ผีและเทวดามีจริง จากหลักฐานในพระไตรปิฎก

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 22 กุมภาพันธ์ 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]

    <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    ความเชื่อเรื่องผีเรื่องเทวดานี้ เป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจกันทั่วไปทุกมุมโลก<O:p></O:p>
    แม้ในประเทศที่เจริญแล้ว เช่น สหรัฐ อังกฤษ และฝรั่งเศส เป็นต้น<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ข้อความต่อไปนี้ ได้คัดย่อมาจาก หนังสือ “ผีและเทวดามีจริง รวบรวมจาก<O:p></O:p>
    หลักฐานในพระไตรปิฎก และข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้” โดย อาจารย์ พร<O:p></O:p>
    รัตนสุวรรณ <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ................<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ต่อมา เมื่อได้อ่านหนังสือพระไตรปิฎกมากขึ้น และได้ฝึกฝนตนเองในทาง<O:p></O:p>
    สมาธิและวิปัสสนา เป็นเวลานานขึ้น ความเข้าใจที่ว่าผีและเทวดาไม่มีได้<O:p></O:p>
    เปลี่ยนไป กลับมาเห็นว่า มี และเห็นได้อย่างชัดเจนอีกหลายอย่างว่า<O:p></O:p>
    เรื่องนี้ถ้าเชื่อกันให้ถูกทางแล้ว มีประโยชน์มาก เรื่องนิยายหรือคำบอกเล่า <O:p></O:p>
    ที่เกี่ยวกับเรื่องผีสางเทวดา จะต้องตัดออกไปก่อน ในเมื่อเรื่องที่เล่ากันมา <O:p></O:p>
    นั้นไม่ถูกต้องตามหลักวิชา ...<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    (หลักวิชาที่ถูกต้อง คือ ควรศึกษาจากพระไตรปิฎกก่อน) <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    (เมื่อพิสูจน์ได้แค่ไหน จงเชื่อเพียงแค่นั้น) <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p>[​IMG]</O:p>
    <O:p></O:p>
    พระสูตรที่แสดงว่า ผีและเทวดามี<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    “ดูกรคหบดีทั้งหลาย มีอยู่สมณพราหมณ์บางพวกมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิ<O:p></O:p>
    อย่างนี้ว่า <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    1. นตฺถิ ทินฺนํ การให้ทานไม่มีผล<O:p></O:p>
    2. นตฺถิ ยิฏฐํ การบูชาไม่มีผล<O:p></O:p>
    3. นตฺถิ หุตํ การเคารพบูชาไม่มีผล<O:p></O:p>
    4. นตฺถิ สุกฏทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก <O:p></O:p>
    ผลและวิบากของกรรมดีและกรรมชั่วไม่มี<O:p></O:p>
    5. นตฺถิ อยํ โลโก โลกนี้ไม่มี (คือเห็นว่า สัตว์ในโลกอื่นมาเกิดในโลกนี้<O:p></O:p>
    ไม่ได้ เพราะตายแล้วสูญ)<O:p></O:p>
    6. นตฺถิ ปโร โลโก โลกอื่นไม่มี (คือเห็นว่า สัตว์ในโลกนี้ไปเกิดในโลกอื่น<O:p></O:p>
    ไม่ได้ เพราะตายแล้วสูญ)
    7. นตฺถิ มาตา คุณของมารดาไม่มี<O:p></O:p>
    8. นตฺถิ ปิตา คุณของบิดาไม่มี<O:p></O:p>
    9. นตฺถิ โอปปาติกา พวกโอปปาติกะไม่มี <O:p></O:p>
    (คือเห็นว่าพวกผีและเทวดาไม่มี)
    10. นตฺถิ สมณพฺราหมณา สมฺมคฺคตา สมฺมา ปฏิปนฺนา เย อิมญฺจ โลกํ<O:p></O:p>
    สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺติ สมณพราหนณ์ <O:p></O:p>
    ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้บรรลุธรรมอันชอบ (คือ <O:p></O:p>
    บรรลุอภิญญา มรรคผล และนิพพาน)<O:p></O:p>
    กระทำให้แจ้งด้วยตนเอง ซึ่งโลกนี้และโลกอื่นด้วย<O:p></O:p>
    อภิญญา แล้วสอนผู้อื่นรู้ได้ด้วย ไม่มี (คือเห็นว่า<O:p></O:p>
    ผู้หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ไม่มี หรือผู้ที่สำเร็จอภิญญา<O:p></O:p>
    สามารถที่จะรู้เรื่องนรกสวรรค์ และสามารถที่จะมีหูทิพย์<O:p></O:p>
    ตาทิพย์ เห็นเจรจาติดต่อกับโอปปาติกะได้ และมีอิทธิ<O:p></O:p>
    ปาฏิหาริย์อื่น ๆ ไม่มี เพราะผิดวิสัยธรรมชาติ)<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ดูกรท่านคหบดีทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีวาทะอย่างนี้ มีความเห็น<O:p></O:p>
    อย่างนี้ สมณพราหมณ์เหล่านั้นเป็นอันหวังได้ว่า จะต้องเบื่อหน่ายในกุศลธรรม<O:p></O:p>
    3 คือ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต และจะยึดถือปฏิบัติอยู่แต่ในอกุศลธรรม3<O:p></O:p>
    คือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุใร ก็เพราะสมณพราหมณ์<O:p></O:p>
    ผู้เจริญเหล่านั้น ไม่เห็นโทษ ไม่เห็นความต่ำทราม ไม่เห็นความเศร้าหมองของ<O:p></O:p>
    อกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่เห็นคุณค่าแห่งความบริสุทธิ์ ของกุศลธรรมทั้งหลาย<O:p></O:p>
    ก็ปรโลกมีอยู่แท้ ๆ เขากลับมีความเห็นว่าปรโลกไม่มี ฉะนั้น ความเห็นของเขา<O:p></O:p>
    จึงจัดเป็นมิจฉาทิฏฐิ ความคิดของเขาก็จัดเป็นมิจฉาสังกัปปะ ก็ปรโลกมีอยู่แท้ ๆ<O:p></O:p>
    แต่เขากลับพูดว่าปรโลกไม่มี ฉะนั้น คำพูดของจึงเป็นมิจฉาวาจา<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    อนึ่ง พระอรหันต์ทั้งหลาย ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า ปรโลกมีอยู่ ฉะนั้น ผู้ที่ถือว่า ปรโลก<O:p></O:p>
    ไม่มี จึงได้ชื่อว่า เป็นปฏิปักษ์ต่อพระอรหันต์ทั้งหลายอีกด้วย ในเมื่อตนเองถือ<O:p></O:p>
    เช่นนั้น และสอนให้คนอี่นเชื่อตาม จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ประกาศอสัทธรรม และด้วย<O:p></O:p>
    อสัทธรรม ที่ตนเองประกาศออกมาเช่นนั้น ย่อมจะเป็นเหตุให้ยกตนข่มคนอื่นอีกด้วย<O:p></O:p>
    (อสัทธรรม ไม่คงทนต่อการพิสูจน์ และผู้ประกาศอสัทธรรมใจย่อมไม่สูง ฉะนั้น<O:p></O:p>
    เมี่อถูกคัดค้าน ก็มักจะใช้วิธีข่มผู้อื่น เพื่อเอาชนะ และย่อมละศีลได้ง่าย ประพฤติ<O:p></O:p>
    อยู่แต่ในทางทุศีล ดูกรคหบดีทั้งหลาย เพราะอาศัยมิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัย ย่อมก่อ<O:p></O:p>
    ให้เกิดอกุศลธรรมไม่น้อยทีเดียว<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    อนึ่ง ในเรื่องปรโลกนี้ ท่านคหบดีทั้งหลาย สำหรับคนที่ฉลาดทั้งหลายเขาย่อมคิด<O:p></O:p>
    ว่า ถ้าหากปรโลกไม่มี คนที่ทำบาปไว้ก็นับว่าปลอดภัยไป แต่ถ้าหากปรโลกมีจริง<O:p></O:p>
    คนที่ทำบาปไว้ตายไปแล้วก็จะเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก หรือถึงแม้จะไม่พูด<O:p></O:p>
    ถึงเรื่องปรโลก แต่คนที่มีความเห็นผิดและเป็นผู้ทุศีล ก็ย่อมจะถูกวิญญูชนติเตียน<O:p></O:p>
    ในโลกนี้เอง เพราะฉะนั้นคนที่มีความเห็นผิดจึงต้องประสบผลร้ายถึง 2 ทาง คือ<O:p></O:p>
    ถูกติเตียนในโลกนี้ เมื่อตายไปแล้ว ก็จะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต และนรก<O:p></O:p>
    อีกด้วย “<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    อปัณณกสูตร ม.ม. 13/101-102<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    จากข้อความในอปัณณกสูตรที่อ้างมานี้ ท่านจะเห็นว่า ผีและเทวดาเป็นชีวิตอีก<O:p></O:p>
    ประเภทหนึ่ง ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า โอปปาติกะ เพื่อที่จะให้เข้าใจเรื่อง<O:p></O:p>
    นี้แจ่มแจ้งยิ่งขึ้น ข้าพเจ้าขออ้างพระสูตรเกี่ยวกับโอปปาติกะมาให้ท่านได้ศึกษา<O:p></O:p>
    อีก<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    อ้างอิง : หนังสือ “ผีและเทวดามีจริง รวบรวมจากหลักฐานในพระไตรปิฎก <O:p></O:p>
    และข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้” โดย อาจารย์ พร รัตนสุวรรณ พิมพ์ที่ระลึก<O:p></O:p>
    ในงานพระราชทานเพลิงศพ คุณหญิงวิเศษโภชนา ณ วัดโสมนัสวิหาร <O:p></O:p>
    เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2509



