ปริศนาธรรม ของสมเด็จฯโต

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 12 กันยายน 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    <TBODY><TR><TD class=thead id=currentPost style="BORDER-RIGHT: 0px; BORDER-TOP: 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: 1px solid; BORDER-BOTTOM: 1px solid"></TD></TR><TR valign="top"><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px solid; BORDER-TOP: 0px; BORDER-LEFT: 1px solid; BORDER-BOTTOM: 0px" width="175">





    ตอน เข็นเบาๆหน่อย

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>ขโมยหน้ามืดคนหนึ่ง ย่องเข้ามาลักเรือใต้ถุนกุฏิของสมเด็จฯโต ขณะที่กำลังเข็นเหยงๆอยู่นั้น ท่านรู้พอดี จึงเปิดหน้าต่างสอนเขาว่า
     
  2. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    ตอน ยศศักดิ์น่าขบขัน
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>เมื่อตอนที่พระบาทสมเด็จพระนั่งกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์ สมเด็จฯโตตอนนั้นเป็นมหาโต ต้องมีอันต้องจาริกไปตามป่าลำเนาไพรดงพญาไฟ ท่านก็เคยไปอยู่มานานหลายปี ยังได้ข้ามไปประเทศลาวและเขมรอีก รวมเวลาที่หนีเข้าป่าได้ ๒๕ ปี ตลอดเวลาที่รัชกาลที่ ๓ ขึ้นครองราชย์
    .......ในช่วงนี้ท่านได้ฝึกฝนอบรมเป็นอย่างดี ทำให้ท่านลึกซึ้งในพระธรรมมากขึ้น
    .......พอสิ้นรัชกาลที่ ๓ พระจอมเกล้าฯก็ขึ้นครองราชย์ เป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ต่อมา
    .......งานแรกที่พระองค์ทรงกระทำ ก็คือ ประกาศหาตัวมหาโต สั่งให้ค้นหากันจ้าละหวั่น พระที่มีรูปร่างผอมๆ หน้าตาคล้ายมหาโตจะถูกจับส่งเข้าเมืองหลวงเป็นจำนวนมาก
    .......ข่างการจับพระมหาโตดังไปทั่วบ้านทั่วเมือง ชาวบ้านต่างรู้ว่าพระเจ้าแผ่นดินสั่งให้จับมหาโต
    .......สมเด็จฯโต ในฐานะมหาโตได้ฟังข่าวจากชาวบ้านแล้วก็อุทานออกมาว่า
    .......“กูหนีมา ๒๕ ปี ทำไมเพิ่งมาประกาศจับ”
    .......เพราะท่านไม่รู้จักว่าบ้านเมืองได้เปลี่ยนแปลงพระเจ้าแผ่นดินแล้ว รัชกาลที่ ๓ ประกาศจับท่าน เมื่อไต่ถามได้ความว่าเปลี่ยนแผ่นดินแล้ว ท่านก็ไปปรากฏตัวที่บ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น บอกให้ตำรวจช่วยนำท่านเข้าบางกอก
    .......เมื่อเข้าเฝ้ารัชกาลที่ ๔ พระองค์ตรัสถามว่า
    .......“เป็นสมัยของฉันปกครองแผ่นดินแล้ว ท่านต้องช่วยฉันพยุงพระบวรพุทธศาสนาด้วยกัน”
    .......ต่อมารัชกาลที่ ๔ มีพระบรมราชโองการให้กรมสังฆการีวางฎีกาตั้งพระราชาคณะตามธรรมเนียม
