ประสบการณ์ล้ำค่าของ สตีฟ จ๊อบ

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย KK1234, 6 กรกฎาคม 2009.

  1. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    ประสบการณ์ล้ำค่าของ สตีฟ จ๊อบ

    บางทีก็แปลกนะครับ ในช่วงเวลาที่ผมกำลังทบทวนชีวิตก็เผอิญได้อ่านบทความที่มีค่าชุดนี้ อ่านจบแล้วเลยเอามาต่อรอยที่ตัวเองเขียนครับ..

    ขอยกความดีให้คนที่กรุณาแปลบทความชุดนี้นะครับ (มีเครดิตแนบท้าย)

    - สตีฟ จ็อบส์ -


    ผม รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาคุยกับน้องๆ ทั้งหลาย ในวันจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งโลก ผมไม่เคยเรียนจบมหาวิทยาลัย – ตรงนี้เป็นก้าวที่ใกล้ที่สุดแล้วของผม วันนี้ผมอยากเล่าเรื่องจากชีวิตจริงของผมให้น้องๆ ฟังสามเรื่อง ไม่มีอะไรมากครับ แค่สามเรื่อง



    เรื่องแรกเป็นเรื่องของการเชื่อมจุดครับ

    ผม ลาออกจากวิทยาลัยรีด (Reed College) หลังจากเรียนไปได้ 6 เดือน แต่ผมก็ยังไปนั่งเรียนต่ออีกประมาณ 18 เดือน ก่อนที่จะลาออกจริงๆ แล้วทำไมผมถึงลาออก?

    สาเหตุมันมีมาตั้งแต่ก่อนผมเกิด แม่แท้ๆ ของผมเป็นบัณฑิตสาวที่ยังไม่แต่งงาน แม่มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะยกผมให้เป็นลูกบุญธรรมของคนที่เรียนจบ มหาวิทยาลัย ท่านก็เลยจัดการให้ทนายความคนหนึ่งกับภรรยารับอุปการะผมตั้งแต่เกิด ทีนี้ทั้งคู่เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาในนาทีสุดท้าย พวกเขาคิดว่าเขาอยากอุปการะเด็กผู้หญิงมากกว่า ดังนั้น พ่อแม่บุญธรรมของผมซึ่งมีรายชื่ออยู่ในบัญชีผู้รอรับการอุปการะ ก็เลยได้รับโทรศัพท์ในตอนกลางดึกบอกว่า “เรามีทารกเพศชาย คุณอยากอุปการะเขาไหม?” พ่อแม่บุญธรรมผมตอบว่า “แน่นอน” ตอนหลังแม่แท้ๆ ของผมพบว่าแม่บุญธรรมไม่ได้เรียนจบมหาวิทยาลัย และพ่อบุญธรรมก็ยังเรียนไม่จบกระทั่งชั้นมัธยมปลาย เธอก็เลยไม่ยอมเซ็นเอกสารส่งตัวผม มายอมเซ็นก็หลายเดือนต่อมา หลังจากที่พ่อกับแม่สัญญากับว่า วันหนึ่งผมจะได้เรียนมหาวิทยาลัย

    17 ปีต่อมา ผมก็ได้เรียนมหาวิทยาลัยจริงๆ แต่ด้วยความไร้เดียงสา ผมเลือกมหาวิทยาลัยที่แพงเกือบเท่ากับสแตนฟอร์ด ทำให้พ่อแม่ผู้ใช้แรงงานของผมต้องใช้เงินเก็บเกือบทั้งหมดส่งผมเรียน หลังจากเรียนได้ 6 เดือน ผมก็ไม่เห็นประโยชน์ของมันอีก ผมไม่รู้ว่าผมต้องการอะไรจากชีวิต และผมก็ไม่รู้ว่าใบปริญญาจะช่วยให้ผมค้นหาคำตอบได้อย่างไร ในขณะที่ผมกำลังถลุงเงินที่พ่อกับแม่เก็บหอมรอมริบมาทั้งชีวิต ผมก็เลยตัดสินใจลาออก ด้วยความเชื่อว่าทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีในที่สุด ตอนนั้นน่ากลัวเหมือนกันนะครับ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิต นาทีที่ผมลาออก แปลว่าผมไม่ต้องไปเรียนวิชาที่ผมไม่สนใจอีกต่อไป ผมก็เลยไปนั่งเรียนในวิชาที่ผมสนใจแทน

