ประสบการณ์ ปาฏิหาริย์ หลวงปู่สรวง ผู้วิเศษแห่งภูตะแบง

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย radien, 12 มีนาคม 2011.

  1. radien

    radien เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2010
    โพสต์:
    902
    ค่าพลัง:
    +1,057
    ขอเชิญพี่ๆน้องๆร่วมแบ่งปันประสบการณ์ ปาฏิหาริย์ ของหลวงปู่สรวง ผู้วิเศษแห่งภูตะแบงครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2011
  2. radien

    radien เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2010
    โพสต์:
    902
    ค่าพลัง:
    +1,057
    หลวงปู่สรวง ผู้วิเศษแห่งภูตะแบง เทพเจ้าแห่งบ้านละลม หลวงปู่สรวงเทวดาเล่นดิน หลวงปู่สรวง 500 พรรษา ลูกตาเบ๊าะ หลายๆชื่อที่ถูกเรียกและถูกขนานนาม ประสบการณ์มากมายที่เกิดกับลูกศิษย์ที่เคารพนับถือ หลายๆเรื่องที่ได้อ่าน หลายๆเรื่องที่ได้ฟังมา และบางส่วนประสบกับตัวเอง
    ขออนุญาตทางเว็บใช้พื้นที่ตรงนี้ ให้กับลูกศิษย์ของหลวงปู่ มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันนะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2011
  3. radien

    radien เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2010
    โพสต์:
    902
    ค่าพลัง:
    +1,057
    หลวงปู่สรวงเป็นใคร มาจากไหน อายุเท่าไหร่ ไม่มีใครรู้จัก รู้เพียงแต่ว่าท่านมาจากเขมร
    และผู้เฒ่าผู้แก่ บอกว่าตั้งแต่ยังเป็นเด็กจนแก่ก็เห็นหลวงปู่อยู่เหมือนเดิมมีแต่ตัวเองที่แก่ไปทุกวันแต่หลวงปู่ยังอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
     
  4. radien

    radien เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2010
    โพสต์:
    902
    ค่าพลัง:
    +1,057
    เรื่องราวที่ทุกท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่ผมได้คัดลอกมาจาเว็บของคุณอาอำพล
    (ขอนุญาตเจ้าของเว็บแล้ว)ใครอยากเขาไปอ่านต้นฉบับเชิญที่นี่นะครับhttp://forum.ampoljane.com/index.php?showtopic=271&st=0
    ก่อนอื่นต้องขอบอกทุกๆท่านที่ได้เข้ามาอ่านกระทู้นี้ให้เข้าใจเสียก่อนว่า เรื่องเล่าอันเกี่ยวกับหลวงปู่สรวงที่ทุกท่านจะได้ติดตามนับจากนี้เป็นต้นไป เป็นการนำมาเรียบเรียงใหม่จากคำบอกเล่าของผู้อาวุโสท่านหนึ่ง

    ฉะนั้นจึงขอให้ทุกท่านที่สนใจใคร่รู้ และเฝ้าติดตามเรื่องราวของหลวงปู่สรวงนับจากนี้ไป ได้โปรดจงทำใจให้เป็นกลางในการที่จะรับฟังและรับข้อมูลในครั้งนี้เสียก่อน และขอให้ทุกท่านได้ละ,วางในสิ่งที่ทุกท่านเคยได้ยินหรือเคยรับฟังมา ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ทั้งหมดเอาไว้เสีย เพื่อที่เราจะได้เข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน

    เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้แม้บางช่วงบางตอนจะฟังคล้ายหนังอินเดีย ที่มีแต่เรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อ เหาะเหิรเดินอากาศบ้าง ,เดินบนน้ำบ้าง , เดินทางลัดบ้างหรืออะไรก็แล้วแต่ อันเป็นการกระทำที่คล้ายในเทพนิยายมากว่าจะเป็นเรื่องจริง แถมมากมายไปด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ก็ตามที

    คำบอกเล่าทั้งหมดนับจากนี้ไปผู้ที่ได้กรุณาเล่าให้ฟังยังมีชีวิตอยู่ และเป็นบุคคลเดียวที่ติดตามรับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่สรวงมานานแล้วอย่างน้อยๆก็ 30 ปีโน่นแหละที่ท่านได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดหลวงปู่สรวง จนแม้กระทั่งวันหลวงปู่มรณภาพคุณลุงท่านนี้ก็ไม่ได้ห่างจากหลวงปู่เลย

    จึงนับได้ว่าคุณลุงท่านนี้เป็นผู้ที่รู้เรื่องราวต่างๆของหลวงปู่สรวงมากที่สุด ,ละเอียดที่สุด ,จริงที่สุดอย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆในความน่าเชื่อถืออันเกี่ยวเนื่องไปถึงข้อมูล และประวัติของหลวงปู่สรวง

    หากจะมีการกล่าวถึงหลวงปู่สรวง ก็นับได้ว่าข้อมูลจากคุณลุงท่านนี้น่าเชื่อถือที่สุดมากว่าผู้ใดทั้งสิ้น

    หลวงปู่สรวงท่านเป็นพระที่มีประวัติความเป็นมาที่ค่อนข้างแปลก และมีวัติปฏิบัติที่ค่อนข้างจะพิสดารเป็นที่สุด นับตั้งแต่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระธุดงค์มา

    ด้วยว่าท่านไม่อินังขังขอบกับกฎกติกาใดๆ ที่ได้มีการบัญญัติไว้เป็นระเบียบ ให้พระธุดงค์ได้ประพฤติปฏิบัติสืบต่อกันมาเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย

    จากคำบอกเล่าของคุณลุงท่านนี้ (ขอสงวนนามเหมือนอย่างเคย เพราะท่านไม่อนุญาตให้นำชื่อเสียงของท่านมาเปิดเผยอย่างเด็ดขาด) หลวงปู่สรวงเป็นพระที่ชาวบ้านในเขตรอบนอกที่ห่างไกลจากตัวจังหวัด และห่างไกลจากความเจริญค่อนข้างจะรู้จักท่านเป็นอย่างดี แตกต่างจากชาวเมืองในเขตตัวจังหวัด ที่ไม่ค่อยจะได้ยินหรือรู้จักกิตติศัพท์ของท่านกันสักเท่าไหร่นัก บางคนไม่รู้จักหลวงปู่สรวงเลยก็มี และมีเป็นจำนวนมากเสียด้วย

    คุณลุงท่านนี้เริ่มรู้จักหลวงปู่สรวงเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2516

    มูลเหตุแห่งการรู้จัก มาจากการที่ คุณลุงท่านนี้มีอาชีพรับจ้างขุดสระน้ำ หรือบ่อน้ำตามอำเภอหรือหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกล และไม่ต้องการที่จะรอความช่วยเหลือจากทางราชการ ที่มีโครงการจากรัฐบาลมาขุดให้ชาวบ้านฟรี เพราะไม่รู้ว่าจะมีคิวมาถึงหมู่บ้านของตนเองเมื่อใด

    ประมาณกลางปี 2516 มีงานรับจ้างที่จะต้องไปขุดสระน้ำให้กับชาวบ้านในพื้นที่ อ.กันทรลักษ์ หลังจากตกลงรับปากรับคำกับชาวบ้านที่มาว่าจ้างกันเป็นมั่นเป็นเหมาะดีแล้ว เมื่อจวนใกล้ถึงวันและเวลาที่นัดหมายกันเอาไว้ก็ส่งทีมงานล่วงหน้าไปก่อน ตัวแกเองจะตามไปทีหลังในวันขุด
    เมื่อทีมล่วงหน้าข้าไปถึงพื้นที่แล้วก็ต้องแปลกใจ เมื่อมีชาวบ้านมาส่งข่าวให้ทราบว่า งานจ้างขุดสระน้ำที่ได้นัดหมายตกลงกันเอาไว้นั้น ขอเลื่อนออกไปก่อน วันนั้นไม่ว่าง และไม่มีใครสักคนว่างพอที่จะมาคอยบอกคอยดูในระหว่างที่การขุดจะดำเนินไป

    พรรคพวกที่ไปถึงก่อนก็งง อีตอนไปติดต่อก็เร่งให้รีบขุดเร็วๆ แต่พอถึงวันนัดกลับมาบอกว่าไม่ว่างไม่พร้อม ไม่อยู่ มันยังไงกันแน่

    ถามไถ่เอาความจากชาวบ้านเรียบร้อยแล้วทีมงานขุดสระน้ำของคุณลุงผู้นี้ก็ถึงกับมึนไป

    ที่บอกว่าถึงกับมึนงงก็เพราะสาเหตุที่ชาวบ้านยังไม่พร้อมที่จะให้ขุดสระน้ำ เป็นเพราะว่าในวันนั้นจะพากันไหว้พระธุดงค์องค์หนึ่ง ซึ่งจะธุดงค์ผ่านมาทางหมู่บ้านพอดี

    <!--coloro:#FF0000--><!--/coloro-->ฮ่วย...!!!<!--colorc--><!--/colorc-->

    จะไปไหว้พระ ทำไมถึงต้องไปหมดกันทั้งหมู่บ้าน ไม่มีใครยอมอยู่เฝ้าบ้าน หรือเฝ้าหมู่บ้านแม้แต่คนเดียวเลยหรือ

    ทุกคนต่างก็พร้อมหน้าพร้อมตา และพร้อมใจชวนกันไปกราบหลวงปู่พระธุดงค์นิรนามองค์นั้นหมดทั้งหมู่บ้านจริงๆหรือ

    คิดดูแล้วก็แปลกดี นอกจากแปลกแล้วก็ยังเกิดความอยากรู้อยากเห็นเพิ่มมากขึ้นอีกเป็นอันมาก

    ความสงสัยมันมีเยอะเสียจนทนไม่ไหว

    พระอะไรจะเรียกศรัทธาจากสาธุชนได้มากมายไม่มีประมาณปานนั้น

    ถึงกับยอมละทิ้งบ้านเรือนให้ร้างเจ้าของพร้อมกันทั้งหมู่บ้านอย่างนี้ เพียงเพราะว่าทุกคนต้องการจะไปกราบพระธุดงค์องค์นั้น

    คุณลุงยังเล่าต่อไปอีกว่า หลังจากพรรคพวกที่ล่วงหน้ามาก่อนได้แจ้งกลับไป ทำให้คุณลุงเองถึงกับอยากรู้อยากเห็นอยากดูให้เห็นกับตาของตนว่า พระธุดงค์องค์นี้เป็นใครมาจากไหนและมีคุณธรรมวิเศษอย่างไร ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันไปกราบท่านกันจนหมดหมู่บ้านอย่างนั้น

