ประสบการณ์ การทดลองปลุกเศกเครื่องราง ภาค 1/2

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย solardust, 25 มีนาคม 2014.

  1. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,773
    เหมือนเคยนะครับ เป็นเรื่องที่เอามาลองทำเล่นดูสมัยยังหนุ่มๆอยู่

    เป็นเรื่องเกี่ยวการไปเช่าพระจากตลาดเพื่อเอามาปลุกเศกเล่น แต่ก็ไม่ใช่รูปพระพุทธเจ้าหรือพระสงฆ์นะครับ
    ที่เช่ามาด้านหน้าจะเป็นรูปขุนแผนขี่ม้าอุ้มผู้หญิงไว้หนึ่งคน ด้านหลังก็เรียบๆ
    ลักษณะก็เหมือนพระใหม่เอามาทำให้ดูเก่า องค์ละ 100 บาท เช็คพลังดูแล้วก็ไม่ได้ปลุกเศกอะไรมา ก็เลยเอามาลองวิชาซะเลย

    ทีนี้จะเล่าเรื่องปลุกเศกเครื่องรางให้อ่านกันเล่นๆ ก็เริ่มเลยตรงๆไม่ได้ ต้องอารัมภบทกันยาวนิดนึง
    เหตุผลเป็นอย่างนี้นะครับ

    จะปลุกเศกเครื่องรางได้ ต้องมีสกิลสามเรื่อง
    - การตั้งอารมณ์ เพื่อเลือกประเภทของพลังที่จะประจุใส่องค์พระ
    - การเพ่งจิตไปที่องค์พระ
    - การเช็คพลังที่ถูกประจุในองค์พระ

    สองข้อแรกเป็นวิธีทำ ข้อสุดท้ายเป็นวิธีตรวจสอบ
    แต่ดูอาการแล้ว กระทู้เดียวน่าจะไม่จบ ท่าจะยาว
     
  2. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,773
    เริ่มเลยนะครับ เริ่มที่การตั้งอารมณ์ก่อน
    จะตั้งอารมณ์ได้ ก็ต้องเห็นอารมณ์ก่อน อ่านดูเหมือนจะง่าย แต่จะเห็นอารมณ์ได้ยังไงนี่สิ
    การจะเห็นอารมณ์นะครับ ไม่รู้ว่ามีกี่วิธี แต่วิธีที่ผมบังเอิญไปเห็นมานะครับ เห็นมาจากการเจริญสติปัฏฐาน 4

    ทีนี้อาจจะมีบางคนฝึกสติอยู่ คำถามก็คือเห็นแค่ไหน
    คำตอบก็คือ ตัวที่เรียกว่า ตัวดู ต้องแยกขาดจากกองอารมณ์ได้

    ถ้าเห็นแต่แยกไม่ขาดจะปลุกพระเล่นแบบที่ผมจะเล่าให้ฟังได้ไหม ???
    คำตอบก็คือ ไม่รู้นะครับ คือผมเล่าตามที่ผมลองทำมา ไอ้ที่ไม่เคยทำก็เลยไม่รู้จะเล่ายังไง

    ทีนี้คำว่าแยกขาด ขาดยังไง ยังไงคือขาด
    ถ้าใครอ่านเรื่องที่ผมเขียนไว้ เกี่ยวกับการฝึกสตินะครับ จะมีประโยคนึง ประมาณว่า
    พอเจริญกายานุปัสนา ถึงจุดๆหนึ่ง ก็ปรากฏมีความรู้สึกเหมือนว่า มีตัวเราอยู่สองคน คนหนึ่งทำโน่นทำนี่ตามปรกติ อีกคนคอยดูอยู่ไม่คลาดสายตา
    พอถึงจุดนี้ เวลาเห็นกองอารมณ์ ก็จะมีอารมณ์โน่น นี่ นั่น แว่บไป แว่บมา อยู่ส่วนหนึ่ง แล้วก็รู้สึกเหมือนมีตัวเราอีกคนหนึ่งเฝ้าดูอยู่ต่างหาก

    ทีนี้ทำยังไง จะถึงจุดนี้ได้ ถ้าใครกลับไปอ่านเรื่องของการฝึกสติ ในพระไตรปิฏกนะครับ
    พระท่านจะสอนว่า มีให้สติต่อเนื่องกันไปไม่ขาดสาย แปลตรงตัวว่า 24 ชั่วโมงต่อวัน กลางวันกลางคืน ไม่มีเว้นนะครับ
    ทำแรกๆมันก็ไม่ต่อ หลุดมั่งต่อมั่ง อันนี้เรื่องธรรมดา ทำต่อไปเรื่อยๆเดี๋ยวมันได้เอง

