ประวัติหลวงปู่ปาน วัดบางนมโคตอนที่24 หลวงปู่ปานและคณะธุดงค์พบพระอภิญญาโลกีย์

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 8 เมษายน 2008.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    ไปเขาวงพระจันทร์
    [​IMG]<!-- #EndEditable --><!-- #BeginEditable "content" -->
    ลูกหลานที่น่ารักทุกคนที่กำลังฟังฉันเล่าเรื่องธุดงค์ของหลวงพ่อปานมาหลายวันแล้ว วันนี้วันที่ 1 ธ.ค. 2514 เรื่องที่จะเล่าสู่กันฟังต่อไปเป็นเรื่องเข้าสู่เขาวงพระจันทร์ เขต จ.ลพบุรี เรื่องนี้มีเรื่องประกอบหลายประการ อาจจะเล่าให้ฟังวันเดียวไม่จบ เอากันอย่างนี้ก็แล้วกัน เหนื่อยเมื่อไรก็พักเล่าให้ฟัง วันต่อไปพูดกันใหม่ ตกลงตามนี้นะ เข้าเรื่องกันเลยนะ เมื่อออกจากเขตพระพุทธฉายต่างก็มุ่งเข้าเขตลพบุรี สมัยเดินนี่นะจะเอาอย่างสมัยรถอย่างปัจจุบันไม่ได้ เดินกันตามอารมณ์ เดินมาพักแรมกันมา เมื่อถึงเขตแต่ละเขตที่พัก หลวงพ่อปานท่านไม่ยอมให้พวกเรามีเวลานั่งนอนได้ตามสบาย คือคอยควบคุมอารมณ์ไว้เสมอ วิธีคุมอารมณ์ของท่านก็มีบัญชาให้คณะธุดงค์ใช้วิชชา 2 ในวิชชา 3

    1. ให้ตรวจตราสถานที่ที่พักและผ่านมาว่า มีสถานที่ใดเคยตั้งบ้านตั้งเมืองบ้างไหม มีอะไรสำคัญ เมื่อตรวจตราแล้วก็ทำรายงานถวายด้วยสมุดปกแข็งที่ชาวบ้านซื้อมาถวาย ความจริงสมุดที่เขาถวายนี้มาคิดเดี๋ยวนี้เองว่าราคาแพงมาก เพราะเป็นบันทึกของคณะธุดงค์ ธรรมดาของพระโบราณ ที่พวกนักเทศน์นักธรรมสมัยใหม่ว่าครึเต็มทน แม้คนสมัยใหม่เขาก็หาว่าไร้เหตุไร้ผล แต่ทุกท่านต่างคนต่างเขียน มันเกิดมีข้อความที่สำคัญตรงกัน เช่นที่ตรงไหนเคยตั้งบ้านตั้งเมือง บ้านเมืองเขาสร้างด้วยอะไร ใครเป็นคนสำคัญของบ้านเมืองนั้น เขามีจริยาเป็นประการใด ขณะนี้เขาอยู่ในนรก สวรรค์ หรือพรหมโลก หรือเขาหายสาบสูญไปจากอำนาจกิเลสตัณหาแล้ว งานที่ทำต่างก็บันทึกต่อหน้า ท่านห้ามปรึกษาหารือกัน ในบางขณะท่านจะชี้จุดที่ดินที่ใดที่หนึ่ง แล้วถามว่าตรงนี้เคยมีความสำคัญอะไรบ้าง เมื่อท่านถามแล้วท่านให้คณะธุดงค์เขียน ทันที นั่งห่างกัน ต่างคนต่างเขียน เมื่อเขียนแล้วเอามาถวายท่าน มันเป็นการบังคับการควบคุมฌานและญาณกันตรง ๆ อย่างนี้ท่านเรียกว่ากีฬาสมาธิ มันเพลิดเพลินมีอารมณ์สบาย ต้องอยู่ในฌานตลอดวัน ด้วยเกรงว่าจะมีบัญชาให้ตรวจอะไร เมื่อไรก็ไม่รู้ ถ้าสั่งแล้วทำยืดยาดก็จะได้ฟังเทศน์มหาชาตินอกแบบ (ถูกหาว่าประมาทเกินไป) เมื่ออารมณ์ทรงฌาน นิวรณ์คือเหยื่อความชั่วของจิตก็เข้าใกล้จิตไม่ได้ แต่ถ้าเอาแต่ฌานอย่างเดียว การรู้เห็นอะไรก็ไม่แจ่มใส มันมืดชอบกล ต้องอาศัยอารมณ์วิปัสสนาคอยเป่าฝุ่นคือละอองกิเลสที่คอยเข้ามาทำจิตให้มัวหมอง จะได้รู้เห็นเหตุที่จะพึงรู้ได้แจ่มใสชัดเจน จัดว่าท่านฉลาดฝึกศิษย์ของท่าน คณะธุดงค์คณะนี้เป็นคณะพิเศษของท่านกระมัง ท่านจึงสั่งตามที่ท่านต้องการได้เสมอ การปฏิบัติตนอย่างนี้มีผลเพียงใดลูกหลานคิดเอา ฉันคิดว่าผลที่พึงได้ในญาณต้นนี้คือ ทิพยจักษุญาณ ที่แยกตัวออกได้เท่าใด ก็ได้บอกไว้แล้วในวันก่อน หวังว่าลูกหลานที่น่ารักทุกคนคงจำได้ เอาผลตามญาณนี้คือ