    Welcome to Surasak 's Blog, Thailand,
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]
    <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p> </O:p>
    พระสูตรที่แสดงว่า ผีและเทวดาเป็นชีวิตอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งมีอยู่จริง ๆ<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ● กำเนิดชีวิต<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]





    เครื่องมือสำหรับพิสูจน์เรื่องโอปปาติกะ




    สภาพของชีวิตโอปปาติกะมีอยู่อย่างไร และเกิดมาได้อย่างไร ก็ได้กล่าวมาแล้ว

    พร้อมทั้งอ้างหลักฐานจากคัมภีร์ ซึ่งผู้ที่เชื่อถือคัมภีร์ ก็ย่อมจะเชื่อว่าโอปปาติกะ

    นั้นมีจริง แต่การเชื่อแบบนั้นเป็นการเชื่อตามตำรา




    ส่วนผู้ที่ต้องการจะเชื่อด้วยข้อเท็จจริงนั้น เท่าที่อ้างมาไม่พอที่จะทำให้เชื่อถือได้

    และก็อาจจะเกิดปัญหาอีกว่า




    ผู้ที่เชื่อเรื่องนี้ได้สนิทนั้น เขามีข้อพิสูจน์อย่างไร เห็นข้อเท็จจริงอะไร จึงได้ลง

    ความเห็นว่า ผีสางเทวดามีจริง ? และทางพระพุทธศาสนาได้มีการพิสูจน์อย่างไร




    ก่อนอื่น ขอให้ย้อนไปถึงข้อความในอปัณณกสูตร ที่ว่า




    “ผู้ใดมีวาทะหรือความเห็นดังต่อไปนี้แล้วเป็นมิจฉาทิฏฐิ กล่าวคือ เห็นว่า

    สมณพราหมณ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ได้บรรลุธรรมอันชอบ (คือ บรรลุอภิญญา

    มรรคผล และนิพพาน) กระทำให้แจ้งด้วยตนเอง ซึ่งโลกนี้และโลกอื่นด้วยอภิญญา แล้วสอนให้คนอื่นรู้ด้วย ไม่มี



    (คือเห็นว่า ผู้หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ไม่มี หรือผู้ที่สำเร็จอภิญญาสามารถ
    ที่จะรู้เรื่องนรกสวรรค์ และสามารถที่จะมีหูทิพย์ตาทิพย์ เห็นเจรจาติดต่อกับโอปปาติกะ และมีอิทธิปาฏิหาริย์อื่น ๆ อีกไม่มี เพราะผิดวิสัยธรรมชาติ)






    [​IMG]






    อภิญญา แปลว่า ความรู้ชั้นสูง มีอยู่ 6 อย่าง คือ




    1. อิทธิวิธิ การแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ต่าง ๆ

    2. ทิพพโสต หูทิพย์ ซึ่งสามารถที่จะฟังเสียงที่เบาหรือเสียงที่ไกลเกินกว่า

    หูธรรมดาได้ ฟังเสียงของพวกโอปปาติกะได้

    3. เจโตปริยญาณ ญาณที่ทำให้อ่านใจผู้อื่นได้

    4. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้

    5. จุตูปปาตญาณ ญาณที่ทำให้เกิดตาทิพย์ ซึ่งสามารถที่จะเห็นสิ่งที่เล็ก

    หรือสิ่งที่อยู่ไกลสิ่งที่ปิดบังได้ ซึ่งตาธรรมดามองไม่เห็น

    และสามารถเห็นพวกโอปปาติกะได้ เจรจาติดต่อกันได้

    และสามารถรู้เรื่องกรรม เรื่องจุติปฏิสนธิได้เป็นอย่างดี

    6. อาสวักขยญาณ ญาณที่ทำให้อาสวะกิเลสหมดสิ้นจากสันดาน




    (หมายเหตุ : ข้อ 5 ตามพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของ

    พระธรรมปิฎก ( ป.อ. ปยุตฺโต) ใช้คำว่า ทิพพจักขุ ตาทิพย์ ซึ่งมีความหมาย

    ใกล้เคียงกัน - ผู้เขียน)



    ผู้ที่ได้บรรลุอภิญญาเหล่านี้ จะรู้เรื่องโลกนี้และโลกอื่น เช่น โลกของโอปปาติกะได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นการรู้แจ้งด้วย ตาทิพย์ หูทิพย์ ด้วย
    เจโตปริยญาณและด้วยญาณอื่น ๆ อีก เครื่องมือเหล่านี้แหละที่ช่วยทำให้มี

