ปลาดุกย่างเป็นเหตุ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 14 ธันวาคม 2005.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    ปัญูญา ฤกษ์อุไร เมื่อเรารดน้ำมนต์หลวงพ่อแพเสร็จแล้ว คุณอำนวยก็บอกข้าพเจ้าว่า ออกจากนี่ เราจะไปวัดอัมพวันกัน วัดอัมพวันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ออกไปทางถนนพหลโยธิน วัดตั้งอยู่ริมทางเลี้ยวเข้าไปประมาณ 500 เมตรเท่านั้น ไหน ๆ ก็มาทำบุญวัดหลวงพ่อแพแล้ว ก็ควรจะเลยไปวัดอัมพวันสักหน่อยก็จะดี
    "หลวงพ่อองค์นี้ดีทางไหน?" ข้าพเจ้าถามคุณอำนวยผู้ แนะนำ
    "ท่านเก่งทางนั่งทางใน และทางวิปัสสนากัมมัฏฐานคุณ อำนวย ชี้แจง
    "ท่านเก่งทางวิปัสสนาก็เป็นเรื่องของท่านไม่เกี่ยวอะไรกะเราผู้เป็นฆราวาส" ข้าพเจ้ายังไม่หายสงสัย
    "เกี่ยวซิ ทำไมจะไม่เกี่ยวยิ่งคนซวย ๆ อย่างผู้ว่ายิ่งเกี่ยวมากขึ้น เพราะอย่างน้อยก็จะได้รู้ว่า เรื่อง ซวยอยู่เวลานี้มันเป็นมาอย่างไร" คุณอำนวยชักฉุน เพราะความขี้สงสัยของข้าพเจ้า
    "รู้แล้วจะมีประโยชน์อะไรไปพบท่านแล้วจะหายซวยกระนั้นหรือ?"
    คุณอำนวยเกาหัวยิกยัก คงจะโมโหที่ข้าพเจ้าสงสัยไม่หมด
    "อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไร จึงได้รับเคราะห์กรรมถึงปานนี้ พระที่นั่งทางในได้นั้นย่อมมองเห็นอดีตและอนาคตของสัตว์โลกทุกชีวิต เขาเรียกว่ามีทิพย์จักษุ หรือญาณจักษุ อะไรทำนองนี้แหละ เข้าใจหรือยัง" เขาอธิบายจบพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่
    "ซาบซึ้งแล้วครับ" ข้าพเจ้าตอบยิ้ม ๆ คุณอำนวยค้อนประหลับประเหลือก คงนึกในใจว่าไม่ควรพาข้าพเจ้ามา ดูจะมีปัญหา มาก เหลือเกิน
    เราออกจากวัดพิกุลทองของหลวงพ่อแพมุ่งตรงไปออกทางเข้าสิงห์บุรีตรงตัดกับถนนพหลโยธิน แล้ววิ่งมาตามถนนพหลโยธินมุ่งเข้ากรุงเทพฯ จากปากทางเข้าเมืองสิงห์บุรี มาได้ประมาณ 8 กม. ก็จะถึงวัดอัมพวัน วัดนี้ถ้ารถยนต์มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ จะอยู่ทางด้านขวามือที่ปากทางมีป้ายเขียนไว้ว่าทางเข้าวัดอัมพวัน หน้าวัดมีโรงเรียนหลังใหญ่อยู่หลังหนึ่ง ชื่อโรงเรียนวัดอัมพวัน เมื่อผ่านโรงเรียนไปแล้วก็จะถึงตัววัด บริเวณวัดกว้างขวางและสะอาดสะอ้าน มีต้นไม้ใหญ่ ๆ หลายต้นร่มรื่นสมกับเป็นที่อยู่ของบรรพชิต