    สมมุตินะครับ
    คุณแยกตัวดูออกจาก กองอารมณ์ได้แล้ว ข้อแรกก็ผ่านแล้ว (แปลง่ายๆว่าให้ฝึกสติไปเรื่อยๆ จนมันได้ของมันเองนั่นแหละครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2014
  3. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,773
    โดดมาข้อสอง การเพ่งจิตไปเครื่องราง
    เพ่งยังไง การเพ่งแบ่งเป็นสองส่วนนะครับ
    - ทำใจเหมือนเอาสติไปจดจ่ออยู่ที่เครื่องรางไม่ให้คลาดไปไหน ถ้าสกิลข้อแรกไม่ดีนะครับ ข้อนี้ก็ปริ่มๆจะล่มตั้งแต่เริ่มแล้วครับ
    - กำหนดกระแสของจิตไปที่เครื่องราง อันนี้ยากละ ข้อแรกดี คือสติดี ข้อนี้ใช้กำลังสมาธิล้วนๆพื้นสมาธิไม่ดี ข้อนี้ก็จะล่มเอาเหมือนกัน

    -----------------------------------------------------------------------------------------------------

    ข้อสองเรื่องแรกนะครับ การเอาสติไปจดจ่ออยู่ที่เครื่องราง ทำยังไง
    นึกถึงตอนที่เราอาราธนาพระขึ้นคอตอนเช้านะครับ ก่อนจะขึ้นคอได้ก็ต้องสวดมนต์กันก่อน
    สังเกตุตอนสวดมนต์นะครับ ให้ทำความรู้สึกไว้ที่พระในมือให้ได้ตลอดเวลา อย่าให้สติหลุดไปโน่น นี่ นั่น ได้ แค่นี้เองครับ ง่ายมาก
    ถ้าทำได้ ข้อ 2.1 ผ่าน

    -----------------------------------------------------------------------------------------------------

    ข้อสองเรื่องที่สอง การกำหนดกระแสจิตไปที่เครื่องราง ยาวนิดนึง

    ต้องเริ่มจากกรรมฐานธรรมดาก่อน ถึงจะเห็นภาพ ผมเริ่มจากเมตตากรรมฐานนะครับ
    ทำไมต้องเมตตากรรมฐาน ที่ต้องเริ่มจากเมตตา เพราะต้องแผ่เมตตาได้ก่อน ถ้าแผ่ไม่ออกข้อ 2.2 ไม่ผ่าน
    ทำยังไงจะแผ่ออก หลวงพี่เล็กท่านว่าอย่างน้อยต้องมีกำลังถึงปฐมฌานถึงจะแผ่ออกได้

    ทีนี้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ฌาน คุยกันมาเยอะแล้ว คงไม่ต้องอธิบายส่วนนี้
    ปัญหาอยู่ที่ แผ่ออกเป็นยังไง จะรู้ได้ไงว่าแผ่เมตตาออกแล้ว

    ในบทแผ่เมตตานะครับ เราก็กำหนดใจตามในนั้นแหละครับ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน
    ท่านบอกให้เราแผ่ไปในทิศเบื้องหน้า เราก็กำหนดใจแผ่ไปด้านหน้า
    ท่านบอกให้เราแผ่ไปในทิศเบื้องหลัง เราก็กำหนดใจแผ่ไปด้านหลัง
    ก็แค่นั้นเอง ตรงๆตัว
    แต่กำหนดจิตแล้วมีกระแสความคิด ที่เป็นอารมณ์ของเมตตา แผ่พุ่งไปในทิศทางที่กำหนด กับไม่มีนี่ต่างกันมาก

