ปลงธรรมสังเวช "เราจะตายด้วยกันทั้งนั้น"

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย หม้อหุงข้าว..!, 29 มกราคม 2012.

  1. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    ปลงธรรมสังเวช เราจะตายด้วยกันทั้งนั้น

    เทศน์อบรมพระและฆราวาส ณ วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ
    เมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๔(บ่าย)



    [SIZE=+0]การถ่ายรูปนี่มันมากเหลือเกินนะ ทำลายธรรมเวลาเทศนาว่าการ จำให้ดีทุกคนนะ ธรรมไม่ใช่ตุ๊กตาเครื่องเล่นของเด็ก อย่าเอามาเล่นในสถานที่มหามงคลอย่างนี้นะ นี่หลวงตาพูดเอง มันต้องอย่างนั้น พอดี[/SIZE][SIZE=+0]

    [/SIZE][SIZE=+0]ขอให้ปลงธรรมสลดสังเวชในบรรดาชาวพุทธเราทุกถ้วนหน้า คือท่านเจ้าคุณเทพโมลี ท่านได้มรณภาพลงไปเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว วันนี้เป็นวันปลงศพหรือถวายเพลิงท่าน พี่น้องชาวไทยเราซึ่งเป็นชาวพุทธควรจะรับความสลดสังเวชอย่างถึงใจในวันนี้ เพราะความตายนี้ประกาศมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้ว ไม่ค่อยมีใครตื่นเนื้อตื่นตัวกันเลย ตื่นตั้งแต่ความไปตามความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ตื่นไม่มีเวลาวันหยุดวันหย่อน ตื่นตั้งกัปตั้งกัลป์มาแล้ว ยังจะตื่นต่อไปอีกไม่มีขอบเขตเหตุผลอันใดเลย นี่คือความตื่นโลกตื่นไปตามกิเลสตัณหา ความที่จะตื่นในอรรถในธรรม ปลงธรรมสังเวชว่า โลกทั้งโลกนี้คือโลกเกิดโลกตายไม่ค่อยได้คิดกันบ้าง อย่าพากันดีดกันดิ้นจนเกินเหตุเกินผล จนลืมเนื้อลืมตัวว่าป่าช้าไม่มีกับเราทุกคนๆ ทั้งๆ ที่ป่าช้ามีอยู่อย่างเต็มตัว อย่างนี้เรียกว่าเป็นความประมาทมากสำหรับชาวพุทธของเรา
    [/SIZE][SIZE=+0]
    [/SIZE][SIZE=+0]วันนี้เป็นวันที่กระเทือนให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบทั่วถึงกัน ถ้าใครยังไม่มองเห็นให้มาดูหน้าเมรุนี้ นี้คือศพของท่านเจ้าคุณเทพโมลี ท่านตายแล้ว ท่านไปตามบุญตามกรรมของท่านที่บำเพ็ญบารมีมามากน้อย ท่านไม่มาแบ่งสันปันส่วนเอาบุญเอาบาปกับพวกเรา ท่านเป็นผู้บำเพ็ญตัวของท่านโดยดีมาตลอดเวลา บุญกุศลเป็นสมบัติอันล้นค่าที่จะค้ำชูจิตใจของท่านให้ไปสถานที่ดีคติที่ เหมาะสม ท่านไม่ได้มาหวังเอาวกๆ เวียนๆ กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา จากพวกเราแหละ เรื่อง กุสลา ธมฺมา นั้นเป็นเครื่องเตือนจิตใจของพี่น้องชาวไทยเราทั่วหน้ากัน ได้พากันระลึกแล้วหรือยัง

