เรื่องเด่น ปัจฉิมโอวาทของ ท่านพ่อลี ธมฺมธโร

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย rachotp, 1 กรกฎาคม 2022.

  1. rachotp

    rachotp เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2020
    โพสต์:
    1,218
    กระทู้เรื่องเด่น:
    251
    ค่าพลัง:
    +23,891
    4.jpg

    “ปัจฉิมโอวาท” อันออกจากปากของท่านพ่อเป็นครั้งสุดท้ายของคืนที่ ๒๔ และ ๒๕ เมษายนนั้นมีใจความว่า

    บุคคลใด หรือหมู่ใด ปรารถนาอยู่แต่ในประโยชน์ชาตินี้ คือ ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ขอชี้แนวทางให้ซึ่งมีอยู่ ๔ อย่าง


    ๑. อุฏฐานสัมปทา เป็นผู้มีความเพียร หมั่นขยัน ทำกิจหน้าที่ของตน ตั้งอยู่ในอาชีพที่ถูกต้องในทางธรรม เช่น “สัมมากัมมันโต” การงานที่ชอบ


    ๒. อารักขสัมปทา ให้รู้จักรักษาทรัพย์ของตน ให้รู้จักรักษาตนของตน ที่ได้มาโดยชอบแล้วด้วยดี ไม่ให้ตกล่วงไปในทางที่ชั่ว


    ๓. กัลยาณมิตตตา คบเพื่อนที่ดีงาม ไม่คบคนชั่วที่จะทำตนให้เป็นคนตกต่ำ จะทำทรัพย์ของตนให้สาปสูญ


    ๔. สมชีวิตา จ่ายทรัพย์ที่ได้มาจากการงานนั้นๆ ด้วยดี เลี้ยงชีวิตของตนโดยทางที่ถูก ไม่จ่ายทรัพย์ไปในทางที่ผิด ไม่ทำชีวิตความเป็นอยู่ของตนให้หม่นหมอง


    ทั้ง ๔ อย่างนี้เป็นหนทางที่จะนำมาซึ่งความสุขของตนในโลกนี้ แต่อย่าใช้ความคิดอันสั้น อันปราศจากความจริง เพราะความจริงของมนุษย์ที่เกิดมาต้องตายไปจากความสุขในโลกที่มีอยู่ทุกรูปทุกนาม


    3.jpg

    ฉะนั้น จึงจำเป็นจะต้องหาทางที่ตนจะต้องได้รับในโลกหน้าที่เรียกว่า “สัมปรายิกัตถะประโยชน์” อันจะพึงได้รับคือความสุขในโลกหน้า พระองค์จึงได้ทรงชี้แนวทางไว้ดังนี้ คือ


    ๑. สัทธาสัมปทา ให้เป็นผู้มีความเชื่อโดยสมบูรณ์ คือ เชื่อบุญเชื่อกรรม ความดีและความชั่ว แล้วก็ควรเว้นกรรมชั่วเสีย สร้างแต่ความดี


    ๒. สีลสัมปทา ให้เป็นผู้มีศีลมีสัตย์ ปฏิบัติตนให้เป็นคนบริบูรณ์ด้วยความประพฤติทางกาย วาจา จิต จะทำสิ่งใดให้ทำด้วยความสุจริตที่ถูกต้องในทางพระ


    ๓. จาคสัมปทา ให้เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยการบริจาค, ฝากทรัพย์ของตนไว้เช่น ให้ทานในฐานะที่ตนพอจะทำได้, แต่การสละนั้นทางพระท่านแสดงไว้ว่าเป็น “อริยทรัพย์” ให้ผลในชาตินี้และชาติหน้า


    ถ้าเราไม่เสียสละเช่นนั้น ทรัพย์ในโลกนี้ทั้งหมดก็ให้ผลแค่ชีวิตหนึ่ง, ตายแล้วก็สาบสูญ ไม่สามารถจะนำไปใช้สอยในโลกหน้าได้ ตัวอย่างเช่น ธนบัตรของประเทศไทย หรือเงินตราอย่างอื่นก็ใช้ได้สำหรับในของประเทศนั้นๆ ถ้าต้องการไปเมืองนอกก็ไม่สามารถจะนำทรัพย์ในประเทศของตนไปใช้จ่าย นอกจากคนมีปัญญานำไปแลกเปลี่ยนเข้าบัญชีในธนาคารใดธนาคารหนึ่ง
    จึงจะเกิดประโยชน์แก่ผู้ออกต่างประเทศ ฉันใด, มีผู้ปัญญานำทรัพย์ไปฝากไว้ในธนาคารชนิดที่เรียกว่า “นาบุญ” เมื่อตนได้จาคะสละไปแล้ว นั่นแลเรียกว่า “อริยทรัพย์” จะได้เกิดผลข้างหน้าไม่ว่าแต่ทรัพย์เลย


    คนในประเทศหนึ่งจะข้ามแดนไปอีกประเทศหนึ่งเพียงเท่าภาษาที่พูดก็ใช้ไม่ได้ ฉะนั้น, พระองค์จึงทรงสอนภาษาต่างประเทศให้เราอีกชิ้นหนึ่ง ที่เรียกว่า “สวดมนต์ ไหว้พระ เจริญเมตตาภาวนา” จะได้ภาษาไปใช้สอยในโลกหน้า


