ประสบการณ์ ช่วยแม่ที่เป็นมิจฉาทิฎฐิ จากสุดขอบจักรวาลไปอยู่ชั้นดาวดึงส์

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย คนมีกิเลส, 23 เมษายน 2008.

  1. คนมีกิเลส

    คนมีกิเลส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,973
    ค่าพลัง:
    +19,431
    [​IMG]

    เรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของข้าพเจ้า มิได้ต้องการให้เป็นการโอ้อวด แต่มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญยิ่ง ๒ ประการ คือ

    ประการแรก
    เพื่อให้เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ที่ได้จากการปฏิบัติธรรมจริงๆ เพื่อให้ผู้อื่นที่ได้ปฏิบัติเข้าถึงและพบปัญหาแบบเดียวกันเข้าใจ สามารถแก้ไขตนเองได้ทัน เพราะบางทีปัญหาเกิดขึ้นเมื่อไม่มีครูบาอาจารย์อยู่ด้วย ถ้าตนเองไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ ก็อาจแก้ปัญหาไม่ถูกต้องตามแนวทาง ทำให้เกิดผลเสียหนักขึ้นได้ การทำวิชชาชั้นสูงที่ละเอียดมากๆ ต้องระวังอย่างยิ่ง ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจทำให้เกิดผลเสียหายอย่างร้ายแรง ที่ไม่อาจแก้คืนหรือแก้คืนได้ยาก เช่น อาจพลาดแล้วถูกภาคมาร (กิเลสมาร) ยึดสุดละเอียดไป ทำให้หลง ไม่เห็นกิเลสละเอียด ทำให้กาย วาจา ใจ เบี่ยงเบนไปจากธรรมฝ่ายสัมมาทิฏฐิไปทีละน้อย จนไม่รู้สึกตัว แล้วจะถูกทำลายธาตุธรรมไปในที่สุด

    ประการที่สอง
    เป็นการยืนยันว่าธรรมกายเป็นของจริง ขอให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงป๋า ทราบและมั่นใจได้เลยว่า วิชชาธรรมกายที่หลวงป๋าสอน ตามพระเดชพระคุณ หลวงพ่อวัดปากน้ำ (สด จนฺทสโร) นั้น เป็นธรรมะของจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเมื่อปฏิบัติถูกต้องแล้ว ย่อมได้ผลจริง

