ประวัติหลวงปู่มั่น ตอนที่34หลวงปู่มั่นแสดงธรรมโปรดคู่บารมีในภพก่อน

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 10 กรกฎาคม 2008.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    แสดงธรรมโปรดคู่บารมีในภพก่อน


    [​IMG]


    ตอนนี้ต้องขออภัยจากท่านผู้อ่านมาก ๆ ด้วยที่จำต้องนำเรื่องนี้มาลง โดยเห็นว่าเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกัน ถ้าไม่นำมาลงก็รู้สึกจะขาดเรื่องน่าคิดไป ซึ่งเรื่องทำนองนี้อาจเป็นเงาเทียมตัวอยู่กับทุกท่านก็ได้ นอกจากไม่รู้เรื่องของตัวเท่านั้น หากเป็นการไม่งามก็กรุณาตำหนิผู้นำมาลงซึ่งไม่มีความรอบคอบพอ เพราะเรื่องนี้ท่านผู้อ่านก็คงทราบดีว่า ต้องเป็นเรื่องภายในที่ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์พูดต่อกันโดยเฉพาะเท่านั้น แต่ผู้นำมาลงก็พยายามปราบความอยากเขียนอยากนำลงตัวนี้อย่างเต็มกำลังเหมือนกัน จึงขอความเห็นใจว่าเราพยายามปราบเท่าไร ความอยากตัวนี้ก็รู้สึกยิ่งอยากมากขึ้น เลยจำต้องปล่อยให้ลองดู พอได้เขียนเรื่องนี้แล้วความอยากค่อยหายไป ดังนี้จึงสารภาพตัวว่าเหลวจริง ๆ และหวังว่าคงได้รับอภัยจากท่านโดยทั่วกัน และอาจเป็นข้อคิดสำหรับชาวเราที่อยู่ในกฎแห่งความหมุนเวียนด้วยกัน


    สิ่งนั้นเกี่ยวกับคู่บารมีท่านมาดั้งเดิม ท่านเล่าว่าแต่ก่อนที่ยังไม่ถึงธรรมขั้นนี้ คู่บารมีที่เคยปรารถนาพุทธภูมิมาด้วยกันแต่สมัยก่อนโน้น ก็เคยมาเยี่ยมท่านทางสมาธิภาวนาเสมอ ท่านแสดงธรรมให้ฟังเล็กน้อยแล้วสั่งให้กลับไป นาน ๆ มาครั้งหนึ่ง แต่มาในรูปแห่งวิญญาณ มองร่างไม่ปรากฏเหมือนภพอื่น ๆ เวลาท่านถามก็ตอบว่าเป็นห่วงท่านมาก ยังมิได้ตั้งใจไปเกิดในภพภูมิที่เป็นหลักเป็นฐานใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งกลัวท่านจะหลงลืมความสัมพันธ์ และความปรารถนาที่เคยพาปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคต จึงต้องมาคอยฟังเรื่องราวอยู่เสมอด้วยความเป็นห่วงและเสียดาย ท่านก็ได้บอกว่าได้ของดความปรารถนานั้นไปแล้ว และได้ตั้งใจปฏิบัติตนให้พ้นจากทุกข์ในชาตินี้ ไม่ขอเกิดอีก ซึ่งเท่ากับขอเอาทุกข์ภัยที่เคยพบเคยเห็นมากับชาตินั้น ๆ มาแบกหามต่อไปอีก แม้มิได้ตอบให้ท่านทราบว่าหายห่วงหรือยังห่วงอยู่ในเรื่องนั้น แต่ก็ยังเป็นห่วงคิดถึงท่านตลอดมามิได้หลงลืมจืดจาง แต่นาน ๆ มาเยี่ยมท่านหนหนึ่งดังนี้


    พอมาถึงระยะนี้องค์ท่านเองนึกเป็นห่วงและสงสาร ที่เคยรับความทุกข์ยากลำบากในภพชาตินั้น ๆ มาด้วยกันตามที่ท่านพิจารณารู้เห็น จึงนึกวิตกอยากพบเพื่อจะได้ปรับปรุงความเข้าใจและเล่าอะไรที่จำเป็นให้ฟัง จะได้หายสงสัยหมดกังวลความผูกพันในความหลัง