    .......พระมหาเข้าไปตามฎีกานิมนต์ จึงทรงถวายสัญญาบัตรตาลปัตรแฉกหักทองด้ามงา เป็นพระราชาคณะที่พระธรรมกิตติ เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม
    .......ออกจากวังแล้ว ท่านเดินแบกพัดไปถึงบางขุนพรม บางลำพู เพื่ออำลาญาติโยมที่รู้จักกัน แล้วกลับไปวัดมหาธาตุ ร่ำลาพระภิกษุสงฆ์ แล้วลงเรือข้ามไปวัดระฆัง
    .......ท่านเดินแบกตาลปัตรพัดแฉก สะพายถุงย่ามสัญญาบัตร เครื่องอัฐบริขาร กาน้ำและกล้วย เหล่านี้ เต็มไม้เต็มมือท่าน ดูพะรุงพะรังไปหมด ยิ่งท่านทำท่าเก้งๆกังๆยิ่งทำให้ผู้พบเห็น ทั้งพระ เณร เด็กวัดและญาติโยม รู้สึกตลกขบขัน แม้ใครจะไปช่วยถือท่านก็ไม่ยอม
    .......ท่านเดินรอบวัดระฆัง พร้อมกับประกาศว่า
    .......“เจ้าชีวิต ทรงตั้งฉันเป็นพระธรรมกิตติมาเฝ้าวัดระฆังฯ วันนี้จ้ะ เปิดประตูโบสถ์รับฉันเถอะจ้ะ”
    .......พอท่านเข้าไปในโบสถ์ ผู้มุงดูทั้งหลาย โดยเฉพาะพระเณรก็พากันตามเข้าไป ช่วยกันจัดโน่นทำนี่ ตามความเหมาะสม
    .......วันนั้นจึงสนุกกันทั้งคืน
    .......เรื่องนี้ท่านคงต้องการจะให้มองเห็นยศถาบรรดาศักดิ์เป็นเรื่องตลกขบขัน เป็นเรื่องเล่นๆนั่นเอง ไม่ควรจะไปจริงจังอะไรกับมันมากนัก เดี๋ยวมันจะขบกัดเอา
    </TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>ตอน เรื่องของหมา คนอย่ายุ่ง
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>บนศาลาทำบุญที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งเนืองแน่นไปด้วยสาธุชนผู้สนใจในการบุญทั้งหลาย
    .......พระสงฆ์จำนวนมากนั่งอยู่บนอาสน์สงฆ์เพื่อสวดมนต์ และฉันภัตตาหาร โดยมีสมเด็จฯ โตนั่งเป็นประธานสงฆ์อยู่
    .......ขณะที่ทายกทายิกากำลังนำอาหารมาถวายพระภิกษุสงฆ์อยู่นั้น สุนัขคู่หนึ่งขึ้นมาสมสู่กันบนศาลา มองแล้วน่าอุจาดตามาก
    .......ญาติโยมทั้งหลายจึงช่วยกันไล่ตีให้ลงไปจากศาลา จะมาทำอนาจารบนสถานที่ทำบุญย่อมไม่สมควร
    .......เลียงไล่สุนัขอึงคะนึงทั่วศาลา หาความสงบไม่ได้
    .......สมเด็จฯโตเห็นเป็นการไม่สมควร จึงร้องห้ามว่า
    .......“อย่า ! อย่าไปไล่เข้า เรื่องของเขา เรื่องของสัตว์ก็เป็นเรื่องของสัตว์ เรื่องของคนก็เป็นเรื่องของคน ไม่เกี่ยวข้องกัน อย่าไปวุ่นวายเลย”
    .......สัตว์เป็นภพภูมิที่ต่ำ เขาก็ต้องทำอย่างต่ำๆนั่นแหละ จะให้รู้สึกละอายมีสำนึกดี-ชั่ว เหมือนมนุษย์เห็นจะไม่ได้ ฉะนั้นเขาจะทำอะไรก็ปล่อยให้ทำไปเถิด เพียงแต่มนุษย์สุดประเสริฐอย่าไปทำอย่างเขาก็แล้วกัน
