ปรากฏการณ์ปลาบู่ต้ม

ปรากฏการณ์ปลาบู่ต้ม
เด็กชายปลาบู่ไม่ได้เป็นพระอชิตะในอดีต ไม่ได้เป็นพระศรีอริยเมตไตรย์ในอนาคต เพราะ ตอนนี้เด็กชายปลาบู่ชดใช้กรรมอยู่ในอบายภูมิ

ประเทศไทยของเรานี้ มีเรื่องแปลกประหลาดที่ทำให้ประชาคมโลกแตกตื่นและอัศจรรย์ใจหลายเรื่องหลายประเด็น จนเกิดเป็นเรื่อง talk of the town อยู่เป็นประจำ

บางเรื่องก็ทำความคับข้องใจเมื่อถูกถามจากชาวต่างชาติ และโดนถามอยู่เป็นประจำ คือ เรื่องศีล 5 ของคนไทย เมื่อรู้ศีลข้อที่ 1 ห้ามฆ่าสัตว์ เพื่อนก็มักจะถามว่า “ประเทศคุณก็สงบดี ไม่มีการฆ่าแกงกันเลยนะซิ” ทำนองนั้น

ผมไม่ได้ตอบปัญหาของเพื่อนชาวต่างชาติคนนี้ เพราะ ไม่รู้จะตอบอย่างไรเหมือนกัน เพราะ ดูเหมือนว่า คนไทยนับถือศีลเฉพาะตอนที่เข้าไปอยู่ในวัด เท่านั้น

ที่กำลังเป็นข่าวกันอย่างครึกโครมอยู่ในปัจจุบัน ก็เรื่องคำทำนายของ “เด็กชายปลาบู่” หรือเด็กชายสุทัศน์ คำสี ที่ว่าจะเกิดแผ่นดินไหว อันจะทำให้เขื่อนภูมิพลแตก น้ำจะท่วมฟ้า ปลาจะกินดาว คนจะตายกันเป็นเบือ..

เรื่องนี้ เป็นเรื่องฮิตทุกวงการสื่อ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุก็น่าจะด้วย แต่ผมไม่ค่อยได้ฟังวิทยุ

ผมลองค้นจาก google โดยคำค้นว่า “เด็กชายปลาบู่” ผลการค้นก็พบ ประมาณ 2,380,000 รายการ

ขนาดว่า วงการออนไลน์ซึ่งคนส่วนใหญ่เป็นคนมีความรู้ยังให้ความสนใจกับเรื่องเหลวไหล ไร้สาระกันขนาดนี้ ก็คงที่จะเป็นเรื่องที่ต่างชาติให้ความอัศจรรย์ใจอีกเช่นเดียวกัน

เนื้อหาของเด็กชายปลาบู่คร่าวๆ มีดังนี้

เป็นเรื่องที่ถูกส่งต่อและวิพากษ์วิจารณ์ กันอย่างมากมายในสังคมออนไลน์ หลังมีข้อความและคลิปคำทำนายเด็กชายปลาบู่ หรือ สุทัศน์ คำสี ถึงภัยพิบัติใหญ่ในไทย ในเว็บไซต์ยูทูป ซึ่งโพสโดย MahasuraSinghanat เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2554

โดยข้อความในคลิประบุว่า เป็นสารคดีตามรอยพระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ ผ่านเด็กชายระลึกชาติได้ชื่อปลาบู่ (สุทัศน์ คำสี) โดย เด็กชายปลาบู่ เป็นเด็กที่เฉลียวฉลาด รูปร่างหน้าตาดี ใครเห็นใครก็รัก

ตอนอายุได้ประมาณ 3-4 ขวบ เริ่มระลึกชาติได้ มีตาทิพย์ หูทิพย์ สามารถพูดได้หลายภาษาโดยไม่ได้ร่ำเรียนจากตำราหรือครูอาจารย์ที่ไหนเลย

เด็กชายปลาบู่ได้บอกไว้ว่า สมัยพุทธกาลตอนเองชื่อ ” อชิตะภิกษุ ” ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทำนายไว้ว่าจะได้เป็น “พระพุทธเจ้าพระศรีอริยเมตไตรย” ในอนาคต

สาเหตุที่มาเกิดเพราะต้องการให้พ่อ (ทองใบ คำสี) เป็น “สื่อ” ให้มีการแก้ไขปัญหาเรื่องเขื่อนพังจากแรงแผ่นดินไหวและอื่น ๆ ในปีที่ 38 หลังจากตนเองเสียชีวิต (ตรงกับ พ.ศ. 2555)