    เพียงนึกวิตกเท่านั้น พอตกกลางคืนยามดึกสงัด คู่บารมีท่านก็มาจริง ๆ และมาในรูปแห่งวิญญาณตามเดิม


    ท่านเริ่มถามถึงภพชาติที่กำลังเป็นอยู่ว่า ทำไมมีแต่ดวงวิญญาณไม่มีร่างเหมือนภูมิอันเป็นทิพย์ทั่ว ๆ ไป เวลานี้เกิดเป็นอะไรจึงได้มาในลักษณะวิญญาณเช่นนี้


    ดวงวิญญาณตอบท่านว่า


    นี่เป็นภพย่อยอันละเอียดอีกภพหนึ่งในบรรดาภพทั้งหลาย ที่มารออยู่ในภพนี้ก็เพราะความเป็นห่วงดังที่เคยเรียนแล้วนั่นเอง ที่มานี้ก็ทราบว่าท่านอยากให้มาถึงได้มา ไม่กล้ามาบ่อยนักเพราะเป็นความกระดากอายอยู่ภายใน ทั้ง ๆ ที่อยากมาบ่อยที่สุด แม้มาแล้วจะไม่มีความเสียหายอะไรทั้งสองฝ่าย เพราะมิใช่วิสัยจะทำให้เกิดความเสียหายได้ก็ตาม แต่ความรู้สึกอันดั้งเดิมที่เคยมีต่อกัน หากทำให้เกิดความตะขิดตะขวงใจไม่กล้ามาไปเอง ทั้งท่านก็เคยบอกว่าไม่ให้มาบ่อยนัก แม้ไม่เสียหายก็อาจเป็นอารมณ์เครื่องทำให้เนิ่นช้าแก่การปฏิบัติได้ เพราะใจเป็นสิ่งละเอียดอาจรับเอาอารมณ์อันละเอียดมาเป็นอุปสรรคแก่การดำเนินของตนได้ ก็เชื่อว่าอาจเป็นได้ดังที่บอก จึงมิได้มาบ่อยนัก


    คืนวันท่านตัดขาดจากภพ จากชาติ จากญาติมิตรสหาย จากสายบารมีผู้หวังพึ่งเป็นพึ่งตายอย่างไม่อาลัยเสียดายเลยนั้นก็ทราบ เพราะเรื่องกระเทือนไปทั่วโลกธาตุ ต้องทราบกันทุกแห่งหน แต่แทนที่จะเกิดความชื่นบานหรรษา อนุโมทนาด้วย ดังที่เคยมีเคยเป็นมาแต่ก่อนนั้น เลยกลับเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ ด้วยความวิปริตคิดไปต่าง ๆ ว่า ท่านไปแบบไม่เหลียวแล แม้คู่บารมีที่เคยทุกข์เคยตะเกียกตะกายถวายความจงรักภักดีในภพน้อยภพใหญ่มาด้วยกันก็ไม่เหลือบมอง ชาติวาสนาของตัวนี้แสนอาภัพก็อยู่ไปตามกรรม มีแต่ลูบคลำทุกข์ไม่มีวันปล่อยวางอย่างนี้แล ผู้พ้นไปก็ไกลทุกข์ แต่ผู้ที่กำลังตกอยู่ในกองทุกข์ก็อดทนไป


    คิดไปมากเท่าไรก็เหมือนคนไม่มีปัญญาแต่อยากขึ้นไปชมเดือนดาวบนฟ้า สุดท้ายก็กลับมานั่งนอนกอดกับทุกข์ไปตามแบบของคนมีกรรมหนาหาทางออกไม่ได้ ผู้อาภัพชาติวาสนาที่กำลังดิ้นรนทนทุกข์บ่นหาความสุขอยู่เวลานี้ ก็คือผู้กำลังเสียใจ ร้องไห้อยากขึ้นไปชมเดือนชมดาวบนฟ้า ซึ่งแสนน่าทุเรศเอาหนักหนา น่าเวทนาเหลือประมาณ ผู้นี้เองจะเป็นผู้อื่นใดที่ไหนกัน ท่านผู้เป็นเสมือนเดือนดาวบนฟ้าส่งสว่างจ้าทั่วสารทิศ จะสถิตอยู่ที่ใดก็ไม่อับเฉาเขลาในธรรม มีแต่ความสว่างไสวไปทุกทิศทุกทางโดยรอบขอบเขตจักรวาล สนุกอยู่ด้วยความสำราญบานใจ