    ขอพวกเราจงภูมิใจเถิดว่า เรานั้นไม่เสียชาติเกิดเลย ที่ได้มาเป็นลูกหลานของหลวงป๋า เพราะการสอนของท่าน เปิดใจกว้างเสมอ ไม่เคยปิดบังวิชชา เรียกว่าเปิดกันจนหมดตัวหมดใจเลยทีเดียว แต่เฉพาะศิษย์กับครูเท่านั้นนะ ท่านถึงจะให้เห็น เพราะท่านถือว่าจำเป็นในการสอน เพื่อที่ศิษย์จะได้เข้าใจถูกต้อง ครบถ้วน ตามจริง ไม่ถือว่าเป็นการอวดอุตตริมนุสสธรรม ถือว่าเป็นการสอน
    ทุกครั้ง ในการสอนธรรมะ ข้าพเจ้าเห็นกายของท่านใสเป็นแก้ว ฉัพพรรณรังสีปกคลุมไปทั่วบริเวณลานธรรม บางครั้งเห็นมีอาสนะเป็นพญานาค ๗ เศียร นั่นหมายถึงท่านเป็นธาตุธรรมที่แท้จริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รัศมีที่เปล่งออกมาหมายถึงความเมตตาต่อสัตว์โลกทั้งหลาย ไม่เคยแบ่งว่าใครเป็นพระหรือมาร และข้าพเจ้าเห็นด้วยตัวเองว่า เมื่อถึงตอนแผ่เมตตาด้วยความบริสุทธิ์ใจของท่าน แม้แต่ไฟนรกยังดับ ทั่วทั้งจักรวาลมีแต่เสียงสาธุ นี่คือการสอนธรรมะในแต่ละครั้งของท่าน เพราะฉะนั้นที่วัดหลวงพ่อสดฯ ซึ่งท่านเป็นเจ้าอาวาสทำวิชชาทุกวันตลอดเวลา (เรียกว่า วิชชาเป็น) ที่นั่นจึงเป็นศูนย์รวมแห่งความศักดิ์สิทธิ์ เพราะทุกอณูของวัดหลวงพ่อสดฯ เป็นเหมือนเกล็ดเพชรระยิบระยับอยู่เต็มพื้นที่ แต่เมื่อดูด้วยตาธรรมกายแล้ว จะเห็นเป็นองค์พระมากกว่าเมล็ดทรายในท้องมหาสมุทรเสียอีก
    จากจุดเริ่มต้นในวิชชาชั้นสูง ที่หลวงป๋าเปิดใจให้กับศิษย์ซึ่งมีความรู้แค่หางอึ่ง ยังไม่ลึกซึ้งในวิชชาธรรมกายเท่าไรนัก จึงทำให้ข้าพเจ้าผู้ที่เป็นคนที่นับถือศาสนาอื่นมาก่อน เริ่มศรัทธาในศาสนาพุทธ และด้วยความเมตตาที่ท่านมีให้แก่ศิษย์ ท่านจะคอยประคับประคองในเรื่องวิชชา ไม่ให้เดินออกนอกลู่นอกทาง
    อยู่มาวันหนึ่งข้าพเจ้าเกิดสงสัยขึ้นมาว่า ทำไมทุกครั้งที่นั่งธรรมะเสร็จแล้ว แผ่เมตตา ไม่เคยเห็นพ่อแม่ ญาติพี่น้องของเราที่เสียชีวิตไปแล้วมาอนุโมทนาบุญเลย จึงกราบเรียนให้ท่านทราบ ท่านก็ให้ความกระจ่างมาว่า เขาเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไปอยู่สุดขอบจักรวาลโน่น วิธีช่วยน่ะมี แต่การช่วยคนนอกศาสนา ไม่เหมือนกับช่วยชาวพุทธที่อยู่ในนรกนะ เพราะต้องแลกด้วยบุญบารมี (หมายถึงบุญบารมีของท่านที่สร้างมา จะต้องถูกตัดทอนลดลงไป) ฉะนั้นให้เลือกมา ๑ คน จะเอาใคร ข้าพเจ้าก็ขอเลือกแม่ ท่านเริ่มทำสมาธิ ให้ข้าพเจ้าทำสมาธิตามไปด้วย ในระหว่างที่เดินวิชชาอยู่นั้น จะเห็นท่านเดินนำหน้าไปคอยอยู่แล้ว เราก็เข้ากลางตามท่านไป ความรู้สึกเวลานั้นไม่เหมือนกับนั่งสมาธิแล้ว เหมือนกับว่าเข้าไปในมิติของแดนสนธยาเลย ยิ่งเดินก็ยิ่งมืด เห็นแต่หลวงป๋าองค์เดียว เพราะรัศมีกายท่านสว่างมาก แต่บริเวณนั้นมืดหมด ในที่สุดท่านก็บอกว่า ถึงแล้วนะ ให้เรียกชื่อแม่ ๓ ครั้ง ท่านว่าแม่มาแล้ว ข้าพเจ้ามองไปที่เท้าของหลวงป๋า เห็นแม่นั่งยองๆ ผิวหนังขาดวิ่น ผมเป็นกระเซิง เห็นสภาพของแม่แล้วน้ำตาไหลด้วยความสงสาร เสียงหลวงป๋าดังขึ้นทันที เข้ากลางเอาไว้ เพราะจิตเริ่มส่าย ภาพของแม่เริ่มเลือนๆ ถ้าคุมสติไม่อยู่ คงต้องเริ่มต้นกันใหม่ เข้ากลางอยู่พักหนึ่ง เมื่อใจเริ่มเป็นปกติ ท่านก็ให้เรียกแม่อีก ครั้งแรกแม่ทำท่าตกใจเมื่อเห็นข้าพเจ้า เพราะเราเป็นองค์พระอยู่ หลวงป๋าให้เรียกแล้วให้บอกว่าเราเป็นลูกชื่ออะไร เมื่อแม่จำได้ก็ร้องไห้ ขออธิบายเรื่องความจำของแม่สักนิด คนที่ตายไปแล้ว ถ้าสมัยมีชีวิตอยู่ไม่เคยฝึกสมาธิ ตายไปก็จำอะไรไม่ได้ เหมือนกับที่เราเกิดมาจากไหน เป็นอะไรมาก่อน เราก็ไม่รู้ ต้องมาฝึกสมาธิถึงจะรู้อดีตได้ แต่ที่แม่จำได้ก็เพราะหลวงป๋าคุมอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดท่านก็ให้แม่รับไตรสรณาคมน์ โดยการให้ข้าพเจ้าเข้ากลาง แล้วถ่ายทอดเสียงของหลวงป๋าไปยังแม่ เมื่อแม่รับไตรสรณาคมน์แล้วก็กราบ ๓ หน เป็นการยอมรับในบวรพระพุทธศาสนา แล้วหลวงป๋าก็ใช้ให้จักรแก้วเป็นพาหนะ ส่งแม่ไปยังสวรรค์ ก็ช่วยได้แค่ดาวดึงส์เท่านั้น เพราะบุญของแม่มีน้อย แถมยังทำบุญกับศาสนาของตัวเองโดยการฆ่าสัตว์ใหญ่ ตามความเชื่อของบรรพบุรุษว่า เมื่อตายไปจะได้ขี่วัวขี่แพะ ขึ้นสวรรค์ไม่ต้องเดินให้ลำบาก เพราะความเมตตาของหลวงป๋าในครั้งนั้น ทำให้ข้าพเจ้าซาบซึ้งในความกรุณาของท่านเป็นยิ่งนัก จะไม่มีวันลืมพระคุณของท่านได้เลยในชาตินี้ จึงขอมอบกายถวายชีวิตแด่บวรพระพุทธศาสนาตราบเท่าชีวิตจะหาไม่และทุกภพทุกชาติไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน
    ... ท่านเคยบอกว่า จำไว้นะ เมื่อเป็นคนของหลวงพ่อแล้ว (หมายถึง หลวงพ่อสด) ท่านจะไม่ทิ้ง เพราะถ้าหลงไปตามสิ่งที่มารเขานำมาล่อ จะถูกภาคมารยึดสุดละเอียด หลังจากนั้นเขาจะให้ความสมบูรณ์ทุกอย่าง เป็นต้นว่า ทรัพย์สมบัติหรืออะไรต่อมิอะไรก็ได้ทั้งนั้น เพื่อทำให้เราหลง แต่พอหมดประโยชน์กับเขาแล้ว ทีนี้แหละ ความเดือดร้อนนานัปการจะทับทวีเป็น ๑๐ เท่า ๑๐๐ เท่าเลยทีเดียว ได้ยินเช่นนั้นแล้ว ความเชื่อมั่น ความศรัทธาต่อวิชชาธรรมกาย เปี่ยมล้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ชี้ให้เห็นถึงความเอาใจใส่ของหลวงป๋าที่มีต่อศิษย์ ถ้าเราตั้งใจทำวิชชา ทีนี้ทุกครั้งที่นั่งต่อหน้าท่าน ก็ต้องระวังตัว ไม่กล้ากระดิกใจออกนอกลู่นอกทางเด็ดขาด ท่านจะพูดกับข้าพเจ้าเสมอว่า จงร่วมกันสร้างบารมี
    ท่านผู้อ่านที่รักทั้งหลาย ความลับของหลวงป๋าในธาตุธรรมขององค์ต้นของหลวงพ่อสด ยังมีอีกมากมาย ท่านที่เป็นลูกศิษย์ทั้งหลายจงรีบตักตวงวิชชาให้มากที่สุดเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ อย่าให้ต้องเสียใจภายหลังเมื่อไม่มีท่านแล้ว ความเป็นธาตุธรรมที่แท้จริงนั้น เปรียบเสมือนความศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นใครก็ตามที่คิดไม่ดี ทั้งกาย วาจา ใจ ต่อท่าน ขอบอกได้เลยว่า ท่านผู้นั้นเมื่อตายไป มีที่อยู่แน่นอนคือนรกภูมิ จะเป็นขุมไหนก็เลือกได้ตามสบายเลย เผลอๆ ยังไม่ทันจะตาย กรรมก็ตามทันเสียแล้ว พิสูจน์กันเอาเองก็แล้วกัน ผู้ทำวิชชาจะรู้ดีว่า อาจารย์ของเขาเป็นอย่างไร

    จีราภา เศวตนันท์
    วิทยากรสถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย

    http://www.dhammakaya.org/expr/expr003.php
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2008
  2. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    ขออนุโมทนาสำหรับบทความดีๆครับ

    ก็อ่านไว้เป็นอุทาหรณ์ครับ ตอนยังมีชีวิตอยู่ต้องรับสร้างกรรมดีไว้เยอะๆครับ เพราะไม่รู้ว่า จะมีใครไปช่วยเราหรือไม่

    เราช่วยตัวเองก่อนดีกว่าครับ

    คนเป็นที่พึ่งแห่งตน

    ขออนุโมทนา
     
  3. เอกณัฐยศ

    เอกณัฐยศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    3,628
    ค่าพลัง:
    +9,666
    โมทนาบุญกับหลวงพ่อสด หลวงป๋า และลูกศิษย์ทุกคนที่เกี่ยวข้องกัน สาธุ
     