    ความรู้ในเรื่องเหล่านี้ได้อย่างแจ่มแจ้ง รู้โดยมีประสบการณ์




    อนึ่ง พึงเข้าใจไว้ด้วยว่า ผู้ที่ได้อภิญญาเหล่านี้ ไม่ใช่มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น

    ในสมัยพุทธกาล ผู้ได้บรรลุอภิญญาทั้ง 6 มีจำนวนมากมาย และโดยเฉพาะ

    อภิญญา ข้อที่ 1 ถึง 5 เป็นอภิญญาชั้นโลกิยะ



    คนธรรมดาซึ่งยังละกิเลสไม่ได้ ไม่ได้เป็นอริยบุคคล แต่ได้ฌานชั้นสูง ก็สามารถบรรลุได้ ดังเช่น พวกฤาษี หรือโยคี ซึ่งไม่ใช่นักบวชในพระพุทธศาสนา แต่ได้อภิญญาชั้นโลกิยะก็มีจำนวนไม่น้อย แม้แต่ในปัจจุบันนี้ก็ยัง

    พอหาได้ในอินเดีย



    อนึ่ง พึงเข้าใจไว้อีกอย่างหนึ่งว่า หลักวิชาเกี่ยวกับเรื่องอภิญญานั้น แม้แต่จะศึกษาแต่เพียงในทางทฤษฎีอย่างเดียวก็ต้องใช้เวลามากกว่าจะเข้าใจ ส่วน
    การที่จะให้เห็นแจ้งด้วยตนเองจริง ๆ ต้องอาศัยการปฏิบัติ ซึ่งต้องใช้เวลา
    นานนับเป็นปี และบุคคลที่จะปฏิบัติ ซึ่งต้องใช้เวลานานนับเป็นปี และบุคคล
    ที่จะปฏิบัติได้นอกจากจะต้องอาศัยสิ่งแวดล้อมอย่างดีแล้ว ยังจะต้องอาศัย
    พื้นคุณธรรมและความรู้อย่างเพียงพออีกด้วย ซึ่งบุคคลประเภทนี้หาได้ยาก
    ด้วยเหตุนี้ บุคคลที่บรรลุอภิญญาจึงหากันไม่พบ ที่มีบ้างก็ไม่สมบูรณ์

    ประกอบกับเรื่องเหล่านี้ได้เสื่อมมานานตามกาลเวลา ครูบาอาจารย์ที่สามารถสอนเรื่องเหล่านี้ให้ได้ผลจริง ๆ ก็หายาก



    แต่อย่างไรก็ดี เรื่องเหล่านี้กำลังจะได้รับการฟื้นฟูกันขึ้นมาใหม่ ไม่เฉพาะ
    แต่ในเมืองไทย แต่หมายถึงในต่างประเทศก็ได้มีนักศึกษาค้นคว้าในเรื่องนี้
    กันมากเข้าใจว่าในไม่ช้า เรื่องลี้ลับเหล่านี้คงจะถูกเปิดเผยกันมากขึ้น คนที่
    เชื่อเรื่องเหล่านี้ก็จะมีมากขึ้นด้วย






    [​IMG]





















    อ้างอิง : หนังสือ “ผีและเทวดามีจริง รวบรวมจากหลักฐานในพระไตรปิฎก

    และข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้” โดย อาจารย์ พร รัตนสุวรรณ พิมพ์ที่ระลึก

    ในงานพระราชทานเพลิงศพ คุณหญิงวิเศษโภชนา ณ วัดโสมนัสวิหาร
    เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2509
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]