เมื่ออ่านก็วิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์ ขอบอกก่อนเลยว่า เรื่องนี้ต้องเปลี่ยนเรื่องเป็น “ปลาบู่ต้ม” ครับ แหกตา แหกเนตร เป็นเรื่องไร้สาระโดยสิ้นเชิง มีความจริงเพียงประการเดียว คือ มีเด็กชายปลาบู่เกิดมาจริง และตายไปแล้วจริง แค่นั้น

การแหกตาลักษณะนี้ก็เกิดกันบ่อยในสังคมไทย ผมก็แปลกใจว่า “ทำไมคนไทยไม่จดจำเรื่องอย่างนี้ซักที”

ขอวิพากษ์วิจารณ์เป็นข้อๆ ไปก่อน ดังนี้

1) เด็กชายปลาบู่ต้มนั้น ไม่ใช่อดีตพระอชิตะภิกษุ และไม่ใช่ “พระศรีอริยเมตตไตรย์” อย่างแน่นอน

“เด็กชายปลาบู่” อ้างสาเหตุที่ต้องมาเกิดว่า “มา เกิดเพราะต้องการให้พ่อ (ทองใบ คำสี) เป็น “สื่อ” ให้มีการแก้ไขปัญหาเรื่องเขื่อนพังจากแรงแผ่นดินไหวและอื่น ๆ ในปีที่ 38 หลังจากตนเองเสียชีวิต (ตรงกับ พ.ศ.2555)”

ตามหลักการแล้ว ผู้ที่ได้รับพยากรณ์แล้ว เขาไม่มาเกิดอีกในระยะสั้นๆ ด้วยเรื่องเหลวไหลไร้สาระแบบนี้

พระโพธิสัตว์ท่านมาเกิดมาสร้างบารมี ไม่ใช่ “เกิดมาเตือนภัย”

หลักฐานที่ไม่สมเหตุสมผลอีกประการหนึ่งก็คือ ถ้า “เด็กชายปลาบู่” เป็นพระโพธิสัตว์จริง ทำไม “เด็กชายปลาบู่”คนนี้ ทำไมถึงตายเร็วเหลือเกิน มีชีวิตอยู่มาบอกเองไม่ได้หรืออย่างไร

2) ความรู้ที่มากับคำทำนายนั้น เหลวไหล ไร้สาระโดยสิ้นเชิง ผู้ที่ให้ข้อมูล คือ คุณทองใบ คำสีนั้น ไม่ได้มีความรู้จริงในข้อมูลที่ให้มาเลย

ไม่ได้มีหลักฐานในทางตรรกวิทยาเลย ไม่ได้สมเหตุสมผลเลย เรื่องทำนองนี้ มักจะเขียนหลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว

ขอยกตัวอย่างคร่าวๆ ก่อน ดังนี้

[1] เรื่องราวในอนาคตของประเทศไทย เรื่องสงครามโลกครั้งที่ 3

เรื่องสงครามโลกครั้งที่ 3 ปัจจุบัน นักวิชาการเห็นว่า “เป็นไปไม่ได้แล้ว” เพราะ ไม่คุ้มค่าที่จะทำสงครามใหญ่อย่างนั้น แต่ถ้าเป็นสงครามเล็กๆ ที่เกิดเร็ว ยุติเร็ว เป็นไปได้ สงครามที่ทำกันจริงๆ ก็คือ “สงครามการค้า”

[2] อยากให้พ่อช่วยบอกให้ท่านทราบ จะได้ป้องกันไว้ก่อนที่เขื่อนจะพังเพราะแรงแผ่นดินไหว เขื่อนกักเก็บน้ำที่จังหวัดตากจะพังเสียก่อน แต่สามารถแก้ไขได้ โดยการเอาเหล็กรางรถไฟไปหุ้มให้แข็งแรงเป็นเขื่อนเหล็ก จะได้พังไม่มาก จากหนักจะได้เป็นเบา

ผู้ให้ข่าวคงจะรู้มานานแล้วว่า “เหล็กรางรถไฟ” แข็งและเหนียวที่สุด แต่ปัจจุบันมีเหล็กที่มีประสิทธิภาพดีกว่า แต่พ่อของเด็กชายปลาบู่คงไม่รู้จัก จึงกล่าวถึงเฉพาะเหล็กรางรถไฟ

นอกจากนั้นแล้ว พ่อของเด็กชายปลาบู่เคยเห็นเขื่อนภูมิพลหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เพราะ ถ้าอยากจะเหล็กรางรถไฟไปหุ้มจริงๆ ก็ทำกันไม่ได้ง่ายๆ

[3] “แม่น้ำเจ้าพระยาถูกขุดลอกให้ลึก ๆ เป็นอันตรายมาก ๆ เพราะทรายทับถมตมเลนเหลือบางมาก ๆ ทำให้ตมเลนปูดทะลักขึ้นมาในแม่น้ำเจ้าพระยา ตึกรามบ้านช่องสิ่งก่อสร้างที่มีน้ำหนักมาก ๆ จมดินยังไม่พอ เพราะเสาเข็มยังจมยังไม่ถึงดินดาน

เรื่องนี้ วิศวกรที่ควบคุมงานก่อสร้าง คงหัวเราะกันหงายท้องหงายไส้ ..