  4. คนดีเมืองหาดใหญ

    คนดีเมืองหาดใหญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +243
    ขอโทษนะคะถ้าไม่สมควรถาม คืออยากจะถามว่าเวลาเรานั่งสมาธิแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลนั้น เราจะรู้ได้ยังไงว่าพ่อแม่ พี่น้องเราจะมาโมทนาบุญมั้ย เพราะเราคงจะสัมผัสไม่ได้ แต่ทำไม คุณจีรภา ถึงทราบได้คะว่าไม่มีใครมาโมทนา ขอโทษจริงๆค่ะอยากทราบมาก อยากให้พ่อแม่มาโมทนาด้วยเหมือนกัน เผือมีไรจะได้ช่วยท่านได้บ้าง ขอบคุณค่ะ
     
  5. คนมีกิเลส

    คนมีกิเลส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,973
    ค่าพลัง:
    +19,431
    ท่านจะมาได้หรือไม่ได้ต้องทำความเข้าใจเรื่องของภพภูมิที่จะรับบุญก่อนครับ ผมได้นำบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้มาให้อ่านดังนี้ครับ

    ส่งบุญให้คนตายได้จริงหรือ?


    ๑.การก่อและถวายพระเจดีย์ทราย
    ๒.การทำบุญตักบาตรอุทิศให้ญาติที่ตายแล้ว
    ๓.การบังสุกุลอัฐิ (กระดูก) อุทิศบุญกุศลให้ญาติที่ตายแล้ว
    ๔.การสรงน้ำพระพุทธ
    ๕.การสรงน้ำพระสงฆ์และสามเณร
    ๖.การรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ และ
    ๗.การปล่อยสัตว์ให้ชีวิตเป็นทาน
    ทั้งหมดนี้เป็นบุญ ๗ ประการที่พุทธศาสนิกชน ทั่วทุกภูมิภาคนิยม ทำกัน ในช่วงเทศกาล สงกรานต์

    บุญอย่างหนึ่งที่พุทธศาสนิกชนจำนวนไม่น้อยอดตั้งคำถามอยู่ในใจ คือ "การบังสุกุลอัฐิ (กระดูก) อุทิศบุญกุศลให้ญาติที่ตายแล้วผู้ตายจะได้รับหรือไม่?"
    พระราชญาณวิสิฐ เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี หรือที่รู้จักกันในนาม "หลวงป๋า" ได้อธิบายเรื่อง การอุทิศส่วนบุญให้ผู้วายชนม์ ไว้ว่า ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าผู้วายชนม์ คือผู้ที่ตายแล้วจากโลกนี้ ไม่ใช่ตายสูญ สำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานเป็นพระอรหันตขีณาสพแล้ว ตราบใดที่อวิชชายังทำหน้าที่อยู่ก็จะต้องมีภพภูมิเกิดใหม่เสมอไป ไม่ใช่ตายแล้วสูญ หรือตายแล้วจบสิ้น ตายแล้วต้องเกิดใหม่ แต่เมื่อไปเกิดในภพภูมิที่เป็นทุกข์หรือสุข ย่อมได้รับผลบุญที่มีผู้อุทิศให้ไม่เท่าเทียมกัน กล่าวคือ

    ๑.สัตว์ที่ไปเกิดในสุคติภพ อย่างคนที่ทำดีสูงสุดในภพสามได้อรูปฌานก็ต้องเกิดในอรูปภพ ถ้าก่อนตายอรูปฌานไม่เสื่อม ก็ต้องเกิดในอรูปภพ ส่วนท่านที่ได้รูปฌาน ฌานไม่เสื่อมก่อนตายก็จะไปเกิดในอรูปภพ กล่าวอย่างง่ายๆ ว่าเกิดในพรหมโลก ซึ่งเป็นสุคติภพชั้นสูง ชั้นกลางคือผู้ทำความดีระดับกลาง ในระดับที่มีใจเป็นกุศลได้บริจาคทาน รักษาศีล เจริญภาวนาพอสมควรเป็นเนืองๆ
    เมื่อตายไปแล้วก็มีโอกาสได้ไปเกิดในภพภูมิที่เรียกว่า สุคติภพ เช่น กามภพ ได้แก่ เทวโลก หรือมนุษย์โลก คือไปเกิดเป็นเทวดา ที่ต่ำลงมาก็เป็นมนุษย์ มนุษย์ก็จัดเป็นสุคติภพ แต่มนุษย์ที่เกิดมาในที่เจริญทางพุทธศาสนาก็มี เกิดเป็นศาสนิกในศาสนาอื่นก็มาก แม้เกิดในพุทธศาสนาเป็นผู้มีปัญญารู้เรื่องบาปบุญคุณโทษก็มี ไม่รู้เรื่องบาปบุญคุณโทษก็มาก

    ๒.สัตว์ที่ไปเกิดในทุคติภพ คือ พวกเปรต สัตว์นรก อสุรกายสัตว์ดิรัจฉาน แม้แต่สัตว์นรกก็มีอยู่หลายภูมิ สัตว์นรกก็เหมือนติดคุก ซึ่งมีอยู่หลายแดน มีตื้น มีลึก มีชั่วคราว มีถาวร มีขั้นถึงโทษประหาร กล่าวถึงเปรตก็นับเผ่าพันธุ์ไม่ถ้วน สัตว์ดิรัจฉานก็นับชนิดไม่ถ้วน อสุรกายก็มาก เพราะฉะนั้น คนเราตายไปแล้วยังต้องเกิด ตราบใดที่อวิชชายังทำหน้าที่อยู่

    หลวงป๋า บอกด้วยว่า การอุทิศส่วนบุญให้ผู้วายชนม์ ผู้วายชนม์นั้นย่อมได้ไปเกิดแล้วเพียงแต่ว่าจะไปเกิดที่ไหนอย่างไร โดยปกติจะไม่เกิน ๕ วัน ๗ วัน ต้องได้เกิดแน่ การอุทิศบุญให้จะได้รับหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับภพภูมิที่ไปเกิด สัตว์บางประเภทก็ได้รับ บางประเภทก็ไม่ได้รับ ขึ้นอยู่กับประเภทของภพภูมิของผู้รับ ทั้งนี้หลวงป๋าได้อธิบายประเภทของภพภูมิให้ฟังด้วยว่า

    พวก "อรูปพรหม" และ "รูปพรหม" เป็นสัตว์ในสุคติภพชั้นสูง อายุของพรหมยืนยาว เรียกว่า พรหมจะขยับตัวครั้งหนึ่ง มนุษย์เราก็ตายไปนับครั้งไม่ถ้วน เพราะฉะนั้นในการอุทิศส่วนกุศล พรหมเกือบจะไม่มีโอกาสได้รับรู้ได้เลย เว้นแต่ในบางชั้นของพรหมอาจจะรับรู้แต่เวลาก็แตกต่างกันมากเหลือเกิน บางทีเราทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปนับครั้งไม่ถ้วน จนกระทั่งเราตายไป พรหมเพิ่งขยับตัว เลยไม่ทันได้รับรู้