    <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    วิธีติดต่อกับโอปปาติกะ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    โดยปกติการติดต่อกับโอปปาติกะ ทำได้ 3 วิธี กล่าวคือ <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เชิญลงถ้วย ซึ่งคนทั่วไปเรียกว่า ผีถ้วยแก้ว ซึ่งวิธีนี้ในสมัย<O:p></O:p>
    พุทธกาลก็มี เรียกว่า อาทาสปัญหา ได้แก่ การเชิญเทวดาลงในแก้ว แล้ว<O:p></O:p>
    ถามปัญหา<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    2. เข้าทรง วิธีนี้ในสมัยพุทธกาลก็มี เรียกว่า กุมารีปัญหา ได้แก่ <O:p></O:p>
    การเชิญให้เทวดาเข้าสิงในสรีระของกุมารี แล้วถามปัญหา <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    3. เข้าสมาธิไปติดต่อ ซึ่งผู้ที่จะเข้าสมาธิไปติดต่อได้ จะต้องได้<O:p></O:p>
    สมาธิขั้นสูง เข้าได้ลึกจนไม่รู้ตัว และมีแสงสว่างเกิดขึ้นภายในใจด้วย <O:p></O:p>
    แสงสว่างที่เกิดขึ้นภายในใจนี่แหละที่ทำให้เห็นรูปร่างโอปปาติกะ ทั้งสามารถ<O:p></O:p>
    พูดกันได้ ถามเรื่องราวต่าง ๆ กันได้<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    พระพุทธเจ้าทรงมีพุทธกิจอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งทรงทำเป็นประจำ คือ เวลา<O:p></O:p>
    เที่ยงคืน จะมีพวกเทวดาจากที่ต่าง ๆ มาเฝ้าทูลถามปัญหา และพระองค์จะ<O:p></O:p>
    ทรงตอบปัญหาทุกข้อที่เทวดาเหล่านั้นถาม <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เรื่อง มงคลสูตร ซึ่งกล่าวถึงเรื่องการไม่คบคนพาล คบบัณฑิต บูชาสิ่งที่<O:p></O:p>
    ควรบูชา เป็นมงคลอันสูงสุด เป็นต้นนั้น เป็นตัวอย่างอันหนึ่งที่แสดงถึง<O:p></O:p>
    เรื่องเทวดาทูลถามปัญหาว่า อะไรเป็นมงคล และพระองค์ก็ได้ทรงตอบ<O:p></O:p>
    เช่นนั้น<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เรื่องในทำนองนี้ ในคัมภีร์ได้มีบันทึกไว้มากมาย ซึ่งเป็นการยากที่จะปฏิเสธว่า<O:p></O:p>
    เรื่องเหล่านี้ไม่จริง พระพุทธเจ้าทรงติดต่อกับเทวดาทั้งหลายได้ด้วยวิธี<O:p></O:p>
    เข้าสมาธิ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p>[​IMG] </O:p>
    <O:p>
    </O:p>
    พระสูตรที่แสดงว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงเห็นเทวดา ทรงเจรจากับเทวดา<O:p></O:p>
    ด้วยวิธีของสมาธิ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับอยู่ที่ ภูเขาหินพื้นราบแห่งหนึ่งชื่อว่า<O:p></O:p>
    คยาสีสะ ใกล้หมู่บ้านคยา ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกับภิกษุ<O:p></O:p>
    ทั้งหลายว่า<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ภิกษุทั้งหลาย ก่อนที่เรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ครั้งนั้นเราก็กำหนด<O:p></O:p>
    เห็นแสงสว่างได้ แต่ครั้งแรกยังไม่เห็นรูปทั้งหลาย เราจึงได้เกิดความคิดว่า<O:p></O:p>
    ถ้าหากเราจะพึงกำหนดเห็นแสงสว่างได้ด้วย และเห็นรูปทั้งหลายได้ด้วย<O:p></O:p>
    ญาณทัศนะของเราอันนี้ก็จะพึงบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นอีก<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ฉะนั้น ในเวลาต่อมา เราจึงไม่ประมาทพยายามปฏิบัติให้ดียิ่งขึ้น ครั้นแล้วเราก็<O:p></O:p>
    กำหนดเห็นแสงสว่างได้ด้วย และเห็นรูปทั้งหลายได้ด้วย แต่จะอยู่ในสมาธิ<O:p></O:p>
    เจรจาไต่ถามกับเทวดาทั้งหลายยังไม่ได้ (กล่าวคือ พอจะถามอะไรกับเทวดา<O:p></O:p>
    สมาธิก็ถอยออกมา แสงสว่างก็หายไป รูปของเทวดาก็หายไป) <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เราจึงได้เกิดความคิดว่า ถ้าหากเราจะพึงกำหนดเห็นแสงสว่างได้ด้วย เห็น<O:p></O:p>
    รูปเทวดาทั้งหลายได้ด้วย และอยู่ในสมาธิ เจรจาไต่ถามกับเทวดาทั้งหลาย<O:p></O:p>
    ได้ด้วย ญาณทัศนะอันนี้ของเราก็จะพึงบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นอีก<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ฉะนั้น ในเวลาต่อมาเราจึงไม่ประมาท พยายามปฏิบัติให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ครั้นแล้ว<O:p></O:p>
    เราก็กำหนดเห็นแสงสว่างได้ด้วย เห็นรูปทั้งหลายได้ด้วย และอยู่ในสมาธิ<O:p></O:p>
    เจรจาไต่ถามกับเทวดาทั้งหลายได้ด้วย แต่เราไม่รู้ว่า เทวดาองค์นั้นองค์นี้มา<O:p></O:p>
    จากเทพนิกายไหน เราจึงได้เกิดความคิดว่า ถ้าหากเราจะพึงรู้ว่า เทวดาองค์<O:p></O:p>
    นั้นองค์นี้มาจากเทพนิกายนั้นนิกายนี้ ญาณทัศนะของเราอันนี้ก็จะพึงบริสุทธิ์<O:p></O:p>
    ยิ่งขึ้นอีก<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ฉะนั้น ในเวลาต่อมาเราจึงไม่ประมาทพยายามปฏิบัติให้ดียิ่งขึ้นอีก ครั้นแล้ว<O:p></O:p>
    เราก็รู้จักเทวดาทั้งหลายว่า เทวดาองค์นั้นองค์นี้มาจากเทพนิกายนั้นเทพนิกาย<O:p></O:p>
    นี้ แต่ยังไม่รู้ว่าเทวดาองค์นั้นองค์นี้จุติจากที่นั้นหรือที่นี้ แล้วจะไปเกิดในที่<O:p></O:p>
    ไหน และด้วยวิบากของกรรมอะไร<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ครั้นแล้วต่อมา เราก็รู้ว่า เทวดาองค์นั้นองค์นี้จุติจากที่นั้นที่นี้ แล้วไปเกิดใน<O:p></O:p>
    ที่นั้นที่นี้ด้วยวิบากของกรรมอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่รู้ว่าเทวดาแต่ละองค์มี<O:p></O:p>
    อาหารอย่างไร เสวยสุขและทุกข์อย่างไร<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ครั้นแล้วต่อมา เราก็รู้ว่า เทวดาองค์นั้นองค์นี้ มีอาหารอย่างนั้นอย่างนี้ เสวย<O:p></O:p>
    สุขและทุกข์อย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่รู้ว่าเทวดาแต่ละองค์โดยปกติมีอายุยืนนาน<O:p></O:p>
    เท่าไร<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ครั้นแล้วต่อมา เราก็รู้ว่าเทวดาองค์นั้นองค์นี้ มีอายุยืนนานเท่านั้นเท่านี้ แต่ไม่<O:p></O:p>
    รู้ว่า เราได้เคยอยู่ร่วมกับเทวดาเหล่านั้นในครั้งก่อนหรือไม่ เราจึงได้เกิด<O:p></O:p>
    ความคิดว่า ถ้าหากเราจะพึงรู้ด้วยว่า เราได้เคยอยู่ร่วมกับเทวดาเหล่านี้ในครั้ง<O:p></O:p>
    ก่อนด้วยหรือไม่ ญาณทัศนะของเราอันนี้ ก็จะพึงบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นอีก <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ฉะนั้น ในเวลาต่อมา เราจึงไม่ประมาท พยายามปฏิบัติให้ดียิ่งขึ้น<O:p></O:p>

    <O:p></O:p>
    • <LI style="COLOR: blue" class=MsoNormal>ครั้นแล้วเราก็กำหนดเห็นแสงสว่างได้<O:p></O:p> <LI style="COLOR: blue" class=MsoNormal>เห็นรูปทั้งหลายได้<O:p></O:p> <LI style="COLOR: blue" class=MsoNormal>อยู่ในสมาธิเจรจาไต่ถามกับเทวดาทั้งหลายได้<O:p></O:p> <LI style="COLOR: blue" class=MsoNormal>รู้ว่า เทวดาองค์นั้นองค์นี้มาจากเทพนิกายนั้นเทพนิกายนี้<O:p></O:p>
    • รู้ว่า เทวดาองค์นั้นองค์นี้จุติจากที่นั้นที่นี้ แล้วไปเกิดในที่นั้นที่นี้<O:p></O:p>
    ด้วยวิบากของกรรมอย่างนั้นอย่างนี้<O:p></O:p>
    • รู้ว่า เทวดาองค์นั้นองค์นี้ มีอาหารอย่างนั้นอย่างนี้ เสวยสุขและทุกข์<O:p></O:p>
    อย่างนั้นอย่างนี้<O:p></O:p>
    • <LI style="COLOR: blue" class=MsoNormal>รู้ว่า เทวดาองค์นั้นองค์นี้ มีอายุยืนนานเท่านั้นเท่านี้<O:p></O:p>
    • และรู้ว่า เราได้เคยอยู่ร่วมกับเทวดาเหล่านี้ในครั้งก่อนด้วยหรือไม่<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ภิกษุทั้งหลาย อธิเทวญาณทัศนะ ซึ่งมีปริวัฏ 8 ของเรา ถ้ายังไม่บริสุทธิ์ดี<O:p></O:p>
    เพียงใด เราก็ไม่ปฏิญญาว่า เราได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ <O:p></O:p>
    ในโลกนี้ ในเทวโลก ในมารโลก ในพรหมโลก ในหมู่ประชาซึ่งมีทั้ง<O:p></O:p>
    สมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย แต่เพราะเหตุที่อธิเทวญาณทัศนะ<O:p></O:p>
    ซึ่งมีปริวัฏ 8 ของเราบริสุทธิ์ดีแล้ว <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ฉะนั้น เราจึงได้ปฏิญญาว่า เราได้บรรลุแล้ว ซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ<O:p></O:p>
    ในโลกนี้ ในเทวโลก ในมารโลก ในพรหมโลก ในหมู่ประชาซึ่งมีทั้ง<O:p></O:p>
    สมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย และญาณทัศนะได้บังเกิดแก่เรา<O:p></O:p>
    ด้วยว่า ใจของเราได้หลุดพ้นแล้วโดยเด็ดขาด ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย แต่นี้<O:p></O:p>
    ต่อไป การเกิดใหม่ไม่มีอีก<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    อง. นวก. 23/311<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    หมายเหตุ :<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ญาณทัศนะ แปลว่า การรู้การเห็น ก็คือ ทิพพจักษุ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    อธิเทวญาณทัศนะ แปลว่า การรู้การเห็นในเรื่องเกี่ยวกับเทวดาทั้งหมด <O:p></O:p>
    (หมายความว่า เรื่องราวของเทวดาทั้งหลายทุกชั้นทุกประเภท พระพุทธองค์<O:p></O:p>
    ทรงรู้ทรงเห็นหมดทุกอย่าง)<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ปริวัฏ 8 (ปริวัฏ แปลว่า รอบ) หมายถึง การรู้การเห็นในเรื่องเทวดา ได้<O:p></O:p>
    ดำเนินไปเป็นขั้น ๆ ซึ่งทั้งหมดมีอยู่ 8 ขั้นข้างต้น<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    จุติ แปลว่า ตาย (มักใช้แก่เทวดา) (มักจะแปลกันผิดว่า เกิด) - ผู้เขียน<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>