    เมื่อพวกเราไปถึง ท่านอยู่พอดีมีอุบาสกอุบาสิกานั่งอยู่ก่อนแล้ว 4- 5 คน พอคณะของพวกเราประมาณสิบกว่าคนไปถึงบรรดาท่านเหล่านั้นก็ลาหลวงพ่อไป
    คุณอำนวยนำพวกเขาไปนั่งใกล้ ๆ สำหรับข้าพเจ้านั้นให้ไปนั่งข้างหน้าใกล้ ๆ กับหลวงพ่อ หลวงพ่อมีตำแหน่งเป็นพระครูภาวนาวิสุทธิ์ ชาวบ้านแถบนั้นเรียกท่านว่าพระครูจรัญเข้าใจว่าคงจะเป็นชื่อเดิมของท่าน อายุประมาณ 50 เศษ ดูท่าทางเป็นคนเคร่งศีลและวินัย การพูดจาตรงไปตรงมาไม่เกรงใจใครที่นั้น ทำถูกท่านก็ว่าถูก ทำผิดท่านก็ว่าผิด อาศัยเหตุผลเป็นหลักในการพูด เมื่อคุณอำนวยไปหาท่านโอภาปราศรัยดี แสดงว่าคุณอำนวยเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิคนหนึ่ง
    "มาวันนี้ก็ดีแล้ว อยู่ให้ถึงเย็นอาตมาจะให้เขาหุงหาอาหารไว้ให้กิน" ว่าแล้วท่านก็สั่งแม่ชีจัดการหุงข้าวทำกับข้าวเลี้ยงคณะคุณอำนวย โดยที่คุณอำนวยไม่ทันจะพูดว่ากระไร
    "ผมมาวันนี้ นอกจากมากราบนมัสการท่านแล้ว ก็ยังได้แนะนำเพื่อนมาคนหนึ่ง ที่เขาประสบเคราะห์กรรม อยากจะให้หลวงพอช่วยนั่งทางในดูสักทีว่าเรื่องราวมันไปยังไงมายังไงกันถึงได้มาประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้ คุณอำนวยบอกหลวงพ่อ
    "ไหนคนไหน?"
    "คนนี้ครับ" ว่าแล้วคุณอำนวยก็ชี้มือมายังข้าพเจ้าไอ้คนนี้เรอะ ท่าทางดีนี่ไม่เลวเลย แต่หน้าตาดูจะหมองคล้ำไปสักหน่อย คนกำลังมีเคราะห์ก็เป็นแบบนี้แหละ เดียวอาตมาจะนั่งหลับตาดูซิว่ามันเรื่องอะไรกัน" พูดจบท่านก็นั่งหลับตาอยู่ครู่หนึ่ง พอลืมตาคุณอำนวยก็ถาม
    "เป็นยังไงหลวงพ่อ พอไหวไหม?"
    "เฮ้อ ! รายนี้อาการหนักมาก ความจริงดวงชะตาจะขาดอยู่แล้วตั้งแต่เดือนก่อนโน้น มีคนจะมาดักยิงที่บ้านพัก แต่ยิงไม่ได้เพราะที่นั่นมีพระภูมิเจ้าที่แรง ท่านคอยคุ้มกันอยู่ทำให้คนที่ไปดักยิงมันมองไม่เห็นตัว มันเลยยิงไม่ได้ ความจริงมันไปเฝ้าอยู่นอกรั้วบ้านหลายวัน ไม่มีโอกาสเห็นต้วโยมคนนี้ มันเลยเลิกล้มความตั้งใจมิฉะนั้นดวงชะตาขาดไปแล้ว ยังมีหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์เป็นพระเก่าแก่ซึ่งแขวนอยู่ที่คอคอยคุ้มกันอยู่อีกองค์หนึ่ง ทำให้คนคิดร้ายทำอันตรายได้ยาก แต่ระยะนี้พ้นเคราะห์เหล่านั้นมาแล้ว คงไม่เป็นไรหมั่นทำบุญสุนทานมาก ๆ หน่อย ปล่อยสัตว์มีชีวิต เช่น นก ปลามาก ๆ ก็จะดี หลวงพ่ออธิบาย