    </TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>ตอน ปราบพระทะเลาะกัน
    มนุษย์เมื่อรวมกันอยู่กันเป็นสังคมย่อมมีปัญหาบ้างเป็นธรรมดา เพราะมากคนก็ทำให้มากความ
    .......สังคมพระสงฆ์ แม้จะเป็นสังคมแห่งความดีงาม มีศีลมีวินัยสูงกว่าชาวบ้านโดยทั่วไปก็จริง แต่ก็อดที่จะมีปัญหาให้กระทบกระทั่งกันมิได้
    .......ครั้งหนึ่ง พระที่วัดระฆังคู่หนึ่งด่าทอกันดังขรมวัด ท้าทายจะชกต่อยกัน
    .......องค์ที่ถูกท้าชกร้องว่า “พ่อไม่กลัว”
    .......อีกองค์หนึ่งก็ร้องตอบว่า “พ่อก็ไม่กลัวเหมือนกัน”
    .......ต่างองค์ต่างเก่ง ท้ากันเหยงๆ ไม่มีใครกลัวใคร
    .......สมเด็จฯโต (ตอนนั้นเป็นพระเทพกวี) นั่งอยู่ในกุฏิของท่าน ได้ยินเสียงทะเลาะกัน เห็นพฤติกรรมอันผิดวิสัยของสมณะแล้ว ไม่สามารถจะทนนิ่งเฉยอยู่ได้ ต้องตัดไฟแต่ต้นลม ก่อนที่มันจะลุกลามไปใหญ่โต
    .......ท่านจัดดอกไม้ ธูป เทียน ใส่พาน รีบเดินเข้าไประหว่างพระทั้งสอง นั่งคุกเข้าน้อมพานเข้าไปถวายพระทั้งคู่นั้น แล้วก็ประนมมือกล่าวอ้อนวอนขอฝากเนื้อฝากตัวว่า
    ....... “พ่อเจ้าประคุณ ! พ่อจงคุ้มฉันด้วย ฉันฝากตัวกับพ่อด้วย ฉันเห็นจริงแล้วว่าพ่อเก่งเหลือเกิน เก่งพอได้ เก่งแท้ๆ พ่อเจ้าประคุณ ลูกฝากตัวด้วย”
    .......พระคู่นั้นเกิดรู้สึกละอายใจ เลิกทะเลาะกันกลับเข้าไปในกุฏิพิจารณาเห็นโทษความผิด กิเลสของตัวเองแล้วจึงออกมากราบขอโทษท่าน มาคุกเข้ากราบสมเด็จฯโต สมเด็จฯโตก็คุกเข่าตอบบ้าง พระทั้งสองเห็นสมเด็จฯโตกราบตนเอง ก็ให้รู้สึกเกรงกลัว ท่านเป็นถึงเจ้าอาวาส มีอำนาจหน้าที่ปกครองดูแลเรา จะมากราบเราได้อย่างไร ลำบากใจนักถึงกราบสมเด็จฯโตตอบ
    .......ปรากฏว่าในวันนั้น กราบกันไปกราบกันมาอยู่นานจนเหนื่อยแล้วจึงเลิกรากันไป
    .......จะเห็นว่าวิธีปราบพระทะเลาะกันของสมเด็จฯโต ไม้ผลดีโดยไม่ต้องปากเปียกปากแฉะ เพราะพระทั้งสององค์เกิดความละอายและเสียใจที่ประพฤติอย่างนั้น เมื่อกราบท่านเสร็จแล้วก็ปฏิญาณตนว่าจะไม่ทะเลาะกันอีก

    ตอน ผ้าเช็ดมือถวายไม่ได้
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>เวลาที่เราจะให้ของอะไรๆกับผู้อื่น เรามักจะเลือกหาของดีๆให้เขา เพราะเรารู้ว่าเป็นธรรมชาติของคนที่อยากจะได้แต่ของดีๆ ไม่มีใครอยากได้ของไร้ค่าหรือมีค่าน้อย
    .......บางคนเกร็งเกินไป ไม่กล้าให้ของเล็กน้อยแก่ผู้อื่น เพราะเกรงจะไม่เป็นที่ถูกใจ จึงสรรหาของมีค่ามากไปให้จนผู้รับไม่กล้าใช้ เพราะมันดีเกินไป ได้แต่เก็บใส่ตู้โชว์ ไม่ยอมใช้จนตายไป ลูกหลานก็เอาไว้โชว์ต่อไปอีก
    .......มันน่าขำจริงเชียว !