    หากบุญวาสนาของดวงวิญญาณข้าบาทบริจาริกายังพอมีอยู่บ้าง ไม่ขาดสูญพูนทุกข์ ก็ขอท่านได้โปรดเมตตาแผ่กระแสธรรมไปบันดาล พร้อมทั้งดวงปัญญาญาณอันบริสุทธิ์ผ่องใสไปโปรดประทานพอได้พ้นจากโทษในสงสาร บรรลุพระนิพพานตามไปในไม่ช้านี้เถิด จะไม่อดรนทนทุกข์ทรมานจิตใจไปช้านาน ขอคำวิงวอนสัตยาธิษฐานนี้ จงมีกำลังบันดาลให้เป็นไปดังใจหมายของข้าอย่าเนิ่นนาน ได้โพธิสมภารอย่างใกล้ชิดเร็วพลันเถิด


    นี่เป็นคำของดวงวิญญาณวิงวอนอธิษฐานหวังโพธิสมภาร หมายปองด้วยความละล่ำละลัก ซึ่งเป็นคำที่น่าสมเพชเวทนาเอานักหนา


    ท่านตอบว่า


    เท่าที่นึกวิตกอยากให้มา ก็มิได้มุ่งเจตนาให้เกิดความเสียใจดังที่เป็นอยู่เวลานี้ ซึ่งเป็นทางที่ผิด สัตว์โลกที่มีอยู่ทั่วโลกธาตุซึ่งมีความหวังดีต่อกัน เขามิได้นำเรื่องทำนองนี้มาคิดกัน คำว่า เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ในพรหมวิหารก็เคยบำเพ็ญมามิใช่หรือ


    ดวงวิญญาณตอบว่า


    เคยบำเพ็ญมาช้านาน จึงอดคิดถึงความผูกพันที่เคยบำเพ็ญธรรมทั้งสี่นี้มาด้วยกันไม่ได้ เมื่อผู้หนึ่งเอาตัวรอดไปเสียเพียงคนเดียวเช่นนี้ ธรรมดาสัตว์ที่มีกิเลสเช่นวิญญาณนี้จึงอดกลั้นความเสียใจไม่ได้ แล้วก็ได้รับความทุกข์ เพราะความสลัดปัดทิ้งไม่เหลียวแลนั้น จนเวลานี้ก็ยังมองไม่เห็นความสว่างสร่างซาแห่งความทุกข์นั้นลงบ้างเลย


    ท่านพูดตอบว่า


    การสร้างความดีมาทั้งมวล ทั้งที่สร้างโดยลำพังตนเอง ทั้งที่ผู้อื่นพาสร้างก็เพื่อแก้ความกังวล ขนทุกข์ออกจากตัว มิได้สร้างเพื่อความร้อนรนขนทุกข์เข้าใส่ตัว จนถึงต้องได้รับความเดือดร้อนวุ่นวายมิใช่หรือ


    ดวงวิญญาณตอบว่า


    ใช่ แต่วิสัยของผู้มีกิเลสเมื่อไม่สามารถเลือกทางเดินที่ราบรื่นปลอดภัยได้ ก็จำต้องลูบคลำไปตามประสา โดยไม่ทราบว่าที่ทำไปนั้นถูกหรือผิดจะพาให้ตนเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ส่วนที่เป็นทุกข์ก็รู้อยู่แก่ใจ แต่ไม่ทราบจะหาทางออกด้วยวิธีใด ก็จำต้องดิ้นรนบ่นทุกข์ไปทำนองดังที่เห็นอยู่เวลานี้