    ส่วนใน "เทวโลก" เวลาก็ยังต่างกันมากอยู่ เมื่อเทียบกับมนุษย์โลก โอกาสที่เทวดาจะรับรู้เรื่องการบุญการกุศลกับเราก็น้อยแต่มีทางเป็นไปได้มากทีเดียว เฉพาะเรื่องรับรู้ขึ้นกับเงื่อนไขว่าถ้าผู้ปฏิบัติธรรมสามารถที่จะสื่อสารกันได้ จะได้โดยวิธีใดก็แล้วแต่กับเทวดา ทำให้เขารับรู้โดยง่าย แต่ถ้าปุถุชนทั่วไปอุทิศส่วนกุศลให้เทวดา เทวดาก็จะรับรู้ได้สำหรับเทวดาที่อยู่ในระยะใกล้ๆ เท่านั้นที่พอรู้ได้ นอกนั้นก็จะเพลิดเพลินอยู่ในทิพย์สมบัติ ก็จะไม่มองดูว่าหมู่ญาติได้ทำบุญอะไรอุทิศให้ เพราะฉะนั้น โอกาสที่เทวดาจะรู้เรื่องการทำบุญก็ไม่มากนัก แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเสียเลย ขึ้นอยู่กับผู้อุทิศบุญ จะสามารถบอกข่าวไปได้ไกลเท่าใด

    พวก "มนุษย์" ผู้วายชนม์แล้วไปเกิดเป็นมนุษย์ ส่วนใหญ่ก็จำกันไม่ได้ว่าใครเป็นญาติใคร ไม่รู้จักกันเลยว่าเคยเป็นญาติกันมาก่อน อาจจะเดินสวนกันไปมาก็ได้ อีกฝ่ายหนึ่งอุตส่าห์ทำบุญไปให้ แต่เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้รับรู้ก็ไม่ได้อนุโมทนาบุญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกิดเป็นมนุษย์ แต่ไม่รู้ว่าไปเกิดส่วนไหนของโลกมนุษย์ยิ่งถ้าเกิดนอกพุทธศาสนาก็ยิ่งไม่รู้เรื่องบาปบุญคุณโทษ ถึงได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยิน ไม่รู้เรื่อง ก็เลยไม่รับรู้และไม่ได้อนุโมทนาบุญ

    พวก "เปรต" สำหรับเปรตมีเป็นร้อยๆ ชนิด แต่เปรตที่จะรับรู้ส่วนบุญคือเปรตที่อยู่ใกล้ๆ กับมนุษย์ ซึ่งมีความทุกข์และความหิว ภาษาบาลีเรียก "ปรทัตตูปชีวิกเปรต" เปรตประเภทนี้เกือบจะแน่นอนว่ามีโอกาสรับรู้ได้ และเขาก็จำญาติโยมแม้เกิดมานานนับภพนับชาติไม่ถ้วน ก็ยังจำได้ เพราะเปรตเหล่านี้มีชีวิตยืนนาน แต่เปรตอื่นนอกนั้นแย่เต็มที ไม่สามารถรับรู้ได้

    พวก "อสุรกาย" ก็ดีกว่าเปรตหน่อย ส่วนพวก "สัตว์นรก" พวกนี้ยากที่จะได้รับรู้เพราะเหมือนคนติดคุก ถึงเราจะบอกไปเท่าใดก็ไม่มีโอกาสได้ยินในส่วนบุญส่วนกุศลที่อุทิศให้ มีแต่ความเดือดร้อนทรมานด้วยเครื่องกรรมกรณ์ (เครื่องทรมาน) ต่างๆ พวก "สัตว์ดิรัจฉาน" แทบไม่มีโอกาสรับรู้เรื่องการบุญการกุศล และไม่รู้จักการอนุโมทนาบุญเพราะไม่มีใครบอก ถึงแม้บอกแล้วก็ฟังไม่รู้เรื่อง

    นอกจากนี้ยังมีอีกประเด็นคำถามที่ตามมา คือ "เมื่อเราอุทิศส่วนบุญสุดท้ายบุญของเราจะหมดไปหรือไม่" โดยหลวงป๋าได้อธิบายไว้ว่า ไม่ใช่เช่นนั้น บุญกุศลนั้นเหมือนกับแสงสว่าง หรือแสงเทียน ลองนึกว่า ถ้าท่านมีเทียนสว่างไสวอยู่ในมือและมีแสงสว่าง (ของผู้อื่นที่ต่อเทียนกับเรา) รอบท่านทั้งหมดด้วย
    "การอุทิศส่วนบุญกุศลก็เสมือนว่าท่านเชื้อเชิญทุกคนให้มาชื่นชมแสงสว่าง (คุณความดี) ของท่าน และรับแสงสว่างจากท่าน หรืออาจพูดว่าทุกคนมาพร้อมด้วยเทียน ขอจุดต่อจากท่านเช่นนั้น ท่านจะเห็นว่าแสงเทียนของท่านก็มิได้อ่อนลง แต่แท้ที่จริงจะกลับสว่างยิ่งขึ้น เพราะเหตุไร เพราะว่าแสงจากเทียนของทุกคน ที่ท่านเชื้อเชิญมาต่อเทียนจากท่านจะสว่างไสวสะท้อนกลับมายังตัวท่านอีกด้วย" หลวงป๋า กล่าวทิ้งท้าย

    จาก http://www.komchadluek.net/column/pra/2006/04/14/03.php
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 เมษายน 2008
  6. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,150
    ค่าพลัง:
    +18,072

    อันนี้ก็ไม่ทราบว่า คุณจีรภา ท่านได้มาอย่างไร แต่ขออนุญาตบอกจากประสบการณ์ของตนเองนะจ๊ะ;)