    ลำพังตัวของคุณลุงเอง แกก็เป็นผู้ฝักใฝ่ในธรรมะกับการบุญอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน พระองค์ไหนที่ว่าดัง พระองค์ไหนที่ใครเค้าลือว่าเก่ง ลุงแกเป็นไม่ยอมพลาด จะต้องไปกราบไปไหว้ให้เห็นกับตาตนเองและเป็นบุญแก่ใจตนเองให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นหลวงปู่ฝั้น , หลวงปู่ขาว , หรือแม้แต่หลวงปู่หล้า คุณลุงแกก็ตระเวนไปกราบไปไหว้มาหมดแล้ว

    “หลานจะเชื่อมั๊ย ทันทีที่ลุงไปถึงหมู่บ้านนั้น ลุงเองต้องแปลกใจเป็นอันมากต่อสภาพที่ลุงได้เห็นในขณะนั้น ในหมู่บ้านไม่มีใครเหลืออยู่เลยจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกเล็กเด็กแดง หรือแม้แต่ผู้เฒ่าชราที่ปกติจะถูกปล่อยให้อยู่โยงบ้านเสมอๆ ก็ไม่มีให้เห็นหรือมีให้ลุงได้ถามไถ่แม้แต่คนเดียว ลุงยังคิดเล่นๆเลยว่า นี่หากมีโจรมาปล้น โจรมันคงไม่ต้องออกแรงอะไรมากนัก แค่ขับรถมาจอดแล้วก็เดินเลือกเอาเลย อยากอะไรของบ้านหลังไหนก็ไม่มีปัญหา ยกมาใส่รถได้เลย และหากชาวบ้านกลับมาจากไหว้พระ ก็คงจะไม่รู้อีกนั่นแหละว่าหมู่บ้านของตนถูกโจรก๊กไหนมายกเค้าเอาไปจนเกลี้ยง นี่พูดถึงว่าถ้าหากมีโจรหลงทางผ่านมาเจอนะ”

    ฟังแล้วคุณผู้เชื่อเรื่องนี้มั๊ยครับ

    ท่านเชื่อมั๊ยครับว่ามีพระแบบนี้อยู่จริงๆในโลกบูดๆเบี้ยวๆใบนี้

    พระที่เพียงแต่ชาวบ้านรู้ข่าวว่าอยู่ที่ไหน ก็พร้อมใจกันยกโขยงพากันไปกราบไปไหว้อย่างไม่รั้งรอและอนาทรต่อสิ่งใดๆ เพียงแต่ขอให้ตนเองได้เป็นหนึ่งในผู้ที่จะได้กราบไหว้หลวงปู่พระธุดงค์องค์นั้น

    ความแปลกประหลาดของพระธุดงค์รูปนั้นยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้

    <!--coloro:#FF0000--><!--/coloro-->ยังมีอีก<!--colorc--><!--/colorc-->

    อีกหนึ่งเรื่องที่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ หลังจากอ่านจบแล้ว ผมก็จะขอถามทุกท่านอีกนั่นแหละ ว่าท่านเชื่อมั๊ยว่า เรื่องที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง

    มีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงปู่สรวงท่านออกธุดงค์ไปทาง อ.อำนาจเจริญ จำไม่ได้แล้วล่ะว่าหมู่บ้านที่ท่านธุดงค์ผ่านไปชื่อหมู่บ้านอะไร รู้แต่ว่าไปถึงก็จวนค่ำแล้วโพล้เพล้เต็มที ก็เริ่มมองหาที่สำหรับปักกลดเพื่อพักผ่อนในค่ำคืนที่จะมาถึง

    ตามปกตินิสัยของหลวงปู่ท่านจะไม่จำวัดในหมู่บ้านหรือแม้แต่ในวัดเองก็เถอะ หากอยู่ในที่ชุมชนมีคนพลุกพล่านแล้วล่ะก็เป็นอันเลิกกัน ท่านไม่ยอมอยู่แน่ๆ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ท่านพาเดินเลาะเลียบเข้าไปในป่าตามชายหมู่บ้านไม่ยอมเดินเข้าไปในหมู่บ้าน และไปหยุดพักในป่าที่ห่างจากหมู่บ้านพอสมควร

    ด้วยความที่เดินทางกันมาทั้งวันก็เลยหิว วันนั้นทั้งวันมีแต่น้ำเปล่าที่ตกถึงท้องไม่มีอาหารอย่างอื่น อาการหิวก็เลยเก็บไว้ไม่มิดปิดไว้ไม่อยู่ หน้ามืดจะเป็นลมเสียให้ได้

    หลวงปู่ท่านก็คงรู้และดูออกว่าเราหิว แต่ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่แม้แต่จะบอกให้เราเข้าไปหาอาหารในหมู่บ้านมากินให้หายหิว

    เมื่อหลวงปู่ไม่บอกไม่พูด หิวอย่างไรก็ต้องทนต้องอดนั่งอยู่กับท่านทั้งอย่างนั้น

    หลังจากเลือกสถานที่สำหรับจะพักปักกลดได้แล้ว หลวงปู่ก็เดินหายลับเข้าไปในป่าอย่างเงียบๆ ปล่อยให้เรานั่งรออยู่อย่างนั้นโดยท่านไม่ได้บอกหรือสั่งอะไร นอกจากบอกให้ก่อไฟไว้ไล่ยุงเท่านั้น

    สักพักท่านก็เดินกลับมา ไม่ได้มาตัวเปล่า ในมือของหลวงปู่สรวงมีปลาช่อนตัวเขื่องขนาดประมาณเท่าๆกับแขนของผู้ใหญ่ กำติดมือดิ้นกะแด่วๆมาด้วยตัวหนึ่ง

    เมื่อเดินมาถึงกองไฟที่ก่อเอาไว้หลวงปู่ท่านไม่พุดพล่ามทำเพลงให้เยิ่นเย้อเสียเวลา

    ท่านจัดการหักคอปลาช่อนเคราะห์ร้ายตัวนั้นดังเป๊าะ แล้วโยนปลาช่อนดวงซวยตัวนั้นเข้ากองไฟอย่างหน้าตาเฉย ทำเหมือนอย่างกับว่า การหักคอปลาเป็นเรื่องธรรมดาๆซะอย่างนั้นแหละ

    เมื่อเผาจนปลาสุกดีแล้ว หลวงปู่ก็จัดแจงแบ่งปลาช่อนออกเป็นสองส่วน ต่างคนต่างกิน อิ่มแล้วก็เตรียมตัวเข้านอน ก่อนนอนยังนึกฉงนในใจไม่หาย

    หลวงปู่ทำไมถึงทำอย่างนั้นวะ เป็นพระบวชถือศีล ออกธุดงค์หาความสงบ ความหลุดพ้นแท้ๆ แต่ไหงดันไปจับปลามาหักคอเผากินหน้าตาเฉยเลย

    มิหนำซ้ำตัวท่านเองก็กินปลาช่อนเผาตัวนั้นเป็นอาหารเย็นอีกต่างหาก

    มันยังไงกันแน่หว่า...!!!
     
  5. radien

    radien เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2010
    โพสต์:
    902
    ค่าพลัง:
    +1,057
    พ่อลุงบุญเลิศเล่าว่าคราวที่หมู้บ้านถึงกับร้างหนนั้น ถือว่าเป็นเหตุให้ได้พบหลวงตาสรวงเป็นครั้งแรก

    หลวงตาสรวงท่านมาที่หมู่บ้านอีกหมู่บ้านหนึ่ง ไกลจากหมู่บ้านที่พ่อลุงบุญเลิศไปรับงานขุดสระราวๆ20กว่ากิโล
    คนทั้งหมู่บ้านนี้เมื่อทราบว่าหลวงตามา ก็พากันหอบลูกจูงหลา่นไปกราบหลวงตาที่หมู่บ้านโน้นกันจนหมด

    หมู่บ้านจึงร้างอย่างที่prigtaiได้เล่าไว้แล้ว

    พ่อลุงบุญเลิศเกิดข้อสงสัยว่าพระอะไรกัน ถึงกับให้คนทิ้งบ้านแจ้นไปหาจนบ้านร้างขนาดนี้
    ก็เลยตามไปดู

    "พอไปเห็น..โอ๊ยย..มันอะไรกันนักกันหนา..หลวงตานอนกลิ้งเกลือกอยู่กับขี้ดิน สกปรก ขี้ไคลขึ้นเป็นคราบ ขี้ตาก้อนเท่าเม็ดถั่ว น้ำลายก็ไหลเยิ้ม ขอโทษนะหลาน..หำก็โผล่ออกมาทั้งพวงอีกด้วย"

    พ่อลุงบุญเลิศเล่าว่า เกิดความเัอน็จอนาถแกมสมเพช
    ทั้งสมเพชหลวงตาและพวกชาวบ้าน
    พระก็เหมือนผีบ้า ชาวบ้านยิ่งบ้าหนักกว่าอีก มาแห่มาแหนล้อมหน้าล้อมหลังกราบพระบ้ากันประหลกๆ

    "พอนึกในใจเท่านั้น หลวงตาก็ทำปากจู๋ส่งเสียงจุ๊กๆ นิ้วชี้ก็เคาะลงที่พื้นดินป๊อกๆๆสามครั้ง..โน่น..แม่ไก่ มันกำลังหากินหาเลี้ยงลูกเจี๊ยบอยู่ฝูงหนึ่ง มันหยุดกึก หันกลับมา แล้วก็ทั้งบินทั้งวิ่งมาหาหลวงตา
    ทั้งแม่ทั้งลูกวิ่งกันปานกับกลัวจะมาไม่ทัน คือมันแย่งกันวิ่งสลับบินมาหาหลวงตาแบบรีบร้อนที่สุด..ตัวแม่ไก่มาหมอบนิ่งอยู่ข้าง ๆ หลวงตา ส่วนลูกๆพอมาถึงก็โดดขึ้นเล่นบนตัวหลวงตา..น่ารักมาก"

    พ่อลุงบุญเลิศบอกว่าตอนนั้นชักจะนึกแปลกใจแปลบปลาบเล็กๆเข้าบ้างแล้ว
    สักครู่หลวงตาสรวงก็เอานิ้วมือขีดลงพื้นดินเป็นวงกลมเล็กๆ
    จับลูกไก่ตัวหนึ่งวางใส่ในวงกลม
    แล้วท่านก็ลุกขึ้นเดินไปนั่งอยู่บนกระท่อม