    ท่านเล่าว่าวิญญาณทำความเหนียวแน่นแม่นมั่น ปรับทุกข์ปรับร้อนกับท่านอย่างเอาจริงเอาจัง หาว่าท่านหลบหลีกปลีกตัวไปเสียคนเดียว ปราศจากความเมตตาสงสารกับผู้ที่เคยตะเกียกตะกายเสือกคลานผ่านทุกข์มาด้วยกัน ไม่เหลือบมองเพื่ออนุเคราะห์ส่งเสริมพอให้มีทางผ่านพ้นไปด้วยได้


    ตอนนี้ท่านพูดเป็นประโยคแทรกในระหว่าง จากนั้นก็อนุสนธิสืบต่อกับดวงวิญญาณต่อไป ท่านพูดปลอบโยนกับดวงวิญญาณว่า


    การรับประทานแม้จะรับอยู่ร่วมวงในภาชนะหรือในโต๊ะเดียวกัน ก็ยังมีผู้อิ่มก่อนผู้อิ่มทีหลัง จะให้อิ่มในขณะเดียวกันย่อมไม่ได้ การบำเพ็ญความดีทั้งหลายแม้จะบำเพ็ญมาด้วยกัน ดังพระพุทธเจ้ากับพระนางพิมพายโสธราคู่พระบารมีก็ยังปรากฏว่า พระองค์ทรงบรรลุถึงแดนพ้นทุกข์ก่อน แล้วเสด็จกลับมาประทานพระโอวาทแก่พระนาง แล้วค่อยสำเร็จในวาระต่อไป


    เรื่องเช่นนี้ก็ควรนำไปคิดอ่านไตร่ตรองยึดเป็นคติ ย่อมจะเกิดประโยชน์มหาศาลแก่เราเอง ดีกว่าจะมาปรับทุกข์ปรับร้อนแก่ฝ่ายหนึ่ง ซึ่งกำลังพยายามคิดหาทางช่วยเหลืออยู่อย่างเต็มใจ และเสาะแสวงหาทางเพื่อช่วยให้หลุดพ้นอย่างเต็มกำลัง มิหนำยังถูกหาว่ามีใจจืดจางวางปล่อยไม่เหลียวแล ก็ยิ่งเพิ่มความทุกข์ทั้งสองฝ่ายเข้าไปอีก ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่เหมาะสมเลย ควรเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ตามแบบพระชายาของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นทางให้เกิดความสุขและเป็นแบบฉบับที่ถูกต้องดีงามแก่ผู้อื่นด้วย


    การวิตกอยากให้มาก็เพื่อจะอนุเคราะห์ มิได้เพื่อจะขับไล่ไสส่ง การสั่งสอนตลอดมาก็เพื่ออนุเคราะห์ส่งเสริมตามแบบฉบับแห่งธรรมแก่ผู้ควรอนุเคราะห์ คำว่าปล่อยปละละเลยไม่เหลียวแลนี้ ยังมองไม่เห็นว่าได้ทอดธุระปล่อยวางห่างเหินอย่างไร ความคิดและอุบายที่แสดงออกทุกขณะจิตที่คิดเพื่ออนุเคราะห์ เป็นจิตที่บริสุทธิ์ด้วยเมตตากรุณาจริง ๆ เพื่อผลที่ผู้รับไปปฏิบัติได้มากน้อยเพียงใด ก็รอคอยจะแสดงมุทิตาจิตไปด้วยอยู่เสมอ หากได้ผลเป็นที่พึงพอใจไม่มีข้องแวะที่ไหนแล้ว ผู้ให้ความอนุเคราะห์ก็เบาใจหายห่วง จิตกับอุเบกขาธรรมก็เข้ากันได้สนิท


