ที่กล่าวข้างต้น จะผลักดันให้ ครม.เจริญสติ ครม.เจริญสติจะผลักดันให้เกิด (1)-(8)[/FONT]

[FONT=Tahoma,]เรื่องการเจริญสติแล้วเกิดผลดีเป็นอเนกประการนั้นไม่มีปัญหาอะไร เพราะพิสูจน์กันมามากต่อมากด้วยการปฏิบัติ และด้วยการวิจัย คำถามมีว่าทำอย่างไรสิ่งที่เรารู้ว่าดีจะเกิดกับคนทั้งประเทศ นี่เป็นคำถามเชิงนโยบาย ประเทศไทยควรมีนโยบายเจริญสติถ้วนหน้า (Mindfulness For All = MFA) และคนทั้งมวลร่วมกันขับเคลื่อนการเจริญสติ (All For Mindfulness = AFM) [/FONT]

[FONT=Tahoma,]วิกฤตการณ์ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของวิกฤตอารยธรรม ขออย่าได้ท้อถอยหรือหมดหวัง ทุกฝ่ายต้องช่วยกันป้องกันความรุนแรง เพื่อให้เวลาประเทศไทยปรับตัวไปสู่วิถีการพัฒนาใหม่ อันเป็นวิถีแห่งบูรณาการและดุลยภาพ การเจริญสติจะช่วยให้เข้าถึงวิถีแห่งบูรณาการและดุลยภาพ อันจะยังให้เกิดศานติสุขอย่างแท้จริง [/FONT]

[FONT=Tahoma,]หน้า 9[/FONT]

</TD></TR></TBODY></TABLE>
˹ѧ��;������Ԫ�����ѹ : ˹ѧ��;�����س�Ҿ ����ͤس�Ҿ�ͧ������


pig_cryy2 คนไทยทำอะไรกันอยู่ ...?

 

ประเทศไทยก็น่าจะทำที่ให้นั่งบ้างอ่ะครับ ขนาดผมอยู่ในกรุงเทพอยากไปนั่งที่สงบๆที่แบบเปลี่ยนบรรยากาศนอกจากนั่งที่หอที่บ้านบ้างก็ไม่รู้ว่าจะไปนั่งแถวไหน

 

[music]http://audio.palungjit.org/attachment.php?attachmentid=22684[/music]

 

คุณเอกวร์ีครับ ผมอยากคุยด้วยครับ ผมจะคุณกับคุณเอกวร์ ทางไหนได้บ้างครับ ขอ mail หน่อยครับ

 

ฝรั่งเค้าจะไปเร็วนะ เพราะมีความตั้งใจจริง เห็นได้จากศาสตร์ต่างๆ

 

คนไทยก็นะ...

หึหึ~..

 

ควรส่งเสริม สร้างสถานที่นั่งปฏิบัติธรรม ศูนย์ปฏิบัติธรรมให้มากขึ้น
ในทุกวันนี้มีสถานที่ปฏิบัติใกล้บ้าน ในเมืองน้อยมาก เมื่อเทียบกับศาสนาอื่น (ที่จัดห้องไว้เฉพาะที่สนามบินก็มีที่หมอชิตก็มี)

ชาวพุทธส่วนใหญ่เน้นการทำวัตถุทาน ซึ่งเป็นบทเบื้องต้นเท่านั้น
การทำทานให้ส่งผลถึงนิพพานนั้นมีโอกาสยากกว่าการเจริญสติปัฏฐาน มีแนวโน้มจะติดอยู่ในภพภูมิสวรรค์เป็นส่วนใหญ่
ชั้นพรหมยังไปไม่ถึงเพราะกำลังส่งด้านฌาณที่มาจากการเจริญสมาธิไม่มี

ควรเข้ามาปฏิบัติกันให้มากขึ้น

 

pig_cryy2 ....บ๊ะ ให้มันได้อย่างนี้ซิ ไม่เชยแน่นอน