    .......ญาติโยมโดยทั่วไปก็เหมือนกัน เวลาทำอาหารถวายพระ มักจะเน้นพวกแกง ต้ม ผัด เอาไว้ก่อน ถึงจะทำประณีตอย่างไรก็ตาม พระท่านก็ฉันไม่ใคร่ได้หรอก เพราะท่านฉันจำเจอยู่ทุกๆวัน อยู่แล้ว มันเบื่อได้เหมือนกัน
    .......ไม่ใคร่มีใครเอาน้ำพริก ผักไปถวาย ลองเอาไปถวายซิ ท่านฉันข้าวได้มากเลยแหละ
    .......น้ำพริก ผัก เป็นอาหารที่ปรุ่งแต่งรสน้อยกว่าพวกแกง ผัดซึ่งปรุงแต่งรสจนบางครั้งเพียงได้กลิ่นก็เกิดอาการคลื่นเหียนเวียนหัวเสียแล้ว
    .......เพราะฉะนั้น อย่ามองข้ามน้ำพริกว่าเป็นอาหารเล็กน้อย ไม่สำคัญ เพราะน้ำพริกนี่แหละทำให้ชาวนาชาวไร่มีร่างกายสมบูรณ์
    .......กรณีที่ผมเล่ามานี้ เคยมีกรณีข้างเคียงเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ เรื่องมีว่า
    .......สมเด็จฯโต ได้รับนิมนต์ให้ไปฉันในพระราชวัง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประเคนไตรแพร สมเด็จฯโตท่านก็เอาไตรแพรนั้นเช็ดปาก เช็ดมือยุ่งไปหมด
    .......พระจอมเกล้าฯทรงทักว่า “ไตรเขาดีๆ เอาไปเช็ดเปรอะหมด”
    .......สมเด็จฯโตตอบสวนมาทันทีว่า “อะไรๆก็ถวายได้ ผ้าเช็ดมือถวายไม่ได้ อาตมภาพก็ต้องเอาผ้าไตรของอาตมาเช็ดอาตมาเอง เป็นอันได้บริโภคของทายกแล้ว ไม่เป็นศรัทธาไทยวิบัติ”
    .......ผ้าเช็ดมือผืนเล็กๆ ราคาผืนไม่กี่บาท แต่ไม่มีใครคิดซื้อหามาถวายพระไม่รู้ว่าเพราะอะไร
    .......อะไรๆก็ถวายได้ แต่ผ้าเช็ดมือถวายกันไม่ได้
    .......การกระทำของสมเด็จฯโต เป็นการสอนให้รู้ว่า อย่าเห็นแต่สิ่งของสำคัญจนลืมของเล็กๆน้อยๆ เพราะบางทีของเล็กน้อยก็สำคัญไม่ใช่ย่อยเหมือนกัน
    </TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>ตอน โลกพร่องอยู่เสมอ
    คราวหนึ่งที่สมเด็จฯโตไปบิณฑบาตในพระราชวัง พระที่มารับบิณฑบาตนั้น นิมนต์เป็นเวรกันมารับ เรียกว่า “บิณฑบาตเวร”
    .......วันนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบาตรด้วยแตงโม
    .......สมเด็จฯโต ท่านได้เอาย่ามใบใหญ่ ตัดกันเป็นช่องโตถือไป เมื่อทรงหยิบแตงโมใส่ย่าม แตงโมก็ลอดช่องย่าม ตกไปบนพื้นดิน
    .......พระจอมเกล้าฯรู้ได้ทันทีถึงปริศนาธรรม จึงรับสั่งว่า “ฟ้ารู้ทันแล้ว”
    .......สมเด็จฯโตถวายพระพรว่า “โลกมันพร่องอยู่เสมอ ไม่รู้จักเต็มอย่างนี้”
    .......ปริศนาธรรมนี้ท่านมุ่งสอนรัชกาลที่ ๔ ไม่ให้มัวเมาในกามคุณ ควรจะอิ่มเสียที เพราะกามนั้นถึงจะถมตามต้องการอย่างไร มันก็ไม่เต็มได้หรอก ความอยากในกามมันไม่มีสิ้นสุด มีแต่หยุดเท่านั้นจึงจะเต็มได้