    กุสลา ธมฺมา[/SIZE][SIZE=+0] คือหมายความว่า ธรรมที่ยังบุคคลให้มีความเฉลียวฉลาด อกุสลา ธมฺมา สิ่งที่ทำบุคคลให้โง่ ถ้าใครเจริญทาง อกุสลา ธมฺมา ก็โง่เข้าไปโดยลำดับ โง่ไม่มีหยุดสิ้นสุดยุติลงได้ โง่ตั้งกัปตั้งกัลป์ กอบโกยเอาความทุกข์ไปจากความโง่ตั้งกัปตั้งกัลป์ ตลอดไปเรื่อยๆ ถ้าผู้มี กุสลา ภายในใจ ระลึกถึงเรื่องความเป็นความตาย ระลึกถึงบาปถึงบุญในหัวใจของเรา พอที่จะได้เป็นข้อคิดต่างๆ บ้างตามสายธรรมพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนมาเป็นเวลานาน เราจะพอมีเครื่องยึดเครื่องเกาะในจิตใจของเรา
    [/SIZE][SIZE=+0]
    [/SIZE][SIZE=+0]เวลานี้พวกเราทั้งหลายมีอะไรเป็นเครื่องเกาะเครื่องยึด พิจารณาดูซิ โลกนี้กว้างขนาดไหน โลกนี้มีกี่พันล้านมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันนี้ ตลอดถึงสัตว์ ดินฟ้าอากาศ ต้นไม้ ภูเขา มีมากขนาดไหน เป็นสาระอะไรบ้างสำหรับหัวใจเราที่จะเกาะจะยึดพอเป็นฝั่งเป็นฝา ให้หลุดรอดพ้นจากภัยคือความทุกข์ทั้งหลายไปได้ มองแล้วมันไม่มี มันมีแต่ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ ตลอดต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศ มันเป็นเรื่องของเขาโดยสมบูรณ์ เขาไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรจากพวกสัตว์ทั้งหลายเรานี้เลย ส่วนที่มีส่วนได้ส่วนเสียจริงๆ ก็คือบาปคือบุญ การทำดีทำชั่ว นี้แลเป็นตัวสำคัญมาก ขอให้เอา กุสลา ความฉลาดจับเข้าไปในจุดนี้ ท่านทั้งหลายจะรู้เนื้อรู้ตัวว่าเราเกิดเป็นอะไร เกิดเป็นมนุษย์หรือเกิดเป็นอะไร[/SIZE][SIZE=+0]

    [/SIZE][SIZE=+0]มนุษย์ นั้นตั้งชื่อให้เป็นเทวดาก็ได้ อยู่ในเรือนจำก็ไม่อดไม่อยาก ตั้งชื่อเทวดาก็ตั้งได้ แต่บาปกรรมที่เจ้าของทำลงไปนั้นมีเป็นธรรมชาติ ที่เหนืออำนาจของทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอันใดที่จะเหนืออำนาจกรรมไปได้เลย ท่านจึงแสดงไว้เป็นพระบาลีว่า นตฺถิ กมฺมสมํ พลํ ไม่มีอานุภาพใดที่ จะเหนืออานุภาพแห่งกรรมดีกรรมชั่วของสัตว์ที่ทำไว้แล้วได้เลย ใครจะทำดีทำชั่วขนาดไหน กฎธรรมชาติคืออำนาจนี้จะต้องบีบบังคับอยู่ภายในนั้น แล้วพาไปดีจนได้ไม่สงสัย พาไปชั่วได้ไม่สงสัย ด้วยอำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่ว
    [/SIZE][SIZE=+0]
    [/SIZE][SIZE=+0]เพราะฉะนั้นจงให้พากันระลึกถึง กุสลา ธมฺมา ที่ท่านจะสวดในวันนี้ ถ้าระลึกไม่ได้วันไหนขอให้ระลึกวันนี้ว่า กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา อพฺยากตา ธมฺมา ท่านสวดมาเสียมากมายขนาดไหน แม้แต่ผู้สวดเองอย่างหลวงตาบัวนี้ก็เคยสวด ไปกินข้าวต้มขนมเขามามากมาย ไม่ทราบว่า กุสลา ธมฺมา หมายความว่ายังไง ผู้มาถวายก็ทำเป็นพิธี พอทำเป็นพิธี กุสลา ธมฺมา มาติกา แล้ว เวลาพระท่านสวดมนต์ก็คุยโม้กันเต็มบ้านเต็มเมือง มันเป็นสภาโม้ในสถานที่ กุสลา ธมฺมา เราทั้งหลายรู้ไหมว่า ชาวพุทธมันกลายเป็นชาวผีไปแล้วเวลานี้
    [/SIZE][SIZE=+0]
    [/SIZE][SIZE=+0]ศาสนา พระพุทธเจ้าเลิศเลอขนาดไหน ท่านทั้งหลายอยากทราบให้ปฏิบัติตัวลงไป สวากขาตธรรม พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชอบแล้ว ชอบอะไร บุญเป็นบุญ บาปเป็นบาป นรกเป็นนรก สวรรค์เป็นสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เป็นพรหมโลก นิพพาน เปรตผีประเภทต่างๆ เต็มทั่วไตรโลกธาตุเป็นมากี่กัปกี่กัลป์ พากันระลึกรู้หรือเปล่าว่า พระพุทธเจ้าสอนว่ายังไง เราจะเพียงว่าเกิดว่าตายเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไร แล้ว กุสลา ธมฺมา ก็ทำเป็นพิธี ตายแล้วก็พอเป็นพิธี ไปถวายทาน กุสลา ธมฺมา คุยโม้กัน เป็นโอกาสอันดีสำหรับคนที่โง่เขลาเบาปัญญาและมืดบอดที่สุด จะไปสนทนากัน เป็นโอกาสอันดีงามในเวลาที่พระท่านมาสวด กุสลา ธมฺมา เป็นอย่างนี้เสียส่วนมาก เฉพาะอย่างยิ่งกรุงเทพเป็นที่หนึ่ง
    [/SIZE][SIZE=+0]
    [/SIZE][SIZE=+0]ไม่ว่าสถานที่ใดหลวงตาเคยไปเทศน์ไปสวด กุสลา กินข้าวต้มขนมกับเขาเหมือนกัน แต่เราไม่อยากยินดีกินข้าวต้มแหละ ไปมีตั้งแต่เรื่องคุยโม้ ระบายทุกข์ต่อกันนะนั่น ใครมาจากที่ไหนก็ระบายทุกข์ต่อกัน คนนั้นได้ทุกข์ทางนั้น คนนี้ทุกข์ทางนี้ ตั้งแต่วันตื่นนอนขึ้นมาขวนขวายไขว่คว้าหาตั้งแต่ความสุขๆ ครั้นเวลาได้แล้วมีตั้งแต่ความผิดหวังๆ มาเต็มหัวอก เวลามีโอกาสมาคุยกัน ระบายตั้งแต่เรื่องความทุกข์ความร้อนแต่ละบุคคลๆ มาหากัน มีแต่แบบนั้นแหละ กุสลา ธมฺมา แปลว่าอะไร มันไม่ได้สนใจฟังนะ แล้วเราจะหวังเอาอะไรเป็นที่พึ่ง พิจารณาซิ[/SIZE][SIZE=+0]