    ชีวิตของผมช่วงนั้นไม่ได้โรแมนติคอะไรหรอกครับ ผมไม่มีห้องพัก ก็เลยต้องไปนอนบนพื้นห้องของเพื่อนๆ ผมเก็บขวดโค้กเอาไปแลกกับเงิน 5 เซ็นต์สำหรับจ่ายเป็นค่าอาหาร และทุกๆ วันอาทิตย์ ผมจะเดินเป็นระยะทาง 7 ไมล์จากฟากหนึ่งของเมืองไปอีกฟากหนึ่ง เพื่อไปกินอาหารดีๆ ซักมื้อที่วัดพระกฤษณะ (Hare Krishna Temple) ผมรักมันมาก การที่ผมปล่อยชีวิตไปตามความอยากรู้อยากเห็นและสัญชาตญาณ ทำให้ผมได้พบกับหลายๆ สิ่งโดยบังเอิญ ซึ่งมีค่าสำหรับผมมากในเวลาต่อมา ผมจะยกตัวอย่างซักเรื่องนะครับ

    วิทยาลัยรีดในสมัยนั้นมีคอร์สสอนการ คัดลายมือ (calligraphy) ที่น่าจะดีที่สุดในประเทศ ในบริเวณมหาวิทยาลัย โปสเตอร์ทุกแผ่น ป้ายติดลิ้นชักทุกอัน ล้วนเขียนด้วยลายมือที่สวยมากๆ เพราะผมไม่ต้องไปเรียนวิชาบังคับหลังจากลาออกแล้ว ผมก็เลยตัดสินใจไปเรียนคอร์สนี้ เพราะอยากรู้ว่าเขาเขียนกันอย่างไร ผมเรียนวิธีเขียนตัวอักษรแบบเซรีฟ (serif) แบบซาน เซรีฟ (san serif) เรียนวิธีเว้นช่องไฟระหว่างตัวอักษร เรียนรู้เทคนิคการเรียงพิมพ์อันยอดเยี่ยม ซึ่งล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสวยงาม ประวัติศาสตร์ และศิลปะที่มีความลึกล้ำ ในแง่มุมที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจอธิบายได้ ผมรู้สึกว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องน่าทึ่งมาก

    วิชานี้ดูเหมือนไม่มี อะไรที่จะนำมาใช้ในชีวิตจริงของผมได้เลย แต่ 10 ปีต่อมา ตอนที่เรากำลังออกแบบเครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอชรุ่นแรก ความรู้เหล่านี้ก็ย้อนกลับมาใหม่ เราใส่มันลงไปในเจ้านี่หมดเลยครับ ทำให้แมคฯเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในโลกที่มีตัวพิมพ์ที่สวยงาม ถ้าผมไม่ได้ไปเรียนวิชานั้น ป่านนี้แมคฯก็คงไม่มีตัวพิมพ์หลากหลายรูปแบบหรือตัวพิมพ์ที่เว้นช่องไฟในสัด ส่วนที่เหมาะสม และเพราะวินโดวส์ใช้วิธีก็อปปี้แมคฯเป็นหลัก นั่นก็หมายความว่าคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะทั่วไปก็คงไม่มีด้วย ถ้าผมไม่ลาออก ผมก็คงไม่ได้ไปนั่งเรียนวิชาคัดลายมือนี้ และคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะก็คงไม่มีตัวพิมพ์ที่สวยงาม แน่นอนครับ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อมโยงจุดต่างๆ เหล่านี้ได้ตอนผมเป็นนักศึกษา แต่มันกลับกลายเป็นเรื่องง่ายดาย เมื่อผมมองย้อนกลับไปในอีก 10 ปีต่อมา