    แม่ไก่กับลูกของมันทั้งฝูงก็ลุกขึ้นกลับออกไปหากินตามปกติเหมือนเดิม
    <!--coloro:#9932CC--><!--/coloro-->เว้นแต่ลูกไก่ตัวที่อยู่ในวงกลมเท่านั้น<!--colorc--><!--/colorc-->

    "มันนอนเล่นเหมือนมีความสุข จิกขนตัวเอง นอนเหยียดแข้งเหยียดขา ลุงย่องเข้าไปจับมันออกมาปล่อยนอกวงกลม มันก็กลับวิ่งเข้าไปอยู่ในวงกลมอีก จับมันออกมาอีกที มันก็กลับเข้าไปในวงกลมเหมือนเก่า"

    ตอนนี้พ่อลุงบุญเลิศตาสว่างแล้วขะรับ
    ลุกขึ้นเดินตามหลวงตาเข้าไปที่กระท่อม
    พอก้มลงจะกราบเท้า

    "ท่านชักเท้าหนีไม่ให้กราบ ลุงขยับตามไปจะกราบให้ได้ ท่านก็ชักเท้าหนีอีก ลุงจึงตัดสินใจจับขาท่านไว้ไม่ให้หนี จึงได้กราบสมใจ แล้วก็ขอขมาท่านว่า ลูกหลานผิดไปแล้ว มองคนก็แค่เปลือก ไม่ใด้มองถึงเนื้อใน จึงเป็นเหตุให้นึกประมาทครูบาอาจารย์"


    "แล้วลูกไก่ที่อยู่ในวงกลมล่ะ" ข้าพเจ้าถามพ่อลุงบุญเลิศ
    "อ๋อ..สักครู่หลวงตาทำปากเป่าลมไป มันจึงออกสามารถจากวงกลมวิ่งกลับไปหาแม่ของมันได้"
    "หลังจากนั้นพ่อลุงก็กลายเป็นผู้ติตดามหลวงตาไปจนตลอดชีวิต"
    "ไม่นะ..กว่าท่านจะยอมให้ติดตามก็อีกเป็นเดือน ระหว่างนั้นตามท่านไปอย่างเดียว ไม่ให้คลาดสายตา ไม่ว่าท่านจะไปที่ไหนก็ตาม "
    "ท่านก็ยอมให้ตามหรือขะรับ"
    "ท่านไล่ให้หนี ไม่ให้ตาม แต่ลุงเล่นลูกตื๊อไม่ยอมถอย ท่านไล่ เราก็หลบไปอยู่ห่างๆ พอเผลอๆก็กลับเข้ามา เป็นแบบนี้อยู่นาน จนกระทั่งวันหนึ่งลุงเหนื่อยหลาย หิวก็หิว ข้าวไม่ได้กินทั้งวัน เผลอหลับไปนานแค่ไหนไม่รู้ตัว ตื่นอีกทีเพราะว่ามีคนมาปลุก พอลืมตาก็มืดค่ำสนิทไปแล้ว"
    "หลวงตามาปลุก"
    "เปล่าๆ ท่านน่ะหนีไปแล้ว แต่เกิดเปลี่ยนใจให้ลูกศิษย์ที่ติดตามท่านประจำย้อนกลับมาปลุก"
    "อ้าว..ก็ไหนว่าท่านไม่มีลูกศิษย์"
    "ไม่เชิงลูกศิษย์..คือหลวงตาชอบจะมีผู้ติดตามประจำอยู่สามคน แต่ไม่ได้ติดตามพร้อมกันทั้งสามคน ท่านให้ตามแค่ทีละคนเท่านั้น แล้วทั้งสามคนเป็นพวกไม่เต็มบาทด้วยกัน คนไม่เต็มบาทนี่แหละมาปลุก มันบอกว่าหลวงตาไปแล้วๆๆ หลวงตาให้มาตามลุงให้ตามไป"

    พ่อลุงบุญเลิศเล่าต่อไปว่า
    "หลวงตาท่านรออยู่อีกที่หนึ่ง ไกลพอสมควร ท่านพาเดินไปเรื่อยๆ ไม่รู้จะพาไปไหน ไฟฉายก็ไม่มี เดินตามท่านไป จนไปทะลุถึงหมู่บ้า่นหนึ่ง ท่านไปปลุกชาวบ้าน บอกให้เขาหาข้าวให้ลุงกิน ท่านว่าหาข้าวให้ลูกชายกินหน่อย ลูกชายหิวข้าว บ้านนั้นเอาปลากระป๋องมาเปิดให้กินกับข้าวเหนียว หิวจนตะกรุมตะกราม กินเกลี้ยงไม่มีเหลือ หลวงตาหัวเราะชอบใจ..ตั้งแต่นั้นท่านเรียกลุงว่าลูก แล้วก็ยอมให้ติดตามท่านตลอดมาอย่างที่รู้ๆกันนั่นแหละ"

    พ่อลุงบุญเลิศตื๊อจนหลวงตาสรวงใจอ่อน
    ในบั้นท้ายสุด
    ได้กลายเป็นคนขับรถให้หลวงตาสรวงเพื่อด้นธุึดงค์
    จรดลไปทั่วแว่นแคว้นแดนดิน
    เกิดสมญานามอีกหนึ่งว่า<!--coloro:#4169E1--><!--/coloro--><!--sizeo:3--><!--/sizeo-->หลวงตาทางหลวง<!--sizec--><!--/sizec--><!--colorc--><!--/colorc-->
     
  6. radien

    radien เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2010
    โพสต์:
    902
    ค่าพลัง:
    +1,057
    เรื่องหักคอปลาช่อน<!--sizec--><!--/sizec--><!--colorc--><!--/colorc-->
    พ่อลุงบุญเลิศเล่าว่าเรื่องนี้เกิดหลังจากเริ่มติดตามหลวงตาสรวงช่วงแรกๆ
    ท่านพาเดินป่าขึ้นไปพักอยู่บนเขาในเขตอำเภอกันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
    มีลูกศิษย์ไม่เต็มบาทไปด้วยอีกคนหนึ่ง

    ราวๆบ่ายของวันหนึ่ง หลวงตาบอกพ่อลุงบุญเลิศให้ก่อไฟเตรียมไว้ ตัวท่านจะไปหาปลามาให้กิน
    ท่านหายไปสักพักก็กลับมาพร้อมปลาช่อนตัวขนาดหน้าแข้ง
    ยังดิ้นกระแด่วไม่ทันตาย

    พอมาถึงท่านหักคอปลาดังกร๊อบ

    พ่อลุงบุญเลิศเล่าว่าถึงกับร้องครางในใจอยู่คนเดียว เอ๊า..เป็นไงเป็นกัน ก็มันหิวเต็มที

    หลวงตาลงมือเผาปลาด้วยตัวเอง เอาไม้คอยเขี่ยคอยพลิก กลิ่นปลาเผาหอมจนน้ำลายแตกเต็มปาก

    พอปลาสุกท่านก็แบ่งปลาออกเป็น3ส่วน
    ส่วนหางให้คนไม่เต็มบาท
    ส่วนกลางให้พ่อลุงบุญเลิศ
    ส่วนหัวท่านฉันเอง

    พ่อลุงบุญเลิศเล่าว่า ปลาอร่อยมาก ทั้งสดทั้งเหนียวพอดีกิน เสียแต่ว่ากินลำบากอยู่บ้าง ต้องค่อยๆลอกหนังปลาออก ไม่ให้ขี้เถ้าเปื้อนเนื้อปลา
    ลอกหนังแล้วก็กองไว้ที่ก้อนหินข้างๆตัว
    ก้างปลาก็กองรวมไว้ด้วยกัน

    หลังจากอิ่มดีแล้ว หลวงตาเรียกให้รีบลุกขึ้นตามท่านลงไปทำน้ำมนต์็ให้ชาวบ้านที่หมู้บ้านตีนเขา
    พอลงเขามาเห็นชาวบ้านเตรียมครุน้ำถังน้ำนั่งรอกันสลอน อย่างกับว่านัดกันไว้

    หลวงตา็ก็แค่นิ้วมือจุ่มลงไปแกว่งในน้ำให้ทีละราย เดี๋ยวเดียวก็เสร็จ
    ชาวบ้านถวายเงินคนละ10บาท,20บาท ท่านไม่รับ ส่งเงินคืนให้ชาวบ้านหมด

    "เขาไม่รู้ทำไง ก็เลยไปตักข้าวสารมาให้ บอกว่าเอาขึ้นไปหุงกินบนเขา"

    เมื่อกลับขึ้นมาถึงที่พักบนเขา จวนมืดแล้ว พ่อลุงบุญเลิศจึงเตรียมหุงข้าวกินมื้อเย็น

    "เห็นแปลก..หนังปลากับก้างปลาที่เราลอกแกะทิ้งไว้บนก้อนหิน กลายเป็นเปลือกมันสำปะหลัง เท่านั้นแหละจึงร้องเอะอะใส่ท่าน โอ๊ยยๆ..หลวงตาตั๋วข้าน้อย หลวงตาตั๋วแล้ว"
    (ตั๋ว-โกหก,หลอกลวง,)

    หลวงตาก็แค่หัวเราะอยู่หยุมๆ

    "เราเลยไปสำรวจดู เดินตามรอยเท้าที่ท่านหายไปหาปลา ก็ไปเห็นรอยขุดหัวมันสำปะหลัง เราไม่ได้เฉลียวใจเลยว่า แถวนั้นมันมีน้ำมีห้วยมีธารที่ไหน หลวงตาจะไปเอาปลามาได้ไง"
     
  7. radien

    radien เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2010
    โพสต์:
    902
    ค่าพลัง:
    +1,057
    หลวงตาสรวงช่วยคนคิดสั้นจะฆ่าตัวตาย
    คุณบุญเลิศเล่าว่า,ลูกศิษย์เมืองจันทบุรีชื่อคุณนก มารับเอาตัวหลวงตาสรวงไปพักที่บ้านของเธอ ใกล้ชายแดนเขมร คลับคล้ายว่าอยู่ในเขตคลองลึก จำชื่อหมู่บ้านไม่ได้

    โดยรับเอาตัวหลวงตาไปก่อนหวยออกไม่กี่วัน
    คือมีแผนจะเอาหวยจากหลวงตานั่นเอง

    หลวงตาก็ได้ให้หวยจนคุณนกและชาวบ้านถูกกันถ้วนทุกคน

    หลังถูกหวยแล้ว คุณนกยังคงรั้งตัวหลวงตาไว้ไม่ปล่อยให้กลับ ตั้งใจให้อยู่บอกหวยงวดต่อไปอีกงวด ทั้งยังขัดกระแสต้องการให้หลวงตาอยู่ต่อไปจากชาวบ้านไม่ได้