    การที่พาปรารถนาพุทธภูมิก็มุ่งจะพาข้ามโลกสงสาร การของดจากพุทธภูมิ มาตั้งความปรารถนาเป็นสาวกภูมิ อันเป็นภูมิของผู้สิ้นกิเลสอาสวะ ก็เป็นความมุ่งหมายเพื่อจะพาสิ้นกิเลสและกองทุกข์ทั้งมวล ก้าวเข้าสู่บรมสุขคือพระนิพพานอันเป็นจุดอันเดียวกัน การพาบำเพ็ญกุศลในชาติต่าง ๆ ตลอดมาจนชาติปัจจุบันได้มาบวชบำเพ็ญในศาสนา มีสติปัญญาเพียงใด พอติดต่อข่าวสารถึงได้ก็พยายามเสมอมา จนได้มาพบเห็นกันในภพนี้และได้ให้โอวาทสั่งสอนเต็มสติปัญญาตลอดมาถึงปัจจุบันบัดนี้ ล้วนเป็นอุบายวิธีอนุเคราะห์ด้วยความเมตตาสงสารสุดที่จะประมาณอยู่แล้ว ไม่มีขณะจิตใดที่จะทอดอาลัยหมายหลีกปลีกตัวให้พ้นไปแต่ผู้เดียว แต่เป็นขณะจิตที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงสงสาร หวังจะฉุดจะลากจะพรากออกจากกองทุกข์ภพชาติในสงสาร ให้ถึงพระนิพพานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น


    ความคิดวิปริตไปในทางน้อยเนื้อต่ำใจ ที่สำคัญว่าทอดทิ้งปล่อยวางไม่เหลียวแลนี้ เป็นความคิดที่ไม่เกิดประโยชน์อะไรทั้งสองฝ่าย จึงควรระงับดับมันเสีย อย่าให้เกิดมีขึ้นมาเหยียบย่ำทำลายจิตใจอีกต่อไป ผลคือความทุกข์จะตามมาอีกไม่มีเวลาจบสิ้นลงได้ตลอดกาล และผิดกับความมุ่งหมายของผู้หวังอนุเคราะห์ด้วยใจเมตตาสงสารตลอดมา


    คำว่าหลุดพ้นไปไม่อาลัยอาวรณ์นั้น หลุดพ้นไปไหน? และไม่อาลัยผู้ใด? เพราะขณะนี้กำลังช่วยฉุดลากช่วยถากช่วยถาง ช่วยอนุเคราะห์กันอยู่อย่างเต็มกำลัง แม้การอบรมสั่งสอนทั้งมวลก็ล้วนออกจากความอาลัยสงสารโดยถ่ายเดียวมิใช่หรือ? จะหาความอาลัยสงสารจากที่ไหนให้ยิ่งกว่าที่กำลังให้และกำลังได้รับอยู่เวลานี้


    การอบรมบ่มนิสัยเพื่อการเชิดชูส่งเสริมตลอดมา ก็ได้ถอดออกมาจากดวงใจที่เปี่ยมด้วยความสงสารยิ่งกว่าน้ำในทะเลมหาสมุทร และได้ทุ่มเทลงอย่างไม่อัดไม่อั้นไม่คิดเป็นคิดตาย และคิดจะหมดหรือยังเหลืออยู่ในบรรดาธรรมที่มีอยู่ภายในใจ ขอได้เข้าใจตามเจตนาที่หวังอนุเคราะห์อยู่เสมอมา และรับไปเป็นสิริมงคลแก่ตนตามธรรมที่อบรมสั่งสอนมานี้ ผลคือความสุขใจจะเป็นที่ยอมรับอยู่กับตัวผู้เชื่อถือและปฏิบัติตาม


    นับแต่ออกบวชและปฏิบัติธรรมแทบเป็นแทบตาย แม้แต่ขณะจิตหนึ่งที่คิดขึ้นเพื่อเป็นคนใจดำน้ำขุ่นยังไม่เคยปรากฏว่ามีเลย การวิตกคิดถึงอยากให้มาหาก็มิได้หวังเพื่อจะต้มตุ๋นหลอกลวงให้ล่มจมเสียหาย แต่หวังจะอนุเคราะห์อย่างสมใจที่เมตตาสงสารอย่างเดียวเท่านั้น ถ้ายังเป็นที่เชื่อถือไม่ได้อยู่แล้ว ก็ยากที่จะไปแสวงหาความเชื่อถือที่ไว้วางใจได้จากผู้ใด ที่เห็นว่าดีเยี่ยมและซื่อสัตย์สุจริตยิ่งกว่านี้