[4] หนูอยากให้รัฐบาลทำเขื่อนใต้น้ำ ดักทรายเป็นระยะเพื่อให้แม่น้ำเจ้าพระยาตื้นขึ้นเหมือนเดิม เพราะเมื่อขุดแม่น้ำเจ้าพระยาลึก ๆ ก้นแม่น้ำก็จะมีแต่ตมเลนน้ำหนักของสิ่งก่อสร้างริมแม่น้ำจะกดตมเลนในแม่น้ำ ให้ปูดขึ้นมา ทำให้เกิดการทรุดตัวของสิ่งก่อสร้างริมแม่น้ำ สิ่งก่อสร้างต่างๆ จะพังเพราะแรงแผ่นดินไหว

เด็กชายปลาบู่ต้มคนนี้ ต้องการให้แม่น้ำตื้นเหมือนเดิม ผมใช้ชีวิตอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยามาครึ่งค่อนชีวิต ผมก็ไม่เห็นว่ามีเหตุการณ์อย่างที่คนอำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี ซึ่งอยู่ห่างจากแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นร้อยๆ กิโลเมตรวาดภาพไปอย่างนั้นเลย

สำหรับการทำนายที่ดูว่าจะแม่นตรงนั้น “แม่นตรง” เพราะ เขียนหลังเหตุการณ์นั้น แล้วอ้างว่ามีคัมภีร์มาก่อน มีก่อนบอกเล่ามาก่อน

ทำไม ไม่เล่าเรื่องนี้ ก่อนเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงนั้นๆ เช่น เหตุการณ์สึนามิที่ภาคใต้ หรือ “เด็กชายปลาบู่” ไม่สนใจว่า คนภาคใต้จะเป็นจะตายอย่างไร แต่มาเป็นห่วงกังวลเฉพาะคนภาคกลาง กับภาคเหนือตอนล่าง

ส่วนเหตุการณ์ที่ทำนายไปข้างหน้า เช่น เขื่อนพังเพราะแผ่นดินไหวนั้น แหกตาครับ เป็นไปไม่ได้ครับ

3) วิชาธรรมกายนั้น สามารถตรวจสอบได้ว่า คนตายนั้น ไปอยู่ที่ไหน ดังนั้น วิชาธรรมกายรู้ว่า ตอนนี้พระศรีอริยเมตไตรย์นั้นอยู่ ณ ที่ใด ส่วน “เด็กชายปลาบู่” เด็กชายปลาบู่ในตอนนี้ ชดใช้กรรมอยู่ในอบายภูมิ

นี่ไม่ได้หมายความว่า “เด็กชายปลาบู่” ก่อกรรมในชาตินี้ แต่เป็นกรรมเก่าของเขา อย่างเช่นทำให้เขาตายตั้งแต่อายุยังน้อย และยังส่งผลให้ไปอบายภูมิอีกด้วย

ขอยืนยันว่า เด็กชายปลาบู่ต้มไม่ใช่พระศรีอริยเมตไตรย์ในอนาคตแน่นอน ถ้าเป็น “ปลาบู่ต้ม” บนโต๊ะอาหารของพวกที่ชอบกิน แล้วละก้อ มีสิทธิ์เป็นไปได้..

ปรากฏการณ์เด็กชายปลาบู่นี้ เป็นเรื่องที่เหลวไหลโดยสิ้นเชิงหาความจริงอันใดมิได้ ผมได้วิพากษ์วิจารณ์ไว้ 5 บทความ ดังนี้

1) เด็กชายปลาบู่ต้ม

2) คำทำนายปลาบู่ต้ม

3) เหล็กรางรถไฟช่วยให้รอด

4) ปลาบู่ต้ม-สังคมไทย

5) เชื่อ “โง่” หรือไม่เชื่อ “โง่”

ถ้าสนใจในรายละเอียดก็ติดตามอ่านกันได้...