    งวดต่อมาหลวงตาให้หวยถูกอีก
    คนรวยหวยมากกว่างวดที่แล้ว หลายคนที่เชื่อมั่นทุ่มแทงได้เงินมากมายกันทั้งหมู่บ้าน

    คุณนกทำท่าจะรั้งตัวหลวงตาไว้อีก ไม่ยอมให้หนีกลับศรีสะเกษ

    ร้อนถึงคุณบุญเลิศซึ่งพักอยู่บ้านในเมืองอุบล

    "ผมฝันครับ, ฝันว่าหลวงตามาหา บอกให้ช่วยไปรับที อยากกลับแล้ว..เรื่องฝันเห็นหลวงตามาบอกให้ไปรับ ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก คือก่อนหน้านั้นก็ฝันมาหลายหน ทุกหนก็เป็นเรื่องจริงๆคือหลวงตาต้องการให้ไปรับ จึงรีบขับรถออกจากบ้านไปเมืองจันทน์ทันที"

    พอไปถึงหลวงตาวิ่งมาหาที่ประตู แสดงอาการดีใจ จะขึ้นรถกลับ ใครก็ทัดทานไม่อยู่
    ชาวบ้านแห่กันมาล้อมรถ ต้องเจรจากันนิดหน่อย เขาจึงยอมให้พาหลวงตากลับ

    ก่อนกลับชาวบ้านทุกคนพากันมาถวายเงิน
    รวมๆแล้วได้40,000บาทถ้วนพอดี

    <!--coloro:#8B0000--><!--/coloro-->ปกติหลวงตาไม่รับเงิน ใครถวายจะส่งคืน ถ้าเซ้าซี้จะให้รับไว้ หลวงตาจะเผาเงินนั้นทิ้งต่อหน้าต่อตา<!--colorc--><!--/colorc-->
    ท่านว่า
    <!--coloro:#8B0000--><!--/coloro--><!--sizeo:3--><!--/sizeo-->"ของไม่ดี คนตีกัน ฆ่ากัน แย่งชิงกันก็เพราะสิ่งนี้ เงินเป็นของไม่ดี"<!--sizec--><!--/sizec--><!--colorc--><!--/colorc-->

    <!--coloro:#008000--><!--/coloro-->แต่ว่าคราวนี้แปลกท่านรับเงินทั้งหมดไว้แล้วใส่เก็บลงย่าม<!--colorc--><!--/colorc-->

    ต้องเข้าใจธรรมชาติของหลวงตากับคนขับรถ(คุณบุญเลิศ) เมื่อหลวงตาขึ้นรถแล้ว จะไปที่ไหนจะไปหนใด ก็สุดแต่หลวงตาจะชี้นิ้วให้ขับไป
    ท่านให้ขับเลาะไปตามถนนเลียบชายแดน ผ่านหมู่บ้านแปลกๆไปเรื่อย จนกระทั่งผ่านหมู่บ้านเล็กๆ(จำชื่อไม่ได้) หมู่บ้านนี้อยู่ใกล้อรัญประเทศ คือห่างจากอรัญฯราว15-20กม.เท่านั้น

    เพียงแค่ผ่านเลยหมู่บ้านมาไม่ไกลเท่าไหร่
    หลวงตาล้วงเงิน 40,000 บาทโยนออกหน้าต่างทิ้งตรงข้างทาง

    "ผมเบรคตัวโก่งเลยครับ,จะถอยรถกลับไปเก็บเงิน,หลวงตาบอกไม่เอาๆเงินของเขา ทิ้งไปๆ"
    คุณบุญเลิศนึกเสียดายจนร้อนรนอยู่ในใจ
    "เงินตั้ง40,000นะ ใครไม่เสียดาย แทนที่จะโยนทิ้ง ยกให้เราก็ยังจะดีกว่า ทีนี้ใจมันก็คิดแต่เรื่องเงิน จะหาทางกลับไปเอาเงินนั้นให้ได้ พอดีมองเห็นวัดอยู่ริมทาง เลี้ยวเข้าไป ส่งหลวงตาขึ้นไปบนศาลา บอกว่าหลวงตาคอยอยู่นี่ก่อน ผมมีธุระ ขอไปทำธุระเดี๋ยวเดียวจะกลับมา"

    หลวงตาหัวเราะหยุมๆไม่ว่าอะไร

    ย้อนรถกลับมาบริเวณที่หลวงตาโยนเงินทิ้ง จอดรถหาอย่างไรก็ไม่เจอ

    "แน่ใจว่าจำไม่ผิด ตรงนี้แน่นอน แต่หาไม่พบ ฉุกใจคิดได้ว่าอาจมีใครเก็บเอาไป จึงขับรถไปที่หมู่บ้านใกล้ๆที่เพิ่งผ่านมา เห็นคนออกันอยู่ศาลากลางบ้านเป็นกลุ่มใหญ่ จอดรถเดินเข้าไปถาม มีใครเห็นถุงเงิน40,000บ้างไหม เป็นเงินหลวงตา ท่านลงไปถ่ายอุจาระตรงข้างทางแล้วลืมไว้"

    คุณบุญเลิศโกหกไปตามเรื่อง

    "ผมนี่แหละครับเก็บไปได้" ชายผู้หนึ่งออกมารับเรื่องนี้อย่างองอาจผึ่งผาย
    "โอ๊ย,ดีหลาย นึกว่าจะสูญเงินไปแล้ว ว่าแต่ไปเห็นเงินนี้ได้ยังไง"
    <!--coloro:#800080--><!--/coloro-->"ผมจะไปผูกคอตายแถวนั้น เห็นถุงเงิน เปิดมานับดู มี4หมื่นพอดีเลย"<!--colorc--><!--/colorc-->
    "อ้าว,จะฆ่าตัวตายทำไม แล้ว4หมื่นน่ะพอดีอะไร"
    "ผมเอาที่เอาบ้านไปจำนองเขาไว้4หมื่น ไม่มีเงินไถ่ เขากำลังจะมายึด พอ่แม่พี่น้องผมจะไม่มีที่อยู่ พากันลำบากเพราะผม กลุ้มใจคิดหาทางออกไม่เจอ เป็นความผิดของผมที่ทำให้พ่อแม่พี่น้องเิดือดร้อน
    เงินค่าไถ่ก็หาไม่ได้เลยคิดอยากตาย"
    "........."
    "ผมเอาเงินที่เก็บได้มาที่นี่ บอกผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านให้มาเป็นพยาน ว่าเงินนี้ผมเก็บได้ สงสัยว่าจะเป็นเงินของพระอยู่เหมือนกัน รอว่าถ้าไม่มีใครมาขอรับเงินคืน ผมจะเอาเงินนี้ไปไถ่บ้าน เมื่อพ่อลุงมาบอกว่าเป็นเงินพระลืมไว้ ผมก็จะคืนให้"

    คุณบุญเลิศถึงกับซึม
    เดินกลับมาที่รถ สตาร์ทเครื่องไม่พูดไม่จา
    ชาวบ้านมองตามงงๆ
    ก่อนออกรถจึงกล่าวว่า
    "เงินนี่หลวงตาไม่ได้ลืมไว้หรอก หลวงตาท่านให้เจ้านั่นแหละ เอาไปไถ่บ้านเถอะ"
    "เดี๋ยวก่อนครับหลวงตาที่ไหน"
    "เจ้าไม่รู้จักหรอก รีบไปซะ,เอาไปไถ่บ้านเร็วๆก่อนจะถูกยึดนะ"

    ว่าแล้วก็ออกรถไปด้วยหัวใจเบิกบานเป็นสุข
    นึกเคารพรักหลวงตามากกว่าเก่าอีกไม่รู้กี่เท่า

    ส่วนชายชาวบ้านผู้คิดสั้น มองตามรถจนหายลับไปจากสายตา
    เขาไม่มีทางเข้าใจอะไรได้เลย
    <!--coloro:#006400--><!--/coloro-->ไม่มีวันเข้าใจ<!--colorc--><!--/colorc-->
     
  8. radien

    radien เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2010
    โพสต์:
    902
    ค่าพลัง:
    +1,057
    หลวงปู่สรวงช่วยชีวิตพ่อ – ลูก<!--sizec--><!--/sizec--><!--colorc--><!--/colorc-->

    เป็นข่าวล่าสุดส่งมาจากทางจังหวัดอุบลฯ เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ ควันไม่ทันจางดีหรอกครับ เรื่องนี้ฟังแล้วก็เห็นว่าแปลกอยู่ไม่น้อย

    กระทาชายนายหนึ่งอาศัยอยู่ละแวกวัดเจียเจีย ก็วัดที่จะทำพิธีพุทธาภิเสกรูปเหมือนเนื้อว่านลอยองค์หลวงปู่สรวงรุ่นล่าสุด และหากความจำของผมไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน รุ่นนี้น่าจะพออนุโลมให้เป็นรุ่นแรกได้ เพราะเป็นการสร้างโดยลูกศิษย์ที่ติดตามรับใช้ใกล้ชิดลูกปู่มาตั้งแต่ปี 2516โน่นแน่ะ

    รายละเอียดส่วนอื่นในการจัดสร้างท่านอาอำพลได้แจ้งไปบ้างแล้ว ค่อนข้างจะครบถ้วนสมบูรณ์ ช่วงท้ายๆของเรื่องสำหรับตอนนี้จะมีข้อมูลล่าสุดมาบอกเพิ่มเติมอีกที ยังไงก็ลองตามดูก็แล้วกันนะครับ รับรองว่าถูกใจหลายๆท่านแน่นอน

    ทีนี้มาว่ากันต่อเกี่ยวเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นและเป็นการเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ไม่มีใครต้องการที่จะให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับตัวเองหรอก ผมเชื่อว่าอย่างนั้น และผมก็ไม่คิดว่าจะมีใครอยากจะให้เกิดกับตน

    ผมเองก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้กับตัวผม ไม่ว่าจะเป็นการบังเอิญหรือเป็นความตั้งใจของใครก็ตามที

    ไม่ว่ายังไงผมก็ยังรู้สึกว่าโลกนี้มันยังน่าอยู่ แม้บางทีจังหวะชีวิตมันจะเห่ยๆไปบ้าง แต่ผมก็ยังรักที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ต่อไปอยู่ดี

    หรือว่ามีใครอยากจะถูกยิงด้วยปืนลูกซองบ้าง

    คำตอบน่าจะเป็นไปในทางเดียวกันในความเห็นของผม ก็คือ ใครมันจะบ้าถึงขนาดอยากถูกยิงวะ