    ตอน สมเด็จฯอยู่ในเรือ
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>ชาวสวนที่ราษฎร์บูรณะ ฝั่งธนบุรี นิมนต์สมเด็จฯโตไปฉันภัตตาหารที่บ้าน
    .......สมเด็จฯ ท่านพายเรือไปกับศิษย์
    .......เมื่อใกล้ถึงบ้าน จะต้องผ่านคลองเล็กๆเข้าไป แต่บังเอิญในช่วงนั้นน้ำตื้นเขินไปหน่อย ทำให้ไม่สามารถพายเรือเข้าไปได้ ท่านและลูกศิษย์จึงลงเรือ ช่วยกันเข็นเข้าไป
    .......ชาวบ้านร้านช่อง เห็นแล้วตะโกนเสียงดังว่า “สมเด็จฯเข็นเรือโว้ย !”
    .......ท่านบอกเขาว่า “ฉันไม่ใช่สมเด็จฯดอกจ้ะ ฉันชื่อขรัวโตจ้ะ สมเด็จฯท่านอยู่ในเรือนั่นแหละจ้ะ”
    .......พร้อมกับชี้มือไปที่พัดยศ
    .......เรื่องนี้ให้แง่คิดอะไรบ้าง ลองคิดดู
    </TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>ตอน กระต่ายดำ กระต่ายขาว
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>มีคนจำนวนไม่น้อย ที่ไม่รู้ว่าพุทธศาสนามีนิกายนั้นนิกายนี้ด้วย เพราะรู้กันแต่ในวงแคบๆว่า พุทธศาสนาก็ต้องมีพระ มีวัด มีโบสถ์ มีศาลา อะไรเทือกนี้เท่านั้น ส่วนจะมีพวกหมู่แตกแขนงออกไปอย่างไรนั้นไม่รู้
    .......อันที่จริงแล้วพุทธศาสนามีหลายนิกาย ซึ่งก็เหมือนกับศาสนาใหญ่ๆทั้งหลายในโลกนั้นแหละ ที่มีการแตกกอแยกหน่อเป็นนิกายต่างๆ
    .......เพราะศาสนาสำคัญๆในโลกนี้ ไม่มีการหยุดนิ่ง จะเผยแพร่คำสอน เข้าไปในหมู่ชนต่างๆ เมื่อไปอยู่ในต่างถิ่น ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม ก็ย่อมจะมีการเปลี่ยนแปลงกันไปบ้างเป็นธรรมดา (หลักคำสอนเปลี่ยนไม่ได้ แต่มีพิธีกรรม วิธีการปฏิบัติ ข้อปลีกย่อย ย่อมจะต้องมีการดัดแปลงแต่งประยุกตร์ให้เข้ากับถิ่นฐานนั้นๆ อย่างแน่นอน จนทุกวันนี้พุทธศาสนาเกิดนิกายต่างๆมากมาย
    ว่าโดยนิกายใหญ่ๆ พุทธศาสนามี ๒ นิกายคือ นิกายเถรวาท หรือทักษิณนิกาย (แต่ถูกฝ่ายมหายานเรียกว่า หินยาน) และนิกายมหายาน หรืออุดรนิกาย นิกายใหญ่ ๒ นิกายนั้นต่างก็มีนิกายแยกย่อยต่อไปอีก โดยเฉพาะนิกายมหายาน มีนิกายแยกย่อยออกไปอีกมาก
    .......นอกจากนี้ยังมีนิกายอีกนิกายหนึ่ง ที่มีชื่อเสียงมาก แม้พวกฝรั่งมังค่าก็นิยมศึกษาปฏิบัติกันคือ นิกายเซน เป็นนิกายที่เริ่มแพร่หลายในประเทศญี่ปุ่น และจีนก่อน แล้วจึงได้มีการเผยแพร่ในประเทศอื่นๆ
    .......นิกายเซนนี้ บางท่านก็ว่าเป็นส่วนหนึ่งของนิกายมหายาน บางท่านก็ว่าเป็นนิกายของพุทธศาสนานิกายหนึ่ง ที่แยกต่างหากจากสองนิกายใหญ่นั้น