    ปัญหาของผู้ไม่เคยฝึกมาก่อน
    <TABLE width="100%" border=1><TBODY><TR><TD width="13%">หลวงพ่อ </TD><TD width="87%">คำว่า มโมนยิทธิ แปลว่า มีฤทธิ์ทางใจ มโนยิทธินี่เป็นการเตรียมอภิญญา จะเรียกวิชชาสามตรง ก็เข็มเกินไป จะเรียกอภิญญาก็ยังอ่อนอยู่ เป็นการเตรียมอภิญญา เตรียมเพื่อรับอภิญญาหก วิชชาสามจริง ๆ ไปไมได้แต่เห็นได้ นั่งอยู่ตรงนี้ สามารถเห็นเทวดา เห็นพรหม เห็นพระอริยะ สามารถคุยกันได้ นั่งอยู่ตรงนี้สามารถคุยกับเปรตได้ คุยกับอสุรกายได้ คุยกับพวกสัตว์นรกได้แต่ก็นั่งตรงนี้เอง
    ทีนี้สำหรับมโนมยิทธินี่ก็เป็นอภิญญาทางใจส่วนหนึ่ง ต้องถือว่าเป็นกึ่งของอภิญญา เพราะว่าสามารถเอาจิตไป เอากายในไป ทว่าถ้าเป็นอภิญญาจริง ๆ เขายกตัวไปเลย จะไปสวรรค์ไปพรหมเขาเอาตัวไปเลย นั่นต้องใช้กำลังเข็มแข็งกว่า สูงกว่าแต่ว่ากันโดยผลเสมอกัน เพราะไปเห็นมาได้เหมือนกัน



    </TD></TR><TR><TD width="13%">ผู้ถาม</TD><TD width="87%">"หลวงพ่อคะ ถ้าอย่างดิฉันต้องการฝึกบ้าง ต้องใช้เวลากี่วันคะ....?</TD></TR><TR><TD width="13%">หลวงพ่อ </TD><TD width="87%">ก็สุดแล้วแต่คุณจะทำได้ ถ้าคนทำได้เร็วไม่ถึงวันก็ได้ อันนี้จริง ๆ นะ ถ้าทำได้เร็วใช้กำลังใจถูกต้อง โดยเฉพาะถ้าเป็นผู้หญิงนี่ได้เร็วมาก เพราะพวกผู้หญิงนี่ไม่ค่อยสงสัย เพราะตัวสงสัยเป็นตัวนิวรณ์ ส่วนใหญ่จริง ๆ พวกผู้หญิงนี่มักจะเป็นได้วันแรก นี่พูดถึงส่วนใหญ่นะ แต่พลาดมาวัน ๒ วันที่ ๓ ก็มี ใช้เวลาไม่มากหรอก เราไม่ต้องนับเดือน ไม่ต้องนับปีกัน ถ้าคุณจะฝึก คุรต้องไปซ้อมกำลังใจเสียก่อน ถ้าซ้อมกำลังใจให้ทรงตัวมาวันแรกก็ได้ มันอยู่ที่ความเข้าใจคือ ไม่ต้องทำอะไรมาก ทรงอารมณ์ไว้เฉย ๆ หายใจเข้านึกว่า นะ มะ หายใจออกนึกว่า พะ ธะ ไม่ต้องทำให้มันเครียดหรอก ให้มันชินเท่านั้นเอง
    คำว่า ชิน หมายความว่าถ้าให้เราภาวนาอย่างนี้เมื่อไรเราภาวนาได้ ไม่ต้องไปนั่งเครียดทั้งวันทั้งคืนซ้อมให้ทรงตัวนะ



    </TD></TR><TR><TD width="13%">ผู้ถาม</TD><TD width="87%">หลวงพ่อคะ อย่างเรามีความศรัทธา จะฝึกมโนมยิทธิเรามีความจำเป็นไหมคะ ที่เราจะต้องรู้รายละเอียดในความหมายของคำภาวนา นะ มะ พะ ธะ</TD></TR><TR><TD width="13%">หลวงพ่อ </TD><TD width="87%">ก็ไม่ต้องไปละ อยู่ที่เดิมน่ะ ถ้าฉลาดแบบนั้นไปไหนไม่ได้ เขาให้ภาวนาเพื่อเป็นกำลังของสมาธิเท่านั้น เขาไม่ต้องใช้ปัญญา ปัญญาเขาใช้ส่วนอื่น ถ้าขืนฉลาดแบบนั้นก็อยู่ที่เดิม การเจริญพระกรรมฐาน เขาต้องไปตามจุด ต้องเฉพาะกิจที่เขาจะสอนให้แจกแจกนั่นต้องปฏิบัติในธาตุ ๔ เขาเรียกว่า จตุธาตุววัตถาน ๔ แต่อันนี้ไม่ใช่ เขาต้องการภาวนาเพื่อเป็ฯกำลังของจิตเพื่อให้จิตเป็นทิพย์ ชื่อเหมือนกัน แต่ใช้กิจต่างกัน
    อย่างกับทัพพีเขาใช้คนหม้อข้าว เป็นทัพพีสำหรับหุงข้าวถ้าเขาไม่มีช้อน เอามาตักข้าวเข้าปาก นี่มันกลายเป็นช้อนไป ใช่ไหม.....
    นี่ก็เหมือนกัน ต้องใช้เฉพาะกิจของเขา ถ้าเรื่อยเปื่อยไปก็พังรับรองได้เลยถ้าเรื่อยเปื่อยไป นอกรีตนอกรอยอีกแสนชาติก็ไม่ได้ ต้องฉลาดพอดี ไม่ใช่ฉลาดเกินพอดี กิจอันนี้เขาทำเพื่ออะไร
    ถ้าเราจะแจกเป็นธาตุ ๔ ก็ไม่ใช่ลักษณะนี้ นั่นต้องหวลเข้าไปหาสุกขวิปัสสโก ไม่ใช่ฉฬภิญโญ หมวดแต่ละหมวดของกรรมฐาน ปฏิบัติไม่เหมือนกัน



    </TD></TR><TR><TD width="13%">ผู้ถาม</TD><TD width="87%">หลวงพ่อคะ บางคนเขาภาวนาว่า "พุทโธ" แต่ว่าทำไมเขาไปได้คะ....?</TD></TR><TR><TD width="13%">หลวงพ่อ </TD><TD width="87%">ถ้าเขาไปได้แล้วอะไรก็ได้ ให้มันสตาร์ทติดเสียก่อน ถ้าไปได้แล้วจริง ๆ ไม่ต้องภาวนา นึกปั๊บมันถึงเลยกำลังเขาพอเข้าใจไหม..... คำว่าภาวนาที่เราใช้กันหนัก เพราะเรายังไม่คล่อง แบบเขียนหนังสือน่ะ อ่านหนังสือวันแรก สองวัน สามวัน เขียน ตัว ก.ไม่ได้ ถ้าเขียนคล่องแล้ว นึกเมื่อไรเขียนได้เลย ใครเขาพูดก็เขียนได้เลยเหมือนกัน ถ้าคล่องจริง ๆ ไม่ต้องภาวนา พอนึกปั๊บมันถึงทันที