    ไม่ มีใครสามารถเชื่อมจุดจากปัจจุบันไปยังอนาคตได้ – เราทำได้เพียงเชื่อมจากปัจจุบันไปหาอดีตเท่านั้น เพราะฉะนั้น น้องๆ ต้องมั่นใจว่าอะไรที่ทำอยู่ตอนนี้จะเชื่อมไปเองในอนาคต น้องๆ ต้องเชื่อมั่นในอะไรซักอย่างนะครับ ไม่ว่าจะเป็นสัญชาตญาณ โชคชะตา ชีวิต กฎแห่งกรรม หรืออะไรก็แล้วแต่ ความเชื่อมั่นแบบนี้ไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง และมันทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปมาก




    เรื่องที่สองเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักและการสูญเสีย

    ผม เป็นคนโชคดี ที่ค้นพบงานที่ผมรักตั้งแต่อายุยังน้อย ผมกับวอซ (Steve Wozniak) ก่อตั้งแอปเปิลในโรงรถของพ่อกับแม่ผม ตอนผมอายุยี่สิบ เราทำงานกันหนักมากครับ ภายใน 10 ปี แอปเปิลขยายจากแค่เราสองคนในโรงรถ เป็นบริษัทมูลค่ากว่า 2 พันล้านเหรียญที่มีพนักงานกว่า 4,000 คน ตอนนั้นเราเพิ่งเปิดตัวผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเรา – เครื่องแมคอินทอช – 1 ปีก่อนที่ผมจะอายุครบสามสิบ แล้วผมก็ถูกไล่ออก ทำอย่างไรเราถึงจะถูกไล่ออกจากบริษัทที่เราเป็นคนก่อตั้งน่ะหรือครับ? คือว่าเมื่อแอปเปิลโตขึ้น เราก็จ้างคนที่เราคิดว่าเก่งมากๆ มาช่วยบริหาร ปีแรกเหตุการณ์ก็ราบรื่นดี แต่หลังจากนั้นวิสัยทัศน์ของเราก็เริ่มแยกทางกัน จนในที่สุดเราก็ไปด้วยกันไม่ได้ เมื่อถึงจุดนั้น คณะกรรมการบริษัทเลือกอยู่ข้างเขา ผมก็เลยถูกไล่ออกตอนอายุสามสิบ แล้วก็ออกแบบเป็นข่าวดังมากด้วย ในพริบตาเท่านั้น สิ่งที่ผมทุ่มเทให้ทั้งชีวิตก็มลายหายไป มันเป็นเรื่องที่สะเทือนใจผมมาก

    ผม ไม่รู้ว่าจะทำอะไรเป็นเวลาหลายเดือนหลังจากนั้น ผมรู้สึกว่าผมทำให้เจ้าของธุรกิจรุ่นก่อนผิดหวัง รู้สึกว่าผมทำไม้ผลัดตกตอนที่เขากำลังหยิบยื่นมันมาให้ผม ผมไปพบเดวิด แพ็คการ์ด (David Packard) และบ็อบ นอยซ์ (Bob Noyce) เพื่อขอโทษพวกเขาที่ทำทุกอย่างพังพินาศ ผมเป็นตัวอย่างของความล้มเหลวที่โด่งดัง ช่วงหนึ่งผมคิดถึงขนาดจะหนีไปจากวงการ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมก็เริ่มคิดได้อย่างช้าๆ ว่า ผมยังรักในสิ่งที่ผมทำอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นที่แอปเปิลไม่ได้เปลี่ยนแปลงความรู้สึกนี้เลย ผมถูกไล่ออก แต่ผมยังมีความรักอยู่ นั่นทำให้ผมตัดสินใจเริ่มต้นใหม่

    ตอนนั้นผม ไม่ได้คิดแบบนี้ แต่ปรากฏว่าการถูกไล่ออกจากแอปเปิลกลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับผม ภาระอันหนักอึ้งจากความสำเร็จ แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกเบาสบาย เมื่อผมกลับกลายเป็นมือใหม่ที่มีความเชื่อมั่นน้อยลง มันทำให้ผมมีอิสรภาพ ที่จะเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการสร้างสรรค์ที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต

    ใน ช่วง 5 ปีหลังจากนั้น ผมก่อตั้งบริษัท เน็คสท์ (NeXT) และบริษัท พิกซาร์ (Pixar) ก่อนที่จะตกหลุมรักผู้หญิงมหัศจรรย์คนหนึ่งซึ่งต่อมากลายเป็นภรรยาของผม พิกซาร์สร้างภาพยนตร์ขนาดยาวที่เป็นการ์ตูนแอนิเมชั่นล้วนๆ เรื่องแรกของโลกคือ ทอย สตอรี่ (Toy Story) และตอนนี้ก็เป็นสตูดิโอแอนิเมชั่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก หนึ่งในเหตุการณ์พลิกผันอันน่าพิศวงก็คือ เมื่อแอปเปิลซื้อกิจการของเน็คสท์ ผมเลยได้กลับคืนสู่แอปเปิล และเทคโนโลยีที่เราพัฒนาขึ้นที่เน็คสท์ ก็กลายเป็นหัวใจของแอปเปิลในยุคที่กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง ตอนนี้ลอรีน (Laurene) กับผมมีครอบครัวที่อบอุ่นร่วมกัน

    ผมเชื่อว่าเรื่องราวเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้า แอปเปิลไม่ไล่ผมออก แม้มันจะเป็นยาที่ขมมาก แต่ผมก็คิดว่าเป็นยาที่คนป่วยต้องการพอดี บางครั้งชีวิตก็กระแทกเราเหมือนอิฐ อย่าเสื่อมศรัทธานะครับ ผมเชื่อว่าสิ่งเดียวที่ทำให้ผมผ่านพ้นช่วงนั้นมาได้คือ ความรักในสิ่งที่ผมทำ น้องๆ ต้องหาสิ่งที่ตัวเองรัก ผมหมายถึงทั้งงานและคนรัก เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตเราจะหมดไปกับงาน วิธี เดียวที่จะทำให้เรามีความสุขกับการทำงานคือ เมื่อเราทำงานที่ยอดเยี่ยม และวิธีเดียวที่จะทำให้งานออกมายอดเยี่ยมคือ เมื่อเรารักงานที่เราทำ ถ้าน้องๆ ยังหางานนั้นไม่เจอ จงหาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง งานก็เหมือนเรื่องของหัวใจเรื่องอื่นๆ – น้องจะรู้ว่ามัน “ใช่” เมื่อเจอกับมัน และการทำงานก็เหมือนความสัมพันธ์ที่ดีแบบอื่น คือมันจะดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้น ผมอยากย้ำให้น้องๆ ตามหางานที่รักจนกว่าจะเจอ อย่ายอมท้อถอย




    เรื่องที่สามเกี่ยวกับความตายครับ

    ตอนผมอายุสิบเจ็ด ผมอ่านคำคมประโยคหนึ่งที่ว่าไว้ทำนองนี้ “ถ้าคุณใช้ชีวิตในแต่ละวันเหมือนมันเป็นวันสุดท้ายของคุณแล้วละก็ วันหนึ่งคุณจะพบว่าสิ่งที่ทำไปนั้นถูกต้อง” ผมรู้สึกประทับใจกับประโยคนี้มาก ตั้งแต่นั้นมากว่า 33 ปี ผมมองหน้าตัวเองในกระจกทุกวัน แล้วถามตัวเองว่า “ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของผม ผมจะอยากทำสิ่งที่ผมกำลังจะทำวันนี้หรือเปล่า?” แล้วเมื่อไหร่ที่คำตอบคือ “ไม่” ติดกันหลายวัน ผมจะรู้ตัวว่าผมต้องเปลี่ยนอะไรบางอย่างแล้ว

    ความ สำนึกว่าผมจะต้องตายในไม่ช้า เป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดที่ผมใช้ในการตัดสินใจครั้งสำคัญๆ ของชีวิต เพราะเกือบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวัง ความภาคภูมิใจ ความอึดอัดคับข้องหรือความผิดพลาดทั้งหลาย ล้วนไม่มีความหมายอะไรเลยเมื่อเทียบกับความตาย ชีวิตควรจะเหลือทิ้งไว้เพียงสิ่งที่สำคัญจริงๆ เท่านั้น การตระหนักว่าวันหนึ่งคนเราทุกคนจะต้องตาย เป็นหนทางที่ดีที่สุดที่ผมรู้จักสำหรับการก้าวพ้นความคิดที่ว่า เรามีอะไรที่จะต้องสูญเสีย เราทุกคนตัวเปล่าเล่าเปลือยอยู่แล้วครับ ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เราจะไม่ทำตามสิ่งที่ใจเราปรารถนา