    "แล้วเหตุที่มีเคราะห์ถึงขนาดนี้ มันเนื่องมาจากอะไรกันละครับหลวงพ่อ" ข้าพเจ้าถามท่านบ้าง เพราะปล่อยให้คุณอำนวยถามมานานแล้ว
    "มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อแต่อาตมานั่งหลับตาทบทวนอยู่ถึงสองสามครั้งผลออกมาเหมือนกัน ซึ่งอาตมาก็ยังงง ๆ อยู่เหมือน กัน
    "งงเรื่องอะไรล่ะครับหลวงพ่อ"
    "งงเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้น่ะซิโยม"
    "เรืองอะไรล่ะครับที่เป็นไปไม่ได้ ในโลกนี้มีเรื่องที่จะเป็นไปได้เสมอ" ข้าพเจ้าว่า "คือตามเรื่องมีว่า โยมรู้ตัวว่ากำลังมีเคราะห์กรรมก็พยายามซื้อลูกปลาตัวเล็ก ๆ ไปปล่อยลงน้ำ เพื่อช่วยชีวิตของลูกปลาเหล่านั้น เรื่องนี้โยมทำมาตั้งแต่ปีที่แล้วใช่หรือไม่ บอกอาตมาตรง ๆ" หลวงพ่อถามข้าพเจ้า แล้วมองหน้า
    "ใช่ครับ ผมรู้ว่าตัวเองกำลังมีเคราะห์ ดวงไม่ดีก็พยายามปล่อยนกปล่อยปลามาตั้งแต่ปีที่แล้ว การปล่อยนกปล่อยปลาเป็นการช่วยชีวิตสัตว์ ไม่เห็นจะผิดบาปอะไรนี่ครับหลวงพ่อ"ถ้าเพียงเอาไปปล่อยนอกจากไม่บาปแล้ว ยังได้บุญอีกด้วยแต่เรื่องนี้มันไม่ยุติแค่นั้น มันยังมีเรื่องยืดเยึ้อต่อมาอีกน่ะซี พูดจบหลวงพ่อถอนหายใจใหญ่
    "ยืดเยื้อ ยังไง ครับ"
    "คือหลังจากเอาเขาไปปล่อยแล้วโยมก็ไปจับเขามากินอีกน่ะซีตอนนี้แหละที่บาปหนัก จวนจะแก้ไม่ตกอยู่แล้วรู้ไหม เท่ากับเราอธิษฐาน เมื่อเวลาจะปล่อยเขาลงน้ำว่าจงไปอยู่เป็นสุขเป็นสุขเถิดเราปล่อยชีวิตเข้าแล้ว เราช่วยชีวิตเข้าให้ยั่งยืนต่อไปแล้ว เจ้าจงไปอยู่เป็นสุขเป็นสุขเถิด เจ้าเวรนายกรรมขอให้มารับส่วนกุศลในการปล่อยชีวิตในครั้งนี้ด้วย เสร็จแล้วหลังจากนั้นไม่นานโยมก็ไปจับเขามากินอีก เท่ากับกลับคำสัตย์อธิษฐานที่ให้ไว้แก่เจ้าเวรนายกรรม ทำให้เจ้าเวรนายกรรมเขาโกรธมากเขาจึงอาฆาตพยาบาทโยมจึงต้องรับเคราะห์กรรมอยู่ขณะนี้ยังไงล่ะนี่แหละที่อาตมาว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ อาตมาดูคนมาแยะ ๆหลายต่อหลายคนไม่เคยพบเห็นเรื่องอย่างนี้เลย" หลวงพ่อพูดจบคว้าบุหรี่มาดูดวาบ ๆ*(หลวงพ่อไม่สูบบุหรี แต่หลวงพ่อนัดยานัตถุ์)