    ก. รักษาอารมณ์สมาธิเป็นอธิจิตสิกขา ด้วยอาศัยที่มีศีลสิกขาบริสุทธิ์อยู่แล้ว สามารถกีดกันนิวรณ์อารมณ์ชั่วไม่ให้เข้ามาพัวพันกับจิตใจได้ จนเห็นเนกขัมมบารมีที่แท้ที่บวชกันแล้วปล่อยนิวรณ์ครอบงำจิตได้นั้น ท่านไม่ถือว่าเป็นเนกขัมมะคือการถือบวช ท่านถือว่า หลอกลวงชาวบ้าน เอาเปรียบชาวบ้าน และเป็นมารสังคมต่างหาก ทำตัวเป็นผู้ดี แต่เนื้อแท้เป็นผู้รายที่ปล้นชาวบ้านได้อย่างกฎหมายไม่กล้าลงโทษ

    ข. มีผลในการคล่องในการใช้ญาณ มีความเพลิดเพลินบันเทิงใจ มีความรู้เรื่องที่คิดว่าจะไม่รู้ เป็นกำไรชีวิตมหาศาล

    ค. ได้เห็นตามความเป็นจริง ตามอารมณ์วิปัสสนาญาณตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ว่าอะไรมันไม่เที่ยง มันมีความเปลี่ยนแปลง มีทุกข์ และมีการสลายตัวในที่สุด บ้านเมือง คน สัตว์ที่พบ มันไม่มีอะไรเหลือ แม้แต่ซากก็ไม่มี มันไม่เป็นอนัตตา มันจะเป็นอะไร เป็นอันว่าเขาถึงวิปัสสนาด้วยอารมณ์รื่นเริง ไม่ต้องมานั่งจับเจ่าในห้องในกุฏิให้โรคประสาทรบกวน ดีไม่ดีก็เกิดพองไม่ยุบ หรือยุบไม่พองอย่างคุณแม่เขียน อนันตวงษ์ ท่านบอกให้ฟังว่า ฉันเข้ากุฏิ 3 เดือน เกิดพองไม่ยุบ คือไม่ได้เดินไปไหนเกิดบวมขึ้นมาเลยพอง ไม่ยุบ วิชชานั้นไม่ใช่เป็นวิชชาที่ใช้ไม่ได้ ดีเหมือนกันถ้าใช้ถูกแบบ แต่คนใช้เกิดใช้เลยแบบหรือไม่ถึงแบบก็เลยมีผลอย่างนั้น