    [/SIZE][SIZE=+0]เราจะพึ่งยศก็ตั้งขึ้นเฉยๆ ประสายศ ตั้งขึ้นฟากจรวดดาวเทียมก็ตั้งได้ ไอ้ยศไอ้ชื่อ ชื่ออย่างนั้นชื่ออย่างนี้ตั้งเลยจรวดดาวเทียมก็ได้ แต่ตัวของเรามันหาบบาปหาบกรรมด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา ด้วยการสร้างความชั่วนี้กอบโกยตลอดเวลา ความทุกข์อันนี้จะเผาหัวใจเรา ได้พากันคิดแล้วยัง นี่คือธรรมของพระพุทธเจ้าเตือนพี่น้องทั้งหลาย ประกาศก้องมาเฉพาะพระพุทธเจ้าของเรานี้ได้ ๒๕๐๐ กว่าปีนี้แล้ว โก นุ หาโส กิมานนฺโท นิจฺจํ ปชฺชลิเต สติ อนฺธกาเรน โอนทฺธา ปทีปํ น คเวสถ ก็เมื่อโลกสันนิวาสนี้เป็นฟืนเป็นไฟของความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา เผาไหม้สัตว์ตลอดมานี้ ยังหัวเราะรื่นเริงเป็นบ้ากันอยู่เหรอ เมื่อไรท่านทั้งหลายจะหาที่พึ่ง นั่นฟังซิ นี่ละภาษิตอันนี้เป็นพุทธพจน์ที่ทรงแสดงไว้แล้ว
    [/SIZE][SIZE=+0]
    [/SIZE][SIZE=+0]เราทั้งหลายเป็นยังไง ยัง โก นุ หาโส กิมานนฺโท อยู่เหรอ รื่นเริงบันเทิงไปหาอะไร ตายแล้วจะไปที่ไหนได้รู้แล้วยัง คติความตายความเป็นอยู่ของเจ้าของ จะเกาะอะไร ถ้าเกาะเงิน-เงินก็พัง พอชีวิตจิตใจหายลงไปเท่านั้น เงินซึ่งสมมุติขึ้นเป็นกระดาษบ้าง เป็นแร่ธาตุต่างๆ บ้าง ตั้งชื่อตั้งนามขึ้นว่าเป็นเงินเป็นทอง เป็นข้าวเป็นของเป็นเพชรนิลจินดา มันก็เป็นแร่ธาตุธรรมดาๆ เรานั้น มันวิเศษวิโสอะไรเกลื่อนแผ่นดินอยู่นี้ เรามาเสกสรรปั้นยอพอได้อาศัยไปในการเกี่ยวข้องสังคมซึ่งกันและกัน ให้เป็นความสะดวกในการจับจ่ายซื้อขายเพียงเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงว่าจะให้เป็นตัวเป็นตน ฝากเนื้อฝากตัวไปกับสมบัติเงินทองข้าวของเหล่านี้ แล้วไปสวรรค์นิพพานเลย มันเป็นไปไม่ได้นะ
    [/SIZE][SIZE=+0]
    [/SIZE][SIZE=+0]สมบัติเหล่านี้พาให้ลงนรกก็ได้มากมาย คนที่มีเงินทองข้าวของมากๆ มันลืมเนื้อลืมตัว ทุกสิ่งทุกอย่าง เมียอยากได้ ๔๐-๕๐-พันคนมันก็หาได้ ผู้หญิงก็เหมือนกันตัวเก่ง ผู้ชายนี่เอาเท่าไรมาเป็นผัวมันเป็นได้ทั้งนั้น เพราะเรามีเงินมากมีสมบัติมาก มียศถาบรรดาศักดิ์สูง ยิ่งเขายกยอให้เป็นคุณหญิงคุณนายด้วยแล้วยิ่งเป็นบ้าสดๆ ร้อนๆ ก็ผู้หญิงด้วยกัน ตั้งไม่ตั้งมันก็เป็นผู้หญิง ผู้ชายก็เหมือนกันนั่นแหละ นี่หลักธรรมชาติพี่น้องทั้งหลายฟังเสียนะ ธรรมในหลักธรรมชาติท่านแสดงอย่างนี้ ท่านไม่แสดงแบบโลกที่ประจบประแจงเลียแข้งเลียขา
    [/SIZE][SIZE=+0]
    [/SIZE][SIZE=+0]เห็นกันแล้ว ดีนะๆ ดีอะไร ไฟไหม้หัวใจมันอยู่ทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน ตั้งแต่ตื่นนอนมาจนกระทั่งหลับมันหาความสุขที่ไหนมาติดหัวใจ มันไม่เคยมี ถ้าว่าเงินก็อยู่ในกระเป๋า อยู่ในบ้านในเรือน ฝากตามธนาคารต่างๆ มันก็อยู่ตามนั้นๆ เจ้าของก็แบกกองทุกข์ตลอดเวลา มีความหมายอะไรกับสมบัติเหล่านั้นถ้าเจ้าของไม่ฉลาด หาสมบัติเหล่านั้นมาเป็นประโยชน์ มีมากมีน้อยเฉลี่ยเผื่อแผ่เพื่อเพื่อนเพื่อฝูงเพื่อชาติบ้านเมือง ให้เป็นประโยชน์แก่คน อันนั้นเป็นสมบัติ สมบัติแปลว่าความถึงพร้อม ถึงพร้อมที่จะให้เจ้าของได้รับความสมบูรณ์พูนผล เป็นกุศลผลบุญขึ้นจากการบำเพ็ญของเรา ได้มาแล้วลืมเนื้อลืมตัว นั้นเงินเป็นเครื่องสังหารเป็นเพชฌฆาตฆ่าคนที่มั่งมีมากๆ ให้ขาดสะบั้น ลงนรกก็ลงได้คนพวกนี้[/SIZE]
     