    ปกติของปุถุชนคนทั่วไปย่อมอยากจะอยู่อย่างสงบ ในมุมและในส่วนของตนเองกันทุกผู้ทุกคนเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว

    ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นตัวละครตัวหลักในเรื่องนี้ก็เช่นกัน เขาก็เป็นคนที่ชอบจะอยู่ในที่หรือในมุมที่เขาชอบ และด้วยความที่มีนิวาสสถานอยู่ใกล้วัด ยามที่มีเวลาวางจากงานส่วนตัวก็จึงมักจะเข้าไปช่วยงานในวัดใกล้บ้านอยู่บ่อยๆ วัดใกล้บ้านที่พูดถึงนี้ ก็คือวัดเจียเจียที่กำลังจะสร้างตำนานในเส้นทางสายขลังขึ้นอีกวัดหนึ่ง ด้วยบารมีของหลวงปู่สรวง

    แล้ววัดเจียเจียอยู่ที่ไหน

    วัดเจียเจียที่กล่าวถึงในเรื่องอยู่ที่ อ. วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี แต่ไม่ได้อยู่ในตัวอำเภอซะทีเดียว อยู่ห่างจากตัวอำเภอพอสมควร จุดสังเกตที่ง่ายที่สุดคือ วัดนี้ตั้งอยู่ใกล้ ม. อุบลฯ หากจะไปวัดนี้ต้องหาทางไปให้ถึง ม.อุบลฯเสียก่อน หลังจากนั้นก็จะหาวัดนี้เจอได้อย่างไม่อยากเย็นนัก

    ชายผู้ฝักใฝ่ในวิถีทางพุทธศาสนาคนนี้ ยามที่เขาว่างจะเข้าไปคอยช่วยงานในวัดอยู่เป็นนิจ จนเป็นที่พอใจของท่านเจ้าอาวาสยิ่งนัก

    ในสัปดาห์ที่ผ่านมาทางวัดมีการต่อเติมศาสนะสถานในบริเวณวัดหลายอย่าง เขาผู้นี้ก็ไม่รีรอที่จะเข้าไปช่วยอย่างขมีขมัน และตั้งอกตั้งใจโดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ทุ่มเทแรงกายแรงใจช่วยจนงานของวัดเจียเจียสำเร็จลุล่วงลงไปด้วยดี

    เมื่องานสำเร็จเสร็จตามประสงค์แล้ว ท่านเจ้าอาวาสก็เมตตาหยิบรูปหล่อลอยองค์เนื้อว่านสีดำให้หนุ่มผู้นี้ไปหนึ่งองค์ เป็นการตอบแทน เนื่องจากรู้ว่าเจ้าตัวเค้าอยากได้

    รูปหล่อลอยองค์เนื้อว่านที่หลวงพ่อเจ้าอาวาสหยิบให้ไปนั้นเป็นแบบที่ติดจีวรสองสี หรือพูดง่ายๆก็คือเป็นแบบที่ท่านอาอำพลลงปั๊มเองที่สำนักห้วยไผ่อาศรม พระขุดนี้เมื่อปั๊มเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ได้มีการไปเก็บรักษาไว้ที่วัดเจียเจีย เพื่อรอการทำพิธีให้ครบถ้วนเสียก่อน ก่อนที่จะดำเนินการจัดส่งให้กับผู้ที่สนใจและลงชื่อจองเอาไว้

    ด้วยความที่ชายผู้นี้นับถือหลวงปู่สรวงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงอยากได้ ถึงแม้จะยังไม่ได้นำเข้าพิธีเสกอย่างเป็นทางการก็ตามที เขารู้แต่เพียงว่า ได้มีการนำเอาจีวรของหลวงปู่สรวงมาแปะติดเอาไว้ที่ใต้ฐานเท่านั้น ซึ่งในความรู้สึกของเขา เขาบอกว่า แค่นี้ก็เกินพอแล้ว ไม่ต้องรอให้ทำพิธีก็ศักดิ์สิทธิ์แล้ว ขอเพียงมีของของท่านผสมรวมอยู่ด้วย ก็เพียงพอแล้ว

    เมื่อได้รับพระไปแล้ว ชายผู้นี้ก็นำรูปหล่อลอยองค์ของหลวงปู่สรวงที่ได้มานี้ติดตัวไปด้วยตลอดเวลา ไม่ยอมให้ห่าง ไม่ว่าจะไปที่ไหนหรือทำอะไร เขาจะพกรูปเหมือนลอยองค์ของหลวงปู่สรวงอยู่ตลอดเวลา

    แล้ววันหนึ่งขณะที่กำลังพักผ่อนอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงชาวบ้านร้องบอกว่ามีวัยรุ่นต่างถิ่นมารุมตื้บลูกชายของตัวเอง ด้วยความรักความห่วงใยที่มีต่อลูกชายมาก กลัวว่าลูกชายจะบาดเจ็บ หรือเป็นอะไรมาก จึงวิ่งออกไปหวังจะไปช่วยลูกชายให้พ้นจากการรุมสหบาทาของวัยรุ่นอีกกลุ่มหนึ่ง

    ขณะที่วิ่งเข้าไปเพื่อจะช่วยลูกชายนั้นก็ไม่คิดหรอกว่า วันรุ่นกลุ่มนั้นจะพกพาอาวุธมาด้วย เมื่อวิ่งเข้าไปใกล้หนึ่งในวัยรุ่นกลุ่มนั้นหันมาเห็นเข้า ก็ไม่รีรอ ชักปืนพกสั้น เป็นปืนลูกซองไทยประดิษฐ์ ออกมายิงใส่ที่หน้าของชายคนนั้นทันที

    ความเป็นห่วงลูกชายว่าจะบาดเจ็บและอยากจะช่วยลูกชายมีมาก จึงทำให้ขาดการระวังตัวเท่าที่ควร เป็นผลให้ถูกยิงเข้าอย่างจังที่บริเวณใบหน้า ถึงกับหงายหลังล้มลงไปทันที

    ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ในวันนั้น ล้วนเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆว่า ชายคนนั้นตายแน่ๆ ถูกยิงระยะประชิดอย่างนั้น กระเด็นหงายหลังอย่างนั้น เปอร์เซ็นต์การรอดเหลือเท่ากับศูนย์แน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย

    แต่...อะไรๆก็เกิดขึ้นได้ในโลกบูดๆเบี้ยวๆใบนี้

    ชายคนที่ถูกยิงไม่ตาย ไม่ใช่ยิงไม่ถูก คนยิงมันยิงถูก ชาวบ้านก็เห็นว่าเขาถูกยิง

    ใช่...เขาถูกยิงจริงๆ แต่ลูกปืนไม่ได้ระคายผิวหรือเจาะชอนไชเข้าไปในร่างกายหรือใบหน้าของชายคนนั้น อย่างที่ควรจะเป็น ลูกปืนกลับแปะติดอยู่ที่ใบหน้าของชายคนนั้นส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งปลิวหายไปไหนไม่รู้

    ส่วนใบหน้าของชายที่ถูกยิงนั้น หลังจากที่ลุกขึ้นได้แล้วทุกคนที่เห็นถึงกับอึ้ง เพราะว่านอกจากจะมีลูกปืนแปะติดอยู่ ก็มีอีกอย่างหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมา คือความดำจากเขม่าของดินปืนที่เกิดขึ้นขณะที่วัยรุ่นคนนั้นยิงใส่ ทำให้ใบหน้าของชายคนนั้นดำไปทั้งใบหน้า

    เมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาจนถึงขั้นนี้แล้ววัยรุ่นกลุ่มนั้นก็เกิดอาการตกใจกลัว พากันวิ่งหนีไปหมด โดยเฉพาะไอ้มือปืนที่เป็นคนลงมือยิง มันคงไม่คิดว่า ชีวิตของมันจะต้องมาเจอะมาเจอเข้ากับเรื่องเหนือธรรมชาติเข้าอย่างนี้ จึงโกยไม่เหลียงหลัง

    หลังจากคู่อริของลูกชายวิ่งหนีหายกันไปหมดแล้ว ชายคนนั้นก็ถูกรุมล้อมไปด้วยชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ และถูกรุมล้อมไปด้วยคำถามมากมาย ชายผู้นั้นตอบคำถามทั้งหลายด้วยแรงศรัทธาที่มีต่อหลวงปู่สรวงอย่างประมาณไม่ได้ว่ามี
    มากเท่าใดออกไปว่า

    “ในตัวผมมีหลวงปู่สรวงรุ่นนี้อยู่เพียงองค์เดียว”

    ภาพที่เห็นเป็นพระเนื้อผงผสมแร่สีดำในงานของคุณอาอำพล เจนครับ เพราะว่าที่ใต้ฐานได้ติดจีวรและผ้าขาวของหลวงปู่สรวงเอาไว้
     
  9. radien

    radien เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2010
    โพสต์:
    902
    ค่าพลัง:
    +1,057
    พี่ๆน้องๆท่านใดมีประสบการณ์เกี่ยวกับหลวงปู่นำมาแบ่งปันประสบการณ์กันบ้างนะครับ
     
  10. radien

    radien เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2010
    โพสต์:
    902
    ค่าพลัง:
    +1,057
    เล็กๆน้อยๆกับประสบการณ์ครั้งแรกที่จะไปกราบสังขารหลวงปู่ที่วัดไพรพัฒนา ซึ่งได้มีการเตรียมการไว้ล่วงหน้านัดกับเพื่อนๆ พี่ๆหลายคน แต่พอถึงวันเดินทางตื่นเช้ามาท้องฟ้าก็ปลอดโปร่งดี แต่พอถึงเวลาจะเดินทางอยู่ๆฟ้าก็มืด ฝนก็ตกมาเฉยๆ เหมือนหลวงปู่จะลองใจ เมื่อเห็นดังนั้นก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยพนมมือขึ้นแล้วอธิษฐานบอกหลวงปู่ แล้วอยู่ๆฝนก็หยุดไปเฉยๆ ฟ้าก็โปร่งเหมือนเดิม....วันนั้นก็เลยได้เดินทางไปกราบหลวงปู่ดังตั้งใจ
     
  11. radien

    radien เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2010
    โพสต์:
    902
    ค่าพลัง:
    +1,057
    นี่แหละหลวงปู่สรวง<!--sizec--><!--/sizec--><!--colorc--><!--/colorc-->
    เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ต้นเรื่องอยู่ที่ อำเภออำนาจเจริญ ปัจจุบันได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นจังหวัดแล้ว ด้วยเหตุผลของทางราชการไม่เกี่ยวกับหลวงปู่สรวงนะขะรับ

