ปฏิปทาให้ถึงสิ่งหนึ่งซึ้งนิพพาน เหนือกาลเวลา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ท้องทุ่ง, 10 ธันวาคม 2013.

  1. ท้องทุ่ง

    ท้องทุ่ง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +9
    ปฏิปทาให้ถึงสิ่งหนึ่งซึ้งนิพพาน เหนือกาลเวลา
    ขอกล่าวโดยย่อแก่ท่านผู้อ่าน กาลเวลาคือผนังอีกด้านหนึ่ง เหนือการเวลาคือผนังอีกด้านหนึ่ง (เหมือนผนัง 2 ด้านที่คู่
    ขนาดกันไปไม่มีที่สิ้นสุด การที่เราจะเข้าไปอีกด้านหนึ่งของผนังในฝั่งตรงข้ามกัน ไม่มีวิธีไปไห้ถึงด้วยรูปนาม ของผนังที่เหนือกาลเวลาได้เลย
    ความหมายว่ากาลเวลาจะผ่านเข้าไปเหนือกลาเวลาไม่ได้เลย ด้วยกฎของ 2 ด้าน อยู่ฝั่งตรงข้ามกันเสมอ
    อีกนัยหนึ่งคือการอยู่ด้วยกันในสิ่ง 2 สิ่งนั้นปราศจากขอบทุกๆด้านของสิ่งทั้ง 2 นั้นอย่างสินเชิง
    การปล่อยวาง กับการยืดมั่น เหมืองสิ่ง สองสิ่งดังที่ข้าพเจ้ากล่าวมา ข้างต้นโดยไม่สามารถคิดเป็นอื่นๆได้เลยแม้แต่น้อย
    ดังนั้นการปล่อยวางที่บริสุทธิ์ ก็เปรียบเหมือน การอยู่เหนือกาลเวลา (ซึ้งเรียกว่านิพพาน) จะเข้าถึงได้เองเพียงการปล่อยว่างให้ถึงที่สุดและบริสุทธิ์ อย่างสุด เท่านั้น นัยหนึ่งเหมือนการลืมตาต่อสิ่งที่เราเห็นเท่านั้น
    (ไม่ต้องหาอะไรเพียงปล่อยวางให้บริสุทธิ์ และไม่ต้องบรรลุถึงอะไรเลย เพียงแต่มีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นในใจคงอยู่เหนือกาลเวลาเท่านั้น)ดังนั้นการยืดมั่น ถือมั่น ก็เปรียบเหมือน การอยู่ในเวลาของรูปนาม (ซึ้งเรียกว่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกมัด และ“แรงดึงดูดคือการปรุงแต่งของ- สสาร - ดวงดาว- จักวาล”) สิ่งสองสิ่งที่กล่าวมานี้คือ สิ่งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิตสิ่งสองสิ่งนี้ย่อมมีความว่างกั้นอยู่ตรงกลางเสมอ การพิสูจน์โดยใช้ปัญญามนุษย์ผู้อยู่ในภพของรูปนามไม่อาจพิสูจน์สิ่งนี้ได้เลยผู้ที่จะพิสูจน์สิ่งนี้ได้คือผู้ที่เห็น ทั้งสามสิ่งในเวลาเดียวกันเท่านั้น เกินปัญญามนุษย์ผู้อยู่ในภพของรูปนามจะรู้ได้ ทั้งหมดนี้เป็นวิทยาศาสตร์เพียงแต่
    วิทยาศาสตร์ ของมนุษย์ ผู้อยู่ในภพของรูปนามไม่อาจหาคำตอบเล่านี้ได้ ดังนั้นการจะเห็น สัสจะความจริงแท้ได้นั้น ต้องเริ่มมาจากการปล่อยว่างทุกสิ่งที่เรารู้ให้ถึงที่สุดด้วยความบริสุทธิ์ อย่างที่สุดเพื่อให้เกิดผู้รู้ในใจของเรา เรียงว่า ปัญญา ญาณ หรือ พุทธภาวะ เพื่อเอาสิ่งที่กล่าวมา ไปเป็นเหมือนดังความคิดของเราเพื่อให้พิจารณาทุกสิ่งที่เรารู้เรากระทำอยู่ทุกวัน ให้เห็น การเกิด ขึ้น ตั้งอยู่ดับไป ของสิ่งทั้งหลาย ในความไม่เที่ยงนั้น ให้เกิดการปล่อยว่างอย่างแท้จริงในชั้นนี้อีกครั้ง เมื่อท่านสามารถทำได้ดังที่ข้าพเจ้ากล่าวมาได้อย่างนี้แล้ว ท่านจงปล่อยวางสิ่งที่เรียงว่า ปัญญา ญาณ หรือ พุทธภาวะ อีกครั้งการปล่อยว่างครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย การปล่อยว่างนี้ต้องปล่อยให้ถึงที่สุดด้วยความบริสุทธิ์ เมือปล่อยวางได้แล้ว ถึงจะเรียกว่าสุดรอบของภพทั้ง 3 อย่างแท้จริง แล้วท่านผู้ที่ปฏิบัติได้จะเห็นสัจจะธรรมะ ที่แท้งจริงเรียกว่าผู้เห็นทั้ง 3 โลก ท่านผู้นั้นจะเป็นผู้อยู่เหนือกาลเวลา หรือนิพพานอย่างแท้งจริง เป็นผู้ที่จะไม่กลับมาในภพของนามรูปที่อยู่ในการเวลานี้อีก
    ท่านทั้งหลายควรปฏิบัติให้ถึงสิ่งประเสริฐให้ได้อย่างนี้แล..

    พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนคฤหบดี ท่านผู้เป็นคฤหัสถ์ บริโภคกาม อยู่ครองเรือน นอนเบียดเสียดบุตร บริโภคจันทน์จากแคว้นกาสี ทัดทรงดอกไม้ ของหอม และเครื่องลูบไล้ ยินดีทองและเงินอยู่ พึงรู้ขอนี้ได้ยากว่า ภิกษุเหล่านี้เป็นพระอรหันต์ หรือเป็นผู้บรรลุอรหัตตมรรค (เมื่อไม่รู้ว่าใครเป็นพระอรหันต์ และอยากทำบุญให้ทานกับพระอรหันต์ ย่อมมีทางจะให้ได้ถูกต้องฉะนั้น)..... เชิญทานให้สังฆทานเถิด เมื่อท่านให้สังฆทานอยู่ จิตจักเลื่อมใส... เมื่อตายไปจักเข้าพึงสุคติโลกสวรรค์”
    ทารุกัมมิกสูตร ฉ. อํ. (๓๓๐)
    ตบ. ๒๒ : ๔๓๘-๔๓๙ ตท. ๒๒ : ๔๐๑-๔๐๒
    ตอ. G.S. III : ๒๗๙

    อรหัตโลกุตตรภูมิ (ภูมิพ้นโลก ชั้นสูงสุด)
    มี 2 ประเภท
    1. เจโตวิมุตติ เป็นผู้ปฏิบัติสมถกรรมฐานได้ฌานก่อน แล้วเจริญวิปัสนากรรมฐานต่อจนสำเร็จพระอรหันต์ หรือ ผู้ที่ปฏิบัติเฉพาะวิปัสนากรรมฐาน เมื่อได้มรรคผลนั้นพร้อมกับได้วิชชา 3 อภิญญา 6 สามารถแสดงฤทธิ์ได้
    2. ปัญญาวิมุตติ สำเร็จพรอรหันต์ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานล้วน ๆ ไม่ได้บำเพ็ญสมถกรรมฐานมาก่อนเลย เรียกว่า สุกขวิปัสสกพระอรหันต์ คือ ผู้ปฏิบัติทำให้ฌานแห้งแล้ง ผู้ถึงภูมินี้ เป็นผู้ที่สมควรแก่การบูชาของเหล่าเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย เพราะสิ้นกิเลสโดยตัดสังโยชน์ 10 ประการได้ สามารถเข้าอรหัตผลสมาบัติ เสวยอารมณ์พระนิพพานได้ตามปรารถนา และไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกในวัฏสงสาร เมื่อถึงอายุขัยก็ดับขันธ์ปรินิพพาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 20[1].jpg
      20[1].jpg
      ขนาดไฟล์:
      70.8 KB
      เปิดดู:
      86

แชร์หน้านี้

Loading...