· คำสำคัญ (keywords): คำทำนาย, น้ำท่วม, ภัยพิบัติใหญ่, สุทัศน์ คำสี, เขื่อนภูมิพล, เด็กชายปลาบู่


(ใครอ่านแล้วคิดได้กลับมาทำงานได้แล้ว ส่วนใครขายบ้านแล้วก็เก็บเิงินซื้อใหม่ ส่วนใครจะขายไม่ต้องขายแล้วเดี๋ยวไม่มีบ้านอยู่)




ใครสนใจ ค้นหา google หาคำว่า ดร.มนัส โกมลฑา หาอ่านกันเอาเองเพิ่มเติม

 

ภัยพิบัติของจริงแท้แน่นอนแท้จริงแล้วไม่ใช่เป็นสิ่งอย่างที่หลายๆคนคิดกัน
ภัยที่ว่านั้นคือ "คำทำนายอุปทานเพ้อเจ้อลวงโลกทั้งหลาย"
ผู้ใดหลงเชื่อและทำตามย่อมเป็นภัยร้ายแรงกับตนเองแน่นอน สูญเสียทุกอย่าง
ไปเพราะหลงเชื่อในคำทำนาย นี่คือ ภัยซ่อนเร้นที่แท้จริง แต่จะมีซักกี่คนที่มอง
เห็นและเข้าใจ ตอนนี้ที่เกิดขึ้นมีแต่ภัยธรรมชาติที่มันเกิดตามวงจรเดิมของมันมา
นับแสนๆปีอยู่แล้ว ก็ไปจับแพะชนแกะไปเรื่อย หาเรื่องสร้างประเด็นเชื่อมโยงไป
เรื่อยทั้งๆที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย

คนกลุ่มนี้เสมือนเป็นอภิสิทธิชนที่โดนอุปทานตลบหลังให้ว่าสามารถสื่อสารกับเบื้องบน
ได้ รู้อนาคตได้ ทั้งๆที่เป็นอุปทานทั้งสิ้น แต่ก็เชื่อว่าจริง เท่านั้นไม่พอยังมาบอกเล่า
ให้กับคนอื่นอีก สร้างกรรมโดยไม่รู้ตัว แต่ยังคงหลอกตัวเองว่าทำไมเพราะเจตนาดีเตือน
ไม่ให้ประมาท แล้วไอคำว่าไม่ประมาทนี่ทำไมต้องทำตามที่อุปทานบอกกล่าวด้วย
ฆ่าคนตายโดยไม่ได้เจตนา แต่คนก็ตาย ผลาญชีวิตเค้าไป ก็เท่ากับบาปอยู่ดี รับกรรมอยู่ดี
แต่ความคิดของคนพวกนี้คือ ดูที่เจตนา ไม่พิจารณาผลลัพธ์ที่เกิด ว่าไปสร้างทุกข์ให้กับ
ผู้อื่นมากน้อยแค่ไหน สุดท้ายก็คิดเข้าข้างตัวเองว่า กรรมของผู้อื่นเองที่ทำให้ต้องเชื่อ
และทุกข์ แหมต้องยอมรับว่าพวกร่างทรงนักทำนายผู้วิเศษพวกนี้นี่ มันสุดๆเลยจริงๆ
ไม่สามารถหาคำใดมาบรรยายได้เลย

 

ดูคนปรามาสสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุยกัน คนเหล่านี้จะต้องตกนรกแน่นอน
มีปัญญาควรรู้ว่าเรื่องอย่างนี้มีจริง มีมาเตือนเพื่อเตรียมตัว ใครอยู่ที่ไม่ปลอดภัยจะได้ย้ายไปที่ที่ดีๆ อย่าโง่

 

ผมคนนึงยอมโง่ที่ไม่เชื่อคำเตือนร่างทรงสัมภเวสีผู้วิเศษอวดตน แต่ผมเชื่อกฎแห่งกรรม
และคำสอนของพระพุทธเจ้า

ดูเอาไว้เป็นตัวอย่างให้ดีๆ นี่คือวิธีการของกลุ่มคนที่เรียกได้ว่า "นักปฏิบัติธรรม"
ข่มขู่เอะอะปรามาส เรื่องอย่างนี้มีจริง พูดมาได้หน้าไม่อาย หรือต้องให้ไปหยิบ
ยกเอาคำทำนายเก่าๆมาให้ชมเป็นขวัญเพื่อจะได้ไม่ต้องมีข้ออ้างใดๆ นี่เราไม่ได้
พูดถึงอดีตนะอุตส่าห์เมตตาสงสารไม่อยากทำอะไรรุนแรง เรื่องผ่านไปแล้วก็แล้ว
ไปไม่เก็บมาใส่ใจ แต่ออกมาดิ้นแบบนี้สงสัยคงต้องจัดให้ซะแล้ว