    ที่ว่าทราบเรื่องสะเทือนโลกธาตุในคืนวันนั้น นั้นเป็นการทราบความสะเทือนแห่งธรรมประเภทหลอกลวงต้มตุ๋นให้โลกล่มจมปรากฏขึ้นหรืออย่างไร? จึงไม่แน่ใจและปลงใจที่จะยอมเชื่อถือตามคำอบรมสั่งสอนที่ตั้งใจอนุเคราะห์ด้วยความเมตตา ถ้าเข้าใจว่าธรรมเป็นธรรมแล้ว ความสะเทือนโลกธาตุนั้นก็ควรนำมาคิดเพื่อปลงจิตปลงใจเชื่อถือ และเย็นใจว่าเรายังมีวาสนาบารมีอยู่มาก แม้มาอุบัติในภพชาติที่ลึกลับควรจะสุดวิสัยแล้ว แต่ยังได้รับฟังสิ่งดีชั่วของตัวจากธรรมที่มีผู้เมตตาแสดงให้ฟังได้ไม่เสียกาลไปเปล่า นับว่าเป็นโชควาสนาของเราที่เคยสั่งสมอบรมมา


    และควรจะภาคภูมิใจในวาสนาของตัวที่มีผู้มาฉุดมาลาก มาช่วยพรากจากความมืดมนอนธการ พอได้รู้ความผิดพลาดของตัวบ้าง ไม่มืดบอดจอดจมไปถ่ายเดียว หากคิดอย่างนี้ก็น่าอนุโมทนาสาธุการและพลอยเบาใจหายห่วงไปด้วย ไม่เป็นความคิดที่ให้ทุกข์ผูกมัดรัดตัวจนพากันหาทางออกมิได้ เพราะธรรมกลายเป็นโลก ความห่วงใยสงสารกลายเป็นศัตรูคู่ก่อเวร


    ขณะที่ฟังท่านสั่งสอนด้วยความเมตตาสงสาร เหมือนสายน้ำทิพย์ในลำธารประพรมโสรจสรงด้วยทั้งเหตุและผลระคนคละเคล้ากันไปไม่หยุดหย่อน บาทบริจาริกาคู่บารมีกลับได้สติ กลายเป็นผู้มีใจอ่อนน้อมยอมรับธรรมด้วยความซาบซึ้งเพลิดเพลินจนลืมเวล่ำเวลา


    พอจบเทศนาวินิจฉัยปัญหา ก็ยอมตนเป็นผู้ผิด ว่ามาทำให้ท่านได้รับความลำบากลำบน เพราะความมืดมนด้วยความรักความอาลัย โดยเข้าใจว่าท่านปล่อย ท่านวางไปกับดินกับหญ้าไม่เมตตาเอื้อเฟื้ออาลัย จึงเกิดความเสียอกเสียใจจนไม่มีที่ปลงที่วาง นึกว่าตนไร้ญาติขาดมิตรปลิดชีวิตชีวา ไม่มีที่พึ่งพาอาศัย มาบัดนี้ได้รับความสว่างจากดวงธรรม ใจเกิดความเย็นฉ่ำเป็นสุข ทุกข์ที่เคยแบกหามมาก็ปลงวางลงได้ เพราะธรรมเหมือนน้ำอมฤตรดโสรจสรงชะล้างให้เกิดความสว่างไสวขึ้นมา


    โทษใดที่ได้ล่วงเกินพระคุณท่านด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขอได้โปรดประทานโทษนั้นให้แก่ข้าบาทดวงวิญญาณ เพื่อจะได้ตั้งหน้าสำรวมระวังต่อไปตลอดอวสาน ไม่หลงลืมผิดพลาดขลาดเขลาอีกต่อไป


    จากนั้น ท่านก็อธิบายแนะนำเกี่ยวกับภพกำเนิดว่า ขอให้ไปเกิดในภพที่เป็นหลักฐานอันสมควรแก่ภาวะของตน ไม่ควรมากังวลวกเวียนเกี่ยวข้องกับความเป็นห่วงใยดังที่เคยเป็นมาอีกต่อไป