    .......ผู้เขียนเห็นด้วยกับมติของท่านพุทธทาสภิกขุ พุทธปรัชญาเมธีผู้ยิ่งใหญ่ ที่ท่านมีความเห็นว่า นิกายเซนเป็นนิกายหนึ่งของพุทธศาสนา มิใช่เป็นพวกมหายาน ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
    .......“พุทธศาสนาอย่างเซ็นนี้ ยังเป็นที่เข้าใจผิดกันอยู่มากในหมู่ชนชาวไทย พอพูดถึงคำว่าเซน บางท่านก็ร้องว่าเป็นเรื่องของเจ๊กปาหี่ที่เล่นกลชนิดหนึ่งหรือไม่? ถูกแล้ว ถ้าจะเกณฑ์ให้เป็นเรื่องชนิดเจ๊กปาหี่ก็ได้เหมือนกัน แต่เป็นเรื่อง “ปาหี่ทางวิญญาณ” คือทำให้คนเข้าถึงธรรมได้อย่างประหลาดเกินคาดฝัน แล้วก็ยังมีคนพวกหนึ่งว่าเซนคือมหายานที่บูชาอมิตาภะ โพธิสัตว์และดารานั่นเอง และโดยเนื้อแท้แล้ว ไม่ควรนับเอานิกายเซนว่าเป็นพวกมหายาน โดยเหตุที่ว่าวิธีของเซนนั้นไม่ได้เป็นของที่ทำให้ง่ายขึ้นสำหรับคนทั่วไปทุกคนเหมือนการนั่งบูชาอมิตาภะและโพธิสัตว์ตามแบบของมหายานนั้นเลย
    .......ถ้าหากจะเกณฑ์หรือบังคับให้พวกเซนมีอมิตาภะกับเขาบ้างไซร้มันก็ต้องได้แก่ “จิตเดิมแท้” ตามแบบของเว่ยหลาง” หรือ “ความว่าง” ตามแบบของฮวงโปนั่นเอง แล้วจะมานั่งบูชาหรืออ้อนวอนกันได้อย่างไร และเป็นมหายานหรือยานใหญ่ที่สามารถขนคนโง่ทั้งโลกไปได้อย่างไรกัน นอกจากนี้ ยังมีผู้เข้าใจผิดกล่าวหานิกายเซนอย่างนั้นอย่างนี้ โดยว่าเอาเองตามชอบใจอีกหลายอย่าง ซึ่งไม่อาจนำมากล่าวในที่นี้ให้หมดสิ้นได้ และไม่จำเป็นที่จะต้องนำมากล่าวด้วย
    สำหรับประเทศไทยของเรานั้น เรามีพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทเป็นหลัก โดยมีนิกายแยกย่อยออกไปอีกสองนิกาย คือ มหานิกาย และธรรมยุต (ธรรมยุติกนิกาย)
    .......แต่เดิมพุทธศาสนาในไทยเราไม่มีนิกาย เราเรียกตนเองว่า พระสงฆ์ไทยหรือสยามวงศ์ สมณวงศ์ ต่อเมื่อพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ คือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงผนวชอยู่ จึงได้ตั้งนิกายขึ้นมา เรียกว่า นิกายธรรมยุต หรือธรรมยุติกนิกาย พระภิกษุที่ร่วมอยู่ในนิกายนี้ เรียกว่า พระฝ่ายธรรมยุต ทำให้เกิดนิกายใหม่อีกนิกายหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า มหานิกาย แปลว่า พวกมากเพราะมีจำนวนมากกว่า ฝ่ายธรรมยุตนั้นมีจำนวนน้อยกว่า
    .......แม้ว่าจะเกิดเป็นสองนิกาย แต่พระสงฆ์ทั้งสองฝ่าย ก็ยังยึดถือพระธรรมวินัยอย่างเดียวกัน ทั้งๆที่ไม่มีอะไรแตกต่างกัน แต่ก็ไม่สามารถจะหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ?