  2. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    [SIZE=+0]ยกตัวอย่างเช่นเศรษฐี นี่เหล่านี้ท่านผู้เรียนมาๆ ด้วยกันรู้ด้วยกันเถียงกันไม่ได้นะ เศรษฐีมีเงินมาก เรายกมาเพียง ๓ สกุล เศรษฐีมีเงินมากไปที่ไหนล่อไปหมด เอาเงินไปหว่านให้ผู้หญิงคนนั้นให้ผู้หญิงคนนี้ หว่านแล้วก็ล่อเข้ามาเป็นคนบำรุงบำเรอ พวกลูกพวกผัวครอบครัวเหย้าเรือนโคตรวงศ์ของเขาเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้กันทั้ง โคตรทั้งแซ่ ไม่ได้คำนึงเลย ได้ผู้หญิงคนนั้นด้วยการหลอกลวงโดยการเงินการทองของเราเราเป็นที่พอใจ ทีนี้เวลาตายไปแล้วลงนรก ท่านแสดงไว้ว่า พื้นฐานแห่งผิวนรกนั้น จากนี้ลงไปถึงก้นนรก พวกสัตว์ ๓ ประเภทที่ตกนรกนี้หมุนตัวลงไปได้ ๖ หมื่นปี ภาษาบาลีก็มีแต่ไม่นำมาแสดง จะแสดงแต่เนื้อๆ ที่เป็นอรรถเป็นธรรมเข้าใจกันแล้วแก่พี่น้องทั้งหลายเท่านั้น[/SIZE]