    </TD></TR><TR><TD width="13%">ผู้ถาม</TD><TD width="87%">หลวงพ่อคะ บทสตาร์ทนี่ ต้อง "นะ มะ พะ ธะ" อย่างเดียวหรือคะ "สัมมา อรหัง" ได้ไหมคะ...?</TD></TR><TR><TD width="13%">หลวงพ่อ</TD><TD width="87%">เอาแล้ว หาเรื่องตกร่องอีกแล้ว มันมีหลายสิบบท ไม่ใช่บทเดียว แต่ว่าบทนี้เท่านั้น ขณะที่ไปอยู่จึงจะคุยกับคนข้าง ๆ ได้ นอกนั้นเขาไปเงียบ จบจุดแล้วจึงมาเล่าสู่กันฟัง
    ฉันคิดว่า ถ้าไปกันเงียบ ชาวบ้านเขาจะหาว่าโกหก ฉันจะตัดตัวนี้ คือปัจจุบันเห็นแล้วคุยได้เลย ถามทางโน้นก็บอกทางนี้ได้ทันที เขาต้องการอย่างนี้
    ฉันยังจำคำแนะนำของหลวงพ่อปานได้ เมื่อก่อนฉันจะบวช ฉันบวชนี่ฉันไม่ได้บวชตามประเพณีกับเขา บวชเพื่อพิสูจน์พระศาสนา พระศาสนาว่า สวรรค์มีจริง นรกมีจริง ฉันจะไปเที่ยว
    หลวงพ่อปานท่านบอกความต้องการของแกน้อยไป ข้าต้องการมากกว่านั้น แต่ว่าแกบวชแล้วแกต้องรับคำสอนอย่างคนโง่นะ
    "อย่างคนโง่" ก็หมายความว่า ท่านบอกตรงนี้ จุดไหนก็ไปแค่นั้นแหละ เดี๋ยวก็ถึง อันนี้ถูกต้อง เพราะท่านรู้จักทาง ท่านก็นำตรง ถ้าเราฉลาดเกินไป ก็เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาอีก
    ฉันอยู่กับหลวงพ่อปานเดือนเดียว ฉันได้หมด เพราะฉันยอมโง่ อย่างลูกสาวของฉันนี่มันฉลาดมากเกินไป อย่างนี้เขาเรียกว่า "ฉลาดหมาไม่กิน" ใช่หรือเปล่า...........?



    </TD></TR><TR><TD width="13%">ผู้ถาม</TD><TD width="87%">"ใช่ค่ะ"</TD></TR><TR><TD width="13%">หลวงพ่อ</TD><TD width="87%">"ถ้าหมากิน เอ็งหมดไปนานแล้ว" หลวงพ่อพูดให้กำลังใจว่า
    "ค่อย ๆ ทำไปนะ ไม่ต้องใช้เวลาให้มาก ไม่ต้องไปใช้เวลาที่สงัดนั่งเล่นทำอะไรเล่นก็ตาม นึกอะไรก็ภาวนา หายใจเข้า นึก "นะ มะ" หายใจออก นึกว่า "พะ ธะ" สองสามครั้งก็ได้ ถ้ามันฝืนขึ้นมาก็เลิกกัน ต้องการให้อารมรณ์ชินอย่างเดียว เวลาเขาฝึกจะได้ไม่แย่งกัน ให้แยกกันเสียให้เด็ดขาด
    ยามปกติเราต้องการความสุข เราภาวนา "พุทโธ" ของเราไปแต่บางขณะเช่นเวลานี้ ฉันจะเอา "นะ มะ พะ ธะ" ไม่ยอมให้ "พุทโธ" มาแย่ง ไปกี่วันหรอกอย่างมากก็ ๒-๓ วัน
    ถ้าลองจนชินดีแล้ว เราต้องการภาวนา "นะ มะ พะ ธะ" ก็ให้อยู่แค่ "นะ มะ พะ ธะ" พุทโธให้แยกไป
    ถ้าเราต้องการภาวนา "พุทโธ" ก็พุทโธไปตามปกติ อันนี้ก็ใช้ได้
    ค่อย ๆ ทำไปนะ อยู่ที่ความเข้าใจตัวเดียว ใครจะคุมหรือไม่คุมไม่สำคัญ ต้องการภาวนาถูกต้องตามแบบเขา ไม่งั้นพระพุทธเจ้าก็ไม่วางแบบไว้ซิ ถ้าภาวนาอย่างไรก็ได้ พระพุทธเจ้าจะวางแบบไว้ทำไม สอนเสียอย่างเดียวก็พอใช่ไหม...."
    "พุทโธ" น่ะเป็นสายของสุกขวิปัสสโกเขา สายสุกขวิปัสสโฏ ไปไหนไม่ได้ ได้แต่ตัดกิเลส สายเตวิชโชก็มี
    คำภาวนาตั้งหลายสิบแบบ แต่ถ้า "นะ มะ พะ ธะ" เป็นการเตรียมเพื่ออภิญญา จึงไปได้กรรมฐานไม่ใช่ว่าทำอย่างเดียว แบบจริง ๆ มี ๔๐ แบบ ถ้าเราใช้อะไรก็ใช้แบบที่ถูกต้อง ไม่งั้นไปไม่ได้"



    </TD></TR><TR><TD width="13%">ผู้ถาม</TD><TD width="87%">"สมมุติว่าหนูฝึก "พุทโธ" หลวงพ่อจะฉุดหนูไปได้ไหมคะ.........?</TD></TR><TR><TD width="13%">หลวงพ่อ</TD><TD width="87%">ได้ ฉุดลงใต้ถุนไป ไม่มีทางจะฉุดได้ยังไง พระพุทธเจ้าท่านยังไม่ฉุดใคร หลวงพ่อจะไปฉุดเอ็งเข้าดีไม่มีจะมาตีเอาตาย โทษหนักเสียด้วย โทษถึงประหารชีวิต เรื่องอื่นยังพอทำเนา บรรเทาโทษได้ แต่ว่าเรื่องนี้ประหารชีวิตกันเลยนะ หนอยแน่........ไม่ได้หรอไอ้หนูต้องฝึกเอง แล้วทำไมภาวนา "นะ มะ พะ ธะ" ไม่ได้.........?