    2.. ญาณที่ 2 ที่ท่านสั่งก็คือ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ใช้ญาณนี้ระลึกชาติของตนเอง ถอยหลังเข้าไปตามกำลังของตน ให้ทราบว่าสถานที่นี้ตนเองเคยมีความเกี่ยวพันอะไรมาด้วยบ้าง วิชชานี้มีผลไม่น้อย เมื่อพบภาพของตนและทราบว่ามีความสุขความทุกข์อะไรเนื่องด้วยสถานที่นั้น แล้วก็ตายด้วยอาการอย่างไร มีเมีย มีลูก มีทรัพย์สิน พวกนั้นหายไปไหน ตัวตนขณะนั้นบางรายทำท่าเบ่งเป็นพ่อบ้านพ่อเมือง แล้วเจ้าคนนั้นมันหายไปไหน ตามภาพไป มันตายแล้ว ไปนรกบ้างไปสวรรค์บ้าง จากคนรวยไปเกิดเป็นคนจนบ้าง ไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานบ้าง ในที่สุดก็มาปรากฎเป็นคณะลิงหน้าพลับพลา มองดูแล้วก็สบายใจที่ทราบ แต่ก็สลดใจที่เมาเกิด เมาสมบัติ เมาเมีย เมาลูก เมาอำนาจ เมาทรงอยู่ ในสุดก็เอาอะไรไว้ไม่ได้เลย เลยพากันเบื่อเกิดต่อไป นอกจากเพลิดเพลินแล้วก็ยังมีผลในด้านวิปัสสนาญาณ จัดว่าท่านฉลาดไม่น้อยเลย แต่ถ้าท่านโง่กว่านั้นก็คงปราบพวกลิงหน้าพลับพลาไม่อยู่ ด้วยแต่ละตัวเป็นลิงเปรียวทั้งนั้น ไม่เปรียวอย่างเดียว เป็นลิงจอมดื้อ จอมพิสูจน์ทั้งหมด ถ้าสงสัยอะไรสักนิด คณะลิงหน้าพลับพลาจะต้องค้นคว้าหาความจริงให้ได้ ถ้าไม่สามารถจะหาได้จะยอมตายดีกว่าที่จะยอมแพ้ ท่านรู้นิสัยคณะลิงหน้าพลับพลาดี เมื่ออยู่วัดก็ไม่เห็นแสดงอะไร พอออกป่าเท่านั้นเอง ท่านแสดงความสามารถออกมาอย่างคนละองค์เลย ไม่น่าเชื่อแต่ต้องเชื่อ เพราะลิงทั้งหลายประสบมาเอง เสียดายที่ลูกหลานไม่มีโอกาสพบท่านนะ ถ้าได้พบท่านจะลืมพัดยอดแหลมไปตาม ๆ กัน