    ดวงวิญญาณยินดีรับคำท่านด้วยความเคารพนบน้อม ก่อนจะจากไปได้กราบขอพรว่า เมื่อได้ไปเกิดในภพที่เหมาะสมแล้ว ขอให้ได้มารับฟังโอวาทตามความปรารถนาดังที่เคยทำมา ขอได้โปรดประทานพรตามใจหวังเถิด


    เมื่อท่านอนุญาตแล้วก็หายไปในขณะนั้น


    พอดวงวิญญาณจากไปแล้ว จิตถอนขึ้นมาราวตี ๕ จวนสว่าง คืนนั้นท่านมิได้พักผ่อนร่างกายเลย เพราะเริ่มนั่งสมาธิภาวนาแต่ขณะออกจากทางจงกรมราว ๒๐ น. ตอนดึกก็รับแขกวิญญาณเสียหลายชั่วโมง


    ท่านเล่าว่า


    ต่อมาไม่นานนัก ดวงวิญญาณก็มาเยี่ยมฟังเทศน์ท่านอีก คราวนี้มาในร่างแห่งเทวดาผู้มีรูปสวยงามมาก แต่มิได้ตกแต่งด้วยเครื่องประดับต่าง ๆ ตามปกติของพวกเทวดาที่ทำกัน เพราะมาหาพระองค์สำคัญซึ่งเทวดาถือเป็นความเคารพมากโดยทั่วไป


    พอเทวดามาถึงก็เล่าถวายท่านว่า


    พอได้รับคำชี้แจงจากท่านให้หายสงสัยไร้ทุกข์ที่เคยทรมานใจมาแล้ว ก็ไปอุบัติเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์พิภพ ซึ่งมีความสุขสนุกสนานด้วยเครื่องบำรุงบำเรอต่าง ๆ ที่ล้วนแต่สำเร็จไปจากการบำเพ็ญเมื่ออยู่กับท่านในเมืองมนุษย์ทั้งนั้น แม้จะมีความสุขสบายตามวิบากกรรมอำนวยก็ตาม แต่ก็อดระลึกมิได้ว่า วิบากสมบัติที่ปรากฏให้ได้รับเสวยเหล่านั้น ล้วนเป็นสาเหตุไปจากพระคุณท่านเป็นผู้พาริเริ่มบำเพ็ญแต่ต้นมา เพียงลำพังตัวผู้เดียว ไม่มีปัญญาสามารถคิดอ่านบำเพ็ญให้สำเร็จ เป็นสมบัติที่พึงพอใจอย่างมหาศาลเช่นนั้นได้ เวลามีวาสนาได้ไปเกิดในกองมหาสมบัติอันเป็นทิพย์และมีความสุขสบาย หายโกรธแค้นน้อยใจแล้ว จึงได้ระลึกถึงพระคุณของท่านที่มีแก่ตนอย่างมากมายเหลือที่จะประมาณได้


    ฉะนั้นการเลือกเฟ้นในทุกสิ่ง ไม่ว่าการงาน อาหารและสิ่งของนานาชนิด ตลอดมิตรสหายเพื่อนหญิงเพื่อนชายที่ควรก่อน เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ต้องการครองตัวด้วยความราบรื่นจะพึงถือเป็นกิจจำเป็น


    เฉพาะอย่างยิ่งการเลือกคู่ครองเพื่อหวังพึ่งเป็นพึ่งตายจริง ๆ ควรถือเป็นกรณีพิเศษกว่าสิ่งอื่นใด เพราะคู่ครองนั้นเป็นเหมือนกับใช้ลมหายใจและความเป็นอยู่ทุกด้านร่วมอันเดียวกัน ความสุข ทุกข์ น้อยมากย่อมเป็นสิ่งกระเทือนถึงกันทุกระยะ


    ผู้ได้คู่ครองที่ดี แม้ตัวจะต่ำบ้างทางฐานะความรู้ความฉลาด การประพฤติ จริตนิสัย แต่ก็ยังดีที่มีผู้คอยฉุดคอยลากคอยให้คติเตือนใจเสมอ และพาประพฤติดำเนินในกิจการต่าง ๆ ทั้งทางโลกอันเป็นเครื่องส่งเสริมครอบครัวให้มั่นคงและสงบสุข และทางธรรมซึ่งเป็นความดีงามแก่จิตใจ ตลอดการงานอย่างอื่นที่พลอยมีส่วนดีงามไปด้วย ไม่มืดมิดปิดตากำดำกำขาวไปถ่ายเดียว โดยหาความแน่นอนและรับรองผลไม่ได้