    [SIZE=+0]เวลาลงจากพื้นมนุษย์เราไปนี้ ลงไปจมตั้งแต่ผิวนรก ลงไปถึงพื้นนี้ เสวยทุกขเวทนาอย่างสาหัส ลงไปเป็นเวลา ๖ หมื่นปี ๖ หมื่นปีทิพย์กับ ๖ หมื่นปีเราธรรมดานี้ต่างกันอย่างไรบ้าง ฟังซิ แล้วก็ไปจมอยู่ในนรกนั้น ๖ หมื่นปีแล้วก็ฟื้นขึ้นมา ใน ๖ หมื่นปีนั้นชั่ว ฟ้าแลบก็ไม่มีที่ว่าจะได้รับความสุขบ้างนิดหน่อย จากนั้นก็ขึ้นมา ลอยขึ้นมาก็ไฟบาปไฟกรรมนั้นก็เผาขึ้นมาจนกระทั่งถึงผิวนรกอีกเป็น ๖ หมื่นปี รวมสามหกเป็น ๑๘ หมื่นปี นี่ที่สัตว์นรกที่เก่งๆ มีเงินมากสมบัติมาก เอาเงินเอาทองไปหลอกลวงผู้หญิงเอามาเป็นหญิงบำเรอมาเป็นเมียของตัวเอง แล้วทำความเดือดร้อนแก่สกุลของเขาหมดทั้งโคตรทั้งแซ่ ล่มจมไปด้วยความเดือดร้อนวุ่นวาย ตัวนี้ก็มาเป็นผลให้เป็นความล่มจมถึงกับต้องไปตกนรก[/SIZE]

    [SIZE=+0]ไหลลงไปนรก ๖ หมื่นปีด้วยความแผดเผาแห่งกรรมอันสาหัสนั้น แล้วไปอยู่ในนรกอีก ๖ หมื่นปี แล้วฟื้นขึ้นมาก็ไหลขึ้นมาอีก ๖ หมื่นปี เดี๋ยวนี้ยังหมุนอยู่ ๑๘ หมื่นปีนี้ยังไม่ได้ขึ้นจากนรก ท่านทั้งหลายเก่งกล้าสามารถไปหาเอาผัวไปหาเอาเมีย ไปหามาบำเรอ จากนี้ไปถึงบ้านแล้วมันมีเท่าไรผู้หญิงเหล่านี้ เต็มบ้านเต็มเมืองอยู่นี้มีมากขนาดไหน ถ้ายังไม่พอใจไปหาเอาหมาตามไร่ตามนาตามสวนเขามาเป็นผัวเป็นเมียอีกก็ยังได้ เอ้า ตายแล้วให้มันไปคูณกันอีกสักเท่าไร ๑๘ หมื่นปีนี้พวกหาผัวมากหาเมียมาก เพราะมีเงินมากลืมเนื้อลืมตัว หลงเนื้อหลงตัว ลืมยศหลงยศ ลืมรายร่ำรายรวยเลยไม่คิดถึงเรื่องนรก เวลามันเผาแล้ว ๑๘ หมื่นปี แล้วเป็นยังไง[/SIZE]

    [SIZE=+0]นี่เพียงมนุษย์เพียงเท่านี้ ท่านไม่ได้กล่าวไว้ในคัมภีร์นะว่า พวกเหล่านี้เขาไปหาเอาหมูเอาหมามาเป็นเมียเพิ่มเติมอีก ถึงขนาดนั้นเขาตกนรกถึง ๑๘ หมื่นปี ถ้าเราได้หมามาเป็นเมียเป็นผัวเราเข้าอีกแล้วจะกี่หมื่นปี คูณกันเข้าไปซิจะเป็นยังไง เรายังกล้าหาญอยู่หรือเวลานี้ ชาวพุทธของเราแท้ๆ มันเป็นยังไง มันหมดแล้วหรือเรื่องบาปเรื่องบุญในความรู้สึกของเรานั้น ถ้ายังไม่หมดให้ระลึกหนา พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาในโลกอันนี้ นับตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งถึงวันตาย หนึ่งองค์ สององค์ สามองค์ นับไม่จบ ตรัสรู้มานานเท่าไรกี่กัปกี่กัลป์ มาเป็นองค์ศาสดาสอนโลก สอนแบบเดียวกันหมด[/SIZE]