    เมื่อประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา หมอบอกว่าผมเป็นมะเร็ง ผมไปเข้าเครื่องสแกนตอนเจ็ดโมงครึ่ง ผลออกมาชัดเจนว่ามีเนื้อร้ายที่ตับอ่อนของผม ตอนนั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตับอ่อนคืออะไร หมอบอกว่าเขาค่อนข้างแน่ใจว่าผมเป็นมะเร็งแบบที่รักษาไม่หาย และผมไม่น่าจะอยู่ได้นานเกิน 3 ถึง 6 เดือน หมอบอกให้ผมกลับบ้านไปสะสางเรื่องต่างๆ ที่คั่งค้างอยู่ ก็เป็นโค้ดของหมอที่แปลว่าให้ไปเตรียมตัวตายนั่นแหละครับ แปลว่าให้พยายามบอกลูกๆ ถึงสิ่งต่างๆ ที่คนปกติมีเวลา 10 ปีจะบอก ให้บอกภายในไม่กี่เดือน แปลว่าให้เก็บความรู้สึกทุกอย่างให้เรียบร้อย ให้ครอบครัวไม่ยุ่งยากใจเมื่อถึงเวลา แปลว่าให้เอ่ยคำลา

    ผมหมกมุ่น อยู่กับคำวินิจฉัยนั้นทั้งวัน เย็นวันนั้นผมไปเข้ากระบวนการไบอ็อพซี่ (biopsy) คือหมอต้องหย่อนกล้องเอ็นโดสโคป (endoscope) ลงไปในคอผม ผ่านกระเพาะไปยังลำไส้ เอาเข็มฉีดยาแทงเข้าตับอ่อน ดูดเอาเซลล์มะเร็งบางเซลล์ออกมา ตอนนั้นผมอยู่ใต้ฤทธิ์ยาชา ภรรยาผมซึ่งอยู่ในห้องด้วยเล่าให้ฟังว่า ตอนที่ส่องกล้องจุลทรรศน์ดูเซลล์มะเร็ง หมอหลายคนถึงกับร้องไห้ เพราะปรากฏว่ามันเป็นมะเร็งตับอ่อนชนิดหายากซึ่งสามารถรักษาให้หายด้วยการ ผ่าตัดได้ หลังจากนั้นผมก็เข้ารับการผ่าตัด ตอนนี้ผมสบายดีแล้วครับ

    นั่น เป็นเหตุการณ์ที่นำให้ผมใกล้ชิดกับความตายมากที่สุดในชีวิต ผมหวังว่ามันจะเข้ามาใกล้ที่สุดแล้ว สำหรับในเวลาอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า เพราะผมได้ประสบด้วยตัวเอง ผมเลยสามารถเล่าสิ่งต่อไปนี้ให้น้องๆ ฟังด้วยความมั่นใจกว่าตอนที่ความตายเป็นแค่เรื่องนามธรรมสำหรับผม

    ไม่ มีใครอยากตายหรอกครับ ขนาดคนที่อยากไปสวรรค์ก็ยังไม่อยากตายก่อนไปถึง ถึงกระนั้นเราทุกคนก็ต้องตายทั้งนั้น ไม่มีใครเคยรอดพ้นจากมันได้ แต่นั่นก็เป็นสัจธรรมที่ควรจะเป็น เพราะความตายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ธรรมชาติให้เรามา เป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลง กำจัดของเก่าเพื่อสละพื้นที่ให้กับของใหม่ ตอนนี้น้องๆ ทุกคนเป็นของใหม่ แต่ในอีกไม่นานนับจากนี้ น้องๆ จะกลายเป็นของเก่าที่ธรรมชาติต้องกำจัด ขอโทษที่อาจจะฟังดูน่าเศร้านะครับ แต่มันเป็นความจริง