    <O:p></O:p>
    ที่มา : หนังสือ “ผีและเทวดามีจริง รวบรวมจากหลักฐานในพระไตรปิฎก <O:p></O:p>
    และข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้” โดย อาจารย์ พร รัตนสุวรรณ พิมพ์ที่ระลึก<O:p></O:p>
    ในงานพระราชทานเพลิงศพ คุณหญิงวิเศษโภชนา ณ วัดโสมนัสวิหาร <O:p></O:p>
    เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2509<O:p></O:p>
    <O:p>
    </O:p>
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]

    <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    โอปปาติกะในชีวิตของมนุษย์ <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    พระพุทธเจ้า ตรัสว่า “ภิกษุนั้น เมื่อมีจิตตั้งมั่น บริสุทธิ์ ผุดผ่อง<O:p></O:p>
    ไม่มีกิเลสเครื่องยียวน ปราศจากอุปกิเลสทั้งหลาย เป็นจิตอ่อนโยน<O:p></O:p>
    ควรแก่การงาน ดำรงอยู่มั่นคงไม่หวั่นไหว เช่นนั้นแล้ว ก็น้อมจิต<O:p></O:p>
    ไปเพื่อจะเนรมิตกายที่สำเร็จด้วยใจ เธอย่อมเนรมิตกายขึ้นอีกกายหนึ่ง<O:p></O:p>
    จากกายนี้ได้ ซึ่งกายที่เนรมิตขึ้นนั้นเป็นกายที่มีรูป เป็นกายที่สำเร็จ<O:p></O:p>
    ด้วยใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์บริบูรณ์ (คือมีอายตนะ<O:p></O:p>
    ภายในครบทุกอย่าง) มหาราชะ เปรียบเหมือนบุรุษชักไส้ออกจาก<O:p></O:p>
    หญ้าปล้อง ฉะนั้น”<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ผู้ได้ฌานแล้วเนรมิตกายขึ้นอีกอันหนึ่งนั้นก็คือ กายที่เป็นโอปปาติกะ<O:p></O:p>
    ในชีวิตนี้<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    (ต่างกับ คนเราตายแล้ว ไปเกิดเป็นโอปปาติกะ ซึ่งมีรูปร่างตัวตนที่<O:p></O:p>
    สำเร็จด้วยใจ)<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    โปรดสังเกตว่า กายโอปปาติกะซึ่งเกิดจากการเนรมิตของผู้ที่ได้ฌาน<O:p></O:p>
    กับกายโอปปาติกะของผู้ที่ตายไปเกิดนั้น ต่างก็มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบ<O:p></O:p>
    ถ้วน มีอินทรีย์บริบูรณ์เหมือนกัน<O:p></O:p>
    <O:p>
    </O:p>
    <O:p>[​IMG] </O:p>
    <O:p>
    </O:p>
    ในทางพระพุทธศาสนามีกล่าวถึงว่า ผู้ที่ได้ฌานสามารถที่จะไปเมือง<O:p></O:p>
    สวรรค์ เข้าฌานไปดูเหตุการณ์ในที่ต่าง ๆ และสามารถจะติดต่อกับ<O:p></O:p>
    โอปปาติกะทั้งหลายได้ สามารถจะติดต่อกับโอปปาติกะเหมือนกันได้<O:p></O:p>
    เรื่องต่าง ๆ ในทำนองนี้ ความจริงไม่ใช่เรื่องนิยาย เพราะเดี๋ยวนี้คน<O:p></O:p>
    ที่ได้สมาธิในขั้นเข้าไปติดต่อกับโอปปาติกะนั้นมีแล้ว และข้อเท็จจริง<O:p></O:p>
    ที่ได้พิสูจน์แล้ว มีดังนี้<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ผู้ที่เข้าสมาธิไปติดต่อกับโอปปาติกะนั้นเป็นเหมือนกับหลับไป<O:p></O:p>
    และเป็นการหลับอย่างสนิทไม่รู้สึกตัวเอาทีเดียว ไม่ว่าจะเขย่าตัวหรือ<O:p></O:p>
    เอาเข็มแทง หรือทำอย่างไร ๆ ก็ตาม ตลอดเวลาที่อยู่ในสมาธิยังไม่<O:p></O:p>
    ถึงเวลาออก ไม่มีทางรู้สึกตัว ประสาททั้ง 5 ไม่รับรู้เหตุการณ์ภายนอก<O:p></O:p>
    ใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ครั้นแล้วในชั่วขณะที่จิตดับไปนั้น ก็เป็นเหมือนกับว่า<O:p></O:p>
    เขาฝันไป กล่าวคือ จะมีตัวเขาเองปรากฏอยู่ในโลกของโอปปาติกะ<O:p></O:p>
    และในขณะที่อยู่ในโลกของโอปปาติกะนั้น มีการเห็น การได้ยิน รู้สึก<O:p></O:p>
    กลิ่น รู้สึกรส รู้สึกสัมผัสทางกาย และมีความนึกคิด สภาพของชีวิต<O:p></O:p>
    ในขณะนั้นไม่ผิดอะไรกับสภาพของพวกโอปปาติกะ ฉะนั้น จึงพูดจา<O:p></O:p>
    ติดต่อกันได้ เหมือนกับว่าเป็นคนด้วยกัน จากตัวอย่างเช่นนี้แหละ<O:p></O:p>
    ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เธอย่อมเนรมิตกายขึ้นอีกกายหนึ่งจากกายนี้<O:p></O:p>
    ซึ่งกายที่เนรมิตขึ้นนั้นเป็นกายที่มีรูป เป็นกายที่สำเร็จด้วยใจ มีอวัยวะ<O:p></O:p>
    น้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์บริบูรณ์ <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    รูปอันใดที่มนุษย์เห็น เสียงอันใดที่มนุษย์ได้ยิน กลิ่นอันใดที่<O:p></O:p>
    มนุษย์รู้สึก รสอันใดที่มนุษย์รู้สึกสัมผัสอันใดที่มนุษย์รู้สึก พวก<O:p></O:p>
    โอปปาติกะบอกได้ถูกต้องตรงกับมนุษย์ เราทำอะไรเขาเห็น เราพูดอะไร<O:p></O:p>
    เขาได้ยิน รวมความว่า พวกโอปปาติกะก็คือชีวิตพวกหนึ่งที่มีอะไร<O:p></O:p>