    [SIZE=+0]เห็นบาปว่าบาป เห็นบุญว่าบุญ เห็นนรกว่านรก สวรรค์เป็นสวรรค์ นิพพานเป็นนิพพาน พรหมโลกเป็นพรหมโลก เปรตผีประเภทต่างๆ เต็มท้องฟ้ามหาสมุทรในไตรโลกธาตุนี้ ทรงสอนตามความรู้ความเห็นอย่างแท้จริง ไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์ใดสอนแหวกแนวกันเลย สอนแบบเดียวกันนี้มานานเท่าไร เรายังไม่รู้สึกตัวของเราอยู่หรือ เรายังจะหลับหูหลับตาอยู่อย่างนี้ตลอดไปไม่คิดถึงเรื่องบุญเรื่องบาปอะไร บ้างเหรอ บุญบาปที่เราไม่คิดถึงนั้นแหละ ส่วนมากก็คือบาปมันจะเผาหัวใจเรา[/SIZE]

    [SIZE=+0]เวลานี้เราเอาอะไรเป็นเครื่องรับรอง เงินไม่ใช่รับรองเราไม่ให้ไปตกนรกนะ ให้ไปสวรรค์ ถ้าเราไม่แปรสภาพสมบัติเงินทองข้าวของเหล่านั้นมาเป็นสิริมงคลแก่ตน โดยการบริจาคหรือโดยการเฉลี่ยเผื่อแผ่ ให้เป็นผลเป็นประโยชน์แก่สัตว์และบุคคลส่วนรวมทั่วๆ ไปแล้วก็เป็นผลเป็นประโยชน์ นี้จะพาเราไปสวรรค์ได้ไม่สงสัย จนกระทั่งถึงนิพพานก็ไปได้ด้วยอำนาจแห่งทาน[/SIZE]

    [SIZE=+0]พระพุทธเจ้าพระองค์ใดทรงแสดงไว้เรื่องของทานทั้งนั้น เป็นอันดับหนึ่ง ไม่ได้แสดงว่าความตระหนี่ถี่เหนียว ความเห็นแก่ตัว ความคดความโกงความรีดความไถนี้ว่าเป็นสิริมงคลทำโลกให้ร่มเย็น นอกจากทำโลกให้ล่มจมโดยถ่ายเดียว เพราะความตระหนี่ถี่เหนียว ความเห็นแก่ตัว ความคดความโกงความรีดความไถ พอได้พอเอา ได้แง่ไหนเอาทั้งนั้น นี้พาจม สำหรับความดีที่เราสร้างได้จากสมบัติของเราที่มีมากน้อยนี้ พาไปสวรรค์ไปนิพพานพรหมโลกถึงหมด นี่คือความดี เราจะแปรสภาพสมบัติเงินทองของเราที่มีอยู่เวลานี้ ยังมีอำนาจเต็มที่ ไปในทางใด ให้พิจารณาเสียแต่บัดนี้[/SIZE]

    [SIZE=+0]อย่าพากันกอบกันโกยกันรีดกันไถ การกว้านการกวาดเข้ามาหาว่าเป็นของตนๆ เวลาตายแล้วนี้ละคือฟืนคือไฟนรกมันจะเผาสัตว์โลกผู้เก่งๆ ตัวเหนืออำนาจของกรรมนี้ เวลาตายลงไปแล้วอำนาจของกรรมไม่มีใครเหนือได้ละสัตว์ โลกธาตุนี้ไม่มี เพราะกรรมเป็นธรรมชาติที่หนาแน่นมากเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง กรรมดีก็มีอำนาจมาก กรรมชั่วก็มีอำนาจมาก ถ้าเราทำให้เป็นกรรมชั่วก็จมได้คือเราไม่ใช่ใครละ ใครเก่งๆ เอ้า สร้างลงไป อย่าท้าทายพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ที่ตรัสรู้สอนโลกมาด้วยความถูกต้องดีงามนั้นว่าเป็นของไม่ถูกต้อง แล้วลบล้างให้หมด[/SIZE]

    [SIZE=+0]บรรดาพระพุทธเจ้า ว่าบาปมี บุญมี นรกสวรรค์มี พรหมโลกนิพพานมี เปรตผีประเภทต่างๆ มี นั้นลบให้หมด ให้มีเหลือตั้งแต่อันธพาลเราคนเดียวที่เลิศเลอในโลกเรานี้ สร้างความชั่วให้เต็มเหนี่ยวของตัวเอง แล้วไปอยู่เหนืออำนาจของกรรม ไปขึ้นขี่บนหัวกรรมของพระพุทธเจ้าที่สอนไว้ทุกองค์ได้ไหม ถ้าเราไม่สามารถที่จะไปขึ้นขี่บนหัวของกรรมที่มีอำนาจได้แล้ว เราอย่าท้าทายพระพุทธเจ้า อย่าท้าทายพระธรรม อย่าท้าทายพระสงฆ์ ซึ่งเป็นธรรมชาติที่ให้ความร่มเย็นแก่โลก เป็นมหามงคลแก่โลกมานานแสนนานแล้ว เพียงความคิดความเห็นของเรา มีแต่ความพินาศฉิบหายแก่ตัวของเรา ทำความพินาศฉิบหายแก่ตัวของเราและผู้เกี่ยวข้องตลอดทั่วไป เรียกว่าตลอดทั่วถึง ใครทำความชั่ว กระจายไปได้หมดนั่นแหละความชั่ว เรื่องกรรมต้องเป็นอย่างนั้น[/SIZE]

