บุพกรรมของพระพุทธองค์ และพระอรหันต์

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 14 กันยายน 2008.

แท็ก: แก้ไข
  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    บุพกรรมของพระพุทธองค์

    คนธรรมะ


    http://www.dhammathai.org/store/karma/view.php?No=244


    บุพกรรมของพระพุทธองค์

    คนธรรมะ


    http://www.dhammathai.org/store/karma/view.php?No=244

    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>
    </TD></TR></TBODY>

    ความนำ

    พระพุทธเจ้าทรงเล่าบุพกรรมของพระองค์ ในพระชาติต่าง ๆ ๑๔ ชาติ ทรงเริ่มพระชาติแรกที่ทรงปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า และได้ถวายท่อนผ้าเก่าผืนหนึ่งแก่พระผู้อยู่ป่าเป็นวัตร
    ผลแห่งทานนี้ได้เกิดแก่พระองค์ การที่ทรงเล่าบุพกรรมทั้งฝ่ายกุศลและฝ่ายอกุศลนี้ ก็เพื่อเป็นตัวอย่างว่า พระองค์เมื่อยังเป็นปุถุชน ก็ได้ทำดีและทำชั่วมาแล้ว ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นบทเรียนแก่พวกเรา ดังที่ตรัสไว้ตอนหนึ่งในพุทธาปทาน มีใจความว่า
    เมื่อเห็นความเกียจคร้านเป็นภัย เห็นความเพียรเป็นความปลอดภัย ก็จงปรารภความเพียรเถิด นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
    อนึ่ง เรื่องบุพกรรมเล่มนี้ เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงกรรมและผลของกรรมที่แต่ละคนได้ทำไว้ ในเรื่องบุญและบาป ที่มักพูดกันว่า ด้วยอำนาจบาปที่ได้กระทำไว้ในชาตินี้ จะกลายเป็นแรงบาปส่งผลให้ไปเกิดในอบายภูมิทั้ง ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย และกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในชาติหน้าหรือชาติต่อ ๆ ไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มิถุนายน 2010
  2. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ที่นำสาระ ดี ๆ มาให้อ่านครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p



    _____________________________<O:p</O:p
    เชิญร่วมบริจาคหนังสือ เข้าห้องสมุดชุมชนวัดย่านยาว<O:p</O:p
    http://palungjit.org/showthread.php?t=130823<O:p</O:p
     
  3. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    อ นุ โ ม ท น า ส า ธุ...^^ ได้ความรู้อีกแล้ว


    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ด้วยอำนาจบุญกุศลที่ได้กระทำไว้ในชาตินี้ จะกลายเป็นแรงบุญส่งผลให้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ในชาติหน้าหรือชาติต่อ ๆ ไป
    ผลกรรมที่แต่ละบุคคลได้ทำไว้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนดีที่นิยมเรียกว่าบุญ หรือส่วนชั่วที่นิยมเรียกกันว่าบาป ย่อมทำหน้าที่ในการตามให้ผลอย่างเที่ยงตรงและต่อเนื่อง โดยไม่มีอำนาจอื่นใดจะมาเบี่ยงเบนให้เป็นอย่างอื่นไปได้ ส่วนจะตามให้ผลทันตาเห็นในชาตินี้ หรือตามให้ผลในชาติต่อๆไปนั่น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
    ค่านิยมในสังคมปัจจุบันนี้ มีอะไรหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก บุคคลส่วนใหญ่ไม่ค่อยคำนึงถึงบาปบุญคุณโทษกันเท่าไรนัก จนบางครั้งถึงกับมีการพูดว่า ถ้ามัวแต่คำนึงถึงบาปบุญคุณโทษ ก็ไม่ต้องไปทำมาหากินอะไรกันหรอก มีหวังอดตายกันหมด หรือเรื่องบาปบุญคุณโทษเป็นเพียงนิทานหลอกเด็ก ประกอบกับคนทำความชั่วบางคนสามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างสุขสำราญ และได้รับการยกย่องนานัปการว่าเป็นผู้มีเกียรติ เป็นผู้ทำคุณงามความดีอันเป็นประโยชน์ต่อสังคม เพียงแค่การบริจาคเงินให้แก่องค์กรสาธารณกุศลเพียงเล็กน้อย เป็นต้นตัวอย่างที่เห็นกันอยู่นี้เองทำให้คนอีกเป็นจำนวนมากเกิดความรู้สึก สับสน หรือให้ความสำคัญเรื่องบาปบุญคุณโทษน้อยไปได้
    ความจริง เรื่องบาปบุญคุณโทษมิใช่เป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ เพียงแต่ว่าคนที่ทำความดีและความชั่วยังมิได้ประสบผลของมันโดยตรง จึงทำให้บุคคลอีกส่วนหนึ่งเกิดความเข้าใจสับสนไป แต่เมื่อใดที่ผลของความดีและความชั่วให้ผลโดยตรงแล้วนั่นแหละ บุคคลนั้น ๆ จึงจะยอมรับว่า บาปบุญคุณโทษนั้นมีจริง และให้ผลตามที่แต่ละบุคคลได้ทำไว้ทุกประการ ดังตัวอย่าง เรื่อง บุพกรรมของพระพุทธองค์
    ท่านพระอานนทเถระ เมื่อจะประกาศประวัติอดีตชาติของพระพุทธเจ้าว่าด้วยบุพกรรมเก่า จึงกล่าวว่า
    ณ พื้นศิลาที่น่ารื่นรมย์ ใกล้สระอโนดาตโชติช่วงด้วยรัตนะต่าง ๆ ในละแวกป่า มีดอกไม้มีกลิ่นหอมนานาชนิด พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก มีหมู่ภิกษุหมู่ใหญ่ห้อมล้อม ประทับนั่งที่ศิลาอาสน์นั้น ได้ตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์ว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงฟังบุพกรรมของเรา ดังต่อไปนี้

    ๑. เรื่อง ถวายผ้าไว้ในอดีต จึงได้รับผลบุญ
    คราวหนึ่ง ขณะที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ใกล้สระอโนดาต ได้ตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ในชาติก่อน เรา เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นพราหมณ์ เห็นภิกษุผู้อยู่ป่าเป็นวัตร จึงได้ถวายผ้าเก่าผืนหนึ่ง ในกาลนั้น ข้าพเจ้าปรารถนาการตรัสรู้ เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก ผลของการถวายผ้าเก่าให้ผลในความเป็นพระพุทธเจ้า
    เรื่องนี้ มีกล่าวอธิบายขยายความไว้ว่า หลังจากที่พระสิทธัตถโพธิสัตว์ได้เจริญในศากยสกุล มีถิ่นกำเนิดชื่อว่ากรุงกบิลพัสดุ์ พระบิดามีพระนามว่า
    สุทโธทนะ พระมารดามีพระนามว่า มายาเทวี ทรงครองฆราวาสอยู่ ๒๙ ปี มีปราสาท ๓ หลัง มีชื่อว่า สุจันทะ โกกนุท และโกญจะ มเหสีพระนามว่ายโสธรา โอรสพระนามว่า ราหุล ทอดพระเนตรเห็นนิมิต ๔ ประการ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตายและสมณะแล้วเกิดความสังเวชสลดใจ กลางคืนได้เสด็จทรงม้ากัณฐกะ พร้อมกับนายฉันนะ แล้วเสด็จถึงแม่น้ำอโนมานที รับสั่งให้นายฉันนะนำม้าและเครื่องทรงกลับ แล้วพระองค์ก็ตัดพระโมลีแล้ว ตั้งสัจจะอธิษฐานโยนไปในอากาศว่า จักเป็นพระพุทธเจ้า ณ ริมฝั่งแม่น้ำอโนมานทีแล้ว ก็ดำริอีกว่า ผ้าของชาวกาสีอย่างดีเหล่านี้ ไม่สมควรแก่ความเป็นสมณะของเรา ในทันใดนั้นเอง สหายเก่าเมื่อครั้งพระกัสสปพุทธเจ้า ซึ่งไปเกิดเป็นพรหมชื่อว่า ฆฏิการมหาพรหม ช่วงระยะพุทธันดรหนึ่ง ไม่ถึงความพินาศเลย (คือดำรงอยู่ในชั้นพรหมโลกตลอด) เพราะเคยเป็นเพื่อนกัน จึงคิดว่า วันนี้ สหายเก่าของเราจะบวช เราจะถือสมณบริขาร ๘ อย่างกล่าวคือ ไตรจีวร บาตร มีดน้อย เข็ม ประคดเอว และผ้ากรองน้ำไป เพื่อสหายเก่าของเรานั้นดีกว่า ครั้นแล้ว ก็นำสมณบริขารทั้ง ๘ อย่างนั้น มาถวายด้วยตนเอง พระโพธิสัตว์ก็รับแล้วครองผ้าที่เป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์อธิษฐานเพศนักบวช ผู้อุดม

    ๒. เรื่อง ห้ามผู้อื่นดื่มน้ำ ทำให้ต้องอดน้ำ
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ใกล้สระอโนดาต ได้ตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๒ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ชาติปางก่อน เรา เมื่อครั้งเกิดเป็นนายโคบาล ต้อนโคไปเลี้ยง ได้เห็นแม่โคกำลังดื่มน้ำขุ่น จึงห้ามมันไว้ไม่ให้ดื่ม ด้วยผลกรรมนั้น ในภพสุดท้ายนี้ เรากระหายน้ำ ก็ไม่ได้ดื่มน้ำตามความปรารถนา
    มีเรื่องกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า ก่อนที่พระผู้มีพระภาคจะปรินิพพานหลังจากเสวยพระกระยาหารที่นายจุนทกัมมาร บุตรจัดถวายแล้ว ได้เกิดอาการพระประชวรอย่างรุนแรงลงพระบังคนหนักเป็นโลหิต(ถ่ายอุจจาระเป็น เลือด) ทรงมีทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส(กระหายน้ำอย่างมาก) แต่ทรงใช้สติสัมปชัญญะข่มทุกขเวทนาไว้ ตรัสชวนท่านพระอานนท์ ออกเดินทางต่อไปยังกรุงกุสินารา ระหว่างทางทรงหยุดพักและรับสั่งให้พระเถระนำน้ำดื่มมาถวาย แต่พระอานนท์กราบทูลว่า น้ำในแม่น้ำตรงนั้น มีน้ำน้อยและถูกกองเกวียน ๕๐๐ เล่มเหยียบย่ำไปก่อนหน้านั้นแล้วก็ไม่ไปตักมาถวาย จนพระองค์ต้องรับสั่งในครั้งที่ ๓ พระอานนท์จึงไปตักน้ำนำมาถวายให้พระองค์ได้ทรงดื่ม และน้ำที่พระอานนท์ไปตักนั้น กลับเป็นน้ำใสสะอาด น่าอัศจรรย์ใจมาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ธันวาคม 2010
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949