    ข้าพเจ้าบอกหลวงพ่อว่าเรื่องนี้ไม่จริง ข้าพเจ้าปล่อยนกปล่อยปลา เมื่อปีกลายจริง แต่เมื่อปล่อยลงน้ำลงคลองแล้วก็แล้วกันไม่เคยไปตามจับมากินอีก เพราะจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวไหนคือตัวที่ข้าพเจ้าปล่อยไปจะได้จับมากินได้ถูก เพราะข้าพเจ้าไม่ได้ทำเครื่องหมายไว้ และเวลาปล่อยก็ปล่อยครั้งละมาก ๆ ลูกปลาดุกปลาช่อน ปลาหมอ ครั้งละจำนวนร้อย ๆ ตัว จะไปจำปลาแต่ละตัวได้อย่างไร เพราะฉะนั้น เรื่องที่หลวงพ่อว่า จึงไม่มีทางจะเป็นไปได้อย่างแน่นอน สงสัยหลวงพ่อจะดูผิดเสียแล้ว หลวงพ่อหัวเราะอย่าง คน อารมณ์ดี
    "อาตมาไม่ได้ว่าโยมตั้งใจจะจับปลาที่ปล่อยสะเดาะเคราะห์มากิน แต่อาตมาหมายความว่าโยมกินปลาที่โยมสะเดาะเคราะห์เข้าไป จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ อาตมาไม่ทราบเหมือนกันแต่สรุปว่าโยมกินเขาเข้าไปแน่ ๆ โดยปราศจากข้อสงสัย ลองไปนึกทบทวนดูให้ดีเถิด แล้ววันหลังค่อยมาคุยกันใหม่"
    "แล้วเรื่องที่ผมมีเคราะห์กรรมอยู่เวลานี้ล่ะครับจะเป็นอย่างไรบ้าง" ข้าพเจ้าอยากรู้เหตุการณ์ในอนาคตตอนนี้พ้นระยะเคราะห์หนักแล้ว ที่เหลืออยู่เป็นส่วนน้อยและค่อย ๆ หมดไปราว ๆ เดือนเมษายน- พฤษภาคม ปีหน้าก็คงจะพ้นเคราะห์เด็ดขาดไม่เป็นไร ขอชื่อนามสกุล วัน เดือน ปีเกิดให้อาตมาไว้ แล้วอาตมาจะนั่งบริกรรมภาวนาให้เจ้าเวรนายกรรมเขาเห็นใจเลิกจองเวรจองกรรมเสีย ท่านก็หันไปคุยกับคุณอำนวยและคนอื่น ๆ ที่มาคณะเดียวกัน
    วันนั้นข้าพเจ้าไม่ได้อยู่กินข้าวเย็นที่วัดอัมพวัน เพราะเกรงจะกลับกฐงเทพฯ ค่ำ ไม่อยากจะขับรถกลางคืน เพราะกำลังมีเคราะห์อยู่ด้วย ต้องระวังตัวเกรงเกิดอุบัติเหตุ ในระหว่างทางขณะขับรถกลับกรุงเทพฯ ข้าพเจ้าได้ครุ่นคิดไปตลอดทางว่าข้าพเจ้าไปจับปลาที่ปล่อยสะเดาะเคราะห์ไปแล้วเอามากินได้อย่างไรข้าพเจ้าไม่เคยประพฤติเช่นนั้นเลย ไมน่าจะเป็นไปได้ การปล่อยปลาแต่ละครั้งก็ปล่อยจำนวนมาก ๆ และปล่อยในลำคลองหนองบึงเป็นส่วนใหญ่ และเมื่อปล่อยไปแล้วก็แล้วกัน ไม่เคยติดตามเอามากินอีกเลย หลวงพ่อคงจะเลอะเลือนดูทางในผิดไปแน่ๆ แต่ก็ใจไม่ดีคิดว่าบางทีปลาตัวที่เราปล่อยต่อมาพวกจับปลามันจับได้เอาไปขายที่ตลาด เด็กบ้านเราไปจ่ายกับข้าว ซึ้อมาแกงเขาพอดี ถ้าเป็นอย่างนั้นก็มีทางเป็นไปได้เหมือนกัน แต่โอกาสมีหนึ่งในร้อยหรือหนึ่ง ใน พัน