    คุณลุงบุญเลิศท่านเล่าให้ฟังว่าเพื่อนของลุงบุญเลิศคนหนึ่งอาศัยอยู่ที่ อ.อำนาจเจริญได้มาปรารภกับคุณลุงบุญในทำนองอยากให้คุณลุงบุญเลิศ ช่วยนำพาหลวงปู่สรวงไปหาเขาที เพราะว่าตัวเขาอยู่ไกล ไม่ค่อยจะมีเวลาว่างมากนักในอันที่จะมากราบหลวงปู่สรวง และอีกอย่างหนึ่งก็คือตัวเขาเองป่วยอยากให้หลวงปู่ช่วยขจัดปัดเป่าให้ เพราะอาการที่เห็นและเป็นอยู่ ค่อนข้างจะหนักหนาพอสมควร ความเจ็บป่วยที่เพื่อนของคุณลุงบุญเลิศเป็นอยู่นั้นก็คือ โรคเบาหวาน

    สมัยก่อนก็รักษากันไปตามมีตามเกิด หายบ้างทรุดบ้างก็แล้วแต่โชคชะตาและวาสนาของแต่ละคน ว่าจะได้เจอยาที่ถูกโฉลกกับตนหรือไม่

    ก็ชาวบ้านสมัยโน้นเขาถนัดยาพื้นบ้านยาหม้อยาต้มมากกว่ายาจากโรงหมอ ซึ่งทั้งอยู่ไกล ทั้งแพง เสียทั้งเวลาทำมาหากิน เสียทั้งเวลาในการเดินทาง เป็นเหตุให้การไปพบแพทย์แผนปัจจุบันเป็นเรื่องที่ถูกเลือกเป็นหนทางสุดท้ายเสมอๆ บางครั้งก็ทันได้หาย บางครั้งก็ไม่ทัน อาการทรุดหนักจนเกินเยียวยาแล้วก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ

    เพื่อนของคุณลุงบุญเลิศนี่ก็เช่นกัน รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองป่วย มิหนำซ้ำความป่วยที่เป็นอยู่ในขณะนั้น สมัยก่อนถือว่าป่วยหนัก ต้องหาหมอสมัยใหม่อย่างเดียวจึงจะทุเลาเบาบางลงไปหรือหากโชคดีตรวจพบเร็ว ก็มีสิทธิหายได้ในเวลาไม่นาน แต่เขาก็ไม่ยอมไปพบแพทย์

    จนกระทั่งวันหนึ่งเริ่มมองอะไรต่างๆเห็นได้ไม่ชัดเจนอย่างที่ควรจะเป็น คือมีอาการตามัว ตาพร่าลาย ก็เกิดอาการกลัว กลัวว่าอาการป่วยเบาหวานที่เป็นอยู่จะลามขึ้นตา ซึ่งจะมีผลทำให้สูญเสียการมองเห็น หรือเรียกง่ายๆว่า ตาบอด

    จะไปหาหมอก็ไม่กล้า กลัวหมอจะว่าจะด่าเอา และยังมีปัญหาหลายอย่างรอให้แก้ไขอยู่เยอะแยะไปหมด หาเวลาปลีกตัวยากก็เลยปล่อยอยู่อย่างนั้น

    กระทั่งวันหนึ่งเกิดฝันเห็นหลวงปู่สรวงที่ตนนับถือมาหา ก็เกิดคิดถึงหลวงปู่ขึ้นมาทันที จึงได้ติดต่อไปหาคุณลุงบุญเลิศ บอกว่าหากวันไหนที่หลวงปู่ว่างไม่มีกิจนิมนต์ ให้คุณลุงบุญเลิศช่วยขับรถพาหลวงปู่สรวงไปหาตนที่ อ.อำนาจเจริญที เพราะมีเรื่องจะขอให้หลวงปู่สรวงช่วย

    คุณลุงบุญเลิศเล่าต่อว่า ครั้งแรกลุงก็ไม่ได้รับปากหรอกว่าจะพาหลวงปู่สรวงไปหาเพื่อนคนนี้ เพราะลุงบุญเลิศเองก็รู้จริตของหลวงปู่สรวงดีว่า ถ้าหากท่านไม่ประสงค์ที่จะไปที่ไหนแล้วล่ะก็ทำไงก็ไม่มีทางนำพาท่านไปได้เด็ดขาด แต่ถ้าหากว่าหลวงปู่สรวงอยากไปที่ไหนสักแห่งแล้วล่ะก็ เดี๋ยวท่านก็ชี้ชวนให้ไปเอง ไม่มีใครสามารถที่จะไปบังคับท่านได้ ว่างั้นเถอะ

    กระทั่งวันหนึ่งหลังจากเสร็จธุรกิจนิมนต์แล้ว กำลังขับรถจะกลับกระท่อมที่หลวงสรวงปู่ใช้พำนักเป็นประจำนั้น จู่ๆหลวงปู่สรวงก็ชี้ทางให้ลุงบุญเลิศเลี้ยวรถไปตามที่หลวงปู่สรวงคอยชี้บอก

    คุณลุงบุญเลิศยังเล่าต่ออีกว่า ทุกครั้งที่หลวงปู่สรวงชี้บอกทางมักจะมีเรื่องแปลกๆรออยู่เสมอ เหมือนอย่างตอนที่หลวงปู่โยนเงินออกนอกรถที่เคยเล่าไว้นั่นแหละ ครั้งนั้นหลวงปู่สรวงก็เป็นผู้ชี้บอกทางให้รถเลี้ยวตลอดระยะทางที่จะไป ครั้งนี้จู่ๆหลวงปู่ก็ชี้บอกทางให้ไปคุณลุงบุญเลิศแกเข้าใจเอาเองว่า

    น่าจะมีเรื่องเร้าใจรออยู่อีกเป็นแน่แท้

    ขับรถไปตามทางที่หลวงปู่ชี้นำสักพักก็เริ่มแน่ใจแล้วว่า น่าจะมุ่งหน้าไปที่บ้านลูกศิษย์ของหลวงปู่ที่ อ.อำนาจเจริญอย่างแน่นอน จะแปลกใจอยู่หน่อยก็ตรงที่ไม่รู้ว่าหลวงปู่สรวงจะไปทำไม เพราะตัวของคุณลุงบุญเลิศเอง ท่านก็ไม่ได้บอกหลวงปู่ว่าลูกศิษย์ของหลวงปู่คนนี้ ได้เคยติดต่อมาให้คุณลุงบุญเลิศพาหลวงปู่ไปหาเขาบ้าง

    จนกระทั่งรถไปถึงบ้านของลูกศิษย์คนนั้นแล้ว และหลวงปู่สรวงก็ได้ทำการรักษาอาการป่วยให้ลูกศิษย์คนนั้นทันที

    หลังจากนั้นก็รับนิมนต์จากลูกศิษย์อีกคนหนึ่งที่อยู่ อ.อำนาจเจริญเช่นกันไปที่บ้าน

    ลูกศิษย์ของหลวงปู่สรวงคนนี้เป็นคนชอบเล่นการพนัน หลวงปู่สรวงท่านก็ไม่ขัดศรัทธาลูกศิษย์เช่นกัน เมื่อไปส่งหลวงปู่สรวงถึงบ้านของลูกศิษย์คนที่ชอบเล่นการพนันแล้ว ก็พากันเข้าไปนั่งพักในบ้าน

    คุณลุงบุญเลิศเล่าต่อไปว่า บ้านของลูกศิษย์คนนี้หลังใหญ่มาก หน้าบ้านติดถนนเส้นหนึ่ง ส่วนหลังบ้านก็ไปจรดถนนอีกเส้นหนึ่ง เมื่อเข้าไปแล้วก็จัดการล็อกบ้านทันที เนื่องจากว่าบ้านหลังใหญ่มาก เมื่อเข้าด้านหน้าบ้านแล้วก็ต้องล็อกกุญแจหน้าบ้านเสียก่อน เพื่อจะเดินไปหลังบ้าน ทีนี้ด้วยความที่บ้านของลูกศิษย์คนนี้มีอาชีพในทางผิดกฎหมาย ก็คือการเล่นการพนันด้วยก็ต้องป้องกันให้เต็มที่ และแข็งแรงเสียหน่อย กุญแจที่ใช้ก็เป็นกุญแจที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความคงทนต่อการงัดแงะ หรือแม้แต่เลื่อยตัดเหล็กก็ไม่ละคายผิวนั่นแหละ จึงจะเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจของลูกค้าว่างั้นเถอะ

    ตัวเดียวไม่พอ จะให้มั่นใจยิ่งขึ้น มันต้องสองตัว

    หมายความว่าหน้าบ้านล็อกด้วยกุญแจราคาแพง 2 ตัว ด้านหลังบ้านก็ต้อง 2 ตัวเช่นกัน นี่ยังไม่นับประตูเลื่อนซึ่งเป็นประตูเหล็กและมีล็อกในตัวอีกชั้นหนึ่งต่างหากด้วย เอาใจลูกค้าอย่างเต็มที่ว่างั้นเถอะ

    ทีนี้เมื่อหลวงปู่สรวงและคุณลุงบุญเลิศเข้าไปนั่งพักในบ้านแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับการถูกขัง เพราะประตูได้ถูกล็อกป้องกันการเข้าออกอย่างแน่นหนา ทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน คุณลุงบุญเลิศยังบอกอีกว่า ขณะนั้นทั้งหลวงปู่และคุณลุงบุญเลิศเอง ต่างก็ยังไม่รู้ว่า ตนเองได้ตกอยู่ในสภาพถูกขัง จนกระทั่ง

    จนกระทั่งมีเสียงเสียงหนึ่งแว่วเข้ามากระทบโสตประสาทเข้า และก็เป็นเสียงที่คุ้นเคยกันดีในชนบท ที่สำคัญยังเป็นเสียงที่หลวงสรวงท่านชอบฟังมากเป็นพิเศษอีกด้วย

    เสียงว่าวธนู

    เมื่อได้ยินเสียงของว่าวธนู หลวงปู่สรวง ท่านก็ผุดลุกขึ้นฉุดแขนของคุณลุงบุญเลิศวิ่งออกไปดูว่าวธนูตัวต้นเสียงทันที

    ลำพังการออกไปดูว่าวธนูนั้นไม่มีอะไรแปลกประหลาดหรอกครับ เพราะตามปกติธรรมดาของชาวอีสาน หากใครได้ยินเสียงว่าวธนูแล้วเสียงของว่าวธนูตัวนั้นถูกใจตนเองแล้วล่ะก็ มักจะออกจากเคหะสถานมามองหาต้นเสียงกันทุกคนไป