    ปรากฏการณ์ที่น่าสังเกตก็คือ พระฝ่ายมหานิกายมักจะได้รับการชักชวนให้เข้าเป็นพวกหมู่ธรรมยุต ต่อมาท่านรูปนั้นมักจะปรากฏว่ามีชื่อเสียงแล้วก็จะช่วยกันเสริมส่งจนโด่งดังไปทั่วราชอาณาจักร
    .......สมเด็จฯโต เมื่อยังเป็นพระมหาโต ก็เป็นพระดีอีกรูปหนึ่งที่ได้รับการชักชวนให้เข้านิกายธรรมยุต ซึ่งตอนนั้น พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ผนวชอยู่เป็นเจ้าอาวาสวัดสมอราย ได้นิมนต์พระมหาโตไปสนทนาด้วย นัยว่าจะชวนเข้าหมู่เมื่อรับสั่งถามว่า
    “มีบุรุษสองคน เป็นเพื่อเดินทางมาด้วยกัน คนทั้งสองเดินมาพบไหมเข้าจึงทิ้งปอที่แบกมาเสียเอาใหม่ไป อีกคนหนึ่งไม่เอา คงแบกเอาไป ท่านจะเห็นว่าคนแบกปอหรือคนแบกไหมดี?”
    มหาโตตอบเฉไปอีกทางหนึ่งว่า
    .......“ยังมีกระต่ายสองตัว ขาวตัวหนึ่ง ดำตัวหนึ่ง เป็นเพื่อนร่วมหากินกันมาช้านาน”
    .......วันหนึ่งกระต่ายสองตัวเที่ยวและเล็มหญ้ากิน แต่กระต่ายขาวเห็นหญ้าอ่อนๆฝั่งฟากโน้นมีชุม จึงว่ายน้ำข้ามฟากไปหากินฝั่งข้างโน้น กระต่ายดำไม่ยอมไปทนกินอยู่ฝั่งเดียว แต่นั้นมา กระต่ายขาวก็ข้ามน้ำไปหาหญ้ากินฝั่งข้างโน้นอยู่เรื่อย
    .......วันหนึ่ง ขณะที่กระต่ายขาวกำลังว่ายน้ำข้ามฟาก บังเกิดลมพัดจัด มีคลื่นปั่นป่วน กระแสน้ำเชี่ยวกราก พัดเอากระต่ายขาวไปจะเข้าฝั่งไหนก็ไม่ได้ เลยจมน้ำตายในที่สุด ส่วนกระต่ายดำก็ยังเที่ยวหากินอยู่ได้ไม่ตาย ฝ่าธุลีพระบาทลองทำนายว่ากระต่ายตัวไหนจะดี”
    .......ต่อมาเรื่องนี้ก็ไม่มีการพูดถึงกันอีก สมเด็จฯโตก็ยังเป็นพระฝ่ายมหานิกายอย่างเดิม ไม่ต้องเปลี่ยนนิกายเหมือนใครเขา
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. wara43

    wara43 ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2006
    โพสต์:
    9,108
    ค่าพลัง:
    +16,130
    [​IMG][​IMG] ขอกราบโมทนาสาธุครับ สาธุ...[​IMG][​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...