    ต่อมาอีกหลายวันข้าพเจ้าจำได้ว่า ทางอัยการเขาได้นัดส่งฟ้องข้าพเจ้าต่อศาลจังหวัดตราด ซึ่งข้าพเจ้าในฐานะจำเลยก็จะต้องเดินทางไปจังหวัดตราด เพื่อไปฟังคำฟ้องในศาล หลังจากที่อัยการฟ้องเสร็จแล้ว ศาลก็นัดสืบพยาน โดยสืบพยานโจทก์ก่อนในชั้นต้น ศาลได้นัดเดือนละ 2 ครั้ง ก็เป็นอันตกลงกันทั้งอัยการโจทก์และทนายฝ่ายข้าพเจ้า ทางฝ่ายโจทก์ยื่นระบุพยานทั้งหมด37 ปาก ข้าพเจ้าคิดในใจว่า ถ้าสืบพยานครั้งละ 1 ปาก ปีหนึ่งก็จะได้ประมาณ 24 ปาก กว่าจะเสร็จคดีก็คงราว ๆ ปีกว่าหรือ2 ปี ทางทนายของข้าพเจ้าแนะนำให้เตรียมพยานเอาไว้บ้างและใหติดต่อกับเขาเสียแต่เนิ่นๆ ข้าพเจ้านึกถึงนายโกสุมคนขับรถของข้าพเจ้า ว่าเขาคงจะเป็นพยานให้ข้าพเจ้าได้ดี เพราะเขาอยู่ใกล้ชิดกับข้าพเจ้าตลอดมาไม่ว่าข้าพเจ้าจะไปไหนเขาก็มักจะไปด้วยเสมอ ข้าพเจ้าจึงคิดว่าควรอ้างเขาเป็นพยานสักคนหนึ่ง
    เมื่อออกจากศาลแล้ว ข้าพเจ้าก็ไปหาเขาที่บ้านพัก บ้านพักของเขาอยู่ในบริเวณจวนผู้ว่าราชการจังหวัด ที่ข้าพเจ้าเคยพักอยู่นั่นเอง เมื่อไปถึงไม่พบเขาอยู่ที่บ้าน ได้สอบถามภรรยาเขาว่าเขาไปไหน ภรรยาเขาบอกว่า
    "โกสุมไปวิดปลาลอกสระอยู่หลังจวน"
    ข้าพเจ้าจึงเดินอ้อมไปทางหลังจวน จนถึงสระใหญ่สระแห่งนี้มีมานานแล้วตั้งแต่สมัยใดไม่ปรากฏ สมัยโบราณไม่มีน้ำประปาผู้ว่าราชการจังหวัดสมัยก่อนได้ใช้น้ำในสระนี้อาบกินแต่เมื่อมีน้ำประปาแล้ว สระนี้ก็ทิ้งไว้เฉย ๆ มีต้นบัวอยู่เต็มสระพอถึงหน้าแล้งเดือนมีนา -เมษา น้ำก็จะแห้งจนถึงก้นสระ โกสุมจึงถือโอกาสลอกสระแล้วเอาปลาที่อยู่ในสระจำนวนมากมากินเป็นอาหาร ต้มบ้างแกงบ้าง อย่างบางตามแต่จะชอบเมื่อข้าพเจ้าไปถึงปากสระโกสุมเห็นเข้าก็รีบตะกายขึ้นมาบนขอบสระชี้ให้ข้าพเจ้าดูปลาดุก ปลาช่อนตัวขนาดเท่าแขนหลายตัวซึ่งนอนแอ้งแม้งอยู่ในถัง แต่ละตัวอ้วนอ้วน ๆ ทั้งนั้นปลาดุกอุยแต่ละตัวเนื้อเหลืองท้องเหลืองอ๋อยน่ารับประทานเป็นอย่างมาก ถ้าได้ย่างจิ้มน้ำปลาพริกมะนาวซอยหอมใส่นิดหน่อยกินกับข้าวร้อน ๆ ก็คงจะอร่อยดีไม่น้อยคิดแล้วก็น้ำลายไหลด้วยความ อยาก