    </TD></TR><TR><TD width="13%">ผู้ถาม</TD><TD width="87%">"รู้สึกว่าเหนื่อยคะ</TD></TR><TR><TD width="13%">หลวงพ่อ </TD><TD width="87%">แล้วที่ด่าชาวบ้านทำไมทำได้ล่ะ..........?</TD></TR><TR><TD width="13%">ผู้ถาม</TD><TD width="87%">"หนูไม่เคยด่าใครคะ ครั้งเดียวไม่เคยค่ะ.....</TD></TR><TR><TD width="13%">หลวงพ่อ </TD><TD width="87%">น่ากลัวไปล่อหลายเที่ยว</TD></TR><TR><TD width="13%">ผู้ถาม</TD><TD width="87%">(หัวเราะ)</TD></TR><TR><TD width="13%">หลวงพ่อ</TD><TD width="87%">ไอ้นี่ต้องคิดซิว่า "พุทโธ" เหมือนกับนั่งอยู่กับบ้านถ้าเราจะไป ไปอเมริกา เดินไปมันก็ไม่ไหว ก็ต้องขึ้นเครื่องบินไป แบบ "นะ มะ พะ ธะ" เขาฝึกเพื่อหาเครื่องบินไป การฝึกในพระพุทธศาสนา เขามีตั้ง ๔ ประเภท ถ้าแบบใหญ่จริง ๆ มี ๔๐ แบบ แบบย่อยอีกนับพัน อย่าง
    "นะ มะ พะ ธะ" เป็นส่วนหนึ่งของอภิญญา แต่ก็ยังไม่เข้าถึงอภิญญา จริง ต้องถือว่าเตรียมเพื่ออภิญญา นี่เขามีจำกัดนะ แต่ว่าการปฏิบัติแบบนี้เขาก็มีหลายสิบแบบนะ ถ้าเป็นแบบเก่าคนข้าง ๆ ถามไม่ได้ ฉันก็ไม่อยากสอนใคร ไปถึงไหน ๆ เล่าได้ตลอดเวลา ถ้านอกจากนี้ไปก็นั่งเงียบแต่ผู้เดียว เลิกแล้วกลับมาจึงเล่าสู่กันฟัง
    อย่างนี้ฉันว่าของเก่านั้นของดี แต่ว่าพวกที่เขามีความสงสัยก็จะคิดว่าพวกนี้มาโกหก จึงไปหาแบบนี้มา
    แบบนี้ก็ไม่ได้สร้างเอง เป็นของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน คนข้าง ๆ สามารถถามได้เวลานี้ไปถึงไหน แล้วจะบอกได้ตลอดเวลา หาอย่างนี้มา ๒๓ ปี กว่าจะพบตำรานี้ ไม่ใช่ค้นคว้าเองนะ ทราบอยู่ว่าของพระพุทธเจ้าท่านมี
    แต่ตำราที่เราฝึกเราไม่พบ กว่าจะพบก็สิ้นเวลายวชไป ๒๓ ปี แต่ว่าวิธีอื่นน่ะทำได้ ถ้าเพื่อส่วนตัวนี่ทำได้ตั้งแต่พรรษาต้น แต่ว่าเราจะรู้เราก็ต้องรู้คนเดียว เลิกมาแล้วจึงมาเล่าสู่กันฟังทีนี้สำหรับคนรับฟังก็จะหาว่าโกหก

    อย่างสมมุติว่า พ่อเขาตาย แม่เขาตาย เขาถามว่าพ่อแม่เขาอยู่ที่ไหน ตามผีนี่ตามง่ายกว่าตามคน ต้องการจะพบใครมันพบทันที ถ้าเราจะเอาให้แน่นอนเมื่อพบแล้วก็ให้เขาแสดงตัว
    เวลาที่เป็นมนุษย์รูปร่างเป็นอย่างไร แสดงให้ดูซิ เวลาป่วยยังไง ผอมหรืออ้วน อาการป่วยที่คนพอจะรู้ได้ขอให้บอก พวกที่เขาถามเขารู้ว่าเคยป่วยแบบไหน เขาอาจจะไม่รู้ทั้งหมดรู้จุดใดจุดหนึ่งนะ เขาจะบอกให้ฟัง


    ถ้าถามถึงโรค มีอยู่หลายราย เขาบอกว่าที่หมอหรือพยาบาทบอกว่าตายด้วยโรคนั้น ๆ มันไม่จริง เขาตายอีกโรคหนึ่ง แต่พยาบาลเขาเข้าใจว่าโรคนั้น

    นี่เราต้องถามอาการที่คนอื่นจะรู้ เขาทำท่าให้ดูเสร็จเรียบร้อยแล้วก็บอกคนข้าง ๆ ว่า พบแล้วเวลาที่มีชีวิตอยู่ รูปร่างเป็นอย่างนี้ ใช่ไหม......และอาหารที่จะตายจริง ๆ มีลักษณะแบบนี้ใช่ไหม..... คนนี้สมัยที่มีชีวิตอยู่เป็นคนใจดี หรือชอบหัวเราะ หน้าบึ้งขึงจอ อะไรก็ตาม ถามเขา เขาบอกตามความเป็นจริงหมด
    คงเข้าใจแล้วนะสำหรับท่านที่ยังมีความสงสัยในคำภาวนาและการฝึกแบบนี้ แต่ก็คงจะสงสัยอย่างอื่นอีก จึงขอนำปัญหาและคำตอบให้คลายสงสัยเสีย