    โดยนำมาจาก บุพกรรมของพระพุทธองค์ โพสโดยคนธรรมะ



    ๓. เรื่อง กล่าวตู่พระอรหันต์ ทำให้ต้องตกนรก
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ใกล้สระอโนดาด ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๓ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ในชาติปางก่อน เราได้เคยเกิดเป็นนักเลงชื่อว่าปุนาลิ ได้กล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้ามีนามว่า สุรภี ผู้ไม่ประทุษร้ายใคร ด้วยผลกรรมนั้นเราจึงได้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในนรกเป็นเวลานาน เสวยทุกขเวทนาหลายพันปี ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่นั้น ในภพสุดท้ายนี้ เราจึงได้รับการกล่าวตู่เพราะนางสุนทรีเป็นเหตุ
    เรื่องนี้ มีกล่าวไว้อธิบายไว้ว่า สมัยนั้น ลาภสักการะเกิดขึ้นแก่พระพุทธเจ้าเป็นอันมาก เป็นเหตุให้พวกเดียรถีย์ทั้งหลายอับเฉาสิ้นลาภสักการะไปตาม ๆ กัน ไม่ผิดอะไรกับแสงหิ่งห้อยในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น วันหนึ่ง พวกเดียรถีย์ได้ปรึกษากันหาทางจะทำลายลาภสักการะของพระพุทธเจ้า เพื่อจะทำให้ตนได้ลาภสักการะ ดังที่เคยเป็น จึงขอแรงนางสุนทรีปริพาชิกาผู้มีรูปงามให้ไปทำลายพระพุทธเจ้า โดยให้ไปใส่ความว่าประพฤติร่วมประเพณีกับพระพุทธเจ้า
    นางสุนทรีทำเช่นนั้นอยู่ ๒-๓ วัน พวกเดียรถีย์ก็จ้างพวกนักเลงให้ไปฆ่านางสุนทรี แล้ว หมกไว้ที่ระหว่างกองขยะดอกไม้ใกล้พระคันธกุฎี พวกนักเลงได้ทำตามสั่งทุกประการ เอาละคราวนี้ พวกเดียรถีย์ก็แกล้งโจษจันหานางสุนทรี กราบทูลเรื่องนั้นแก่พระราชา พระราชารับสั่งให้ค้นหาจนทั่ว จึงได้ไปพบศพนางที่กองขณะดอกไม้ พวกเดียรถีย์จึงยกศพนางขึ้นเตียงแล้วหามเข้าไปยังพระนคร ทูลแด่พระราชาว่า สาวกของพระพุทธเจ้าฆ่านางสุนทรี แล้วหมกไว้ในระหว่างกองขยะดอกไม้ด้วยคิดว่า เราจักปกปิดกรรมชั่วที่พระพุทธเจ้าได้ทำไว้
    พระราชาได้ให้ป่าวร้องไปทั่วพระนคร พวกเดียรถีย์ได้เที่ยวป่าวร้องด่าพวกภิกษุในภายในและภายนอกพระนคร แม้กระทั่งในป่า ภิกษุได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระศาสดา พระศาสดาตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น พวกเธอจงกลับโจทมนุษย์เหล่านั้นอย่างนี้ แล้วตรัสคาถาเหล่านี้ว่า คนที่ชอบพูดเท็จ หรือคนที่ทำความชั่วแล้วกล่าวว่า “ฉันไม่ได้ทำ” ต่างก็ตกนรก คน ๒ จำพวกนั้น ต่างก็มีกรรมชั่ว มีกรรมเลวทราม ตายไปแล้ว มีคติเท่าเทียมกันในโลกหน้า
    พระราชาได้ส่งตำรวจไปสืบสวนเรื่องนั้น บังเอิญว่า วันนั้น พวกนักเลงผู้ฆ่านางสุนทรี กำลังเมาสุราทะเลาะกันอยู่ในร้านสุราแห่งหนึ่ง พูดพาดพิงไปถึงนางสุนทรีว่าตนเองเป็นผู้ฆ่านางสุนทรีเอง พวกตำรวจจึงจับกุมตัวไปถวายพระราชา พระราชาได้ตรัสถาม ทราบความจริงว่า เดียรถีย์จ้างให้ฆ่านางสุนทรี จึงรับสั่งให้เรียกพวกเดียรถีย์มาแล้วทรงบังคับให้ไปเที่ยวป่าวร้องบอกแก่ชาวพระนครว่า นางสุนทรีนี้พวกข้าพเจ้าประสงค์จะสาดโคลนใส่พระพุทธเจ้าให้ฆ่านางแล้ว โทษของพระสาวกของพระพุทธเจ้าไม่มี เป็นโทษของพวกข้าพเจ้าฝ่ายเดียว พวกเดียรถีย์ได้ทำอย่างนั้นแล้ว คลายความสงสัยของมหาชนผู้โง่เขลาเสียได้ ต่อมา เดียรถีย์เหล่านั้น พร้อมด้วยพวกนักเลง ก็ถูกตัดสินประหารชีวิตฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา ตั้งแต่นั้นมา ลาภสักการะของพระพุทธเจ้าก็เจริญรุ่งเรืองตามเดิม
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ๔. เรื่อง กล่าวตู่พระอรหันต์ ทำให้ตกนรกถึงแสนปี
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๔ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า เราเมื่อครั้นเกิดเป็นนักเลงหัวไม้ เป็นอันธพาล เพราะการกล่าวตู่พระนันทเถระ ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เราจึงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในนรกเป็นเวลานาน ถึง ๑๐๐,๐๐๐ ปี ครั้นได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็ได้รับการกล่าวตู่มาก ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่นั้น นางจิญจมาณวิกาจึงมากล่าวตู่เรา ด้วยคำไม่จริงท่ามกลางหมู่ชน
    มีเรื่องกล่าวไว้ว่า สมัยนั้น ลาภสักการะเกิดขึ้นแก่พระพุทธเจ้าเป็นอันมาก ฝ่ายพวกเดียรถีย์ลดน้อยลง ราวกับแสงหิ่งห้อยในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น พวกเดียรถีย์จึงประชุมตกลงกัน ออกอุบายให้นางจิญจมาณวิกาปริพพาชิกา ผู้มีรูปงามคนหนึ่งทำลายพระพุทธเจ้า นางจิญจมาณวิกาได้ทำทีเป็นเดินเข้า-ออกในเวลาเช้าตรู่และเวลาเย็น ทำให้พวกอุบาสกผู้ไปฟังธรรมสงสัย นางบอกว่า ได้อยู่ร่วมในพระคันธกุฎีเดียวกันกับพระสมณโคดม ยิ่งทำให้คนพวกนั้นสงสัยขึ้นอีก
    ต่อมา นางได้เอาผ้าพันท้อง ทำเป็นคล้ายคนมีท้องได้ ๘-๙ เดือนจวนจะคลอด เมื่อพระพุทธเจ้ากำลังประทับนั่งแสดงธรรมอยู่บนธรรมาสน์นั่นเองได้ไปสู่ธรรมสภา ทูลพระองค์ว่า มหาสมณะ พระองค์ดีแต่พูดเท่านั้น เสียงพระองค์ไพเราะ พระโอษฐ์ของพระองค์สนิท ส่วนหม่อมฉันอาศัยพระองค์ได้เกิดมีครรภ์ครบกำหนดแล้ว พระองค์ไม่ทรงทราบที่คลอดของหม่อมฉัน ไม่ทรงทราบเครื่องบริหารครรภ์แก่หม่อมฉัน เมื่อไม่ทรงทำเอง ก็ไม่ตรัสบอกพระเจ้าโกศล อนาถบิณฑิกเศรษฐี หรือนางวิสาขามหาอุบาสิกา คนใดคนหนึ่ง แล้วด่าพระพุทธเจ้าต่าง ๆ นานาในท่ามกลางบริษัท
    ฝ่ายท้าวสักกะ เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น จึงสั่งให้เทพบุตร ๒ องค์โดยให้แปลงเป็นหนู และแปลงเป็นลม มาทำลายพิธีของนาง กัดเชือกที่ผูกท่อนไม้ไว้ และลมพัดเลิกผ้าห่มขึ้น ไม้กลมพลัดตกลงบนหลังเท้าของนาง ปลายเท้าทั้ง ๒ ข้างแตก มนุษย์ทั้งหลายก็พูดว่า นางกาฬกัณณี เจ้าด่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ่มเขฬะลงบนศีรษะ ขับออกจากวิหาร นางวิ่งเตลิดเปิดเปิงไป พอล่วงคลองพระจักษุของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ก็ถูกแผ่นดินสูบตกไปเกิดในอเวจีมหานรก ลาภสักการะของพวกเดียรถีย์เสื่อมลงอีก แต่ของพระทศพลยิ่งเจริญขึ้น
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ๕. เรื่อง กล่าวว่าร้ายผู้ทรงศีล จึงทำให้ถูกใส่ร้าย
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๕ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    เราเกิดเป็นพราหมณ์ ผู้มีสุตะ มีประชาชนสักการะบูชา ได้สอนมนตร์ให้มาณพประมาณ ๕๐๐ คน ในป่าใหญ่ ได้เห็นฤาษีผู้น่าเกรงกลัว ผู้ได้อภิญญา ๕ มีฤทธิ์มาก มายังสำนักของเรา เราจึงกล่าวตู่ฤาษี ผู้ไม่ประทุษร้ายใคร โดยบอกลูกศิษย์ว่า ฤาษีผู้นี้มักบริโภคกามคุณ เพียงเราบอกเท่านั้น พวกมาณพก็พลอยเชื่อ ตั้งแต่นั้นมา ครั้นไปเที่ยวหาอาหารในตระกูลทั้งหลาย พากันบอกประชาชนว่า ฤาษีตนนี้มักบริโภคกามคุณ ด้วยผลกรรมนั้น ภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้ ได้รับการกล่าวตู่ เพราะนางสุนทรี เป็นเหตุ
    มีเรื่องกล่าวไว้ว่า พวกมิจฉาทิฏฐิผู้ไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ได้ติดตามพระพุทธเจ้าผู้เสด็จเข้าไปภายในพระนครได้ด่าบริภาษด้วยอักโกสวัตถุ ๑๐ ว่า เจ้าเป็นโจร เป็นคนพาล เป็นคนหลง เป็นอูฐ เป็นโค เป็นฬา เป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์ดิรัจฉาน ไม่มีหวังจะได้สุคติ ทุคติเท่านั้น ที่เจ้าควรหวัง
    ท่านพระอานนท์สดับคำนั้นแล้วได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกชาวเมืองได้ด่าบริภาษพวกเรา พวกเราจะไปที่อื่นจากเมืองนี้เถิด พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า จะไปที่ไหน เมื่อถูกด่าที่นั่นอีก จะทำอย่างไร พระอานนท์กราบทูลว่า จะไปเมืองอื่นอีก เมื่อถูกด่าที่นั่นอีกก็หนีไปเรื่อย ๆ พระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า การทำอย่างนั้น ไม่สมควร เมื่ออธิกรณ์เกิดขึ้นในที่ใด ต้องสงบในที่นั้นเสียก่อน จึงสมควรไปที่อื่น แล้วตรัสถามต่อไปว่า พวกไหนเล่าด่าพวกเรา
    อานนท์กราบทูลว่า คนทั้งหมดกระทั่งทาสและกรรมกรก็พากันด่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า อานนท์ เราเป็นเหมือนกับช้างที่เข้าสู่สงคราม การอดทนต่อคำพูดของคนไม่มีศีล มีจำนวนมากเป็นภาระของเรา เช่นเดียวกันกับการอดทนต่อลูกศรที่แล่นมาจกทิศ เป็นภาระของช้างที่เข้าสู่สงคราม
