ผู้ที่จะดับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย รสมน, 26 ตุลาคม 2009.

แท็ก: แก้ไข
  1. รสมน

    รสมน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,451
    ค่าพลัง:
    +2,047
    ผู้ที่จะดับความกำหนัด คือ ความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ได้

    หมดสิ้นต้องถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นพระอนาคามี แต่สำหรับผู้ที่เป็นปุถุชนนั้น

    การจะเห็นโทษของกามได้เป็นสิ่งที่กระทำได้ยาก หากไม่ใช่ด้วยปัญญาที่เห็นโทษของ

    โลภะในชีวิตประจำวัน ก็ไม่สามารถจะไประงับ บังคับ ควบคุม ไม่ให้โลภะเกิดได้เลย

    ทุกคนมีจิตเห็น แล้ววันหนึ่งๆ ก็เห็นในสิ่งต่างๆ กัน ไม่เหมือนกัน บางคนเห็นสิ่งที่น่า

    ใคร่ บางคนเห็นสิ่งที่ไม่น่าใคร่ ไม่มีใครบังคับไม่ให้เห็นได้ เพราะมีปัจจัยให้ต้องเห็น

    ด้วยผลของกรรม แต่หลังเห็น มักจะเป็นอกุศล ก็เป็นสิ่งที่ควรจะเข้าใจในความเป็น

    จริงของการสะสมว่า ในแสนโกฏิกัปป์ที่ผ่านมา หลังเห็น เป็นอกุศลมากต่อเนื่องกัน

    หลายวาระ เพราะอะไร ? ถ้าไม่ใช่เพราะยังมีอนุสัยกิเลส ที่เป็นเชื้อให้อกุศลเกิดแล้ว

    เกิดอีก แล้วก็สะสมใหม่เรื่อยๆ สังสารวัฏฏ์จึงได้ยืดยาว...เพราะเหตุฉะนี้

    เห็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่ clip VDO สติเกิดขึ้นไหม ปัญญารู้ไหมว่าจิตเป็นอะไร กุศล

    หรืออกุศล ปัญญารู้ถึงความไม่สงบของจิต หรือปัญญารู้ว่าก็เป็นสภาพธรรมหนึ่งเท่า

    นั้น หรือว่าเป็นเราที่พอใจในรูปที่น่าใคร่ซึ่งเพียงปรากฏทางตาแล้วก็ดับไป หรือว่าเป็น

    เราที่เดือดร้อน กระสับกระส่าย ไม่สบายใจ หลังจากการเห็นนั้นเกิดและดับไปแล้ว

    หลายวาระ

    พระโสดาบันก็ยังมีกิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ แต่ท่านไม่เดือดร้อนใจว่ายังมี

    ท่านหรือเป็นท่านแพ้ - ชนะกิเลสของท่าน แต่ปัญญาที่เกิดกับจิตของพระโสดาบันนั้น

    เอง เข้าใจกิเลสตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่ท่าน และไม่ใช่ของท่าน ที่ต้องเกิดเพราะ

    ยังมีอนุสัยอยู่ ซึ่งจะต้องเป็นกิจของโลกุตตรปัญญา ที่จะต้องดับจนเป็นสมุจเฉท ตาม

    ขั้นของโลกุตตรมรรคที่ได้บรรลุ เพราะฉะนั้น ขอให้ฟังพระธรรมและเจริญปัญญา

    ต่อไปให้ค่อยๆ มั่นคงในธรรมะ

    ผู้ที่จะละโลภะ (ความอยาก) ได้เป็นสมุจเฉท ผู้นั้นต้องเป็นพระอรหันต์

    การจะเป็นพระอรหันต์ได้ ต้องอบรมเจริญปัญญา ปัญญาเท่านั้นที่จะละโลภะได้

    ถ้าเพียงความอยากละ หรือรู้จักพอ ไม่สามารถละกิเลสได้ มีหนทางเดียว คือ ต้อง

    อบรมเจริญปัญญา จนอรหัตตมรรคญาณเกิดขึ้น จึงละโลภะได้

    ต้องการละ "ความอยาก" และมีความรู้จัก "พอ" ก็คือ ต้องการหมดกิเลส นั่นเอง

    ซึ่งเป็นคุณธรรมของพระอรหันต์ พระอริยบุคคล (ผู้ละกิเลสได้เป็นลำดับ อย่างเป็น

    สมุทเฉท) มี ๔ ขั้น คือ พระโสดาบันพระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ซึ่งดับ