    </TD></TR><TR><TD width="13%">ผู้ถาม</TD><TD width="87%">"หลวงพ่อคะ ถ้าหากฝึกมโนมยิทธิสามารถขึ้นไปข้างบนได้แล้ว จะหลงวกวนอยู่บนนั้นไหมคะ..?</TD></TR><TR><TD width="13%">หลวงพ่อ</TD><TD width="87%">"แหม......อีหนูเอ๊ะ อยากให้หลงจริง ๆ ถ้ามันไปติดอยู่วิมานใดวิมานหนึ่ง แหม...ดีจริง ๆ</TD></TR><TR><TD width="13%">ผู้ถาม</TD><TD width="87%">(หัวเราะ) ไม่หลวงใช่ไหมคะ.......?</TD></TR><TR><TD width="13%">หลวงพ่อ</TD><TD width="87%">"ไม่หลงหรอก</TD></TR><TR><TD width="13%">ผู้ถาม</TD><TD width="87%">"แล้วที่ครูเขาแนะนำว่าไปที่วิมาน วิมานอยู่ที่ไหนคะ..........?</TD></TR><TR><TD width="13%">หลวงพ่อ</TD><TD width="87%">ถ้าเราไปถึงพระนิพพานได้ วิมานบนพระนิพพานก็ต้องมี เมื่อไปถึงนิพพานได้เขาจะบอก ๒ จุด เพราะว่าครูเขาไม่มีเวลาสอน ถ้าเราขึ้นไปบนสวรรค์ ดูวิมานของเรามีไหม.....ถ้าไม่มีก็ไปดูวิมานของเราที่พรหมมีไหม..... ถ้าไม่มีก็เหลือแห่งเดียวที่นิพพาน แสดงว่าขาตินี้ตายแล้วไปนิพพานแน่ ถ้าหากว่าวิมานที่สวรรค์ยังมีอยู่ หรือยังมีอยู่ที่พรหมและวิมานที่นิพพานมีอยู่ แสดงว่าจิตเราจับวิปัสสนาญาณได้เล็กน้อยแต่มันหมองมันไม่แจ่มใส แต่วิมานเราอยู่จุดที่แน่นอนอันนี้แจ่มใส
    ถ้าวิปัสสนาญาณเราดีพอ จิตเราเข้าถึงโคตรภูญาณ วิมานข้างล่างนี่จะหายหมด มันจะเหลือหลังเดียวข้างบน ถ้าเหลือหลังเดียวข้างบน ตายแล้วมันไม่มีที่อยู่ ต้องไปอยู่หลังนั่นแหละ
    ถ้าพอถึงนิพพานแล้วยังถามว่าไปไหนอีก ถ้าอารมณ์ใจยังพอใจในการเที่ยวก็แสดงว่ากิเลสยังหนาอยู่ ถ้าเที่ยวไป ๆ ไม่ข้ามันจะเบื่อเที่ยว จิตมันจะรักอารมณ์อยู่จุดหนึ่ง คือขึ้นไปนิพพานมันก็ไม่อยากขึ้น มันอยากจะตัดขันธ์ ๕ สบาย ๆ อารมณ์จิตเป็นสุข
    แต่ว่าก็มีเกณฑ์บังคับว่า นิพพานต้องไปทุกวันเพื่อให้จิตมันจับเป็นเอกัคคตารมณ์ แปลว่าจิตมันเป็นหนึ่งเดียว ต้องการอย่างเดียวคือนิพพาน ให้มีความผูกพัน
    แล้วไปนิพพานไปที่ไหน....?
    นิพพานมี ๒ จุดที่เราจะไปก็คือ ที่ประทับของพระพุทธเจ้า และก็ วิมานของเรา ถ้าเราไม่เห็นพระพุทธเจ้า เรานึกถึงท่านท่านจะมาทัน ที คือว่าจิตอย่าปล่อยพระพุทธเจ้า ให้จิตมันเกาะไว้เป็นอารมณ์ ทีนี้ตายแล้วก็มาที่นี่แหละ
    เรื่องของชีวิตมันจะตายเมื่อไรก็ช่าง คือว่าอย่าไปคิดว่ามันจะอยู่อีก ๒ ปี ตื่นขึ้นมาเราคิดว่าเราอาจจะตาย วันนี้มันถึงจะถูกอันนี้เป็น มรณานุสสติกรรมฐาน ใช่ไหม......ถ้าวันนี้มันจะตายมันจะไปไหน ตื่นขึ้นมาปั๊บเราคิดว่าเราจะตายวันนี้ จิตพุ่งปรู๊ดขึ้นนิพพานเลย ขึ้นไปแล้วสัก ๒-๓ นาที ก็ช่างให้อารมณ์มันสดชื่น พิจารณาขันธ์ ๕ เท่านั้นแหละ
    ถ้าจิตตอนเข้าเราจับเป็นอารมณ์ไว้ แล้วกลางวันเราก็ไม่ได้นึกถึงนิพพาน มัวนั่งพูดกับเพื่อนบ้าง ทะเลาะกับเพื่อนบ้าง ขัดคอกับเพื่อนบ้าง หลบหน้าเจ้าหนี้บ้าง ตามเรื่องตามราวนะ บังเอิญตายวันนั้นมันก็ไปนิพพาน เพราะตอนเข้าเราตั้งอารมณ์ไว้แล้วใช่ไหม.....
    คืออารมณ์ตอนเข้า เวลาที่จิตมันสบายตั้งจุดไว้เลย ตั้งอารมณ์ไว้ก็อย่าตั้งเฉย ๆ ไปเลย ไปนั่งอยู่ข้างหน้าพระพุทธเจ้าให้จิตมันชื่นใจ เวลานั่งข้างหน้าพระพุทธเจ้ามันสบายใจ ใช่ไหม........ ท่านสวย ท่านสว่าง ดูแล้วไม่อิ่มไม่เบื่อ อารมณ์มันก็มีความสุข คิดว่าที่นี่เป็นที่ที่เราจะมาในเมื่อขันธ์ ๕ มันพัง ให้ทำแบบนี้นะ"



    </TD></TR><TR><TD width="13%">ผู้ถาม</TD><TD width="87%">"แล้วอย่างสมมุติว่า คนที่เขาฝึกได้แล้ว เขาไปได้เขาก็เห้นวิมานของเขา แสดงว่าเขามีวิมานอยู่ ถ้าหากเราอยู่อย่างนี้ เราทำแต่ความดี เราจะมีวิมานไหมคะ......?</TD></TR><TR><TD width="13%">หลวงพ่อ</TD><TD width="87%">"เราก็มีบ้านอยู่"</TD></TR><TR><TD width="13%">ผู้ถาม</TD><TD width="87%">"หนูอยากมีวิมานค่ะ"</TD></TR><TR><TD width="13%">หลวงพ่อ</TD><TD width="87%">"ไปสร้างกุฏิสัหลังซิ"</TD></TR><TR><TD width="13%">ผู้ถาม</TD><TD width="87%">"มีจริง ๆ หรือคะ?"</TD></TR><TR><TD width="13%">หลวงพ่อ</TD><TD width="87%">"วิมานน่ะ เขามีด้วยกันทุกคน ถ้าทำความดี แต่ว่าเราจะสามารถไปเห็นวิมานของเราหรือไม่ อย่างการก่อสร้างวิหารทาน สร้างโบสถ์ สร้างกุฏิ สร้างส้วม สร้างศาลาอะไรก็ตามเถอะ เราเอาเงินไปร่วมกับเขาด้วยความตั้งใจจริง วิมานจะปรากฏเลย เราจะรู้หรือไม่รู้อยู่ที่การฝึกจิต อย่างที่เขาฝึก "นะ มะ พะ ธะ" กัน" เอาล่ะ สำหรับปัญหาผู้ยังไม่เคยฝึกก็มีเท่านี้ ต่อไปนี้เป็นปัญหาของผู้เริ่มฝึกใหม่ ๆ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ อ่านแล้วได้ความรู้เพิ่มขึ้นเยอะครับ
     
  8. คนดีเมืองหาดใหญ

    คนดีเมืองหาดใหญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +243
    ขอบคุณคุณ คนมีกิเลส และคุkhunkik ค่ะ ขออนุโมทนาบุญด้วยนะคะที่ได้ให้ความรู้ความเข้าใจค่ะ
     
  9. countdown

    countdown เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,016
    ค่าพลัง:
    +3,165
    ทานที่เกิดถ้ารู้จักแปลง ก็สามารถเป็นอะไรก็ได้ ให้ทานเป็นของกิน เมื่อตายไป ของกินกองเท่าภูเขา ถ้ารู้จักฉลาด ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงบัลคาลให้ของกินนี้จงกลายเป็นวิมานให้ข้า จะกลายเป็นวิมานทันที แปลงกลับได้ แบ่งได้ ไม่จำเป็นต้องสร้างวิหารในโลกมนุษย์แล้วจะได้วิมานบนสวรรค์
     

แชร์หน้านี้

Loading...