    ถ้าต่างฝ่ายต่างดีด้วยกัน ก็เท่ากับต่างช่วยกันสร้างวิมานหลังใหญ่ในครอบครัว ให้อยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันไปตลอดอวสาน ไม่มีการทะเลาะวิวาทถกเถียงกัน ครัวเรือนย่อมเป็นสุข ไม่มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจมารบกวน เพราะต่างฝ่ายต่างสร้างสรรค์ ต่างฝ่ายต่างสำรวมระวัง ต่างฝ่ายต่างตั้งอยู่ในเหตุผลหลักธรรม ไม่ทำตามใจชอบที่ผิดจากหลักศีลธรรม อันเป็นหลักรับรองความร่มเย็นผาสุกต่อกัน คู่ครองแต่ละฝ่ายจึงเป็นผู้ช่วยกันสร้างกรรมดี ชั่ว สุข ทุกข์ บุญ บาป นรก สวรรค์เกี่ยวเนื่องกันแต่เริ่มต้นชีวิตร่วมกันเป็นต้นไปเหมือนลูกโซ่ ทั้งปัจจุบันชาตินี้ตลอดอนาคตของภพชาติต่อไป ดังข้าบาทได้เห็นประจักษ์กับตัวเอง (คำว่า ข้าบาทเป็นคำแทนชื่อที่ถนัดใจของเทวดา เรียกตัวเองกับท่านพระอาจารย์มั่น) ที่ได้มีบุญติดสอยห้อยตามบาทไปในภพชาติต่าง ๆ ด้วยการนำของพระคุณท่าน พาสร้างแต่ความดีมาประจำนิสัย ไม่พาสร้างบาปกรรมทำชั่วมัวหมองเลย จึงพลอยได้เป็นคนดีติดตามบาทมาแทบทุกชาติทุกภพ และพาให้แคล้วคลาดจากภัยเวรทั้งหลายตลอดมา


    นึกถึงพระคุณแล้วทำให้ซึ้งในจิตใจสุดที่จะเรียนได้ถูก คราวนี้ ข้าบาทได้เห็นโทษของตัวที่เคยผิดพลาดล่วงเกินพระคุณท่านมาในอดีต ทั้งชาติแห่งวิญญาณและอดีตกาลที่ผ่านมานาน ขอท่านได้โปรดเมตตาอโหสิกรรมนำเสียซึ่งโทษ อย่าได้มีกรรมมีเวรสืบต่อเกี่ยวข้องอีกต่อไป


    ท่านได้อโหสิกรรมแก่เทวดาตามความปรารถนา และได้แสดงธรรมอบรมส่งเสริมบารมีให้เป็นที่รื่นเริงจนควรแก่กาลแล้ว เทวดานมัสการลากระทำประทักษิณสามรอบ หลีกออกห่างจากท่านพอประมาณ แล้วเหาะลอยขึ้นสู่อากาศด้วยความโสมนัสศรัทธาเป็นล้นพ้น


    ระหว่างวิญญาณมาปรับทุกข์ด้วยความน้อยอกน้อยใจกับท่าน รู้สึกว่าพิสดารเหลือจะพรรณนา ผู้เขียนไม่สามารถนำมาลงได้ทุกประโยคไป จึงขออภัยท่านไว้ด้วย เท่าที่จำได้และนำมาลงนี้ก็ไม่ค่อยสนิทใจนัก ถ้าจะผ่านไปก็รู้สึกจะขาดเนื้อเรื่องที่น่าคิดไป ดังที่เรียนไว้แล้วตอนก่อนที่จะเขียนเรื่องนี้


    ที่มา http://www.dharma-gateway.com/monk-home-hist-index-page.htm
     
  2. civil60

    civil60 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2007
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +60
    นิพพานนังปรมังสุขขัง
     

แชร์หน้านี้

Loading...