ยังมีหน้ามาบอกอีกว่าเตือนให้เตรียมตัว เห็นเตรียมตัวมานานมากๆแล้ว พอไม่เกิดก็อ้างต่างดาวมาช่วยเหลือ
ผู้มีบารมีเหนือกฎแห่งกรรมมาช่วยเหลือ แล้วต้องเลื่อนออกไป ลงหลุมหลบภัยไปแล้วกี่รอบ
แล้วต้องขึ้นมุดขึ้นมาอยู่เหนือดิน หมดเงินค่าเสบียงไปเท่าไร ปลากระป๋องกับมาม่าหมดอายุ
ไปแล้วกี่รอบ มันมีแต่ภัยธรรมชาติที่เกิดเป็นวงจรปกติ มีที่ไหนภัยพิบัติที่กล่าวอ้างเพ้อเจ้อ
ยังไม่สิ้นภัทรกัปป์จะมีสิ่งนั้นได้ยังไง หัดไปอ่านพระไตรปิฏกซะบ้างจะได้หายฟุ้งซ่าน
หรือจะเก่งกล้าสามารถมีญาณเหนือพระพุทธเจ้าถึงได้รู้ดีกว่าที่ท่านตรัสไว้

แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ว่าเนี่ย ดูไม่ออกหรือว่ามันเป็นพวกสัมภเวสีมาอาศัยร่างกาย
คนหากิน สร้างบุญเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้น หน้าไม่อาย ตัวเองภพภูมิสูงกว่าพวก
นี้เสือกไปให้มันหลอกอยู่ได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของจริงเค้าไม่มาทำอะไรแบบนี้หรอก
มีแต่สอนให้หลุดพ้นจากวัฎสงสาร ไม่ใช่มาสอนให้เป็นอภิสิทธิชนมีอำนาจ
เหนือผู้อื่น เชื่อแล้ว ปฏิบัติตามแล้วจะอยู่เหนือกฎแห่งกรรม

สังเกตให้ดีๆนะทุกท่าน คนพวกนี้มักจะอวดตนว่าตัวเองสูงส่ง อยู่เหนือคนทั่วไป
รอดพ้นจากภัยพิบัติและอันตรายทั้งปวง ภูมิธรรมสูงส่ง หลุดพ้นแล้ว ส่วนใคร
ไม่เชื่อปรามาส เลว ชั่วช้า ลงนรก รู้สึกว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนนะว่า
ถ้าไม่เชื่อคำทำนายอุปทานของร่างทรงผู้วิเศษแล้วจะลงนรกนะ เอบิดเบือน
คำสอนของพระพุทธเจ้านี่มีโทษยังไงนะ?

 

คนที่ออกมาหลอกลวงก็จะมีผลประโยชน์ หรือได้รับผลประโยชน์
แล้วลุงทองใบได้รับอะไร นอกจากคำด่าของชาวบ้าน
แล้วเจตนาแก่เป็นอย่างที่เจ้าของกระทู้บอกอย่างนั้นหรือ

บอกไว้ไม่ประมาทก็ดีอยู่แล้ว

 

คำว่า "ประมาท" นั้นมีหลายระดับด้วยกัน ส่วนใหญ่จะไม่มีความพอดีในความไม่ประมาท
ฟังคำทำนายทั้งหลายก็จะกลายเป็นวิตกจริต กลัวทุกสิ่งไปหมด ใบไม้ไหวทีนึงก็สะดุ้งจิต
ปรุงแต่งแล้วว่า สัญญาณมาแล้วต้องระวัง นานวันเข้าไปก็จะกลายเป็นอาการป่วยทางจิต
หวาดระแวงทุกอย่างไปหมด

ว่ากันตามตรงทุกอย่างถูกกำหนดไว้หมดแล้วด้วยสิ่งที่ได้กระทำมาทั้งอดีตชาติและปัจจุบัน
ชาติ ไม่มีใครไปลบล้างแก้ไขได้ ต่อให้รู้ไม่รู้คำเตือน คำทำนาย หรือ รู้คำเตือน คำทำนาย
จะเตรียมตัวหรือไม่ก็ตาม ถ้าจะต้องตายก็หนีไม่พ้น แล้วจะไปจับจ้องจับจดให้มันทุกข์
ให้มันไม่สบายใจ การทำมาหากินเลี้ยงชีพตนและครอบครัวเดือดร้อน ใช้ชีวิตไปด้วยความ
กลัว เหตุการณ์มันยังมาไม่ถึง ก็ไปฟันธงว่าต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ แล้วพอมันไม่เกิดก็หา
เหตุผลมาทำไม่ให้ตัวเองเสียหน้า มันอะไรนักหนากับสิ่งสมมติพวกนี้ ผมเองยังไม่กลัวเลย
กล้าบอกตรงๆนี่ล่ะ ว่าครั้งนึงเคยบ้าคำเตือน คำทำนาย บ้าบอ อะไรพวกนี้ เวลาผ่านไป
ทุกอย่างชัดเจน ทำให้ผมได้สติคืนมา ถึงได้มาพยายามบอกพวกท่านว่าอย่าหลงเชื่อสิ่ง
ที่ไม่มีทางเป็นไปได้ที่คนกลุ่มนึงคิดเองเออเองว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีใครรู้ว่าอะไรเกิด
ขึ้นในอนาคตนั่นเพราะอนาคตเปลี่ยนทุกวินาทีตามปัจจุบันที่เรากำลังดำเนินอยู่นี่ล่ะ