    ทีนี้มาเข้าเรื่องวิธีแผ่ ก็ง่ายๆนะครับ
    ให้เข้าสมาธิอย่างที่ทำๆกันอยู่นี่แหละ กรรมฐานกองไหนก็ได้
    พอจิตสงบได้ที่ ก็ถอยออกมาแผ่เมตตา ถ้าแผ่แล้วรู้สึกว่ามีกระแสอะไรซักอย่างพุ่งออกไปตามที่เรากำหนดละก็
    แปลว่าไอ้จิตสงบที่เพิ่งจะถอยมาเมื่อสักครู่นี้ คือฌานหนึ่งเป็นอย่างน้อยละ
    ถ้าไม่ออก ก็ออกไปเดินเล่นแก้เซ็งซักพัก แล้วกลับมาเริ่มจากเข้าสมาธิใหม่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2014
  4. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,773
    ตรงนี้จะสังเกตุเห็นเรื่องนึงนะครับ ถ้าฝึกกรรมฐานกองอื่น กิจกรรมการส่งกระแสของจิตออกไปจะไม่เกิด
    ต้องอัปปมัญญา 4 นี้เท่านั้น ถึงจะฝึกตรงเรื่องการส่งกระแสความคิดออกไป

    -------------------------------------------------------------------------------------------

    กลับมาเข้าเรื่องการฝึกต่อ ให้ฝึกไปเรื่อยๆจนกระทั่งแผ่ออกเมื่อไร
    ก็ให้สังเกตุว่า คำที่ท่านใช้ในการแผ่เมตตานั้น จะออกแนวชี้นำ หรือช่วยในการบิลท์อารมณ์เท่านั้น
    พอแผ่ไปซักหลายๆครั้ง ก็ให้เลิกใช้บทแผ่เมตตา ให้ฝึกแผ่เมตตาจนกระทั่ง ตั้งอารมณ์เมตตาขึ้นมาลอยๆ แล้วปล่อยออกไปในทิศที่ต้องการเลย

    ทีนี้เมตตาลอยๆมันเป็นยังไง
    ก็ต้องย้อนไปเรื่องฝึกสติอีกที ในข้อแรกแหละครับ ถ้ามีสติตามดูการแผ่เมตตาไปเรื่อยๆ จะเห็นรูปร่างหน้าตามันได้เอง
    พอตามดูไปซักพัก ตัวเราที่กำลังดูอยู่จะแยกออกจากกองอารมณ์ต่างๆได้เองโดยอัตโนมัติ ถึงตรงนี้ก็จะเข้าใจเอง เป็นปัจจัตตัง ว่าที่ผมอธิบายอยู่เนี่ยมันเป็นยังไง

    สกิลตรงนี้ข้อ 2.2 ขอจบตรงที่ เรื่องการส่งกระแสความคิด แผ่เมตตาออกได้เมื่อไร ก็ผ่านข้อนี้เมื่อนั้น

    ------------------------------------------------------------------------------------------

    ทีนี้พอได้หมด 2 ข้อแล้ว เราก็มาปลุกเศกเครื่องรางกัน
    ไม่แนะนำให้ใช้พระเครื่องจริงๆนะครับ ของหน้าตาแปลกๆตามร้านเช่าพระมีเยอะแยะ เอาอะไรมาเล่นก็ได้
    เดี๋ยวจะโดนสอยข้อหาปรามาสพระรัตนตรัยเข้าซะก่อน

    กลับมาเข้าเรื่อง
    เริ่มจากบิลท์อารมณ์ ที่อยากจะลองอัดเข้าเครื่องรางขึ้นมาก่อน
    ยกตัวอย่างเช่น นึกถึงอารมณ์ตอนที่เราแผ่เมตตา ขึ้นมาก่อน แล้วแยกกองอารมณ์ออกมา อธิบายไปแล้วนะครับ ว่าจะแยกยังไง
    เอาอารมณ์ตัวนั้นเป็นองค์กรรมฐานเข้าสมาธิไป พอนิ่งได้ที่ก็ถอยออกมา
    แล้วกำหนดใจส่งอารมณ์นั้นๆ เข้าไปที่องค์พระ มันจะพุ่งเป็นกระแสไปที่เครื่องราง เหมือนตอนเราแผ่เมตตานั่นแหละ

    แล้วต้องทำนานเท่าไร
    คำตอบก็คือไม่รู้ครับ ผมทำจนรู้สึกเหมือนโดนไฟชอร์ต แล้วก็พอ

    จบ...

