ผลของการบำเพ็ญกุศลนอกพระพุทธศาสนากับในพระพุทธศาสนา

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 27 พฤศจิกายน 2016.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    [​IMG]


    คนทำบุญนอกพระพุทธศาสนาตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดา
    มีอานิสงส์น้อยกว่าคนที่ทำบุญในพระพุทธศาสนา
    โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

    "...ในสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่ ในขณะที่พระองค์เสด็จขึ้นไปแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพระพุทธมารดาที่พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีท่านพระอินทร์มาคอยต้อนรับอยู่ก่อน ต่อมามีเทวดาอีก ๒ องค์เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นมา ก็มาก่อนเทวดาอื่น คือ ท่านอังกุรเทพบุตร มานั่งข้างพระบาทข้างซ้ายของพระพุทธเจ้า กับท่านอินทกเทพบุตร มานั่งข้างพระบาทข้างขวา

    เมื่อมีเทวดาองค์อื่นมา ท่านอังกุรเทพบุตรก็ถอยจากจากที่นั่งเดิม แต่ท่านอินทกเทพบุตรนั่งอยู่ที่เดิม ต่อมาเทวดามาหมดชั้นดาวดึงส์ปรากฏว่าท่านอินทกเทพบุตรนั่งหัวแถวตามเดิม ส่วนท่านอังกุรเทพบุตรถอยไปนั่งอยู่ท้ายสุดเป็นเทวดาหางแถว

    ผลของการบำเพ็ญกุศลนอกพระพุทธศาสนากับในพระพุทธศาสนา

    พระพุทธเจ้าทรงต้องการประกาศผลของการบำเพ็ญกุศลนอกพระพุทธศาสนา กับในพระพุทธศาสนาให้บรรดาประชาชนทั้งหลายที่คอยพระองค์อยู่หลายโกฏิในเมืองพาราณสี ได้ยินได้ฟังทั้งหมด จึงทรงบันดาลเสียงของพระองค์ และเสียงของเทวดาที่สนทนากันให้ดังถึงเมืองมนุษย์

    สมเด็จพระบรมสุคตจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า "อังกุระ เมื่อตถาคตมาถึงตอนแรก เธอนั่งข้างพระบาทข้างซ้ายของตถาคต ครั้นเทวดาองค์อื่นมาหมดดาวดึงส์ เธอเป็นเทวดาท้ายแถวนั่งไกลที่สุด อยากจะทราบว่าในสมัยที่เป็นมนุษย์เธอทำบุญอะไรไว้"

    ท่านอังกุรเทพบุตรจึงกราบทูลองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า "ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า ในสมัยที่เป็นมนุษย์ ข้าพระพุทธเจ้าเป็นมหาเศรษฐี เวลานั้นคนมีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี อีก ๒๐,๐๐๐ ปี ก่อนที่จะตาย ได้ตั้งโรงทาน ๘๐ แห่ง ๑ โยชน์ตั้ง ๑ แห่ง ให้ทานคนยากจน คนกำพร้า คนเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน สิ้นเวลา ๒๐,๐๐๐ ปี แต่อาศัยว่าเวลานั้นไม่มีพระพุทธศาสนา คนทั้งหมดไม่มีศีลไม่มีธรรม จึงได้อานิสงส์น้อย ตายจากความเป็นมนุษย์มาเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเทวดาที่มีบุญน้อยที่สุด มีวิมานทองคำเกลี้ยงเป็นที่อยู่ มีนางฟ้า ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร"

    แสดงให้เห็นว่า การบำเพ็ญกุศลแจกแก่คนที่ไร้ศีลไร้ธรรม ก็ยังเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้

    ส่วนท่านอินทกเทพบุตร เมื่อเข้าไปถึงใหม่ๆ ก็นั่งข้างพระบาทข้างขวาของพระพุทธเจ้า เมื่อเทวดามาทั้งหมดชั้นดาวดึงส์ ท่านก็ไม่ถอยให้ใครนั่งอยู่หัวแถวตามเดิม ถ้ายกเว้นท่านพระอินทร์ก็ต้องถือว่าเป็นเทวดาผู้มีศักดิ์ศรีใหญ่ในดาวดึงส์ ไม่มีใครใหญ่กว่าและไม่มีใครมีบุญมากกว่า พระพุทธเจ้าใคร่จะประกาศอานิสงส์แห่งการทำบุญในพระพุทธศาสนาให้ทราบ

    จึงถามท่านอินทกเทพบุตรว่า "อินทกะ เมื่อตถาคตมาใหม่ๆ เธอก็นั่งตรงนี้ แต่ทว่าเมื่อเทวดามาหมดดาวดึงส์ เธอก็นั่งตรงนี้ตามเดิม เธอเป็นเทวดาที่มีมเหสักขา (คือมีฤทธิ์มาก มีบุญมาก) มากกว่าเทวดาองค์อื่น นอกจากท่านพระอินทร์แล้วไม่มีใครยิ่งไปกว่าเธอ อยากจะทราบว่าในสมัยที่เป็นมนุษย์ เธอทำบุญอะไรไว้ จึงมาเป็นเทวดาที่มีอานุภาพมากอย่างนี้"

    ท่านอินทกเทพบุตรได้กราบทูลองค์สมเด็จพระชินสีห์ว่า "ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า ในสมัยที่ข้าพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ เป็นลูกคนจน ต่อมาบิดาตายก็ต้องเลี้ยงแม่ (คำว่าเลี้ยงแม่ เป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณ สนองความดีของแม่ที่ท่านเลี้ยงมา อันนี้มีอานิสงส์สำคัญมาก สูงมาก)

    ต่อมาพระสงฆ์ในสำนักขององค์สมเด็จพระบรมครูเดินเฉียดบ้านไปก่อนเพล จึงได้นิมนต์พระสงฆ์ทั้งหมดประมาณ ๔ รูปมาถวายภัตตาหารเป็นสังฆทาน ท่านบอกว่าในชีวิตของท่านจนมาก มีโอกาสบำเพ็ญกุศลถวายสังฆทานคราวนี้คราวเดียว กับเลี้ยงแม่ให้มีความสุขตามฐานะ เพียงเท่านี้ข้าพระพุทธเจ้าตายจากความเป็นมนุษย์ มาเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานแก้ว ๗ ประการสวยสดงดงามมากเป็นที่อยู่ มีความสุขมาก และมีนางฟ้า ๑ แสนเป็นบริวาร"

    เป็นอันว่า การบำเพ็ญกุศลในศาสนาขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมมีอานิสงส์สูงกว่าการบำเพ็ญกุศลแก่คนนอกพระพุทธศาสนามาก แสดงว่าพระพุทธเจ้าทรงรับรองว่าเทวดามีจริง นางฟ้ามีจริง สวรรค์มีจริง พรหมโลกมีจริง พระนิพพานมีจริง นรกมีจริง ตายแล้วมีสภาพไม่สูญจริง..."

    https://www.facebook.com/BuddhaSattha/?hc_ref=NEWSFEED&fref=nf
     

แชร์หน้านี้

Loading...