    หลายอย่างคล้ายกับมนุษย์ แต่พิเศษตรงที่ตาธรรมดาของเรามองไม่เห็น<O:p></O:p>
    เท่านั้น<O:p></O:p>
    ความจริงเท่าที่พิสูจน์ได้ในขณะนี้มีเพียงเท่านี้ ส่วนความจริงอีก<O:p></O:p>
    หลายอย่างที่คัมภีร์กล่าวไว้ แต่ยังพิสูจน์ไม่ได้คือ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    โอปปาติกะจะไปไหน พอนึกเสร็จก็ไปถึงที่นั้นแล้ว ไม่ว่าที่นั้นจะ<O:p></O:p>
    ไกลสักแค่ไหนก็ตาม เพราะเป็นการไปด้วยใจ และรูปร่างนั้นก็สำเร็จ<O:p></O:p>
    ด้วยใจ ฉะนั้น จึงไปได้เร็วชั่วขณะจิตหนึ่งเท่านั้น<O:p></O:p>
    เรื่องนี้ที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ ก็เพราะผู้ที่ได้สมาธิติดต่อกับโอปปาติกะ<O:p></O:p>
    ได้ในขณะนี้นั้น ยังไม่อาจจะส่งกายที่สำเร็จด้วยใจนั้นไปดูสิ่งที่อยู่ไกล ๆ<O:p></O:p>
    ได้ เนื่องจากกำลังสมาธิยังไม่พอ แต่จากคำบอกเล่า ปรากฏว่าที่อื่น<O:p></O:p>
    มีคนทำได้ ซึ่งข้าพเจ้าไม่กล้ายืนยัน เพราะไม่ได้เห็นด้วยตนเอง แต่<O:p></O:p>
    ก็เชื่อว่าการส่งกายที่สำเร็จด้วยใจไปดูอะไรต่ออะไรในที่ไกล ๆ นั้น เป็น<O:p></O:p>
    ไปได้แน่นอน และอันนี้ในเมื่อทำสำเร็จแล้วจะมีประโยชน์มากมาย<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    นรก-สวรรค์ ซึ่งเป็นสถานที่หรือเป็นโลกอีกแห่งหนึ่ง ในคัมภีร์กล่าว<O:p></O:p>
    ว่ามี แต่ยังพิสูจน์ไม่ได้เพราะเนื่องจากยังส่งกายที่สำเร็จด้วยใจ ให้ไปใน<O:p></O:p>
    ที่ต่าง ๆ ยังไม่ได้ ขณะนี้เมื่อเข้าสมาธิไปแล้ว เห็นพวกโอปปาติกะได้<O:p></O:p>
    เฉพาะแต่ในเมื่อเขาอยู่ในที่นั้น<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ข้อที่แปลกอย่างหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าเองก็ไม่เข้าใจก็คือ เมื่อเข้าไปอยู่ในโลก<O:p></O:p>
    ของโอปปาติกะ เห็นเฉพาะแต่พวกโอปปาติกะ แต่สภาพในโลกนี้มองไม่<O:p></O:p>
    เห็น ทั้งที่พวกโอปปาติกะมองเห็น อันนี้อาจจะเป็นเพราะการได้สมาธิ<O:p></O:p>
    ขั้นเห็นโอปปาติกะนี้ยังไม่สมบูรณ์นั่นเอง ซึ่งถ้าสมบูรณ์จริง ๆ แล้ว ก็จะ<O:p></O:p>
    มีความสามารถอย่างเดียวกับโอปปาติกะทั้งหลาย กล่าวคือ ตลอดเวลา<O:p></O:p>
    ที่มีกายเกิดขึ้นอีกอันหนึ่ง ในขณะที่อยู่ในสมาธินั้นจะสามารถรู้เห็นได้ยิน<O:p></O:p>
    และบอกเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างเดียวกับโอปปาติกะทั้งหลาย<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เรื่องอภินิหารต่าง ๆ ของผีและของเทวดา เช่น ผีสามารถปรากฏ<O:p></O:p>
    ตัวให้บางคนเห็นได้ ทำเสียงให้คนได้ยินได้ เลื่อนสิ่งของต่าง ๆ ได้ <O:p></O:p>
    เปิดประตูหน้าต่างได้ ทำร้ายคนได้ ดังนี้เป็นต้น และเทวดาสามารถ<O:p></O:p>
    จำแลงตัวมาช่วยเหลือคน หรือเนรมิตสิ่งของต่าง ๆ ให้กับคนหรือเอา<O:p></O:p>
    อาหารมาให้คนกิน หรือสามารถดลใจให้คนเราคิดอย่างไรก็ได้ ดังนี้<O:p></O:p>
    เป็นต้น เรื่องต่าง ๆ ในทำนองนี้ยังไม่เคยพบเห็นด้วยตนเองเลย<O:p></O:p>
    และส่วนมากเท่าที่ทราบกันก็เป็นเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมา หาหลักฐาน<O:p></O:p>
    ยืนยันได้ยาก ในคัมภีร์เองก็ไม่มีกล่าวถึงเรื่องในลักษณะเช่นนี้<O:p></O:p>
    นอกจากในคัมภีร์ชาดก ก็มีกล่าวถึงบ้าง ดังเช่นในเรื่อง พระเวสสันดร<O:p></O:p>
    ซึ่งกล่าวว่า ท้าววิษณุกรรมโดยบัญชาของพระอินทร์ ให้มาเนรมิต<O:p></O:p>
    อาศรมให้กับพระเวสสันดร เทวดาแปลงตัวเป็นเสือเป็นราชสีห์ ขวาง<O:p></O:p>
    ทางพระนางมัทรี ดังนี้เป็นต้น เรื่องอภินิหารต่าง ๆ ในทำนองนี้ <O:p></O:p>
    ข้าพเจ้าไม่กล้ายืนยันว่าจริงหรือไม่จริงเพราะยังพิสูจน์ไม่ได้<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    (ยังมีเรื่องอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับโอปปาติกะ ที่เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก<O:p></O:p>
    แต่คิดว่า พอสมควรแก่เวลาที่ได้นำเสนอมาแล้วรวม 5 ตอน ผมอยาก<O:p></O:p>
    ฝากไว้ให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษาต่อ และปฏิบัติให้รู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งที่<O:p></O:p>
    ยังสงสัย ยังพิสูจน์กันไม่ได้ต่อไป ขอขอบคุณท่านที่สนใจที่ได้ติดตาม<O:p></O:p>
    มาโดยตลอด - ผู้เขียน)<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>