    นี่ฉันพูดอะไรไปบ้าง เวลาเลยมานานแล้วคงไปไม่ถึงไหน เพราะคนแก่ แถมหัวล้านเสียด้วย พูดไปพูดมาชักเหงื่อหัวล้านจะเริ่มซึมออกมาแล้ว เวลาจะเอวังมันก็ใกล้เข้ามา ๆ เดินต่อไปกันดีกว่า เมื่อออกจากพระพุทธฉายก็มุ่งมาเขาวงพระจันทร์ ระหว่างทางยังไม่คุยนะ เพราะเกริ่นไว้วานนี้ว่าจะเล่าเรื่องพระได้อภิญญาถูกวัวเขาอ่อนขวิด หลาน ๆ คงคงไม่รู้จักวัวเขาอ่อนกระมัง ประเดี๋ยวก็รู้จัก ฟังต่อไปจะเล่าให้ฟังแบบลัด เพราะมันเริ่มเหนื่อย ขืนอ้อมไปมากเหงื่อหัวล้านจะไหลมาก เป็นอันว่าระหว่างทางจากพระพุทธฉายมาพระพุทธบาทไม่มีอะไรมากนัก เมื่อเลยพระพุทธบาทมาเข้าเขตลพบุรี หลวงพ่อท่านบอกคณะลิงทั้งหลายไม่มีใครรู้จักทางและไม่ทราบเขตแดน หลวงพ่อท่านชำนาญ ท่านพาเข้าไปพบพระองค์หนึ่ง อยู่ในถ้ำองค์เดียว ไม่ทราบว่าเขาเรียกว่าถ้ำอะไร ด้วยไม่ได้ถามท่าน สถานที่นี้ไม่มีบ้านเลย แม้เสียงสุนัขชาวบ้านก็ไม่เคยได้ยิน มันไกลบ้านจริง ๆ เมื่อแวะเข้าไปปรากฏว่าพระองค์นั้นท่านต้อนรับหลวงพ่อด้วยดี รู้จักกันมานาน ท่านแนะนำพวกคณะลิงหน้าพลับพลาว่า ท่านองค์นี้ทรงอภิญญาโลกีย์สมาบัติ ชำนาญในการเนรมิต พวกลิงไหว้ท่านก็รับไหว้ด้วยดี ท่านคุยกัน 2 องค์สนุกสนาน คุยเรื่องที่ลิงไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ในที่สุด หลวงพ่อท่านก็บอกว่า ที่พาคณะศิษย์ชุดนี้มาก็เพราะอยากให้เขาเห็นของจริง ของจริงของพระพุทธศาสนานำออกในบ้านในเมืองไม่ได้ เพราะพวกเดียวกันคอยลิดรอน เมื่อพระด้วยกันว่าไม่มี ทำไม่ได้เสียแล้ว ชาวบ้านเขาก็เชื่อ เมื่อเขาเชื่อพระใหญ่หรือพระหมู่มาก พวกเราเป็นพระเล็กที่ไม่มีเครื่องหมายยศให้ ชาวบ้านนับถือ ไปทำอะไรเข้าเขาก็พากันประณาม คณะศิษย์ผมเขาอยากเห็นของจริงชอบค้นคว้า ชอบนึกทุกอย่างที่มีในหลักสูตร เมื่ออยู่ในวัดก็ได้แต่บอกหรืออย่างมากก็ใช้เจโตปริยญาณเป็นคราวๆ เพื่อให้สนใจเป็นอัศจรรย์บ้าง แต่พอออกป่าก็ออกท่าได้เต็มที่ เขาจะได้ทราบว่าความรู้ทุกอย่างในพระพุทธศาสนาแม้แต่อรหัตผลก็ยังไม่คลายตัว นักปราชญ์ท่านเขียนไว้อย่างนั้นเองว่าพระอรหันต์ไม่มีแล้ว ท่านกลัวคนจะตกใจว่าเมื่อพระอรหันต์ยังมี คนที่มีเมียแล้วถ้าจะบวชเกรงว่าเมียจะคิดว่าถ้าผัวเป็นพระอรหันต์แล้วตัวจะเป็นม่าย จะไม่อนุญาตให้ผัวบวช ท่านเลยเขียนเสือหลอกวัวไว้ให้ ท่านพูดแล้วท่านก็ชวนกันหัวเราะ ฟังท่านคุยกันแล้วไม่รู้เรื่อง ต่อมาท่านเจ้าของถิ่นหันมาคุยว่า ผมเองไม่ได้เป็นพระอรหันต์เพียงแต่ได้ฌานโลกีย์ ที่ออกจากหมู่คนก็เพราะยังไม่แน่ใจตนเองและประสงค์อรหัตผล ฟังแล้วสบายใจดีแต่ไม่ค่อยรู้เรื่อง เมื่อยามค่ำก็นอนในห้องของท่าน ถ้ำนั้นกว้างขวางมาก สมัยนี้ที่เขาเรียกว่าถ้าคูหาสวรรค์จะใช่หรือไม่ใช่ไม่เคยไปดูอีกเลย