    ๔. ปัญญาสัมปทา ให้เป็นผู้รอบคอบ รอบรู้ในการกระทำทั้งหมด มิฉะนั้นก็จะทำไปด้วยโมหะ เช่น


    ‘ฉันทาคติ’ ทำไปโดยความรักอย่างเดียว ไม่คำนึงถึงเหตุผลว่าผิดหรือถูก

    ‘ภยาคติ’ ทำไปด้วยความกลัวอย่างเดียว ไม่คำนึงถึงเหตุผล
    ‘โทสาคติ’ ทำไปด้วยความโกรธ หรือโทสะ ไม่คำนึงถึงความผิดหรือถูก
    ‘โมหาคติ’ ทำไปด้วยความหลง สำคัญว่าผิดเป็นถูก สำคัญว่าถูกเป็นผิด

    เมื่อทำโดยอาการเช่นนั้น ชื่อว่าเป็นผู้ไม่มีปัญญา ฉะนั้น จึงให้ตรวจตราพิจารณาดูโดยชอบเสียก่อน ไม่ว่าจะทำสิ่งใดๆ ทั้งหมดที่เนื่องไปด้วยการบุญ จึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา

    ปฏิปทาทั้ง ๔ อย่างนี้ เป็นหนทางเปิดช่องอันจะนำไปสู่สุคติโลกหน้าคือ “สวรรค์” แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่อีก


    ถ้าเป็นผู้มีศรัทธาแก่กล้า มีความสามารถจะบำเพ็ญตนให้สูงยิ่งขึ้นไปกว่านี้ที่ท่านเรียกว่า “ปรมัตถประโยชน์” ผลอันพึงจะได้รับก็ได้แก่ “โลกุตตรกุศล” กุศลข้อนี้เป็นสิ่งที่ควรทำแก่พุทธบริษัททั้งหลาย สิ่งที่จำเป็นก็มีอยู่ ๒ อย่าง คือ


    (๑) เป็นผู้มีศรัทธา
    (๒) เป็นผู้มีความเพียร


    2.jpg

    เมื่อมีสมบัติในตนได้อย่างนี้ ก็เป็นเครื่องมือสำหรับตนทุกคน ไม่เลือกหน้าว่าคนโง่ คนฉลาด คนหนา คนบาง

    หญิงชายทั้งปวงในโลกเมื่อมีความประสงค์อย่างนี้แล้วก็ให้ตั้งอยู่ในธรรม ๒ ประการ อันเป็นแนวทางของพระนิพพาน คือ

    (๑) สมถภาวนา ทำจิตใจให้สงบ

    (๒) วิปัสสนาภาวนา ทำจิตใจให้มีปัญญา เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงในตนของตน เล็งเห็นสภาพแห่งธรรมซึ่งมีอยู่ในตัว

    สภาพแห่งธรรมนั้น คือ ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วขณะก็ดับไป เหมือนลูกคลื่นในทะเล เมื่อลมพัดแล้วก็เกิดคลื่นน้อยคลื่นใหญ่ในมหาสมุทร ชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน
    สภาพของขันธ์ที่มีอยู่ในตัวก็มีอาการเป็นไปเหมือนลูกคลื่น ฉะนั้นนี่ก็เรียกว่า ‘สภาพธรรม’


    สภาพอีกอันหนึ่ง จะมีคลื่นหรือไม่มีคลื่นก็ทรงอยู่โดยธรรมชาติ เหมือนน้ำทะเลในคราวที่ไม่มีลมก็ราบรื่นใสดี สภาพธรรมที่มีอยู่ในใจของคนทุกคน ซึ่งเป็นสภาพที่ไม่เกิดและไม่แปรผัน ไม่ดับ ไม่สูญ ทรงอยู่ในอาการเช่นนั้นก็มีอยู่ทุกรูปทุกนาม

    ทั้งสองแนวทางนี้เป็นเหตุให้สำเร็จประโยชน์อย่างยิ่ง คือ ‘พระนิพพาน’ ธรรมทั้ง ๒ ประการนี้ ใครต้องการก็มีอยู่ในตนทุกคน ถ้าคนใดรู้จักวิธีการเผยแผ่ แนะนำ และตักเตือนตนเอง ก็จะเกิดประโยชน์โดยไม่ต้องสงสัย


    1.jpg

    ฉะนั้น วิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาจะถือกันแต่ขึ้นธรรมมาสน์แสดงธรรมเพียงเท่านั้น ย่อมไม่พอในวิธีการเผยแพร่ ผู้มีปัญญาย่อมทำให้พุทธบริษัทเกิดศรัทธาด้วย โดยวิธีการต่างๆ เช่น มรรยาทดังกล่าวมา หรือโดยเทศนาปาฏิหาริยะ, อนุสาสนียปาฏิหาริยะ แต่ละอย่างนี้เป็นวิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาทั้งสิ้น

    คัดลอกเนื้อหามาจากหนังสือ ท่านพ่อลี ธมฺมธโร พระอริยเจ้าผู้มีพลังจิตแก่กล้า วัดอโศการาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ


    Credit: ขอขอบพระคุณที่มาจากการคัดลอกเนื้อหาบางส่วนมาจาก ลานธรรมจักร Dhammajak.net
     

แชร์หน้านี้

Loading...