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ๖. เรื่อง ทรัพย์เป็นเหตุ ทำให้พี่ฆ่าน้อง
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๖ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ในชาติก่อน เราได้ฆ่าน้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่งทรัพย์ จับโยนลงซอกภูเขาแล้วโยนหินทับไว้ ด้วยผลกรรมนั้น พระเทวทัตจึงผลักก้อนหินกลิ้งลงมา สะเก็ดหินกระทบนิ้วหัวแม่เท้าของเราจนห้อเลือด
    เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า ครั้งที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กรุงโกสัมพี พระเทวทัตถูกความมักใหญ่ครอบงำจิต ชักจูงให้อชาตศัตรูกุมารเลื่อมใสในฤทธิ์ของตน คิดจะขอพระพุทธเจ้าปกครองภิกษุสงฆ์ พระเทวทัตได้เสื่อมจากฤทธิ์ พร้อมกับความคิดนั้น ต่อมา ถูกสงฆ์ทำปกาสนียกรรม จึงไปยุยงให้อชาตศัตรูกุมารปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นชนก ส่วนตนเองได้ส่งคนไปลอบปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาค แต่คนเหล่านั้นกลับเลื่อมใสในพระองค์ ได้ฟังอนุปุพพีกถาสำเร็จโสดาปัตติผลทุกคน สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จจงกรมอยู่ ณ ที่ร่มเงาภูเขาคิชฌกูฏ ทีนั้น พระเทวทัตขึ้นภูเขาคิชฌกูฏกลิ้งศิลาก้อนใหญ่ ด้วยหมายใจว่า เราจะปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคด้วยก้อนศิลา ยอดภูเขา ๒ ข้างมาบรรจบกันรับศิลาก้อนนั้นไว้ สะเก็ดศิลากระเด็นจากก้อนศิลานั้นไปกระทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคจนพระโลหิตห้อขึ้น ทีนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแหงนพระพักตร์ ได้ตรัสว่า โมฆบุรุษ เธอสั่งสมสิ่งที่มิใช่บุญไว้มากที่มีจิตคิดร้าย คิดฆ่าทำโลหิตของตถาคตให้ห้อ แล้วตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า เทวทัตทำโลหิตของตถาคตให้ห้อ ได้ทำอนันตริยกรรมแล้ว
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ๗. เรื่อง เคยแกล้งพระไว้ จึงได้รับการแกล้งตอบ
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๗ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ในชาติก่อน เรายังเป็นเด็กเล่นอยู่ที่หนทางใหญ่ ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ากำลังเดินทางมา ณ ทางนั้น จึงได้หว่านก้อนกรวดไว้ที่หนทาง ด้วยผลกรรมนั้น ในภพสุดท้ายนี้ พระเทวทัต จึงชักชวนนักแม่นธนู ผู้เป็นนักฆ่า เพื่อฆ่าเรา
    เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า ณ กรุงราชคฤห์ หลังจากพระเทวทัตไปถวายพระพรให้พระเจ้าอชาตศัตรูกุมารส่งราชบุรุษไปปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าแล้ว ต่อมา พระเทวทัตก็สั่งบุรุษคนหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่โน้น ท่านจงไปปลงพระชนม์พระองค์แล้วกลับมาทางนี้ แล้วซุ่มบุรุษไว้ริมทาง ๒ คนด้วยสั่งว่า พวกท่านจงฆ่าคนที่เดินมาทางนี้ เพียงลำพังแล้วมาทางนี้ ซุ่มบุรุษไว้ริมทางอีก ๔, ๘, ๑๖ คน ด้วยสั่งว่า พวกท่านจงฆ่าคนพวกนี้ ที่เดินมาทางนี้ ๆ ต่อมา บุรุษคนหนึ่งนั้น ถือดาบและโล่ห์สะพายธนูเข้าหาประชิดตัวพระผู้มีพระภาค ครั้นแล้วก็ยืนกลัวจนตัวแข็งทื่อไม่ห่างจากพระผู้มีพระภาค
    พระองค์จึงตรัสว่า อย่ากลัวเลย พอบุรุษนั้นได้ฟังพระดำรัสเช่นนั้นแล้ว ได้วางดาบและโล่ห์ ปลดธนูวางไว้ แล้วซบศีรษะแทบพระยุคลบาทกราบทูลว่า กระผมทำความผิดเพราะความโง่เขลา ที่มีจิตคิดประทุษร้ายคิดจะปลงพระชนม์จึงเข้ามาที่นี้ ขอพระองค์โปรดประทานอภัยโทษแก่กระผม เพื่อความสำรวมต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่เป็นไร การที่บุคคลเห็นความผิดเป็นความผิดแล้ว แก้ไขให้ถูกต้อง นี้เป็นความเจริญในอริยวินัย แล้วตรัสอนุปุพพีกถาให้บุรุษนั้นฟัง จนบุรุษได้บรรลุเป็นโสดาบัน แล้วตรัสกับบุรุษนั้นว่า ท่านอย่าไปทางนั้น จงไปทางนี้ แล้วส่งเขาไปทางอื่น
    ต่อมาบุรุษอีก ๒ คนปรึกษากันว่า ทำไม บุรุษคนนั้น จึงมาชักช้านักแล้วเดินสวนทางไป ได้พบพระผู้มีพระภาค ณ ควงไม้แห่งหนึ่ง แล้วเข้าไปสนทนาด้วย พระผู้มีพระภาคได้แสดงธรรมให้ฟังจนบุรุษทั้ง๒ ได้บรรลุเป็นโสดาบัน แม้บุรุษ ๔, ๘ และ ๑๖ ก็มีนัยเดียวกันแล ต่อมา บุรุษคนแรกนั้น ได้ไปหาพระเทวทัตแล้วพูดว่า กระผมไม่สามารถปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคได้ พระองค์มีฤทธิ์มาก พอพระเทวทัตได้ฟังเช่นนั้นพูดตัดบทว่า ไม่เป็นไร ท่านอย่าได้ฆ่าเลย เราจะลงมือปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าเอง
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ๘. เรื่อง ควาญช้างไสช้างไล่พระ
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๘ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ในชาติก่อน เราเมื่อครั้งเกิดเป็นนายควาญช้าง ได้ไสช้างไล่พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้เป็นพระมุนีสูงสุด ที่กำลังเที่ยวบิณฑบาต ด้วยผลกรรมนั้น ช้างนาฬาคีรีเชือกดุร้าย จึงวิ่งไล่เราในกรุงราชคฤห์อันประเสริฐ
    เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า หลังจากที่พระเทวทัตลอบปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคหลายครั้งแล้ว แต่ไม่สำเร็จเลย ก็หาได้หยุดการกระทำเช่นนั้นไม่ สมัยนั้น ในกรุงราชคฤห์มีช้างชื่อนาฬาคีรีดุร้าย ชอบฆ่าคน ต่อมาพระเทวทัตได้ไปที่โรงช้าง แล้วอ้างเหตุผลกับนายควาญช้างว่า พวกเราเป็นพระญาติของพระราชา สามารถจะแต่งตั้งผู้อยู่ในตำแหน่งต่ำไว้ในตำแหน่งสูง และเพิ่มเงินเดือนให้ได้ ทำอย่างนี้ เวลาพระพุทธเจ้าเสด็จมาทางตรอกนี้ พวกท่านจงปล่อยช้างนาฬาคีรีนี้เข้าไป
    เมื่อพระผู้พระภาคเสด็จดำเนินถึงตรอกนั้น พวกนายควาญช้างจึงได้ปล่อยนาฬาคีรีไปปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาค ช้างนาฬาคีรีได้ชูงวงหูชัน หางชี้ วิ่งตรงไปที่พระผู้มีพระภาค เวลานั้นคนทั้งหลายหนีขึ้นไปบนปราสาทนั้นบ้าง เรือนโล้นบ้าง บนหลังคาบ้าง พวกที่ไม่ศรัทธาพูดว่า พระสมณโคดมจะถูกช้างฆ่า ส่วนผู้มีศรัทธาก็พูดว่า ประเดี๋ยวจะคอยดูสงครามระหว่างพระพุทธเจ้ากับช้าง ทีนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแผ่เมตตาจิตไปที่ช้างนาฬาคีรี ช้างนาฬาคีรีได้สัมผัสกระแสเมตตาจิตของพระผู้มีพระภาค จึงหมดพยศยืนอยู่ตรงพระพักตร์ แล้วพระผู้มีพระภาคทรงยกพระหัตถ์ขวาลูบกระพองช้างนาฬาคีรี
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ๙. เรื่อง เคยเป็นทหารรับจ้าง จึงได้รับความทรมาน
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๙ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ในชาติก่อน เราเมื่อครั้งเกิดเป็นทหารรับจ้าง ได้ใช้หอกฆ่าคนจำนวนมาก ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงถูกไฟไหม้อย่างร้อนแรงในนรก ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่ เพราะกรรมยังไม่สิ้นไป ในบัดนี้ ไฟ (ความร้อน) นั้นยังตามมาไหม้ผิวหนังที่เท้าของเราทุกแห่ง
    เรื่องนี้ มีกล่าวขยายความไว้ในชาดกว่า เมื่อครั้งพระโพธิสัตว์ เกิดเป็นคนรักษาป่า มีบริวาร ๕๐๐ คน ได้รับจ้างคุ้มครองพวกพ่อค้าเกวียน ให้ข้ามดงที่มีโจรผู้ร้ายซุ่มอยู่ด้วยความกล้าหาญตามหน้าที่ที่รับผิดชอบ บุตรชายพ่อค้าเห็นความกล้าหาญของโพธิสัตว์จึงถามว่า
    เมื่อความตายปรากฏอยู่ตรงหน้า เพราเห็นพวกโจรยิงลูกธนูที่แหลมคมเข้ามาด้วยความว่องไว และยังถือดาบอันคมกริบวิ่งเข้ามาอีก เพราะเหตุไร ท่านจึงไม่สะดุ้งกลัว พระโพธิสัตว์บอกว่า เวลาที่เห็นโจรร้ายวิ่งเข้ามา ข้าพเจ้ากลับมีความยินดีที่จะได้ย่ำยีศัตรู เพราะก่อนที่จะมาทำหน้าที่นี้
    ได้ยอมสละชีวิตไว้แล้ว จึงไม่มีความอาลัยในชีวิต สามารถทำกิจของตนได้อย่างกล้าหาญทุกเวลา
    เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ว่า หลังจากที่พระเทวทัตทำพระโลหิตของพระผู้มีพระภาคให้ห้อแล้ว แล้วพระผู้มีพระภาคเสด็จไปชีวกัมพวันให้หมอชีวกรักษา หมอชีวกได้รักษาโดยปรุงยาอย่างแรงกล้าเพื่อสมานแผลแล้ว ปิดแผล แล้วกราบทูลว่า กระผมมีธุระในเมือง ขอให้ยานี้อยู่จนกว่ากระผมจะกลับมา แล้วหมอชีวกก็เข้าเมืองไป แต่กลับมาไม่ทันประตูเมืองเพราะประตูปิดก่อน แล้วก็นึกตกใจว่า ถึงเวลาที่จะเอายาออกแล้ว ถ้าไม่เอายาออกล่ะก็ พระผู้มีพระภาคก็จะเกิดความเร่าร้อนในสรีระตลอดทั้งคืนเป็นแน่ ต่อมา พระผู้มีพระภาค ได้รับสั่งให้พระอานนท์นำยาที่ปิดแผลนั้นออกในตอนค่ำนั่นเอง