    "ปลาดุกอุยตัวโต ๆ ทั้งนั้น" ข้าพเจ้ากล่าวขึ้นลอย ๆ
    "ปีกลายนี้ผมก็วิดบ่อหนหนึ่งแล้ว ตอนนั้นท่านยังเป็นผู้ว่าอยู่ผมยังเอาปลาไปให้ท่านกินทั้งหลายตัว ท่านคงจะจำได้ ตอนนั้นมีทั้งปลาดุก ปลาช่อนและปลาหมอ ท่านยังบอกว่าปลาดุกย่างอร่อยดีโกสุมชี้แจง ข้าพเจ้าพยายามนึกทบทวนเหตุการณ์ เมื่อปีที่แล้วมาจำได้ว่า เมื่อข้าพเจ้าย้ายมาเมืองตราดใหม่ ๆ ข้าพเจ้าได้ไปตลาดและได้ซื้อลูกปลาดุก ปลาหมอ ปลาช่อน เป็นจำนวนมาก มาปล่อยลงในสระแห่งนี้ เพื่อสะเดาะเคราะห์ตามคำทำนายของซินแสหมอดู จากจังหวัดระยองที่ทายว่าข้าพเจ้ากำลังมีเคราะห์ ให้รีบสะเดาะเคราะห์ เสีย
    หลังจากนั้นต่อมาอีกหลายเดือน ประมาณ 6 - 7 เดือนเห็นจะได้ ผู้บัญชาการเรือนจำได้นำนักโทษหลายคนมาขออนุญาตข้าพเจ้าขุดลอกสระหลังจวน โดยอ้างว่า สระตื้นเขินมากแล้วตอนนี้น้ำแห้งขอด ควรจะได้ขุดลอกเสีย พอถึงหน้าฝนก็จะได้น้ำเต็มสระ และเป็นน้ำที่ใสสะอาดดีกว่าที่จะปล่อยเอาไว้ให้ตื้นเขินอย่างนั้น ข้าพเจ้าเห็นผู้บัญชาการเรือนจำมีเหตุผลดี จึงได้อนุญาตให้ขุดลอกสระแห่งนี้ได้ ซึ่งเขาได้นำนักโทษมาขุดลอกสระในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น บังเอิญวันนั้นข้าพเจ้าจำได้ว่า มีราชการไปออกท้องที่ประชุมราษฎรที่กิ่งอำเภอบ่อไร่ กลับมาเย็นมากแล้วจึงได้ชวนพรรคพวกมานั่งตั้งวงดื่มสุรากันอยู่ที่บนนอกชานที่จวนนั่นเอง การดื่มสุราของพวกเราก็ไม่ได้ดื่มจนเมามายไม่ได้สติแต่เป็นการดื่ม เพื่อเรียกน้ำย่อยก่อนรับประทานอาหารเย็นคนละแก้วสองแก้วก็เลิกกัน ขณะที่นั่งดื่มเหล้ากันอยู่นั้น โกสุมก็เดินขึ้นมาบนจวนถือจานใบใหญ่มาหนึ่งใบ ในจานมีปลาดุกย่างตัวโต ๆ เนึ้อเหลืองอ๋อย ประมาณ 3- 4 ตัว ข้าพเจ้ายังจำได้ติดตา ว่าเย็นวันนั้นข้าพเจ้ากินข้าวกับปลาดุกย่างจิ้มน้ำปลาอย่างเอร็ดอร่อยเป็นกำลัง เมื่อนึกได้ดังนั้น ก็เกิดเฉลียวใจแว่บขึ้นมาทันทีจึงได้ถามโกสุมว่า
    "ปลาดุกที่ลื้อเอาไปให้อั๊วกินเมื่อปีกลาย เป็นปลาดุกที่วิดจากสระนี้หรือ ?"