    เตรียมตัวซะนาน ทำแป๊บเดียวจบซะงั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2014
  5. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,773
    อธิบายเพิ่มนิดนึง
    ข้อแรก อารมณ์ ที่ตั้งขึ้นมา ก็คืออารมณ์นะครับ
    อะไรก็ได้ ได้ทั้งด้านมืด ด้านสว่าง
    เหมือนคนเพาะกาย กล้ามเนื้อแข็งแรง จะเอากำลังนั้นไปช่วยเหลือผู้อ่อนแอ หรือจะไปกระทืบใครเล่นก็ได้ ทำได้ทั้งดีและชั่ว
    แต่ตอนกรรมตามทัน ก็รับกันไปเองนะครับ ทำเองก็โดนเอง เรื่องปรกติ

    ข้อสอง ของที่เราปลุกเศกไว้ เสื่อมตามเรานะครับ เราเสื่อมของก็เสื่อม
    ไม่ต้องคิดมากนะครับ บอกแล้วว่าทำเล่นๆ แค่ให้รู้ว่าเวลาปลุกพระเขาทำกันยังไง
    แต่เวลาจะหาพระมาใส่ แนะนำของวัดท่าซุง กับวัดท่าขนุน
    ไม่ต้องเสียเวลาไปนั่งปลุกเองใส่เองหรอกครับ

    -------------------------------------------------------------------------------------------

    ทีนี้จะรู้ได้ไงว่าปลุกเศกแล้ว มีพลังอยู่จริงๆ
    ก็ต้องมีวิธีเช็ค จะเช็คยังไงเนี่ย ขอต่อภาค 2 นะครับ
    คนแก่เหนื่อย...พิมพ์ซะเยอะ
     
  6. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,773
    แนะนำอีกองค์ครับ จากประสบการณ์การเช็คพลังในพระเครื่อง คือพระที่หลวงตาม้า ลูกศิษย์หลวงปู่ดู่เป็นคนทำ ราคาปล่อยถูกมากๆ รุ่นที่ผมได้มาเมื่อ10 กว่าปีที่แล้ว ราคาแค่ 450 บาท ณ.วันนี้ แค่นั้นเอง แต่พลังที่อัดไว้เป็นลักษณะครอบจักรวาล แถมแรงแบบไม่เกรงใจใครด้วย

    ข้อเสียอย่างเดียว คือเนื้อของพระดูคล้ายปูนพลาสเตอร์ หรือคล้ายๆชอล์ค ค่อนข้างบอบบาง แตกง่าย

    ของผมได้มา 1 องค์หลายปีดีดักมาแล้ว แต่ติดที่ว่านอกจาก หลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัว หลวงพ่อฤาษีลิงดำ แล้ว ไม่รู้จักใครเลย แถมตอนที่ได้มาใหม่ ผงชอล์ครอบๆองค์พระนั้น ตั้งขึ้นมา เหมือนผงเหล็กโดนสนามแม่เหล็ก เลยดูไม่รู้ว่าพระอะไร พอไปเข้ากรอบถึงจะดูรู้เรื่องขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่รู้จักอีกว่า พระที่ไหน รู้อย่างเดียว แรง...

    คือเมื่อก่อนไม่ได้อยู่ในวงการพระเครื่อง (ตอนนี้ก็ไม่ได้อยู่ แต่รู้ว่าองค์ไหนปลุกเศกมาดี เท่านั้น ใครปลุก ปลุกเมื่อไร ดังด้านไหนเนี่ย ไม่รู้เรื่องกับใครเขาหรอก) แล้วรังเกียจพวกเล่นพระมาก เพราะมีความรู้สึกว่างมงายไร้สาระไม่เข้าท่า แทนที่จะทำตนให้เป็นที่พึ่งแห่งตน ดันไปพึ่งอะไรก็ไม่รู้

    อยู่มาวันหนึ่ง ท่านพ่อก็เรียกไปคุย เรื่องการเปิดจักรที่มือ โน่น นี่น นั่น แล้วก็เลยไปเรื่องการตรวจสอบพลัง จากเครื่องรางของขลังต่างๆ ก็เลยได้ความรู้เรื่องนี้ติดตัวมาเล็กน้อย ซึ่งเดี๋ยวจะเล่าให้อ่านเล่นในอีกกระทู้นึง ตอนนี้ติดไว้ก่อน

    วัตถุประสงค์ ที่ต้องการในกระทู้นี้ก็คือ จะบอกว่าพระเครื่องที่ปลุกเศกนั้น ถ้าทำได้จริง จะมีพลังอยู่จริงๆ แล้วถ้าเราเป็นพวกทุนทรัพย์น้อย ไม่ใช่พวกเล่นพระ แต่อยากมีพระดีๆติดตัวไว้ ในราคาหลักไม่กี่ร้อยบาท ผมแนะนำพระที่หลวงตาม้า ลูกศิษย์หลวงปู่ดู่ ท่านทำไว้ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...