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ๑๐. เรื่อง เด็กเล็กเห็นปลาถูกฆ่า แล้ว แต่ดีใจ
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑๐ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ในชาติก่อน เราเมื่อครั้งเกิดเป็นเด็กเล็กลูกของชาวประมง อาศัยอยู่ในเกวัฏฏคาม เห็นชาวประมงฆ่าปลาแล้ว เกิดความโสมนัส ด้วยเจตนาที่เป็นอกุศลกรรมนั้น จึงทำให้ไปเสวยทุกข์ในอบายทั้ง ๔ ด้วยเศษแห่งผลบาปกรรมนั้น เราจึงปวดศีรษะ เมื่อพวกเจ้าศากยะถูกที่พระเจ้าวิฑูฑภะฆ่าตายเป็นจำนวนมาก
    ๑๑. เรื่อง ด่า แช่งผู้อื่นไว้อย่างไร ก็ได้รับผลอย่างนั้น
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑๑ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    เราเมื่อครั้งเกิดเป็นคนสามัญ ได้ด่า แช่งเหล่าสาวกในศาสนาของพุทธเจ้า พระนามว่าผุสสะด้วยคำว่า ท่านทั้งหลายจงขบเคี้ยว จงฉันแต่ข้าวเหนียว อย่าได้ฉันข้าวสาลีเลย ด้วยผลกรรมนั้น เรารับนิมนต์พราหมณ์ อยู่จำพรรษา ณ เมืองเวรัญชา ได้ฉันแต่ข้าวเหนียว ตลอด ๓ เดือน
    เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ว่า หลังจากที่พระพุทธองค์รับคำของเวรัญชพราหมณ์ว่าจะอยู่จำพรรษาแล้ว สมัยนั้นเมืองเวรัญชาเกิดข้าวยากหมากแพง ประชาชนมีความเป็นอยู่แร้นแค้น ใช้สลากปันส่วนซื้ออาหาร ล้มตายกันกระดูกขาวเกลื่อน ยากที่พระอริยะจะบิณฑบาตยังชีพได้ ต่อมา พวกพ่อค้าม้าชาวเมืองอุตตราบถ มีม้าอยู่ประมาณ ๕๐๐ ตัว เข้าพักแรมช่วงฤดูฝนในเมืองเวรัญชา พวกเขาตระเตรียมข้าวนึ่ง (ข้าวสารเหนียวที่เอาแกลบออกแล้วนึ่งเก็บไว้ จะเรียกว่าข้าวตาก ก็ได้ พวกพ่อค้านิยมนำติดตัวไป ในเวลาเดินทางไปค้าขายยังต่างเมือง เพื่อเป็นอาหารม้าในถิ่นที่อาหารม้าหายาก) เพื่อถวายพระภิกษุรูปละประมาณ ๑ ทะนานไว้ที่คอกม้า รุ่งเช้า ภิกษุทั้งหลายครองอันตรวาสก ถือบาตรและจีวรไปบิณฑบาตในเมืองเวรัญชา บิณฑบาตไม่ได้เลย จึงไปที่คอกม้า รับข้าวนึ่งรูปละประมาณ ๑ ทะนาน นำไปตำให้ละเอียดแล้วฉัน ส่วนพระอานนท์บดข้าวนึ่งประมาณ ๑ ทะนานบนหินบดแล้ว น้อมเข้าไปถวายพระผู้มีพระภาค พระองค์เสวยข้าวนั้น
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ๑๒. เรื่อง เคยเป็นนักมวยปล้ำ หักหลังผู้อื่นไว้
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑๒ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ในชาติก่อน เราเมื่อครั้งเกิดเป็นนักมวย ได้ทำการชกกับนักมวยผู้อื่น ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงเกิดความทุกข์ที่สันหลัง (ปวดหลัง)
    เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ว่า คราวหนึ่งพระโพธิสัตว์ เกิดในตระกูลคหบดี มีกำลังมากมหาศาล แต่ตัวเตี้ย ต่อมามีนักมวยปล้ำต่างถิ่นมาท้าต่อสู้ และทำให้บุรุษหลายคนในหมู่บ้าน ถูกทำร้ายบาดเจ็บและพ่ายแพ้ และเมื่อพระโพธิสัตว์พบเหตุการณ์นั้น จึงขออาสาต่อสู้ด้วย พอได้ฟังคำพูดเช่นนี้ นักมวยปล้ำผู้นั้นได้พูดดูถูกต่าง ๆ นานา และเมื่อทั้งสองได้ต่อสู้กัน พระโพธิสัตว์แม้ถึงจะตัวเตี้ย แต่ก็ได้จับนักปล้ำผู้นั้นขึ้นแล้วหมุนไปในอากาศ แล้วทุ่มลงภาคพื้น แล้วจับดัดหลัง จนนักปล้ำผู้นั้น กระดูกหักเจ็บปวดอย่างมาก และยอมแพ้ในที่สุด แล้วพระโพธิสัตว์สั่งสอนว่า อย่ามาทำอย่างนี้อีกในหมู่บ้านนี้ ด้วยกรรมนั้น เราได้เสวยผลกรรมมีโรคประจำเช่นปวดหลังเป็นต้น แม้ในชาตินี้ ถึงเราจะทรงพลังอย่างนับไม่ได้ แต่ก็ยังเป็นโรคปวดหลังอยู่
    ๑๓. เรื่อง หมอรักษาโรค แต่ประมาท
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑๓ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ในชาติก่อน เราเป็นหมอรักษาโรค ได้ถ่ายยาให้ลูกชายเศรษฐี (ถึงแก่ความตาย) ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงป่วยเป็นโรคปักขันทิกาพาธ
    เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งที่พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลคหบดี ได้เป็นหมอรักษาคนไข้ คราวหนึ่ง ได้รักษาลูกเศรษฐีคนหนึ่ง ตรวจโรคแล้ว จัดยารักษาโรคชนิดนั้น แต่เพราะความประมาท ตอนจ่ายยานั้น ได้จ่ายยารักษาโรคต่างชนิดกันให้ไป ทำให้ลูกเสรษฐีนั้นรับประทานยาไปแล้วถ่ายอย่างรุนแรง
    ตรงนี้ มีกล่าวขยายความไว้ว่า ในชาตินี้ ในสมัยเป็นที่ปรินิพพาน หลังจากพระผู้มีพระภาคเสวยพระกระยาหารที่ชื่อว่าสุกรมัททวะ ของนายจุนทกัมมารบุตรแล้ว ได้เกิดอาการพระประชวรอย่างรุนแรงลงพระบังคนหนักเป็นโลหิต ทรงมีทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสจวนเจียนจะปรินิพพาน แต่ทรงใช้สติสัมปชัญญะข่มทุกขเวทนาเหล่านั้นอย่างไม่พรั่นพรึง
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ๑๔. เรื่อง สบประมาทผู้อื่น จึงต้องประสบทุกข์
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑๔ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    เราเมื่อครั้งเกิดเป็นมาณพ ชื่อโชติปาละ ได้กล่าวประสบประมาทพระกัสสปพุทธเจ้าว่า การตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิ์จักมีมาแต่ที่ไหน การตรัสรู้หาได้แสนยาก ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงได้บำเพ็ญทุกรกิริยานานถึง ๖ ปี แต่ว่า เราก็มิได้บรรลุพระโพธิญาณที่สูงสุด ด้วยทางนี้ ต่อมา จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ ที่ตำบลอุรุเวลา เราถูกกรรมในปางก่อนตักเตือนแล้ว จึงแสวงหาโพธิญาณผิดทาง เราสิ้นบาปสิ้นบุญแล้ว ปราศจากความเร่าร้อนทุกอย่าง ไม่มีความเศร้าโศก ไม่มีความคับแค้น ไม่มีอาสวะ จักปรินิพพาน พระพุทธเจ้าได้ทรงบรรลุกำลังแห่งอภิญญาทั้งปวง ทรงพยากรณ์บุพกรรมเช่นนี้ มุ่งหวังประโยชน์สำหรับหมู่ภิกษุ ณ สระอโนดาต ด้วยประการฉะนี้แล
    ตรงนี้ มีเนื้อความกล่าวไว้ว่า หลังจากที่เจ้าชายสิทธัตถโพธิสัตว์ ทรงครองฆราวาสอยู่ ๒๙ ปี ทรงเห็นนิมิต ๔ ทำความสังเวชให้เกิดขึ้น ขึ้นม้ากัณฐกะพร้อมกับนายฉันนะออกไป ทรงรับสมณบริขารที่มหาพรหมถวาย แล้วผนวชที่ริ่มฝั่งแม่น้ำอโนมานทีบำเพ็ญเพียรประพฤติทุกรกิริยาอย่างหนักอยู่ ๖ ปี อาทิเช่น กดฟันด้วยฟัน ใช้ลิ้นดันเพดานไว้แน่น ใช้จิตข่มคั้นจิต ทำจิตให้เร้าร้อน เมื่อทำเช่นนั้น เหงื่อก็ไหลออกจากรักแร้ทั้ง ๒ ข้าง กลั้นลมหายใจเข้า-ออกทั้งทางปาก-จมูก ทำให้ลมออกทางหูทั้ง ๒ ข้าง มีเสียงดังอู้ ๆ และเกิดลมแรงกล้าเสียดแทงศีรษะ ทำให้เกิดทุกขเวทนาในศีรษะอย่างแรงกล้า ทำให้เกิดลมอันแรงกล้าบาดในช่องท้อง
    เมื่อพระองค์ประพฤติตนเช่นนี้แล้ว ทำให้เกิดความกระวนกระวายในร่างกายอย่างแรงกล้า ทำให้เกิดกายกระสับกระส่ายไม่สงบ ต่อมาก็ลดอาหารที่ละน้อย จนฉันอาหารประมาณเท่าเมล็ดถั่วพูและเมล็ดบัว จึงทำให้ร่างกายซูบผอมมาก เดินไปไหนก็ซวนเซล้มลง ณ ที่นั้น จนชนทั้งหลายเห็นแล้ว พากันทักต่าง ๆ นานา ทำให้ได้คิด จึงเปลี่ยนวิธีปฏิบัติเสียใหม่ กลับมาฉันอาหารตามเดิม แล้วปฏิบัติฌาน ๔ และวิชชา ๓ จึงตรัสรู้พระพุทธเจ้า (จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ) ภายใต้ต้นโพธิ
    เรื่องบุพกรรมของพระพุทธองค์ดังที่กล่าวมานี้ เป็นการชี้ให้เห็นว่า ผู้ใดผู้หนึ่ง ไม่ว่าเป็นผู้มีพระคุณมากมายปานใด เช่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือแม้แต่พระคุณน้อยนิดเช่น เด็กน้อยเดียงสาแกล้งผู้อื่นก็ตาม ผู้ที่ได้กระทำบุญหรือบาปไว้ ย่อมจะต้องได้รับผลของกรรมนั้น ๆ อย่างแน่นอน ตราบที่ยังเวียนว่ายตายเกิด ยังไม่สิ้นอาสวะกิเลส หรือแม้แต่สิ้นอาสวะกิเลส ยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่ปรินิพพานก็ย่อมได้รับผลของกรรมเช่นเดียวกัน ซึ่งตรงกับเนื้อความกล่าวรับรองไว้ว่า เรามีกรรมเป็นของตน เป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมใด เป็นบุญหรือเป็นบาปก็ตาม เราจะต้องรับผลของกรรมนั้น
    ท้ายนี้ ฝากคติธรรมว่า เวรกรรมที่แต่ละคนได้กระทำไว้นั้น อย่าคิดประมาทว่าเป็นกรรมเล็กน้อยและจักไม่ให้ผล กรรมที่กระทำไว้นั้นรอวันให้ผลทั้งนั้น แต่จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับว่ากรรมนั้นหนักหรือเบานั่นเอง สุดท้ายนี้ ขอให้ท่านผู้อ่านจงโชคดีและมีความสุขทุกเมื่อเทอญ
    ที่มา : คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา



    โดยนำมาจาก บุพกรรมของพระพุทธองค์ โพสโดยคนธรรมะ



     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    บุพกรรมของพระพุทธองค์

    โพสโดย คนธรรมะ

    -http://www.dhammathai.org/store/karma/view.php?No=244-

    ความนำ
    พระ พุทธเจ้าทรงเล่าบุพกรรมของพระองค์ ในพระชาติต่าง ๆ ๑๔ ชาติ ทรงเริ่มพระชาติแรกที่ทรงปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า และได้ถวายท่อนผ้าเก่าผืนหนึ่งแก่พระผู้อยู่ป่าเป็นวัตร
    ผลแห่งทานนี้ได้ เกิดแก่พระองค์ การที่ทรงเล่าบุพกรรมทั้งฝ่ายกุศลและฝ่ายอกุศลนี้ ก็เพื่อเป็นตัวอย่างว่า พระองค์เมื่อยังเป็นปุถุชน ก็ได้ทำดีและทำชั่วมาแล้ว ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นบทเรียนแก่พวกเรา ดังที่ตรัสไว้ตอนหนึ่งในพุทธาปทาน มีใจความว่า
    เมื่อเห็นความเกียจคร้านเป็นภัย เห็นความเพียรเป็นความปลอดภัย ก็จงปรารภความเพียรเถิด นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
    อนึ่ง เรื่องบุพกรรมเล่มนี้ เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงกรรมและผลของกรรมที่แต่ละคนได้ทำไว้ ในเรื่องบุญและบาป ที่มักพูดกันว่า ด้วยอำนาจบาปที่ได้กระทำไว้ในชาตินี้ จะกลายเป็นแรงบาปส่งผลให้ไปเกิดในอบายภูมิทั้ง ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย และกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในชาติหน้าหรือชาติต่อ ๆ ไป
    ด้วยอำนาจบุญกุศลที่ได้กระทำไว้ในชาตินี้ จะกลายเป็นแรงบุญส่งผลให้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ในชาติหน้าหรือชาติต่อ ๆ ไป
    ผล กรรมที่แต่ละบุคคลได้ทำไว้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนดีที่นิยมเรียกว่าบุญ หรือส่วนชั่วที่นิยมเรียกกันว่าบาป ย่อมทำหน้าที่ในการตามให้ผลอย่างเที่ยงตรงและต่อเนื่อง โดยไม่มีอำนาจอื่นใดจะมาเบี่ยงเบนให้เป็นอย่างอื่นไปได้ ส่วนจะตามให้ผลทันตาเห็นในชาตินี้ หรือตามให้ผลในชาติต่อๆไปนั่น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
    ค่านิยมในสังคมปัจจุบันนี้ มีอะไรหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก บุคคลส่วนใหญ่ไม่ค่อยคำนึงถึงบาปบุญคุณโทษกันเท่าไรนัก จนบางครั้งถึงกับมีการพูดว่า ถ้ามัวแต่คำนึงถึงบาปบุญคุณโทษ ก็ไม่ต้องไปทำมาหากินอะไรกันหรอก มีหวังอดตายกันหมด หรือเรื่องบาปบุญคุณโทษเป็นเพียงนิทานหลอกเด็ก ประกอบกับคนทำความชั่วบางคนสามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างสุขสำราญ และได้รับการยกย่องนานัปการว่าเป็นผู้มีเกียรติ เป็นผู้ทำคุณงามความดีอันเป็นประโยชน์ต่อสังคม เพียงแค่การบริจาคเงินให้แก่องค์กรสาธารณกุศลเพียงเล็กน้อย เป็นต้นตัวอย่างที่เห็นกันอยู่นี้เองทำให้คนอีกเป็นจำนวนมากเกิดความรู้สึก สับสน หรือให้ความสำคัญเรื่องบาปบุญคุณโทษน้อยไปได้
    ความจริง เรื่องบาปบุญคุณโทษมิใช่เป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ เพียงแต่ว่าคนที่ทำความดีและความชั่วยังมิได้ประสบผลของมันโดยตรง จึงทำให้บุคคลอีกส่วนหนึ่งเกิดความเข้าใจสับสนไป แต่เมื่อใดที่ผลของความดีและความชั่วให้ผลโดยตรงแล้วนั่นแหละ บุคคลนั้น ๆ จึงจะยอมรับว่า บาปบุญคุณโทษนั้นมีจริง และให้ผลตามที่แต่ละบุคคลได้ทำไว้ทุกประการ ดังตัวอย่าง เรื่อง บุพกรรมของพระพุทธองค์
    ท่านพระอานนทเถระ เมื่อจะประกาศประวัติอดีตชาติของพระพุทธเจ้าว่าด้วยบุพกรรมเก่า จึงกล่าวว่า
    ณ พื้นศิลาที่น่ารื่นรมย์ ใกล้สระอโนดาตโชติช่วงด้วยรัตนะต่าง ๆ ในละแวกป่า มีดอกไม้มีกลิ่นหอมนานาชนิด พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก มีหมู่ภิกษุหมู่ใหญ่ห้อมล้อม ประทับนั่งที่ศิลาอาสน์นั้น ได้ตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์ว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงฟังบุพกรรมของเรา ดังต่อไปนี้
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    บุพกรรมของพระพุทธองค์

    โพสโดย คนธรรมะ

    -http://www.dhammathai.org/store/karma/view.php?No=244-


    ๑. เรื่อง ถวายผ้าไว้ในอดีต จึงได้รับผลบุญ
    คราวหนึ่ง ขณะที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ใกล้สระอโนดาต ได้ตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ใน ชาติก่อน เรา เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นพราหมณ์ เห็นภิกษุผู้อยู่ป่าเป็นวัตร จึงได้ถวายผ้าเก่าผืนหนึ่ง ในกาลนั้น ข้าพเจ้าปรารถนาการตรัสรู้ เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก ผลของการถวายผ้าเก่าให้ผลในความเป็นพระพุทธเจ้า
    เรื่องนี้ มีกล่าวอธิบายขยายความไว้ว่า หลังจากที่พระสิทธัตถโพธิสัตว์ได้เจริญในศากยสกุล มีถิ่นกำเนิดชื่อว่ากรุงกบิลพัสดุ์ พระบิดามีพระนามว่า
    สุทโธทนะ พระมารดามีพระนามว่า มายาเทวี ทรงครองฆราวาสอยู่ ๒๙ ปี มีปราสาท ๓ หลัง มีชื่อว่า สุจันทะ โกกนุท และโกญจะ มเหสีพระนามว่ายโสธรา โอรสพระนามว่า ราหุล ทอดพระเนตรเห็นนิมิต ๔ ประการ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตายและสมณะแล้วเกิดความสังเวชสลดใจ กลางคืนได้เสด็จทรงม้ากัณฐกะ พร้อมกับนายฉันนะ แล้วเสด็จถึงแม่น้ำอโนมานที รับสั่งให้นายฉันนะนำม้าและเครื่องทรงกลับ แล้วพระองค์ก็ตัดพระโมลีแล้ว ตั้งสัจจะอธิษฐานโยนไปในอากาศว่า จักเป็นพระพุทธเจ้า ณ ริมฝั่งแม่น้ำอโนมานทีแล้ว ก็ดำริอีกว่า ผ้าของชาวกาสีอย่างดีเหล่านี้ ไม่สมควรแก่ความเป็นสมณะของเรา ในทันใดนั้นเอง สหายเก่าเมื่อครั้งพระกัสสปพุทธเจ้า ซึ่งไปเกิดเป็นพรหมชื่อว่า ฆฏิการมหาพรหม ช่วงระยะพุทธันดรหนึ่ง ไม่ถึงความพินาศเลย (คือดำรงอยู่ในชั้นพรหมโลกตลอด) เพราะเคยเป็นเพื่อนกัน จึงคิดว่า วันนี้ สหายเก่าของเราจะบวช เราจะถือสมณบริขาร ๘ อย่างกล่าวคือ ไตรจีวร บาตร มีดน้อย เข็ม ประคดเอว และผ้ากรองน้ำไป เพื่อสหายเก่าของเรานั้นดีกว่า ครั้นแล้ว ก็นำสมณบริขารทั้ง ๘ อย่างนั้น มาถวายด้วยตนเอง พระโพธิสัตว์ก็รับแล้วครองผ้าที่เป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์อธิษฐานเพศนักบวช ผู้อุดม