    "ใช่แล้วครับ วันนั้นพวกผู้คุมเขาเอานักโทษมาขุดลอกสระผมเลยถือโอกาสผสมโรงผลัดผ้าขาวม้าลงจับปลากับเขาด้วยผมได้ปลามาขังโอ่งไว้ทั้งหลายสิบตัว ผมเห็นปลาดุกตัวโต ๆเนื้อเหลืองดี เลยย่างเอาไปให้ท่านรับประทาน"
    เขากล่าวจบก็มองหน้าข้าพเจ้า คล้ายจะถามว่าข้าพเจ้ามาถามเขาทำไม?
    "ตายแล้ว ถ้าอย่างงั้นก็คงเป็นปลาดุกที่ผมเอามาปล่อยตอนที่ย้ายมาเป็นผู้ว่าใหม่ ๆ ละซี ปล่อยเขาแล้วเอาเขามากินอีกยิ่งบาปกรรมหนักยิ่งขึ้น แล้วนี่ผมจะทำยังไงดี ?" ข้าพเจ้าบอกโกสุมด้วยความกังวลใจ
    "แฮ่ะ แฮ่ะ ผมก็ไม่รู้จะว่ายังไง เพราะเห็นว่ามันเนื้อเหลือง ๆ ตัวโต ๆ ก็คิดว่าท่านคงชอบ ผมเองก็ไม่ทราบว่าท่านเอามาปล่อยไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ กินเข้าไปแล้วก็แล้วกันเถอะครับเมื่อเราไม่เจตนาก็คงจะไม่บาปมากนัก" เขากล่าวปลอบใจข้าพเจ้า
    "ไม่บาปกะผีอะไร หลวงพ่อท่านว่าแบบนี้บาปหนักมากต้องรับเคราะห์กรรมไปอีกนาน" ข้าพเจ้าบอกเขา
    "หลวงพ่ออะไรครับ?"
    "หลวงพ่ออ้า...เอ อย่าไปรู้เลย ชั่งมันเถอะ พูดจบข้าพเจ้าก็ลาเขากลับ สวนเรื่องที่จะขอให้เขาเป็นพยานก็ลืมไปสนิทเหมือนมีอะไรมาบังหัวใจเอาไว้ ที่คิดว่าจะพูดก็เลยไม่ได้พูดตอนขากลับจากจังหวัดตราดวิ่งรถเข้ากรุงเทพฯ ข้าพเจ้านั่งครุ่นคิดมาตลอดทาง นึกถึงคำพูดโต้ตอบของข้าพเจ้ากับหลวงพ่อที่วัดอัมพวัน
    "เป็นไปไม่ได้หรอกครับหลวงพ่อ ที่ผมปล่อยชีวิตเขาไปแล้ว จะไปจับเขามากินอีก ผมจะไปรู้ได้อย่างไรว่าปลาตัวไหนเป็นปลาที่ผมปล่อยไป จะได้จับมากินได้ถูก ยิ่งกว่านะผมยังปล่อยปลาครั้งละเป็นร้อย ๆ ตัว ยิ่งไม่มีทางจะเป็นไปได้เลย"
    "เป็นไปได้แน่นอน และก็เป็นแล้วด้วย อาตมานั่งทางในเห็นชัดเจนและก็ยังสงสัยอยู่ ว่าทำไมโยมถึงทำเช่นนั้น"
    ข้าพเจ้าคิดสับสน จนบอกไม่ถูกว่าทำไมเรื่องราวในชีวิตของเราเองจึงได้ยุ่งเหยิงสับสนวุ่นวายถึงขนาดนี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...