ใช้ชีวิตให้สบาย อยู๋กับปัจจุบัน หาทางหลุดพ้น ไม่ใช่หาทางหนีภัยพิบัติ เพราะภัยพิบัติ
ที่พร้อมจะทำลายเราทุกเมื่อก็คือ "ขาดสติ" อย่าไปหลงเชื่อสิ่งที่ใครก็ไม่รู้มาบอกเรา
โดยไม่ได้พิจารณา

 

ท่านจะเสนออะไรที่เป็นอีกด้านก็ดีนะ คนอ่านจะได้มีอะไรให้ฉุกคิดไม่ใช่เชื่อไปหมด

แต่ก็ไม่ควรเสียดสีถากถางเพราะแทนที่เข้าจะได้คิดกลับต่อต้านเสียประโยชน์ท่านและเสียเวลาเปล่า

ควรให้ข้อมูลที่ท่านคิดว่าน่าจะถูกแล้วเสนอให้คนอ่านได้คิด

ไม่ควรมีอคติต่อกันเพราะ ต่างก็หวังดีทั้งนั้น ยกเว้นพวกหาประโยชน์

ถ้าหวังดีต่อผู้อื่นจริง ก็ไม่เห็นต้องทะเลาะกับใคร และเห็นคนอื่นเป็นมิตรครับ

ไอเราก็แค่เพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

 

บทความนี้ เน้น เพื่อให้ทุกท่าน ได้หยุด มองดู และใช้สติ พิจารณา ว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ว่าจะมีคนได้ทีเดียวเป็น ล้านๆ คน มิได้สร้างความแตกแยกแต่ประการใด ข้างต้นก็บอกแ้ล้วว่า ใครคิดได้ก็ไม่ต้องหนีให้เหนื่อย
กลับใช้ชีวิตให้เป็นปกติ รู้สุข อยู่กับปัจจุบันก็พอ แค่นี้ก็ไม่ต้องเหนื่อยแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่าง มีเหตุมา สุดท้ายก็เป็นผลที่ได้รับ

 

ผมเองครับปลาบู่ของจริง

 

เห็นด้วยค่ะ คนที่ปฏิบัติได้จริง ๆ เค้าจะอยู่เงียบ ไม่ชอบความวุ่นวาย
ไม่ต้องการให้ใครได้ล่วงรู้ด้วยซำ้ ซึ่งตรงข้ามกับบางคนว่าเห็นโน้น นี้ นั้น เพราะเค้าเบื่อขึ้เกียจดูเรื่องของชาวบ้าน
พูดง่ายคือ ไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวกรรมของคนคนนั้น ข้อมูลนี้จากคนรู้จักกัน
แล้วเค้าได้ธรรม แล้วเรื่องภัยพิบัติทั้งหลาย ทำให้คนตายเป็นเบือ เค้าก็ไม่เคยพูดด้วยซ้ำ

 

คุณควรพบจิตแพทย์ เป็นการด่วน

 

ผมไปพบมาแล้ว และก็รับยามีกินแล้วด่วน

 

นักปฏิบัติโดยแท้จริงจะปลีกวิเวก ไม่มาโอ้อวดอะไรให้คนอื่นรู้ ใครจะไปรู้ว่า
หลวงตาแก่ๆรูปนึง ที่เดินบิณฑบาตทุกเช้าหน้าบ้านเราท่านอาจจะบรรลุเป็น
พระอริยะเจ้าแล้วก็เป็นได้ เพียงแต่ท่านไม่พูดไม่บอกให้เราได้รู้ คนเราก็ยึด
ติดกันว่าต้องทำบุญกับพระโน้นนี่นั่นที่ดังๆมีชื่อเสียงแล้วจะได้บุญมาก ใครจะไป
รู้ว่าแม่ค้าขายของเอาข้าวใส่บาตรพระทุกวันตอนเช้าโดยไม่รู้ว่าพระรูปนั้นท่าน
เป็นพระอรหันต์ อานิสงฆ์ต่างจากมหาเศรษฐีไปทำบุญกับวัดดังๆมีชื่อเสียง
ลิบลับ เพียงแต่ไม่มีมาตรวัดให้เห็นกันนั่นเอง