    <O:p></O:p>
    ที่มา : หนังสือ “ผีและเทวดามีจริง รวบรวมจากหลักฐานในพระไตรปิฎก <O:p></O:p>
    และข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้” โดย อาจารย์ พร รัตนสุวรรณ พิมพ์ที่ระลึก<O:p></O:p>
    ในงานพระราชทานเพลิงศพ คุณหญิงวิเศษโภชนา ณ วัดโสมนัสวิหาร <O:p></O:p>
    เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2509
     
  6. ทาโร่

    ทาโร่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +126
    ขอบคุณครับ
     
  7. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงกับท่านเจ้าของกระทู้
    และท่านเจ้าของเรื่อง ที่ได้หยิบยกเรื่องราวจาก
    พระไตรปิฏกมาให้อ่าน พร้อมคำอธิบายที่ชัดเจนครับ

    ศูนย์พุทธศรัทธา
    สำนักปฏิบัติพระกรรมฐานสาขาวัดท่าซุง
    เชิญท่านแวะชมและโมทนาบุญ
    มีข้อมูลที่น่าสนใจเพิ่มจากเดิมอีกหลายรายการครับ

    [​IMG]
     
  8. natspdo

    natspdo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,041
    ค่าพลัง:
    +1,505
    อนุโมทนาครับ
    ผี ไม่เรื่องไร้สาระ ไม่ใช่เรื่องแบบหลอกเด็ก ถ้าไม่เชื่อเรื่องผี นี่สิ เรื่องใหญ่ เพราะมีในพระไตรปิฎก แต่ทุกวันนี้ มีคนนำมาทำเป็นหนังละครจนเกินจริงมากไปหน่อยเท่านั้นเอง
     
  9. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    โมทนาสาธุธรรมครับ.......เรื่องเหล่านี้หลายข้อ สามารถ พิสูจน์ได้ด้วย วิชชามโนมยิทธิ.....และในสมัยนี่ทำได้แล้ว....แต่ต้องทำได้ด้วยตนเอง.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2009
  10. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ขออนุญาติเพิ่มเนื้อหาเพิ่มเติมนะครับ

     
  11. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    <CENTER>ฝึกอภิญญาปฏิบัติ</CENTER><CENTER></CENTER>
    เพื่อย่นเวลาอ่านให้สั้นเข้า จึงใคร่จะให้ท่านผู้อ่านได้รู้ได้เห็นวิธีฝึกใจเพื่อได้อภิญญาเสียเลย แล้วจึงจะได้เขียนถึงวิธีเตรียมการณ์ไว้ท้ายบท
    อภิญญาที่ ๑ อิทธิฤทธิญาณ อภิญญาที่ ๑ นี้ ผู้ประสงค์จะฝึกท่านให้เรียนกสิณ ๑๐ ให้ชำนาญจากอาจารย์ผู้สอนเสียก่อน ถามวิธีฝึกและข้อเคล็ดลับต่าง ๆ ให้เข้าใจ เมื่อขณะฝึกนั้นถ้ามีอะไรสงสัยให้รีบหารืออาจารย์ อย่าตัดสินเองเป็นอันขาด ข้อสำคัญที่สุดก็คือ เมื่อจะเรียนนั้นดูอาจารย์เสียก่อนว่าได้แล้วหรือเปล่า ถ้าอาจารย์ไม่ได้ก็จงอย่าไปขอเรียนเลย เคยเห็นพาลูกศิษย์ลูกหาไปผิดลู่ผิดทาง เลอะเทอะกันมาแล้ว เมื่อเห็นอาจารย์ได้จริงแล้วก็เรียนเถิด ท่านคงไม่พาเข้ารกเข้าป่า

    เมื่อทำกสิณได้ชำนาญทั้ง ๑๐ อย่างแล้ว ท่านให้พยายามเข้าฌานตามลำดับฌาน แล้วเข้าฌานตามลำดับกสิณ แล้วเข้าฌานสลับฌาน แล้วเข้าฌานสลับกสิณ ทำให้คล่องนึกจะเข้าเมื่อไรเข้าฌานได้ทันที นอนหลับพอรู้สึกตัวก็เข้าฌานได้ทันที กำลังเดิน กำลังทำงาน กำลังพูด อ่านหนังสือ ดูมหรสพ หรือในกิจต่าง ๆ ที่กำลังทำอยู่ เมื่อคิดว่าเราจะเข้าฌานละก็เข้าได้ทันที อย่างนี้เรียกว่าได้อภิญญาที่ ๑ แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้ตามความพอใจ

    อภิญญาที่ ๒ ทิพโสตญาณ ญาณหูทิพย์นี้ ท่านให้เข้าฌานในกรรมฐานกองใดกองหนึ่งก็ได้ เป็นกรรมฐานที่มีอภิญญาเป็นบาท คือ กรรมฐานกองนี้ทรงคุณถึงฌานที่ ๔ ท่านผู้อ่านคงสงสัยว่า ทำไมกรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้นั้น ทรงคุณไม่เสมอกันหรืออย่างไร ขอตอบว่ากำลังของกรรมฐานทั้ง ๔๐ ไม่เท่ากัน เช่น อนุสสติ ๓ คือ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ เป็นต้น ทรงกำลังได้เพียงอุปจารฌาน กสิณ ๑๐ อสุภ ๑๐ จตุธาตุ ๔ เป็นต้น ทรงกำลังได้ถึงฌานที่ ๔ ฌานที่ ๔ นี้เป็นฌานที่มีอภิญญาเป็นบาท เพราะทรงอภิญญาไว้ได้

    กำลังของกรรมฐานไม่เท่ากันอย่างนี้ ท่านจึงให้เลือกกรรมฐานเข้าฌาน เข้าให้ถึงฌานที่ ๔ แล้วถอยจิตออกจากฌานให้ตั้งอยู่เพียงอุปจารฌาน แล้วคิดคำนึงถึงเสียงที่ได้ยินมาแล้วในเวลาก่อน ๆ ในระยะแรกให้คำนึงถึงเสียงที่ดังมาก ๆ เช่น เสียงกลอง เสียงระฆัง เสียงหวูดรถไฟ เรือยนต์ แล้วค่อยคำนึงถึงเสียงที่เบาลงมาเป็นลำดับ จนถึงเสียงกระซิบ และเสียงมดปลวก ซึ่งปกติเราจะไม่ได้ยินเสียง คำนึงด้วยจิตในสมาธิ จนเสียงนั้น ๆ ก้องอยู่ คล้ายกับเสียงนั้นปรากฏอยู่เฉพาะหน้า และใกล้หู ต่อไปก็คำนึงถึงเสียงที่อยู่ไกล ข้ามบ้าน ข้ามตำบล อำเภอ จังหวัด และเสียงที่บุคคลอื่นพูดแล้วในเวลาที่ล่วงเลยมาแล้ว เมื่อเสียงนั้น ๆ ปรากฏชัดแล้ว เป็นอันว่าได้ ทิพโสตญาณ หูทิพย์ในอภิญญาที่ ๒