    อีกอย่างหลวงปู่สรวงตามปกตินิสัยของท่านก็ชอบว่าวเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว เมื่อมาต่างถิ่นแล้วได้ยินได้ฟังในสิ่งที่ชอบก็ย่อมที่จะอยากเห็นเป็นธรรมดา

    เมื่อวิ่งไปถึงประตูด้านหลังบ้าน คุณลุงบุญเลิศก็ชะงักเมื่อมองเห็นแม่กุญแจยี่ห้อดังตัวเขื่อง ล็อกประตูหลังบ้านเอาไว้ถึง 2 ตัว แต่หลวงปู่สรวงไม่หยุด หลวงปู่สรวง ท่านเอื้อมมือไปคว้าแม่กุญแจทั้งสองตัวที่ล็อกประตูนั้นออกมาได้อย่างไรไม่ทราบ มองไม่ทัน เห็นแต่ว่าท่านเอื้อมมือไปดึงออกมาเฉยๆไม่ได้มีลูกกุญแจไปไขแต่อย่างใด แล้วยังเลื่อนประตูเหล็กด้านนอกสุดอีกตัวออกง่ายดายโดยไม่ติดขัดอีกด้วย เมื่อประตูเปิดออกหมดแล้วหลวงปู่สรวงก็ดึงแขนคุณลุงบุญเลิศออกไปดูว่าวธนูตัวนั้น เป็นที่สนุกของหลวงปู่สรวงไป

    เมื่อยืนดูและยืนฟังจนเป็นที่พอใจแล้ว หลวงปู่ก็จูงแขนคุณลุงบุญเลิศกลับเข้าบ้านดังเดิม โดยไม่ลืมล็อกบ้านเอาไว้เหมือนเดิมด้วยอีกต่างหาก

    คุณลุงบุญเลิศท่านว่า ท่านเห็นอย่างนั้นแล้วอดนึกไม่ได้ว่า ตนเองและหลวงปู่เหมือนถูกเพื่อนคนนี้นำมากักมาขังไว้อย่างไรอย่างนั้น เพราะเท่าที่เห็นประตูถูกล็อกเอาไว้อย่างแน่นหนาทั้งหน้าและหลังบ้าน ไม่ต่างอะไรกับคุก คิดได้ดังนั้นจึงได้เรียกเพื่อนเจ้าของบ้านออกมาถามไถ่เอาความจริง ว่าทำอย่างนี้ทำไม มันดูไม่ดี มันแลไม่เหมาะไม่ควรเป็นอย่างยิ่ง คำตอบที่ได้นั้นคุณลุงบุญเลิศท่านบอกว่าไม่สมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง

    เพื่อนตอบมาว่า เขากลัวหลวงปู่สรวงจะหนีกลับ กลัวว่าท่านจะไม่อยู่คอยในขณะที่ตัวแอบเข้าไปเล่นการพนันในบ้านของตัวเอง

    แต่...!!!

    จากการที่หลวงปู่ได้แสดงให้เห็นนั้นก็เป็นการบอกให้รู้เป็นนัยๆแล้วว่า หากหลวงปู่สรวงท่านต้องการจะไปจริงๆ ท่านไปได้ตลอดเวลาแม้จะถูกกักอยู่ก็ตาม

    หลังจากตัดพ้อต่อว่าเพื่อนเจ้าของบ่อนแล้ว คราวนี้เจ้าของบ้านไม่กล้าปล่อยให้คุณลุงบุญเลิศนั่งพักอยู่กับหลวงปู่ตามลำพังอีก หลวงปู่สรวงท่านก็ยังนั่งยิ้มฟังเสียงว่าวธนูอยู่ในบ้านนั้นต่อ สักพักหลวงปู่ก็สรวงก็ชวนคุณลุงบุญเลิศไปต่อ บอกว่าไม่อยากอยู่ที่บ้านนี้แล้ว...

    เรื่องยังไม่จบครับสำหรับกรณีที่ อ.อำนาจเจริญในคราวนี้ ยังมีกรณีต่อเนื่องอีก เอาไว้พรุ่งนี้ผมมาเล่าต่อ รับรองสนุกแน่ครับ

    ลืมเพื่อนคนแรกของคุณลุงบุญเลิศไปซะได้

    หลังจากที่หลวงปู่ทำการเป่าทำการรักษาให้แล้ว ปรากฏว่าเขาหายจากอาการป่วยครับ

    นี่ก็ถือเป็นเรื่องแปลกอีกเรื่องหนึ่งเช่นกัน

    หลวงปู่สรวงท่านเป่ายังไง โรคเบาหวานจึงหายไปได้
     
  12. radien

    radien เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2010
    โพสต์:
    902
    ค่าพลัง:
    +1,057
    พี่ๆท่านใดมีวัตถุมงคลของหลวงปู่เก็บไว้ถ่ายภาพมาแบ่งกันชมบ้างนะครับ
     
  13. radien

    radien เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2010
    โพสต์:
    902
    ค่าพลัง:
    +1,057
    หลวงปู่สรวงจะทำว่าวเฉพาะกรณีฝนแล้ง
    หลังจากปล่อยว่าวแล้วฝนจะตกเป็นอัศจรรย์

    ว่าวที่หลวงปู่ทำเอง ไม่เกี่ยงขนาด ได้ไม้อะไรก็เอาทั้งนั้น ไม้ใหญ่ ว่าวก็ใหญ่ตามตัว
    กระดาษก็คว้าถุงปูนซีเมนต์มาปะ

    แต่แปลกที่เชือกปล่อยว่าวของท่านเส้นเล็กมาก ไม่ยักขาด
    เชือกเส้นเล็กๆ(ไนล่อน)ขนาดใช้ถักแหนั่นแหละ

    เมื่อท่านเอาเชือกนั้นมาผูกเปลญวนนอนเล่นก็ไม่ขาด

    ลูกศิษย์ขี้สงสัยเคยขอว่า
    "หลวงตาขอลูกลองนอนเปลหลวงตาได้ไหม"
    "ไม่ได้ๆมันจะขาด"

    ท่านนอนได้คนเดียว ทั้งยังแกว่งไกวให้เปลโยนตัวไปมาอย่างน่าพิศวง
     
  14. เด็กมัธยม

    เด็กมัธยม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    270
    ค่าพลัง:
    +230
    เข้ามาอ่านครับ ผมมีเหรียญท่านรุ่น แรก
     
  15. radien

    radien เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2010
    โพสต์:
    902
    ค่าพลัง:
    +1,057
    ถ่ายรูปมาให้ชมบ้างสิครับ เพื่อเป็นวิทยาทานและแบ่งกันชมครับ
     
  16. radien

    radien เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2010
    โพสต์:
    902
    ค่าพลัง:
    +1,057
    หลังจากที่หลวงปู่สรวงบอกกับคุณลุงบุญเลิศว่าไม่อยากพักอยู่บ้านหลังนี้แล้ว ก็ได้ชวนคุณลุงบุญเลิศออกจากบ้านของลูกศิษย์คนนั้นไป เดินตัดเข้าไปในป่าได้สักพักก็ไปเจอกับอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ขวางอยู่ข้างหน้า หลวงปู่สรวงท่านก็ไม่ว่าอะไร ได้แต่บอกให้คุณลุงบุญเลิศจัดการก่อไฟขึ้นที่ชายน้ำแล้วก็ไม่ได้สั่งอะไรอีก

    คุณลุงบุญเลิศบอกว่าเวลาในขณะนั้นประมาณบ่ายแก่ๆใกล้จะค่ำแล้ว ทั้งแมลงและยุงเยอะมากแกก็เลยจัดการก่อไฟขึ้นตามคำสั่งของหลวงปู่สรวง จากนั้นก็นั่งผิงไฟเงียบๆอยุ่ที่ชายน้ำ ส่วนหลวงปู่สรวง ได้ขึ้นไปนั่งอยู่บนกระต๊อบเล็กๆที่ปลูกอยู่ใกล้ๆจุดที่หยุดพักนั่นแหละ

    นั่งกันอยู่อย่างนั้นได้สักพักประมาณชั่วโมงกว่าๆบรรยากาศโพล้เพล้แล้วหละ ผีก็เอาผ้าอ้อมออกมาตากให้เห็นเกลื่อนไปทั้งชายท้องฟ้าแดงเถือกไปหมด จู่ๆหลวงปู่สรวงก็ได้เอะอะขึ้นว่า
    “โน่นพระใหญ่ พระใหญ่อยู่ที่ฝั่งโน้น ไปไหว้พระใหญ่กันดีกว่า” พูดพร้อมกับเร่งคุณลุงบุญเลิศให้พาไปไหว้พระใหญ่ที่หลวงปู่สรวงท่านชี้ให้ดู โดยจะไปเดี๋ยวนั้นในทันที

    คุณลุงบุญเลิศเล่าต่อว่า ทักท้วงอย่างไรหลวงปู่ก็ไม่ยอม จะไปไหว้พระใหญ่องค์ที่ท่านชี้ให้ได้ในเดี๋ยวนั้น ก็จะไปได้อย่างไรอ่างเก็บน้ำที่เห็นขวางอยู่นั้นเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดค่อนข้างใหญ่ มองเห็นฝั่งตรงข้ามเพียงริบๆ และไม่มีเรืออยู่แถวๆนั้นให้พอได้อาศัยสักลำ หากจะไปทางบกก็จะต้องย้อนอ้อมเข้าไปในตัว อ.อำนาจเจริญแล้วยังต้องข้ามไปเข้าทางด้าน อ.เขมราชซึ่งมีระยะทางที่ไกลเอาเรื่องอีกต่างหาก และการสัญจรในสมัยนั้น พื้นที่เขต อ.เขมราชน่าจะยังเป็นพื้นที่สีชมพูอยู่ ลำพังตัวหลวงปู่สรวงเองท่านคงไม่กระไรนัก แต่ตัวของคุณลุงบุญเลิศและลูกศิษย์อีกคนหนึ่งที่สติไม่ค่อยจะสมประกอบนี่สิ น่าจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะเสี่ยงอยู่ไม่น้อย และอีกอย่างที่สำคัญก็คือรถยังจอดอยู่ที่บ้านของลูกศิษย์ที่นิยมชมชอบการพนันผู้นั้น กว่าจะไปถึงรถ กว่าจะกลับมารับหลวงปู่สรวง มันกินเวลาไปเยอะและกว่าจะไปถึงวัดพระใหญ่นั้นน่าจะดึกโข ฉะนั้นการพำนักอยู่ที่นี่ก่อน พรุ่งนี้ค่อยเดินทางไปวัดพระใหญ่ที่หลวงปู่สรวงบอกน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