    ๒. เรื่อง ห้ามผู้อื่นดื่มน้ำ ทำให้ต้องอดน้ำ
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ใกล้สระอโนดาต ได้ตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๒ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ชาติ ปางก่อน เรา เมื่อครั้งเกิดเป็นนายโคบาล ต้อนโคไปเลี้ยง ได้เห็นแม่โคกำลังดื่มน้ำขุ่น จึงห้ามมันไว้ไม่ให้ดื่ม ด้วยผลกรรมนั้น ในภพสุดท้ายนี้ เรากระหายน้ำ ก็ไม่ได้ดื่มน้ำตามความปรารถนา
    มี เรื่องกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า ก่อนที่พระผู้มีพระภาคจะปรินิพพานหลังจากเสวยพระกระยาหารที่นายจุนทกัมมาร บุตรจัดถวายแล้ว ได้เกิดอาการพระประชวรอย่างรุนแรงลงพระบังคนหนักเป็นโลหิต(ถ่ายอุจจาระเป็น เลือด) ทรงมีทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส(กระหายน้ำอย่างมาก) แต่ทรงใช้สติสัมปชัญญะข่มทุกขเวทนาไว้ ตรัสชวนท่านพระอานนท์ ออกเดินทางต่อไปยังกรุงกุสินารา ระหว่างทางทรงหยุดพักและรับสั่งให้พระเถระนำน้ำดื่มมาถวาย แต่พระอานนท์กราบทูลว่า น้ำในแม่น้ำตรงนั้น มีน้ำน้อยและถูกกองเกวียน ๕๐๐ เล่มเหยียบย่ำไปก่อนหน้านั้นแล้วก็ไม่ไปตักมาถวาย จนพระองค์ต้องรับสั่งในครั้งที่ ๓ พระอานนท์จึงไปตักน้ำนำมาถวายให้พระองค์ได้ทรงดื่ม และน้ำที่พระอานนท์ไปตักนั้น กลับเป็นน้ำใสสะอาด น่าอัศจรรย์ใจมาก

    ๓. เรื่อง กล่าวตู่พระอรหันต์ ทำให้ต้องตกนรก
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ใกล้สระอโนดาด ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๓ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ใน ชาติปางก่อน เราได้เคยเกิดเป็นนักเลงชื่อว่าปุนาลิ ได้กล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้ามีนามว่า สุรภี ผู้ไม่ประทุษร้ายใคร ด้วยผลกรรมนั้นเราจึงได้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในนรกเป็นเวลานาน เสวยทุกขเวทนาหลายพันปี ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่นั้น ในภพสุดท้ายนี้ เราจึงได้รับการกล่าวตู่เพราะนางสุนทรีเป็นเหตุ
    เรื่องนี้ มีกล่าวไว้อธิบายไว้ว่า สมัยนั้น ลาภสักการะเกิดขึ้นแก่พระพุทธเจ้าเป็นอันมาก เป็นเหตุให้พวกเดียรถีย์ทั้งหลายอับเฉาสิ้นลาภสักการะไปตาม ๆ กัน ไม่ผิดอะไรกับแสงหิ่งห้อยในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น วันหนึ่ง พวกเดียรถีย์ได้ปรึกษากันหาทางจะทำลายลาภสักการะของพระพุทธเจ้า เพื่อจะทำให้ตนได้ลาภสักการะ ดังที่เคยเป็น จึงขอแรงนางสุนทรีปริพาชิกาผู้มีรูปงามให้ไปทำลายพระพุทธเจ้า โดยให้ไปใส่ความว่าประพฤติร่วมประเพณีกับพระพุทธเจ้า
    นางสุนทรีทำเช่น นั้นอยู่ ๒-๓ วัน พวกเดียรถีย์ก็จ้างพวกนักเลงให้ไปฆ่านางสุนทรี แล้ว หมกไว้ที่ระหว่างกองขยะดอกไม้ใกล้พระคันธกุฎี พวกนักเลงได้ทำตามสั่งทุกประการ เอาละคราวนี้ พวกเดียรถีย์ก็แกล้งโจษจันหานางสุนทรี กราบทูลเรื่องนั้นแก่พระราชา พระราชารับสั่งให้ค้นหาจนทั่ว จึงได้ไปพบศพนางที่กองขณะดอกไม้ พวกเดียรถีย์จึงยกศพนางขึ้นเตียงแล้วหามเข้าไปยังพระนคร ทูลแด่พระราชาว่า สาวกของพระพุทธเจ้าฆ่านางสุนทรี แล้วหมกไว้ในระหว่างกองขยะดอกไม้ด้วยคิดว่า เราจักปกปิดกรรมชั่วที่พระพุทธเจ้าได้ทำไว้
    พระราชาได้ให้ป่าวร้องไป ทั่วพระนคร พวกเดียรถีย์ได้เที่ยวป่าวร้องด่าพวกภิกษุในภายในและภายนอกพระนคร แม้กระทั่งในป่า ภิกษุได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระศาสดา พระศาสดาตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น พวกเธอจงกลับโจทมนุษย์เหล่านั้นอย่างนี้ แล้วตรัสคาถาเหล่านี้ว่า คนที่ชอบพูดเท็จ หรือคนที่ทำความชั่วแล้วกล่าวว่า “ฉันไม่ได้ทำ” ต่างก็ตกนรก คน ๒ จำพวกนั้น ต่างก็มีกรรมชั่ว มีกรรมเลวทราม ตายไปแล้ว มีคติเท่าเทียมกันในโลกหน้า
    พระราชาได้ส่งตำรวจไปสืบสวนเรื่อง นั้น บังเอิญว่า วันนั้น พวกนักเลงผู้ฆ่านางสุนทรี กำลังเมาสุราทะเลาะกันอยู่ในร้านสุราแห่งหนึ่ง พูดพาดพิงไปถึงนางสุนทรีว่าตนเองเป็นผู้ฆ่านางสุนทรีเอง พวกตำรวจจึงจับกุมตัวไปถวายพระราชา พระราชาได้ตรัสถาม ทราบความจริงว่า เดียรถีย์จ้างให้ฆ่านางสุนทรี จึงรับสั่งให้เรียกพวกเดียรถีย์มาแล้วทรงบังคับให้ไปเที่ยวป่าวร้องบอกแก่ ชาวพระนครว่า นางสุนทรีนี้พวกข้าพเจ้าประสงค์จะสาดโคลนใส่พระพุทธเจ้าให้ฆ่านางแล้ว โทษของพระสาวกของพระพุทธเจ้าไม่มี เป็นโทษของพวกข้าพเจ้าฝ่ายเดียว พวกเดียรถีย์ได้ทำอย่างนั้นแล้ว คลายความสงสัยของมหาชนผู้โง่เขลาเสียได้ ต่อมา เดียรถีย์เหล่านั้น พร้อมด้วยพวกนักเลง ก็ถูกตัดสินประหารชีวิตฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา ตั้งแต่นั้นมา ลาภสักการะของพระพุทธเจ้าก็เจริญรุ่งเรืองตามเดิม
    ๔. เรื่อง กล่าวตู่พระอรหันต์ ทำให้ตกนรกถึงแสนปี
    คราว หนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๔ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า เราเมื่อครั้นเกิดเป็นนักเลงหัวไม้ เป็นอันธพาล เพราะการกล่าวตู่พระนันทเถระ ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เราจึงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในนรกเป็นเวลานาน ถึง ๑๐๐,๐๐๐ ปี ครั้นได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็ได้รับการกล่าวตู่มาก ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่นั้น นางจิญจมาณวิกาจึงมากล่าวตู่เรา ด้วยคำไม่จริงท่ามกลางหมู่ชน
    มี เรื่องกล่าวไว้ว่า สมัยนั้น ลาภสักการะเกิดขึ้นแก่พระพุทธเจ้าเป็นอันมาก ฝ่ายพวกเดียรถีย์ลดน้อยลง ราวกับแสงหิ่งห้อยในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น พวกเดียรถีย์จึงประชุมตกลงกัน ออกอุบายให้นางจิญจมาณวิกาปริพพาชิกา ผู้มีรูปงามคนหนึ่งทำลายพระพุทธเจ้า นางจิญจมาณวิกาได้ทำทีเป็นเดินเข้า-ออกในเวลาเช้าตรู่และเวลาเย็น ทำให้พวกอุบาสกผู้ไปฟังธรรมสงสัย นางบอกว่า ได้อยู่ร่วมในพระคันธกุฎีเดียวกันกับพระสมณโคดม ยิ่งทำให้คนพวกนั้นสงสัยขึ้นอีก
    ต่อมา นางได้เอาผ้าพันท้อง ทำเป็นคล้ายคนมีท้องได้ ๘-๙ เดือนจวนจะคลอด เมื่อพระพุทธเจ้ากำลังประทับนั่งแสดงธรรมอยู่บนธรรมาสน์นั่นเองได้ไปสู่ ธรรมสภา ทูลพระองค์ว่า มหาสมณะ พระองค์ดีแต่พูดเท่านั้น เสียงพระองค์ไพเราะ พระโอษฐ์ของพระองค์สนิท ส่วนหม่อมฉันอาศัยพระองค์ได้เกิดมีครรภ์ครบกำหนดแล้ว พระองค์ไม่ทรงทราบที่คลอดของหม่อมฉัน ไม่ทรงทราบเครื่องบริหารครรภ์แก่หม่อมฉัน เมื่อไม่ทรงทำเอง ก็ไม่ตรัสบอกพระเจ้าโกศล อนาถบิณฑิกเศรษฐี หรือนางวิสาขามหาอุบาสิกา คนใดคนหนึ่ง แล้วด่าพระพุทธเจ้าต่าง ๆ นานาในท่ามกลางบริษัท
    ฝ่ายท้าว สักกะ เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น จึงสั่งให้เทพบุตร ๒ องค์โดยให้แปลงเป็นหนู และแปลงเป็นลม มาทำลายพิธีของนาง กัดเชือกที่ผูกท่อนไม้ไว้ และลมพัดเลิกผ้าห่มขึ้น ไม้กลมพลัดตกลงบนหลังเท้าของนาง ปลายเท้าทั้ง ๒ ข้างแตก มนุษย์ทั้งหลายก็พูดว่า นางกาฬกัณณี เจ้าด่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ่มเขฬะลงบนศีรษะ ขับออกจากวิหาร นางวิ่งเตลิดเปิดเปิงไป พอล่วงคลองพระจักษุของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ก็ถูกแผ่นดินสูบตกไปเกิดในอเวจีมหานรก ลาภสักการะของพวกเดียรถีย์เสื่อมลงอีก แต่ของพระทศพลยิ่งเจริญขึ้น