    อภิญญาที่ ๓ เจโตปริยญาณ ญาณนี้รู้ใจคนและสัตว์ รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในขณะนี้หรือก่อน หรือในวันต่อไป เจโตปริยญาณ ก็ดี จุตูปปาตญาณ ก็ดี ทั้ง ๒ อย่างนี้ ล้วนเป็นกิ่งก้านของทิพจักขุญาณ เมื่อท่านเจริญทิพจักขุญาณ คือ ญาณที่มีความรู้เหมือนตาทิพย์ได้แล้ว ทำสมาธิให้สูงขึ้นถึงฌานที่ ๔ ก็จะได้เจโตและจุตูปปาตญานเอง ทำทิพจักขุญาณนั้นเป็นญาณที่สร้างให้ได้ก่อนญาณอื่น เพราะเจริญกรรมฐานให้ได้เพียงอุปจารฌาน

    คือ เจริญอาโลกกสิณ โอทาตกสิณ หรือ เตโชกสิณ ใน ๓ อย่างนี้ อย่างใดอย่างหนึ่งให้ได้อุปจารฌาน แล้วกำหนดจิตว่าต้องการเห็นนรก ก็ถอนจิตจากนิมิตกสิณนั้นเสีย แล้วกำหนดใจดูนรก ภาพนรกก็จะปรากฏ เมื่อประสงค์จะเห็นสวรรค์และอย่างอื่น ๆ ก็ได้เหมือนกัน การเห็นนั้นจะมัวหรือชัดเจนขึ้นอยู่กับนิมิต

    เมื่อเพ่งนิมิตคือ รูปกสิณ ถ้าเห็นรูปกสิณชัดเท่าใด ภาพนรกสวรรค์หรืออย่างอื่นที่เราปรารถนาจะรู้ก็ชัดเจนแจ่มใสเท่านั้น เมื่อท่านเจริญกสิณกองใดกองหนึ่งใน ๓ กองนี้จนได้อุปจารฌานแล้ว ฝึกทิพจักขุญาณได้แล้ว ให้พยายามทำสมาธิให้สูงขึ้นถึงฌานที่ ๑ - ๒ - ๓ - ๔ โดยลำดับ ท่านจะได้ภาพที่เห็นชัดเจนขึ้น และสามารถเจรจากับพวกพรหมเทวดา และภูตผีปีศาจได้เท่า ๆ กับมนุษย์ เมื่อทำจติให้ตั้งมั่นจนถึงฌานที่ ๔ แล้ว ก็จะรู้วาระจิตของคนอื่น ว่าคนนี้มีกิเลสอะไรเป็นตัวนำ ขณะนี้เขากำลังคิดถึงเรื่องอะไรอยู่ เรียกว่า "เจโตปริยญาณ"
    และรู้ต่อไปว่าสัตว์ตัวนี้หรือคน ๆ นี้ ตายไปแล้วไปเกิดที่ไหน สัตว์หรือคนที่เกิดใหม่นั้นมาจากไหน อย่างนี้เรียกว่า "จุตูปปาตญาณ"

    และรู้ต่อไปว่าสัตว์หรือคนที่มาเกิดนี้เพราะกรรมอะไรที่เป็นบุญหรือเป็นบาปบันดาลให้มาเกิด เขาตายไปแล้วไปตกนรกเพราะกรรมอะไร ไปเกิดบนสวรรค์เพราะกรรมอะไร อย่างนี้เป็นต้น นี่เรียกว่า "ยถากัมมุตาญาณ"

    สามารถรู้เรื่องในอดีตคือที่ล่วงมาแล้วมาก ๆ เรียกว่า "อตีตังสญาณ" รู้เรื่องในอนาคตได้มาก ๆ เรียกว่า "อนาคตังสญาณ" และเมื่อปรารถนาจะรู้เรื่องถอยหลังไปถึงชาติก่อน ๆ นี้ก็รู้ได้ เรียกว่า "ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ"

    รวมความแล้วเมื่อเจริญกรรมฐานในกสิณ ๓ อย่างนั้น อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว จนถึงฌานที่ ๔ ก็จะได้ญาณรวมกันทั้งหมด ๗ อย่าง เป็นกรรมฐานที่ได้กำไรมาก

    นำมาจากกระทู้ อภิญญาปฏิบัติ
    http://palungjit.org/threads/%CD%C0%D4%AD%AD%D2%BB%AF%D4%BA%D1%B5%D4.175071/

    เข้าอ่านต่อได้เลยครับ
     
  12. pol47

    pol47 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +14
    ขอ อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ด้วยคนครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
  13. meephoo

    meephoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    ค่าพลัง:
    +2,133
    สาธุ สาธุ สาธุ ขอบคุณที่ช่วยให้ทุกคนได้เข้าใจและประจักษ์ต่อความจริงที่สามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง สาธุ สาธุ สาธุ
     
  14. infinityboon

    infinityboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +188
    ดีมากเลยครับ อยากให้คนที่ไม่เชื่อได้อ่านบ้าง สักแต่ว่าเชื่อในศาสนาพุทธ นับถือพุทธ แต่กลับไม่เชื่อว่าผีมีอยู่จริง ใช้ชีวิตด้วยความประมาท อย่างน้อยๆบางคนจะได้คิดถึงมาบ้าง บุญก็จะเกิด ให้ดีน่าจะพิมพ์ไปให้คนอื่นอ่านมากๆ ดีกว่าจดหมายลูกโซ่เสียอีก
     
  15. สรอรรถ

    สรอรรถ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +0
    หนังสือของ อ.พร หายากมากครับ
    ผมต้องท่อสังขารไปอ่านถึง หอสมุดแห่งชาติ
    หนังสือผีๆที่ขายอยู่ที่ se-ed บางเล่มก็ผีจ๋าเกินไป
    บางเล่มก็ปฏิเสธทั้งดุ้น
    ผมเจอเล่มนี้ครับ "รู้ก่อนตาย ไขปริศนาตายแล้วไปไหน"
    คนเขียนชื่อ วีระวัฒน์ ชลสวัสดิ์
    เขียนคล้ายๆ อ.พร เลยล่ะเชิญพิสูจน์ได้
     
  16. humanbeing

    humanbeing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +214
    ขอบคุณค่ะ
     
  17. รักในหลวงครับ

    รักในหลวงครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    136
    ค่าพลัง:
    +101
    ขอบคุณความรู้ดีๆครับ
     
  18. น า ทู รี

    น า ทู รี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +164
  19. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,302
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    “ ผีและเทวดามีจริง ” [ EP.1/7 ]


    clip ข้างบนนี้ก็ฟังได้เช่นกันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มกราคม 2023

แชร์หน้านี้

Loading...