    แต่...!!!แต่หลวงปู่สรวงก็ยังไม่ยอม ยืนยันว่าจะต้องไปที่วัดพระใหญ่ในวันนั้นให้ได้ ยกเหตุผลมาอธิบายแล้วสารพัดก็ไม่เป็นผล สุดท้ายก็บอกกับหลวงปู่ไปว่า หากจะไปพักจำวัดที่วัดพระใหญ่ในวันนี้ให้ได้ก็มีอยู่ทางเดียวในขณะนั้น คือต้องไปทางน้ำและต้องข้ามอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่นี้ไปเท่านั้นเพราะนั่นเป็นทางเดียว ที่จะไม่เสียเวลาในการเดินทางมากและไปถึงวัดนั้นพระใหญ่ในเวลาที่ไม่ดึกมากนัก

    “แล้วเราจะข้ามกันไปได้ยังไงครับหลวงปู่ เรือสักลำก็ไม่มี”
    หลวงปู่สรวงมองหน้าคุณลุงบุญเลิศพักหนึ่งก็พูดออกมาว่า
    “เอ้า ข้ามน้ำก็ข้ามน้ำ”

    คุณลุงบุญเลิศได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับงง จะข้ามกันไปได้อย่างไรคิดยังไงก็คิดไม่ออก จะว่ายน้ำข้ามไปอย่างงั้นเหรอ หลวงปู่จะไหวมั๊ยเนี่ย ไหนจะลูกศิษย์อีกคนหนึ่งซึ่งสติสตังก็ไม่เต็มเต็งจะเป็นยังไง อากาศเย็นๆอย่างนี้มีหวังได้เป็นตะคริวกันกลางอ่างเก็บน้ำนี้แน่ๆ นั่งนึกห่วงคนนั้นคนนี้แบบงงๆอยู่แป๊บนึง หลวงปู่สรวงก็ลุกเดินนำหน้าไปยืนอยู่ที่ชายน้ำ แล้วบอกให้ลุงบุญเลิศตามมายืนข้างหลังกับลูกศิษย์อีกคน โดยให้จับชายจีวรของหลวงปู่เอาไว้พร้อมสำทับกับลูกศิษย์ทั้งสองคนว่า ให้หลับตาเอาไว้ และห้ามลืมตาขึ้นมาอย่างเด็ดขาดจนกว่าหลวงปู่จะบอกให้ลืมตาได้

    หลังจากหลับตาอยู่สักพักหนึ่งหลวงปู่สรวงจึงบอกให้ลูกศิษย์ทั้งสองคนลืมตาได้ และทันทีที่คุณลุงบุญเลิศลืมตาขึ้นก็ต้องแปลกใจ เมื่อรู้สึกว่าชายน้ำอยู่ด้านหลังของตน เพราะก่อนที่จะหลับตานั้นชายน้ำยังอยู่ข้างหน้าอยู่เลย เมื่อหันกลับไปมองอ่างเก็บน้ำแบบเต็มตาจึงได้รู้ว่าบัดนี้ ทั้งหลวงปู่สรวงคุณลุงบุญเลิศและลูกศิษย์ที่สติไม่เต็มเต็ง ได้ข้ามมาอยู่ฝั่งด้านที่มีวัดพระใหญ่ตั้งอยู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    เมื่อถึงฝั่งด้านของวัดพระใหญ่แล้ว หลวงปู่สรวงก็ไม่รีรอรีบเดินขึ้นฝั่งแล้วมุ่งหน้าไปที่วัดพระใหญ่ทันที เมื่อเข้าไปในบริเวณเขตวัดแล้ว คุณลุงบุญเลิศต้องแปลกใจซ้ำอีกครั้งเมื่อพบว่า ทางวัดได้เตรียมจัดการต้อนรับหลวงปู่สรวงเอาไว้อย่างเรียบร้อยพร้อมพรัก เมื่อเข้าไปถึงเจ้าอาวาสได้ออกมาต้อนรับทันที คล้ายกับรู้ล่วงหน้าว่าหลวงปู่สรวงจะมาที่นี่ที่วัดในวันนี้ จึงได้เตรียมการจัดงานรอต้อนรับเอาไว้เป็นอย่างดี

    หลังจากพักพอหายเหนื่อยแล้วคุณลุงบุญเลิศได้เข้าไปถามเจ้าอาวาสว่า ทำไมท่านถึงได้รู้ว่าหลวงปู่สรวงจะมาที่วัดในวันนี้ ท่านเจ้าอาวาสได้ตอบมาว่า เมื่อคืนหลวงปู่สรวงได้มาเข้าฝันท่าน แล้วบอกว่าจะมาพักที่วัดในวันนี้และเวลาประมาณขณะนี้นี่แหละ หลวงพ่อเจ้าอาวาสจึงได้จัดงานเตรียมไว้ต้อนรับหลวงปู่สรวงเป็นอย่างดี อีกทั้งเจ้าอาวาสองค์นี้ก็เคารพนับถือหลวงปู่สรวงอยู่แล้ว เมื่อนิมิตว่าหลวงปู่สรวงท่านจะมา ก็เชื่อตามนิมิตนั้นว่ายังไงเสียหลวงปู่สรวงต้องมาแน่ๆ
     
  17. radien

    radien เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2010
    โพสต์:
    902
    ค่าพลัง:
    +1,057
    ยังไม่หมด เรื่องที่น่างึดยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้

    เพราะจากการที่หลวงปู่สรวงพาข้ามอ่างเก็บน้ำมานั้น มันยังเป็นที่สงสัยค้างคาใจของคุณลุงบุญเลิศอยู่ หลวงปู่สรวงท่านพาข้ามมาได้อย่างไร เหาะข้ามมาหรือว่าเดินข้ามมา เหมือนอย่างที่เคยได้ยินคนอื่น ที่เขาเล่าถึงปฏิปทาของหลวงปู่องค์อื่นๆก่อนหน้านี้ให้เป็นที่กังขา ว่าท่านเหล่านั้นทำได้จริงหรือเปล่า หรือเป็นแค่เสียงลือที่ต่างคนต่างก็ลือกันไป เพียงเพื่อที่จะยกย่องเชิดชูครูบาอาจารย์ของตนเท่านั้น

    เช้ารุ่งขึ้นจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยความสงสัยที่มีอยู่มันค้างคาอยู่ในใจ ขืนปล่อยไว้อย่างนี้ไม่เป็นผลดีกับตนเองแน่ๆ

    หลังจากเข้าไปบอกกล่าวกับหลวงปู่สรวงว่าจะไปธุระ และจะกลับไปเอารถซึ่งจอดทิ้งไว้ที่บ้านเพื่อนตั้งแต่เมื่อคืนนี้และที่สำคัญก็คือ จะไปค้นหาคำตอบว่า หลวงปู่สรวงท่านทำยังไงจึงพาข้ามอ่างเก็บน้ำมาได้โดยที่ตัวไม่เปียก ไม่ได้ใช้เรือ และไม่ได้ขึ้นรถขนาดของอ่างเก็บน้ำที่เห็นนั้นคุณลุงบุญเลิศบอกว่า หากจะให้ว่ายน้ำข้ามจริงๆล่ะก็ไม่น่าจะว่ายข้ามมาได้อย่างแน่นอน เพราะไม่มีเกาะแก่งให้พักเหนื่อยระหว่างกลางอ่างเก็บน้ำ หรือหากจะใช้เรือพายก็น่าจะใช้เวลามากพอสมควร เวลาในขณะที่หลับตานั้นหากใช้เรือหางยาวก็น่าจะนานกว่าที่หลวงปู่พาข้ามมาอยู่ดี

    เมื่อไปถึงชายน้ำที่ขึ้นมาพร้อมกับหลวงปู่คุณลุงบุญเลิศบอกว่า

    “ลุงก็เห็นรอยหัวตีนหันเข้าหาฝั่งนะ เหมือนกับเราหันหลังให้อ่างเก็บน้ำแล้วเดินหน้าห่างออกไปนั่นแหละ เออก็แปลกดี และเมื่อข้ามกลับไปถึงฝั่ง ด้านที่หลวงปู่บอกให้มาก่อไฟนั่งรอเวลาเมื่อช่วงหัวค่ำของเมื่อวาน ลุงก็เห็นรอยหัวตีนหันลงน้ำนะ เหมือนกับว่าเราหันหน้าเข้าหาอ่างเก็บน้ำแล้วเดินเข้าหานั่นแหละ นี่แสดงว่าหลวงปู่ท่านพาเดินข้ามอ่างเก็บน้ำไปอย่างแน่นอน” คุณลุงบุญเลิศท่านว่าอย่างนั้น(หัวตีนหมายถึงหัวนิ้วโป้งเท้า)
     
  18. kijty

    kijty สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +12
    แอบมาอ่านนะครับ ได้รู้เรื่องมากมาย จะรออ่านต่อครับ
    ขอบคุณ...
     
  19. ลูกมังกร

    ลูกมังกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,461
    ค่าพลัง:
    +1,424
    อนุโมทนาบุญด้วย ครับที่ นำเรื่องดีๆๆ มาแบ่งปัน

    คนท้องที่นับถือหลวงปู่กันมากเลยครับ

    มีท่านนึงเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อน พระรูปนึง ที่เป็นญาติกับคนรู้จัก ได้ธุดงค์กับหลวงปู่สรวงไปฟังเขมร แล้วมีทหารยิงกัน แล้วพระรูปนั้น ที่ไปกับร่วมปู่สรวง เริ่มกลัว
    หลวงปู่ท่านเล่าให้ฟังว่าไม่ต้องกลัว แล้วหลวงปู่สรวงท่านก็ยื่นบุหรี่ที่ท่าน สูบ ยื่นให้พระรูปนั้น แล้วถือเพื่อ เดินออกจากป่านั้น เพื่อป้องกันการถูกกระสุน ของทหารที่ยิงกันอยู่ ปรากฎ ว่ายิงยังไงก็ทั้งป่า ปรากฎว่าไม่มีโดน มหัศจรรย์ สุดๆๆครับ
     
  20. radien

    radien เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2010
    โพสต์:
    902
    ค่าพลัง:
    +1,057
    ขอบคุณพี่ๆน้องๆทุกท่านที่เข้ามาอ่านและร่วมแสดงความคิดเห็น
    จะให้ดีนำประสบการณ์มาแบ่งกันอ่านนำภาพวัตถุมงคลหรือภาพหลวงปู่มาแบ่งกันชมก็จะดีไม่น้อยเลยนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...