คำพูดที่ว่า " ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้ของไม่จริง " ก็ยังคงใช้ได้อยู่
ของจริงเข้าใจสรรพสิ่ง เข้าใจในไตรลักษณ์ เข้าใจในกฎแห่งกรรม จะไม่ไป
ก้าวก่ายในกิจของสัตว์โลกปล่อยให้เป็นไปตามวิถีทางของมันเอง ส่วนของ
ไม่จริงนั้นก็จะฟุ้งซ่าน เพ้อเจ้อ ไปเรื่อย จิตใจไม่สงบ ไม่รู้จักปล่อยวาง ถ้าได้
อ่านที่ผมโพสก็จะเข้าใจทั้งหมดว่าคำทำนายภัยพิบัติในเวปพลังจิตเชื่อถือ
ไม่ได้เลยแม้แต่เศษอนูฝุ่นผง

ถ้าจะลงกันไปให้ลึกซึ้งกว่านั้นยิ่งจนด้วยเหตุและผล หน้าที่สั่งสอนสัตว์โลกให้
พ้นทุกข์เป็นของพระพุทธเจ้า หลังจากท่านเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปสิ่งที่
เหลือไว้ก็คือหลักธรรมเพื่อให้หลุดพ้น พระสงฆ์เป็นเพียงผู้นำหลักธรรมนั้นมา
สอนแก่พุทธศาสนิกชน ไม่ใช่สั่งสอนด้วยความคิดเห็นส่วนตัวเสียเอง ต้องจุด
นี้ปัจจุบันผิดเพี้ยนไปมาก หาได้ยากยิ่งที่จะสอนด้วยเนื้อแท้ในพระธรรม
ตอนนี้มันกลายเป็นว่ายึดติดในพระสงฆ์มากกว่าพระธรรมไปเสียแล้ว ต้องไป
กราบพระรูปนั้น รูปนี้ ทำบุญกับรูปนั้นรูปนี้ ได้บุญมาก รูปนี้บรรลุระดับโน้นนี่
ถามว่ารู้ได้ยังไง ตอบได้ว่าไม่มีทางรู้ ถ้าผู้นั้นไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน
และว่ากันตามจริงผู้บรรลุธรรมจะไม่ปริปากบอกด้วยว่าตนบรรลุธรรมได้ขั้นใด

ผมเสียดายคนในเวปนี้จำนวนมาก มีภูมิธรรม ศึกษาธรรมก็มากแต่หลงลืม
รากฐานเนื้อแท้ไปซะหมดไปนับถือร่างทรงผู้วิเศษเป็นอาจารย์ เป็นสรณะ
เค้าพูดเค้าแจ้งเตือนอะไรก็ฟังก็เชื่อหมด พอกล่าวทักท้วงก็มีโทสะสาดใส่
สิ่งนึงที่น่าคิด ถ้าทุกอย่างกลับตาลปัตรหมด เรื่องที่พวกร่างทรงผู้วิเศษพูด
กรอกหูทุกวันจะกลับกัน กลายเป็นว่าผู้วิเศษพาคนไปตาย ไปล่มจม แต่ถึง
ครานั้นก็นับว่ากฎแห่งกรรมได้จัดสรรแล้ว

เป็นข้ออ้างที่เห็นกันได้ทั่วไปเวลาไม่เกิดเหตุตามที่ได้อุปทานต่อๆกันมา แต่ที่น่าเกลียดที่สุดก็คือ
กาลเวลาในโลกมนุษย์ไม่ตรงกับโลกทิพย์ อันนี้ออกเพ้อเจ้อค่อนข้างมาก
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดาบนดาวดึงส์
ก็ต้องคลาดเคลื่อนด้วยซิ เวลาที่สันติดุสิตเทพบุตรจะจุติในครรภ์พุทธมารดา
ก็ต้องคลาดเคลื่อนด้วย แต่จุดตายของข้ออ้างนี้ก็คือเวลาเคลื่อนมาแล้วกี่รอบ
ถ้าเคลื่อนมันไม่น่าจะต่อเนื่องกันนานมาตั้งแต่ปี 2549 นาน ขนาดนี้นะ น่าคิดๆ

 