    [SIZE=+0]วันนี้ได้พูดถึงเรื่อง กุสลา ธมฺมา ให้พี่น้องทั้งหลายไประลึก อย่าพากันไปเป็นบ้าสวด ฟังเพลิน คุยระบายความทุกข์ตามสถานที่ต่างๆ ฟังแล้วฟังไม่ได้เลยนะ ชาวพุทธเรานี่มันกลายเป็นชาวผีไปนานสักเท่าไรแล้วเวลานี้ มันรู้ตัวหรือยังว่าพระพุทธเจ้ากระเทือนโลกมานานแสนนานตั้งกัปตั้งกัลป์ องค์ปัจจุบันนี้ก็ ๒๕๐๐ กว่าปี เป็นธรรมที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว มันเห็นเป็นความแปลกประหลาดในหัวใจอะไรหรือไม่ หรือเห็นตั้งแต่ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ที่จะเผาหัวใจนั้นว่าเป็นของดิบของดีเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วช่วยไม่ได้นะ[/SIZE]

    [SIZE=+0]พระพุทธเจ้าจะมากี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านๆ องค์ก็ไม่มีทางที่จะแก้ไขได้ช่วยได้ ถ้าเราไม่ช่วยตัวเองเสียตั้งแต่บัดนี้ จากคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้ด้วยความถูกต้องแม่นยำ ถ้าเราปฏิบัติตนตั้งแต่บัดนี้ต่อไปแล้ว ชั่วก็ตามคนเรา เมื่อไม่รู้มันก็ชั่วทำชั่ว ได้ แล้วแก้ไขให้เป็นคนดีก็ได้ คนดีก็เพิ่มเติมส่งเสริมในความดีของตนให้มีหนักแน่นมั่นคงขึ้นไปก็ทำได้ มนุษย์เรา เวลามีชีวิตอยู่นี้ แต่เวลาตายไปแล้วจะนิมนต์พระมาทั่วประเทศไทย กุสลา ธมฺมา ก็ไม่มีความหมายอะไรเลย ถ้าเจ้าของไม่รีบแก้ไขเจ้าของเสียตั้งแต่บัดนี้[/SIZE]

    [SIZE=+0]กุสลา ธมฺม[/SIZE][SIZE=+0]า ท่านสวดให้คนเป็นฟัง ให้รู้ได้สติสตังพินิจพิจารณา ไปประพฤติปฏิบัติแก้ไขตนเองต่างหาก ท่านไม่ได้สอนให้ กุสลา ธมฺมา เพื่อคนตายนะ ถ้าสอน กุสลา ธมฺมา เพื่อคนตายให้เป็นผลประโยชน์ตามความต้องการแล้ว ไม่จำเป็นอะไรแหละ บ้านหนึ่ง เมืองหนึ่ง หรือจังหวัดหนึ่งนี้ นิมนต์หลวงตามาสักองค์นึงมาไว้ประจำจังหวัดนั้นๆ เช่น กรุงเทพอย่างนี้เป็นเมืองใหญ่ เอามาไว้สัก ๕ องค์ หลวงตาอยู่ย่านนั้นองค์หนึ่ง อยู่ย่านนี้ ๕ องค์ เวลาคนตายก็นิมนต์หลวงตาเหล่านั้นมา องค์ใดก็ได้สำเร็จด้วยกันหมด มา กุสลา ธมฺมา ยกคนคนนี้ให้เขาไปสวรรค์นิพพานด้วยนา ไปกันหมดแล้วศาสนาก็ไม่มีความหมาย บุญกุศลก็ไม่มีความหมาย สร้างหาอะไร สู้หลวงตาองค์เดียวไม่ได้[/SIZE]