    อนุสัยกิเลสได้ทั้งหมด (๗ชนิด) ขั้นแรก คือพระโสดาบัน ซึ่งละได้ ๓ ชนิด คือ

    สักกายทิฏฐิ(ความเห็นผิดว่ามีตัวตน) วิจิกิจฉาและสีลัพพตปรามาส ดังนั้นเราคือ

    ปุถุชน (ผู้มีกิเลสหนา) จะบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลขั้นแรกได้ ต้องละกิเลส ๓

    ประการดังกล่าวได้ก่อนที่สำคัญอันดับแรก คือ การเข้าใจถูกว่า ไม่มีเรา ซึ่งจะมีได้

    ต้องอาศัย "การฟัง"จึงยังไม่ต้องไปห่วงไปกังวลถึง "ความอยาก" ที่เกิดขึ้น ตราบใดที่

    ยังมีความเห็นผิดเข้าใจผิดว่า มีตัวตน มีสัตว์บุคคล มีเรามีเขาอยู่ ก็ย่อมมีเหตุปัจจัยให้

    ความอยาก เกิดขึ้นได้อยู่ แม้พระโสดาบันก็ยังละไม่ได้แต่เบาบางลงจนไม่เกิดการทำ

    ให้เกิดอกุศลกรรมที่นำไปสู่อบายภูมิ ( นรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัถฉาน) จึงควรศึกษา

    ธรรมะให้เข้าใจก่อนว่า ทุกอย่างเป็นเพียงสภาพธรรมแม้ ความอยากที่เกิดขึ้นก็เพราะ

    เหตุปัจจัย และความอยากนั้นก็ไม่ใช่เราที่อยากนั่นเองและความพอก็เป็นสภาพธรรม

    ไม่ใช่ เราที่พอ เช่นกัน
    กิเลสมี ๓ ขั้น คือ อนุสัยกิเลส ปริยุฏฐานกิเลส วีติกกมกิเลส
    วีติกกมกิเลส เป็นกิเลสอย่างหยาบ ทำให้ล่วงเป็นทุจริตกรรมทางกาย

    วาจาวิรัติ คือ ละเว้นวีติกกมกิเลสได้ด้วยศีล
    ปริยุฏฐานกิเลส เป็นกิเลสอย่างกลางที่เกิดร่วมกับอกุศลจิต แต่ไม่ถึงขั้น

    ล่วงเป็นทุจริตกรรม ระงับปริยุฏฐานกิเลสได้ชั่วคราว เป็นวิกขัมภณปหานด้วยฌาน

    กุศลจิต
    อนุสัยกิเลส เป็นกิเลสอย่างละเอียด เมื่อยังไม่ได้ดับกิเลส อนุสัยกิเลส

    ก็นอนเนื่องอยู่ในจิตที่เกิดดับสืบต่อกัน เป็นเชื้อเป็นปัจจัยให้เกิดปริยุฏฐานกิเลส กิเลส

    ทั้งหลายจะดับหมดสิ้นเป็นสมุจเฉทปหาน ไม่เกิดอีกเลยเมื่อโลกุตตรมัคคจิตรู้แจ้ง

    อริยสัจจธรรมโดยประจักษ์แจ้งสภาพของพระนิพพานตาม ลำดับขั้นของมัคคจิตซี่ง

    ปหานกิเลสเป็นสมุจเฉท ตามลำดับขั้นของมัคคจิตนั้น ๆ

    ตามหลักคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงไว้ว่าข้าศึกโดยตรงของกามราคะ ก็คือการพิจารณาอสุภะกรรมฐาน หรือกายคตาสติ การพิจารณา
    ร่างกาย (อาการ๓๒) โดยความเป็นปฏิกูล คือไม่งาม ถ้าพิจารณาให้เห็นตาม
    ความจริงแล้วจะไม่พบความสวยงาม หรือสิ่งที่น่ายินดีในร่างกายนี้เลย ตั้งแต่หัว
    จรดเท้าเต็มไปด้วยของไม่สะอาด เช่น เส้นผม ทั้งกลิ่นทั้งสีของเส้นผมก็ไม่งาม
    มีกลิ่นเหม็น เจ้าของต้องสระต้องบำรุงต่างๆ นาๆ สังเกตเวลาเราเห็นตามร้าน
    ตัดผมหรือที่หลุดมาจากหัวคนแล้ว ทุกคนจะรังเกียจ เวลากินอาหารถ้ารู้สึกว่ามี
    เส้นผมอยู่ที่อาหาร เราก็จะต้องนำออกไปด้วยความรังเกียจ ถ้าเอาไปเผาไฟยิ่งมี
    กลิ่นเหม็น และสิ่งที่หล่อเลี้ยงเส้นผมอยู่ คือน้ำเลือดน้ำหนอง นี่ยกตัวอย่างแค่
    เส้นผมเพียงอย่างเดียว อาการอื่นๆ ของร่างกายก็ไม่งามเหมือนกัน และร่างกาย
    นี้มีช่องเก้าช่อง เป็นที่ไหลเข้าไหลออกแห่งของไม่สะอาดเนืองนิจ คือ ที่ตาทั้ง
    สองข้างก็มีแต่ของสกปรก ที่หูก็เช่นกัน ช่องปากยิ่งเหม็นมาก ทวารเบาทวาร
    หนักก็มีแต่ของที่ไม่สะอาดไหลออกอยู่เนืองๆ ซึ่งในรายละเอียดจะศึกษาได้จาก
    พระไตรปิฎก