    ๕. เรื่อง กล่าวว่าร้ายผู้ทรงศีล จึงทำให้ถูกใส่ร้าย
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๕ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    เรา เกิดเป็นพราหมณ์ ผู้มีสุตะ มีประชาชนสักการะบูชา ได้สอนมนตร์ให้มาณพประมาณ ๕๐๐ คน ในป่าใหญ่ ได้เห็นฤาษีผู้น่าเกรงกลัว ผู้ได้อภิญญา ๕ มีฤทธิ์มาก มายังสำนักของเรา เราจึงกล่าวตู่ฤาษี ผู้ไม่ประทุษร้ายใคร โดยบอกลูกศิษย์ว่า ฤาษีผู้นี้มักบริโภคกามคุณ เพียงเราบอกเท่านั้น พวกมาณพก็พลอยเชื่อ ตั้งแต่นั้นมา ครั้นไปเที่ยวหาอาหารในตระกูลทั้งหลาย พากันบอกประชาชนว่า ฤาษีตนนี้มักบริโภคกามคุณ ด้วยผลกรรมนั้น ภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้ ได้รับการกล่าวตู่ เพราะนางสุนทรี เป็นเหตุ
    มีเรื่องกล่าว ไว้ว่า พวกมิจฉาทิฏฐิผู้ไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ได้ติดตามพระพุทธเจ้าผู้เสด็จเข้าไปภายในพระนครได้ด่าบริภาษด้วยอักโกสวัตถุ ๑๐ ว่า เจ้าเป็นโจร เป็นคนพาล เป็นคนหลง เป็นอูฐ เป็นโค เป็นฬา เป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์ดิรัจฉาน ไม่มีหวังจะได้สุคติ ทุคติเท่านั้น ที่เจ้าควรหวัง
    ท่านพระอานนท์สดับคำนั้นแล้วได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกชาวเมืองได้ด่าบริภาษพวกเรา พวกเราจะไปที่อื่นจากเมืองนี้เถิด พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า จะไปที่ไหน เมื่อถูกด่าที่นั่นอีก จะทำอย่างไร พระอานนท์กราบทูลว่า จะไปเมืองอื่นอีก เมื่อถูกด่าที่นั่นอีกก็หนีไปเรื่อย ๆ พระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า การทำอย่างนั้น ไม่สมควร เมื่ออธิกรณ์เกิดขึ้นในที่ใด ต้องสงบในที่นั้นเสียก่อน จึงสมควรไปที่อื่น แล้วตรัสถามต่อไปว่า พวกไหนเล่าด่าพวกเรา
    อานนท์กราบทูลว่า คนทั้งหมดกระทั่งทาสและกรรมกรก็พากันด่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า อานนท์ เราเป็นเหมือนกับช้างที่เข้าสู่สงคราม การอดทนต่อคำพูดของคนไม่มีศีล มีจำนวนมากเป็นภาระของเรา เช่นเดียวกันกับการอดทนต่อลูกศรที่แล่นมาจกทิศ เป็นภาระของช้างที่เข้าสู่สงคราม
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    บุพกรรมของพระพุทธองค์

    โพสโดย คนธรรมะ

    -http://www.dhammathai.org/store/karma/view.php?No=244-

    ๖. เรื่อง ทรัพย์เป็นเหตุ ทำให้พี่ฆ่าน้อง
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๖ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ใน ชาติก่อน เราได้ฆ่าน้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่งทรัพย์ จับโยนลงซอกภูเขาแล้วโยนหินทับไว้ ด้วยผลกรรมนั้น พระเทวทัตจึงผลักก้อนหินกลิ้งลงมา สะเก็ดหินกระทบนิ้วหัวแม่เท้าของเราจนห้อเลือด
    เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า ครั้งที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กรุงโกสัมพี พระเทวทัตถูกความมักใหญ่ครอบงำจิต ชักจูงให้อชาตศัตรูกุมารเลื่อมใสในฤทธิ์ของตน คิดจะขอพระพุทธเจ้าปกครองภิกษุสงฆ์ พระเทวทัตได้เสื่อมจากฤทธิ์ พร้อมกับความคิดนั้น ต่อมา ถูกสงฆ์ทำปกาสนียกรรม จึงไปยุยงให้อชาตศัตรูกุมารปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นชนก ส่วนตนเองได้ส่งคนไปลอบปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาค แต่คนเหล่านั้นกลับเลื่อมใสในพระองค์ ได้ฟังอนุปุพพีกถาสำเร็จโสดาปัตติผลทุกคน สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จจงกรมอยู่ ณ ที่ร่มเงาภูเขาคิชฌกูฏ ทีนั้น พระเทวทัตขึ้นภูเขาคิชฌกูฏกลิ้งศิลาก้อนใหญ่ ด้วยหมายใจว่า เราจะปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคด้วยก้อนศิลา ยอดภูเขา ๒ ข้างมาบรรจบกันรับศิลาก้อนนั้นไว้ สะเก็ดศิลากระเด็นจากก้อนศิลานั้นไปกระทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคจนพระโลหิต ห้อขึ้น ทีนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแหงนพระพักตร์ ได้ตรัสว่า โมฆบุรุษ เธอสั่งสมสิ่งที่มิใช่บุญไว้มากที่มีจิตคิดร้าย คิดฆ่าทำโลหิตของตถาคตให้ห้อ แล้วตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า เทวทัตทำโลหิตของตถาคตให้ห้อ ได้ทำอนันตริยกรรมแล้ว
    ๗. เรื่อง เคยแกล้งพระไว้ จึงได้รับการแกล้งตอบ
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๗ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ใน ชาติก่อน เรายังเป็นเด็กเล่นอยู่ที่หนทางใหญ่ ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ากำลังเดินทางมา ณ ทางนั้น จึงได้หว่านก้อนกรวดไว้ที่หนทาง ด้วยผลกรรมนั้น ในภพสุดท้ายนี้ พระเทวทัต จึงชักชวนนักแม่นธนู ผู้เป็นนักฆ่า เพื่อฆ่าเรา
    เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า ณ กรุงราชคฤห์ หลังจากพระเทวทัตไปถวายพระพรให้พระเจ้าอชาตศัตรูกุมารส่งราชบุรุษไปปลงพระ ชนม์พระพุทธเจ้าแล้ว ต่อมา พระเทวทัตก็สั่งบุรุษคนหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่โน้น ท่านจงไปปลงพระชนม์พระองค์แล้วกลับมาทางนี้ แล้วซุ่มบุรุษไว้ริมทาง ๒ คนด้วยสั่งว่า พวกท่านจงฆ่าคนที่เดินมาทางนี้ เพียงลำพังแล้วมาทางนี้ ซุ่มบุรุษไว้ริมทางอีก ๔, ๘, ๑๖ คน ด้วยสั่งว่า พวกท่านจงฆ่าคนพวกนี้ ที่เดินมาทางนี้ ๆ ต่อมา บุรุษคนหนึ่งนั้น ถือดาบและโล่ห์สะพายธนูเข้าหาประชิดตัวพระผู้มีพระภาค ครั้นแล้วก็ยืนกลัวจนตัวแข็งทื่อไม่ห่างจากพระผู้มีพระภาค
    พระองค์จึง ตรัสว่า อย่ากลัวเลย พอบุรุษนั้นได้ฟังพระดำรัสเช่นนั้นแล้ว ได้วางดาบและโล่ห์ ปลดธนูวางไว้ แล้วซบศีรษะแทบพระยุคลบาทกราบทูลว่า กระผมทำความผิดเพราะความโง่เขลา ที่มีจิตคิดประทุษร้ายคิดจะปลงพระชนม์จึงเข้ามาที่นี้ ขอพระองค์โปรดประทานอภัยโทษแก่กระผม เพื่อความสำรวมต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่เป็นไร การที่บุคคลเห็นความผิดเป็นความผิดแล้ว แก้ไขให้ถูกต้อง นี้เป็นความเจริญในอริยวินัย แล้วตรัสอนุปุพพีกถาให้บุรุษนั้นฟัง จนบุรุษได้บรรลุเป็นโสดาบัน แล้วตรัสกับบุรุษนั้นว่า ท่านอย่าไปทางนั้น จงไปทางนี้ แล้วส่งเขาไปทางอื่น
    ต่อ มาบุรุษอีก ๒ คนปรึกษากันว่า ทำไม บุรุษคนนั้น จึงมาชักช้านักแล้วเดินสวนทางไป ได้พบพระผู้มีพระภาค ณ ควงไม้แห่งหนึ่ง แล้วเข้าไปสนทนาด้วย พระผู้มีพระภาคได้แสดงธรรมให้ฟังจนบุรุษทั้ง๒ ได้บรรลุเป็นโสดาบัน แม้บุรุษ ๔, ๘ และ ๑๖ ก็มีนัยเดียวกันแล ต่อมา บุรุษคนแรกนั้น ได้ไปหาพระเทวทัตแล้วพูดว่า กระผมไม่สามารถปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคได้ พระองค์มีฤทธิ์มาก พอพระเทวทัตได้ฟังเช่นนั้นพูดตัดบทว่า ไม่เป็นไร ท่านอย่าได้ฆ่าเลย เราจะลงมือปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าเอง
    ๘. เรื่อง ควาญช้างไสช้างไล่พระ
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๘ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ใน ชาติก่อน เราเมื่อครั้งเกิดเป็นนายควาญช้าง ได้ไสช้างไล่พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้เป็นพระมุนีสูงสุด ที่กำลังเที่ยวบิณฑบาต ด้วยผลกรรมนั้น ช้างนาฬาคีรีเชือกดุร้าย จึงวิ่งไล่เราในกรุงราชคฤห์อันประเสริฐ
    เรื่อง นี้ มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า หลังจากที่พระเทวทัตลอบปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคหลายครั้งแล้ว แต่ไม่สำเร็จเลย ก็หาได้หยุดการกระทำเช่นนั้นไม่ สมัยนั้น ในกรุงราชคฤห์มีช้างชื่อนาฬาคีรีดุร้าย ชอบฆ่าคน ต่อมาพระเทวทัตได้ไปที่โรงช้าง แล้วอ้างเหตุผลกับนายควาญช้างว่า พวกเราเป็นพระญาติของพระราชา สามารถจะแต่งตั้งผู้อยู่ในตำแหน่งต่ำไว้ในตำแหน่งสูง และเพิ่มเงินเดือนให้ได้ ทำอย่างนี้ เวลาพระพุทธเจ้าเสด็จมาทางตรอกนี้ พวกท่านจงปล่อยช้างนาฬาคีรีนี้เข้าไป
    เมื่อพระผู้พระภาคเสด็จดำเนินถึง ตรอกนั้น พวกนายควาญช้างจึงได้ปล่อยนาฬาคีรีไปปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาค ช้างนาฬาคีรีได้ชูงวงหูชัน หางชี้ วิ่งตรงไปที่พระผู้มีพระภาค เวลานั้นคนทั้งหลายหนีขึ้นไปบนปราสาทนั้นบ้าง เรือนโล้นบ้าง บนหลังคาบ้าง พวกที่ไม่ศรัทธาพูดว่า พระสมณโคดมจะถูกช้างฆ่า ส่วนผู้มีศรัทธาก็พูดว่า ประเดี๋ยวจะคอยดูสงครามระหว่างพระพุทธเจ้ากับช้าง ทีนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแผ่เมตตาจิตไปที่ช้างนาฬาคีรี ช้างนาฬาคีรีได้สัมผัสกระแสเมตตาจิตของพระผู้มีพระภาค จึงหมดพยศยืนอยู่ตรงพระพักตร์ แล้วพระผู้มีพระภาคทรงยกพระหัตถ์ขวาลูบกระพองช้างนาฬาคีรี
    ๙. เรื่อง เคยเป็นทหารรับจ้าง จึงได้รับความทรมาน
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๙ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ใน ชาติก่อน เราเมื่อครั้งเกิดเป็นทหารรับจ้าง ได้ใช้หอกฆ่าคนจำนวนมาก ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงถูกไฟไหม้อย่างร้อนแรงในนรก ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่ เพราะกรรมยังไม่สิ้นไป ในบัดนี้ ไฟ (ความร้อน) นั้นยังตามมาไหม้ผิวหนังที่เท้าของเราทุกแห่ง
    เรื่องนี้ มีกล่าวขยายความไว้ในชาดกว่า เมื่อครั้งพระโพธิสัตว์ เกิดเป็นคนรักษาป่า มีบริวาร ๕๐๐ คน ได้รับจ้างคุ้มครองพวกพ่อค้าเกวียน ให้ข้ามดงที่มีโจรผู้ร้ายซุ่มอยู่ด้วยความกล้าหาญตามหน้าที่ที่รับผิดชอบ บุตรชายพ่อค้าเห็นความกล้าหาญของโพธิสัตว์จึงถามว่า
    เมื่อความตายปรากฏ อยู่ตรงหน้า เพราเห็นพวกโจรยิงลูกธนูที่แหลมคมเข้ามาด้วยความว่องไว และยังถือดาบอันคมกริบวิ่งเข้ามาอีก เพราะเหตุไร ท่านจึงไม่สะดุ้งกลัว พระโพธิสัตว์บอกว่า เวลาที่เห็นโจรร้ายวิ่งเข้ามา ข้าพเจ้ากลับมีความยินดีที่จะได้ย่ำยีศัตรู เพราะก่อนที่จะมาทำหน้าที่นี้
    ได้ยอมสละชีวิตไว้แล้ว จึงไม่มีความอาลัยในชีวิต สามารถทำกิจของตนได้อย่างกล้าหาญทุกเวลา
    เรื่อง นี้ มีกล่าวไว้ว่า หลังจากที่พระเทวทัตทำพระโลหิตของพระผู้มีพระภาคให้ห้อแล้ว แล้วพระผู้มีพระภาคเสด็จไปชีวกัมพวันให้หมอชีวกรักษา หมอชีวกได้รักษาโดยปรุงยาอย่างแรงกล้าเพื่อสมานแผลแล้ว ปิดแผล แล้วกราบทูลว่า กระผมมีธุระในเมือง ขอให้ยานี้อยู่จนกว่ากระผมจะกลับมา แล้วหมอชีวกก็เข้าเมืองไป แต่กลับมาไม่ทันประตูเมืองเพราะประตูปิดก่อน แล้วก็นึกตกใจว่า ถึงเวลาที่จะเอายาออกแล้ว ถ้าไม่เอายาออกล่ะก็ พระผู้มีพระภาคก็จะเกิดความเร่าร้อนในสรีระตลอดทั้งคืนเป็นแน่ ต่อมา พระผู้มีพระภาค ได้รับสั่งให้พระอานนท์นำยาที่ปิดแผลนั้นออกในตอนค่ำนั่นเอง
    ๑๐. เรื่อง เด็กเล็กเห็นปลาถูกฆ่า แล้ว แต่ดีใจ
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑๐ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ใน ชาติก่อน เราเมื่อครั้งเกิดเป็นเด็กเล็กลูกของชาวประมง อาศัยอยู่ในเกวัฏฏคาม เห็นชาวประมงฆ่าปลาแล้ว เกิดความโสมนัส ด้วยเจตนาที่เป็นอกุศลกรรมนั้น จึงทำให้ไปเสวยทุกข์ในอบายทั้ง ๔ ด้วยเศษแห่งผลบาปกรรมนั้น เราจึงปวดศีรษะ เมื่อพวกเจ้าศากยะถูกที่พระเจ้าวิฑูฑภะฆ่าตายเป็นจำนวนมาก
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    บุพกรรมของพระพุทธองค์