    [SIZE=+0]แต่นี้มันไม่เป็นอย่างนั้นซี นิมนต์มากว้านมาทั่วประเทศไทยไม่เกิดประโยชน์ ถ้าเจ้าของหาสาระไม่ได้เสียอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นจงให้พากันสร้างคุณงามความดีเสียตั้งแต่บัดนี้ อย่าพากันนอนจมอยู่เฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเวลานี้ หลวงตาพูดจริงๆ หลวงตาเปิดอกให้พี่น้องทั้งหลายฟังด้วยการปฏิบัติมา ตั้งแต่เริ่มแรกออกมาปฏิบัติ ทีแรกหัวใจนี้ก็เป็นธรรมดาเหมือนพี่น้องชาวไทยเราทั่วประเทศดินแดนนั่นแหละ เขาหนาขนาดไหนเราก็หนาขนาดนั้น มีความรู้สึกอะไรก็เหมือนโลก เชื่อบาป เชื่อบุญ เชื่อนรกสวรรค์ ก็เชื่อไปอย่างนั้นแหละ ลุ่มๆ ดอนๆ สุ่มสี่สุ่มห้า แต่เวลาเชื่อความอยากความทะเยอทะยานที่จะสร้างฟืนสร้างไฟให้ตัวเองนี้ไม่มี วันจืดจาง หนาแน่นเข้าทุกวันๆ ท่านเหมือนเรา เราเหมือนท่าน[/SIZE]

    [SIZE=+0]เวลาเข้ามาศาสนา เข้ามาปฏิบัติศาสนา รู้เนื้อรู้ตัวด้วยอรรถด้วยธรรมที่ทรงสั่งสอนไว้แล้ว แล้วก็เข้าอกเข้าใจ หมุนตัวเข้าสู่ทางด้านปฏิบัติ ปฏิบัติกำจัดกิเลสออกทางด้านจิตตภาวนา เวลาเทศน์ใครอย่ามาคุยอย่ามาพูดนะ อย่ามาเป็นข้าศึกต่อกันนะ เวลาออกปฏิบัติภาวนาจิตใจไม่เคยมีความสงบร่มเย็นเลย ตั้งแต่เกิดมาความสุขประเภทที่เป็นความสงบจากจิตตภาวนาไม่เคยมี เพราะไม่เคยทำ ทีนี้เวลามาภาวนา ออกจากภาคปริยัติแล้วขึ้นภาคปฏิบัติ ฟัดกันกับกิเลสบนเวทีคือภูเขา อันนั้นเป็นส่วนนอก ภายในคือระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันบนหัวใจนี้ตลอด เป็นเวลา ๙ ปีเต็ม แทบจะสลบไสลตลอดมา เพราะมุ่งต่อมรรคผลนิพพานอย่างยิ่ง สุดท้ายก็พ้นมือไปไม่ได้[/SIZE]


    บางส่วนจาก
    เติมเต็มที่นี่ : ปลงธรรมสังเวช..เราจะตายด้วยกันทั้งนั้น (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
     
  3. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    หลวงตามหาบัว ได้เข้ารับการรักษาอาพาธ มาตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2553 ที่โรงพยาบาลศิริราช จากนั้นก็ได้กลับเข้าไปพักรักษาอาการป่วนที่วัดป่าบ้านตาด โดยในวันที่ 28 มกราคม สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินถึงวัดป่าบ้านตาด เพื่อเยี่ยมอาการอาพาธเป็นการส่วนพระองค์ ถึงห้องปลอดเชื้อกุฎิหลวงตามหาบัว มีคณะแพทย์จากโรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลศรีนคริทร์ จ.ขอนแก่น และโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานีกล่าวรายการ และเสด็จฯ กลับเข้าออก 3 ครั้ง โดยยังไม่มีแถลงอาการหลวงตามหาบัวออกมาจากคณะสงฆ์ มีเพียง"หมอจีน" มากราบชี้แจงต่อครูบาจารย์สายวัดป่าว่า การตรวจรักษาอาการอาพาธขณะนี้ได้ถอดสายและอุปกรณ์การแพทย์ออกหมดแล้ว เหลือเพียงออกซิเจนเท่านั้น

    ต่อมาเมื่อเช้าวันที่ 29 มกราคม พุทธศาสนิกชนหลายพันคน เดินทางมาทำบุญตักบาตรที่และเฝ้าติดตามดูอาการอาพาธของหลวงตามหาบัว พร้อมคอยฟังคำแถลงอาการอาพาธของหลวงตา และคอยเวลาเข้าไปกราบหลวงตาที่กุฏิ ที่คณะสงฆ์อนุญาตบางช่วงเวลา



    หลวงตามหาบัวมีอาการอาพาธลำใส้อุดตัน และมีปอดติดเชื้อมานานถึง6เดือน คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างต่อเนื่อง แต่อาการอาพาธไม่ดีขึ้น กระทั่งเมื่อเวลา 03.53 น. วันที่ 30 ม.ค.54 หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ก็ได้ละสังขารด้วยอาการสงบ สิริรวมอายุ 98 ปี
     

แชร์หน้านี้

Loading...