    เวลาของน้องๆ มีจำกัด ดังนั้น อย่าทำให้มันเปล่าประโยชน์ด้วยการใช้ชีวิตของคนอื่น อย่าตกเป็นทาสของกฎเกณฑ์ – นั่นคือการใช้ชีวิตตามความคิดของคนอื่น อย่าปล่อยให้เสียงของคนอื่นๆ ดังกลบเสียงของหัวใจเราเอง และที่สำคัญที่สุดคือ จงมีความกล้าที่จะเดินตามสิ่งที่หัวใจและสัญชาตญาณเรียกร้อง ทั้งคู่รู้อยู่แล้วล่ะครับว่าน้องๆ อยากเป็นอะไร ทุกอย่างที่เหลือเป็นเรื่องรองลงมาทั้งนั้น

    ตอนผมเป็นเด็ก มีหนังสือที่น่าอัศจรรย์มากเล่มหนึ่งชื่อ แคตาล็อคของโลก (The Whole Earth Catalog) ซึ่งนับเป็นคัมภีร์ไบเบิลของคนรุ่นผม คนที่คิดหนังสือเล่มนี้ชื่อ สจ๊วต แบรนด์ (Stewart Brand) เป็นคนเมืองเม็นโล ปาร์ค (Menlo Park) ไม่ไกลจากที่นี่เลยครับ เขาทำให้หนังสือนี้มีชีวิตขึ้นมาด้วยอารมณ์กวี นี่เรากำลังพูดถึงช่วงปลายทศวรรษ 1960 ก่อนยุคคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและโปรแกรมเวิร์ด นั่นแปลว่าเจ้าสิ่งนี้ถูกผลิตขึ้นจากเครื่องพิมพ์ดีด กรรไกร และกล้องโพลารอยด์ คล้ายๆ กับกูเกิ้ลในรูปของกระดาษ แต่นี่คือ 35 ปีก่อนที่กูเกิ้ลจะเกิดนะครับ มันเป็นอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ และเต็มเปี่ยมด้วยเครื่องมือและไอเดียดีๆ มากมาย

    สจ๊วตและทีมงานผลิต แคตาล็อคของโลก ออกมาได้ไม่กี่เล่ม ก่อนที่มันจะม้วนเสื่อไป เขาเข็นเล่มสุดท้ายออกมาราวกลางทศวรรษ 1970 ตอนนั้นผมมีอายุเท่าน้องๆ ตอนนี้ ปกหลังของเล่มนี้เป็นรูปถนนแถวชนบทยามเช้า แบบที่น้องๆ นักผจญภัยชอบไปโบกรถกันนั่นแหละครับ ใต้รูปเขียนว่า “อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความซื่อ” (Stay Hungry. Stay Foolish.) แล้วผมก็ใช้ประโยคนี้เป็นคติประจำใจมาตลอด และในวันนี้ วันที่น้องๆ ก้าวออกจากรั้วมหาวิทยาลัยไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ผมขออวยพรน้องๆ ด้วยประโยคนี้ครับ

    “อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความซื่อ”

    ขอบคุณมากครับ


    ที่มา Bloggang.com : granun -
     
  2. Fluffy (New)

    Fluffy (New) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    287
    ค่าพลัง:
    +1,228
    เป็นสุนทรพจน์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่คนธรรมดา ๆไม่ใช่นักบวช ที่จะสามารถกลั่นกรองออกมาได้งดงามถึงเพียงนี้ อ่านแล้วรับรู้ได้ถึงปรัชญาและความคิดต่าง ๆที่ออกมาจากจิตใจแท้ ๆของคนผู้นี้ ไม่เสียดายเวลาที่ให้ไปกับการอ่านเลยแม้แต่น้อย ขอบคุณผู้ที่นำมาเผยแพร่ค่ะ
     
  3. para007

    para007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +317
    ของจริงที่ได้จากชีวิตจริงก็เป็นอย่างนี้ คุ้มค่าที่ได้อ่าน อ่านแล้วได้กำไร
     
  4. Nagaman

    Nagaman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    2,041
    ค่าพลัง:
    +6,329
    รู้สึกดีมากครับ
     
  5. walaphako

    walaphako ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,165
    ค่าพลัง:
    +1,599
    กระทู้ นี้ดีจริงๆค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...