พวกที่กล่าวโทษปัจจัยภายนอกนี้ล่ะ ประมาท
ความประมาท มันขึ้นอยู่กับตนเองไม่เกี่ยวกับปัจจัยภายนอก
แม้ไม่มีปัจจัยภายนอก มาเกี่ยวข้อง พวกที่ประมาท มันก็ประมาทอยู่ดี

 

คนเว็บนี้ส่วนมากเขานับถือหมอดู เชื่อคำทำนาย ชอบบูชาของแปลก ใครติหน่อย ก็ปกป้องอย่างเอาเป็นเอาตาย

อย่าไปแตะต้องผู้ทำนายเหล่านี้เชียว ไม่งั้นท่านจะโดนข้อหาปรามาสเอาได้ ก็บอกแล้วว่าคนเว็บนี้ส่วนมาก เขาศรัทธาหมอดูยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า

 

ก็นั่นล่ะครับผมถึงได้พยายามบอกว่า ทอดทิ้งพระรัตนตรัย นับถือพวกนอกรีต
เป็นสรณะ ไปแตะต้องก็ไม่ได้ ยอมเอาชีวิตเข้าแลกกันเลยทีดีแล้ว ทุ่มสุดตัว
พอเราไปคุยดีๆด้วยเหตุผลก็หาว่าเราอคติ เราปรามาส ลบหลู่ ถามตรงๆหน่อย
เหอะ ผู้ทำนาย ร่างทรงสัมภเวสี ที่มีแต่อวิชชา ให้ปฎิบัติในหนทางที่พระพุทธ
เจ้าท่านไม่ได้สอน มันทำให้ชีวิตดีขึ้นจริงๆหรือ ผมเห็นมีแต่แย่ลงและเลวลง
เสียเวลา เสียทรัพย์ เสียมิตรสหาย เสียอนาคต สุดท้ายเสียชีวิต นั่นเพราะ
มัวแต่ปฏิบัติตามการชี้นำของพวกนี้ ซึ่งไม่ใช่หนทางหลุดพ้นเลย แต่ยิ่งทำ
ยิ่งหลง ยิ่งยึดติด

ข้อหาปรามาส ลบหลู่ นั้นผมและอีกหลายๆท่านไม่ขอรับไว้ ให้มันผ่านเลยไป
สู่ความว่างเปล่า ก็เพราะว่าพวกเราไม่ได้ทำอะไรผิด เราแค่เตือนสติคนไม่ให้
หลงทางไปปฏิบัติในหนทางที่ไม่ใช่ตามที่พระศาสดาท่านสอนไว้ บอกตรงๆ
นับถือพระรัตนตรัย ดีกว่านับถือร่างทรง ผู้วิเศษ เป็นไหนๆ

 

เหมือนกับประเทศไทยตอนนี้ มีคนบ้างกลุ่มต้องการทำลายสถาบัน ในหลวงท่านอุทิศตนเพื่อชาติไทย เพื่อประชาชนทุกอย่าง ยังมีคนบิดเบือนให้ร้ายท่าน ไอ้พวกนี้มันเลวจริงๆ ชวนคนมาเผาบ้านเผาเมือง

 

การกล่าวหา...เป็นกรรมอย่างหนึ่ง
คุณ...เตรียมตัวชดใช้แล้วใช่มั้ย

 

เอาง่ายๆ เลยนะ เท่าที่ ได้ยินมาดี กว่า

มี บางอย่างบอกว่า ประเทศเราจะไม่เจอ ภัยมาก ตราบใดที่ ในหลวงของพวกยังอยู่
ภัยต่างๆ จะทำอันตราย ราษฎร ของท่านได้น้อยครับ แต่ถ้าท่านไม่อยู่ ไม่รู้นะว่าอะไรจะเกิด

อย่าเชื่อผมนะผมฟังมาได้ยินกับหูผมเองเลยนะ 555

 

สุดท้าย สงสัยต้องยึดว่า กรรมใครกรรมมัน แต่ไม่รู้ว่าพวกเหล่ามิจฉาชีพจะเดือดร้อนอะไรหนักหนา ยังไงก็ยังมีคนให้คุณหลอกได้อยู่วัีนยังค่ำนะ แต่อยากจะบอกว่า จะหลอกเอาเงินยังไงก็อย่าให้เค้าถึงกับปลิ้นกระเป๋า เพราะความกลัวตายจากภัยพิบัิติ เหลือให้เค้ามีบ้านอยู่ เหลือเงินให้เค้ากินยามแก่ สงสารเค้าบ้าง เงินทองหายาก กว่าจะได้ก็แสนเหนื่อยคุณเองก็ยังรู้สึกว่า เหนื่อยเลยใช่มั้ย คุณถึงต้องมาหากินบนความกลัวตายของเค้า