    การพิจารณาโดยความเป็นของปฏิกูล ย่อมข่มกามราคะได้เพียงชั่วคราวเท่า
    นั้น เมื่อไม่พิจารณา กามราคะย่อมเกิดขึ้นอีกได้ แต่การอบรมเจริญสติปัฏฐาน
    จนบรรลุความเป็นพระอนาคามีบุคคล สามารถดับกามราคะได้เป็นสมุทเฉท คือ
    ไม่เกิดอีกเลย เพราะฉะนั้น ควรอบรมสติปัฏฐาน เพื่อการดับกิเลสทั้งหมดไม่
    เพียงแต่กามราคะเท่านั้น


    เอาบุญมาฝากได้ไปไหว้หลวงพ่อโสธร ได้ถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน
    กำหนดอิริยาบทย่อย สวดมนต์ นั่งสมาธิ ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย
    <!-- / message -->
     
  2. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ความเกิดดับของ รูป เสียง กลิ่น รส โผทัพผะ เป็นสิ่งไม่เที่ยง ชั่ววูปเดียวแท้ๆ
    แต่เราก้หลงติดกับมัเพราะไม่รู้ในความจริง ไปหลงอยู่กับ เพียงชั่ววูบชั่วยามนั้น
    แม้จะเอาที่ตนพอใจได้เพียง นิดเดียวหน่อยเดียวก้จะเอา เปนราคะ เป็นบ่วงไห้ไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ เสียงเพลงแม้จะไพเราะเสนาะหูเมื่อบรรเลงจบ ความสุขนั้นก้จบลงเช่นกัน
    กายงามแม้จะน่าพิศมัยก้เพียงแต่ช่วงหนึ่งเท่านั้น พ้นไปแล้วก้หาที่ชอบที่พอใจไม่ได้
    เพียงเพื่อต้องการความสุขชั่ววูบชั่วยามนี้ทำไห้ติดอยู่ในบ่วงของราคะ จะเอาแต่ชอบใจ อะไรที่พบที่ประสบแล้วไม่พอใจก้ขุ่นเคือง ทั้งๆที่สิ่งเหล่านี้เป็นดี่งลายลมที่ผัดผ่านมาและจากไป แม้จะพัดอยู่เรื่อยๆแต่ก้จับต้องและยึดเอาไว้ไม่ได้
    ตื่นลืมตาดูความเป็นจริงที่ว่าสุขเหล่านี้ มีเพียงชั่ววูบจริงๆอย่าได้ พอใจยินดีไปใน ราคะ นั้น

    อนุโมทนาครับ
     
  3. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    หมายความว่าสิ่งที่เกิดเพราะความอยากนั้น ดับแล้วก็เกิดอีก หมายถึง เราอยากให้มันดับ หรือเราอยากดับกิเลสนั้น เมื่อเป็นความอยากมันก็จะเกิดอีกไปเรื่อยๆใช่ป่าวครับ แต่ถ้าอยากดับกิเลสโดยไม่อยากดับกิเลสแล้วจะทำยังไงครับ ไม่งงครับ อนุโมทนาครับ
     
  4. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    กามราคะ มันตัดยากมากจริงๆ . . .ถึงจะรุ้ว่ารูปที่เห็นไม่จริงและ ความรู้สึกที่เกิดจากรูปก็ไม่จริง

    แต่ก็ไม่ไช่ตัดได้ง่ายๆนะ . . .

    รูปเสียงกลิ่นรส สัมผัสใดๆในหล้า ไม่มีใดมา มัดใจบุรุษได้เท่าสตรี . .
     

แชร์หน้านี้

Loading...