    พอรุ่งเช้าท่านทั้งสองนั่งคุยกันอีก วันนี้หลวงพ่อไม่สั่งให้บิณฑบาต เมื่อท่านไม่สั่งคณะธุดงค์ก็ ไม่เตรียมตัว เมื่อท่านคุยกันสักครู่ ท่านเจ้าของถิ่นถามหลวงพ่อว่า ที่นี่กับข้าวก็หายากแต่บอนใกล้ถ้ำในบึงเล็ก ๆ มีมาก ท่านถามว่าฉันแกงบอนไหม หลวงพ่อบอกว่าฉัน เมื่อถามกันแล้วท่านเจ้าของถิ่นก็ไปตัดบอนมา 1 ต้น มาถึงก็ไม่ปอกเปลือก หั่นตามแบบแกง แล้วก็เอาหม้อดินใหม่เอี่ยมมา 1 ลูก หั่นออกใส่ แล้วก็เอาน้ำใส่หน่อยหนึ่ง เอาฝาหม้อปิด แล้วเอาข้าวสารหยิบมือหนึ่งใส่ในหม้อดินอีกลูกหนึ่ง เอาน้ำใส่หน่อยหนึ่ง เอาฝาปิด เอาหม้อทั้งสองลูกวางไว้ข้างหน้า ไม่เห็นตั้งเตา วางไว้กับพื้นเฉย ๆ นั่งคุยกันไปสักครู่หนึ่ง เวลาประมาณ 8 น. ท่านเจ้าของถิ่นถามว่าหิวหรือยัง หลวงพ่อท่านตอบว่าหิวแล้ว ท่านเจ้าของถิ่นท่านตอบว่าหิวก็ฉันได้แล้วนี่ ข้าวแกงสุกนานแล้ว ว่าแล้วท่านก็เปิดฝาหม้อข้าวหม้อแกง ปรากฏว่าข้าวสุกเต็มหม้อถึงฝาละมี มีควันคลุ้งเหมือนเอาลงจากเตาใหม่ ๆ แกงก็เต็มหม้อ มีควันขึ้น กลิ่นหอมเหมือนแกงบอนปกติ แถมมีเนื้อปลาในแกง หม้อทั้งสองลูกดูแล้วเห็นว่าจุข้าวไม่ถึงจาน เพราะมันลูกเล็กนิดเดียว ท่านให้ล้อมวงกันฉัน แต่ตัวท่านเองไม่ฉัน ท่านบอกว่าท่านไม่ได้ฉันมาหลายปีแล้ว พวกคณะลิงหน้าพลับพลาสงสัย ถามท่านว่าท่านไม่หิวหรือ ท่านบอกว่าอยู่ด้วยธรรมปีติ ไม่หิวและมีกำลังเป็นปกติ คณะห้าธุดงค์มีหลวงพ่อปานเป็นประมุขต่างก็ล้อมวงกันฉัน แต่ละองค์ฉันจนเต็มอัตราศึก ข้าวสุกกับแกงที่คิดว่าแม้องค์เดียวก็ไม่ได้ตึงท้อง มันแปลกเมื่อยังไม่มีใครอิ่ม ตักออกมาเท่าไรก็ไม่หมด รสก็อร่อยดีกว่าพ่อครัวแม่ครัวชั้นเลิศแกงกว่าไหน ๆ แต่พอทั้งหมดอิ่มพร้อมกันแล้ว หาข้าวสุกสักเม็ด น้ำแกงสักหยดก็ไม่มี หลวงพ่อท่านรู้ใจศิษย์ท่าน ท่านรีบบอกว่าข้าวแกงอย่างนี้เรียกว่าอาหารอภิญญา คือเกิดได้จากการเนรมิต คำว่าเนรมิตหรือนิรมิตแปลเหมือนกัน นิรมิตเป็นศัพท์เดิมที่ยังไม่แปลง ท่านแปลงสระอิเป็นสระเอตามแบบของภาษาบาลี มีความหมายอย่างเดียวกัน เมื่อฉันเสร็จแล้วก็พักกับท่าน 3 วัน ท่านก็สอนวิชาอภิญญากับคณะธุดงค์ เมื่อครบ 3 วันแล้วก็ลาท่านเดินทางต่อไป <!-- #EndEditable -->
    ที่มา
    http://www.thaisquare.com/Dhamma/book/prawat_luangpopan/content.html#
     

แชร์หน้านี้

Loading...