    โพสโดย คนธรรมะ

    -http://www.dhammathai.org/store/karma/view.php?No=244-


    ๑๑. เรื่อง ด่า แช่งผู้อื่นไว้อย่างไร ก็ได้รับผลอย่างนั้น
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑๑ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    เรา เมื่อครั้งเกิดเป็นคนสามัญ ได้ด่า แช่งเหล่าสาวกในศาสนาของพุทธเจ้า พระนามว่าผุสสะด้วยคำว่า ท่านทั้งหลายจงขบเคี้ยว จงฉันแต่ข้าวเหนียว อย่าได้ฉันข้าวสาลีเลย ด้วยผลกรรมนั้น เรารับนิมนต์พราหมณ์ อยู่จำพรรษา ณ เมืองเวรัญชา ได้ฉันแต่ข้าวเหนียว ตลอด ๓ เดือน
    เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ว่า หลังจากที่พระพุทธองค์รับคำของเวรัญชพราหมณ์ว่าจะอยู่จำพรรษาแล้ว สมัยนั้นเมืองเวรัญชาเกิดข้าวยากหมากแพง ประชาชนมีความเป็นอยู่แร้นแค้น ใช้สลากปันส่วนซื้ออาหาร ล้มตายกันกระดูกขาวเกลื่อน ยากที่พระอริยะจะบิณฑบาตยังชีพได้ ต่อมา พวกพ่อค้าม้าชาวเมืองอุตตราบถ มีม้าอยู่ประมาณ ๕๐๐ ตัว เข้าพักแรมช่วงฤดูฝนในเมืองเวรัญชา พวกเขาตระเตรียมข้าวนึ่ง (ข้าวสารเหนียวที่เอาแกลบออกแล้วนึ่งเก็บไว้ จะเรียกว่าข้าวตาก ก็ได้ พวกพ่อค้านิยมนำติดตัวไป ในเวลาเดินทางไปค้าขายยังต่างเมือง เพื่อเป็นอาหารม้าในถิ่นที่อาหารม้าหายาก) เพื่อถวายพระภิกษุรูปละประมาณ ๑ ทะนานไว้ที่คอกม้า รุ่งเช้า ภิกษุทั้งหลายครองอันตรวาสก ถือบาตรและจีวรไปบิณฑบาตในเมืองเวรัญชา บิณฑบาตไม่ได้เลย จึงไปที่คอกม้า รับข้าวนึ่งรูปละประมาณ ๑ ทะนาน นำไปตำให้ละเอียดแล้วฉัน ส่วนพระอานนท์บดข้าวนึ่งประมาณ ๑ ทะนานบนหินบดแล้ว น้อมเข้าไปถวายพระผู้มีพระภาค พระองค์เสวยข้าวนั้น
    ๑๒. เรื่อง เคยเป็นนักมวยปล้ำ หักหลังผู้อื่นไว้
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑๒ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ในชาติก่อน เราเมื่อครั้งเกิดเป็นนักมวย ได้ทำการชกกับนักมวยผู้อื่น ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงเกิดความทุกข์ที่สันหลัง (ปวดหลัง)
    เรื่อง นี้ มีกล่าวไว้ว่า คราวหนึ่งพระโพธิสัตว์ เกิดในตระกูลคหบดี มีกำลังมากมหาศาล แต่ตัวเตี้ย ต่อมามีนักมวยปล้ำต่างถิ่นมาท้าต่อสู้ และทำให้บุรุษหลายคนในหมู่บ้าน ถูกทำร้ายบาดเจ็บและพ่ายแพ้ และเมื่อพระโพธิสัตว์พบเหตุการณ์นั้น จึงขออาสาต่อสู้ด้วย พอได้ฟังคำพูดเช่นนี้ นักมวยปล้ำผู้นั้นได้พูดดูถูกต่าง ๆ นานา และเมื่อทั้งสองได้ต่อสู้กัน พระโพธิสัตว์แม้ถึงจะตัวเตี้ย แต่ก็ได้จับนักปล้ำผู้นั้นขึ้นแล้วหมุนไปในอากาศ แล้วทุ่มลงภาคพื้น แล้วจับดัดหลัง จนนักปล้ำผู้นั้น กระดูกหักเจ็บปวดอย่างมาก และยอมแพ้ในที่สุด แล้วพระโพธิสัตว์สั่งสอนว่า อย่ามาทำอย่างนี้อีกในหมู่บ้านนี้ ด้วยกรรมนั้น เราได้เสวยผลกรรมมีโรคประจำเช่นปวดหลังเป็นต้น แม้ในชาตินี้ ถึงเราจะทรงพลังอย่างนับไม่ได้ แต่ก็ยังเป็นโรคปวดหลังอยู่
    ๑๓. เรื่อง หมอรักษาโรค แต่ประมาท
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑๓ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    ในชาติก่อน เราเป็นหมอรักษาโรค ได้ถ่ายยาให้ลูกชายเศรษฐี (ถึงแก่ความตาย) ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงป่วยเป็นโรคปักขันทิกาพาธ
    เรื่อง นี้ มีกล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งที่พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลคหบดี ได้เป็นหมอรักษาคนไข้ คราวหนึ่ง ได้รักษาลูกเศรษฐีคนหนึ่ง ตรวจโรคแล้ว จัดยารักษาโรคชนิดนั้น แต่เพราะความประมาท ตอนจ่ายยานั้น ได้จ่ายยารักษาโรคต่างชนิดกันให้ไป ทำให้ลูกเสรษฐีนั้นรับประทานยาไปแล้วถ่ายอย่างรุนแรง
    ตรงนี้ มีกล่าวขยายความไว้ว่า ในชาตินี้ ในสมัยเป็นที่ปรินิพพาน หลังจากพระผู้มีพระภาคเสวยพระกระยาหารที่ชื่อว่าสุกรมัททวะ ของนายจุนทกัมมารบุตรแล้ว ได้เกิดอาการพระประชวรอย่างรุนแรงลงพระบังคนหนักเป็นโลหิต ทรงมีทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสจวนเจียนจะปรินิพพาน แต่ทรงใช้สติสัมปชัญญะข่มทุกขเวทนาเหล่านั้นอย่างไม่พรั่นพรึง
    ๑๔. เรื่อง สบประมาทผู้อื่น จึงต้องประสบทุกข์
    คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑๔ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
    เรา เมื่อครั้งเกิดเป็นมาณพ ชื่อโชติปาละ ได้กล่าวประสบประมาทพระกัสสปพุทธเจ้าว่า การตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิ์จักมีมาแต่ที่ไหน การตรัสรู้หาได้แสนยาก ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงได้บำเพ็ญทุกรกิริยานานถึง ๖ ปี แต่ว่า เราก็มิได้บรรลุพระโพธิญาณที่สูงสุด ด้วยทางนี้ ต่อมา จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ ที่ตำบลอุรุเวลา เราถูกกรรมในปางก่อนตักเตือนแล้ว จึงแสวงหาโพธิญาณผิดทาง เราสิ้นบาปสิ้นบุญแล้ว ปราศจากความเร่าร้อนทุกอย่าง ไม่มีความเศร้าโศก ไม่มีความคับแค้น ไม่มีอาสวะ จักปรินิพพาน พระพุทธเจ้าได้ทรงบรรลุกำลังแห่งอภิญญาทั้งปวง ทรงพยากรณ์บุพกรรมเช่นนี้ มุ่งหวังประโยชน์สำหรับหมู่ภิกษุ ณ สระอโนดาต ด้วยประการฉะนี้แล
    ตรงนี้ มีเนื้อความกล่าวไว้ว่า หลังจากที่เจ้าชายสิทธัตถโพธิสัตว์ ทรงครองฆราวาสอยู่ ๒๙ ปี ทรงเห็นนิมิต ๔ ทำความสังเวชให้เกิดขึ้น ขึ้นม้ากัณฐกะพร้อมกับนายฉันนะออกไป ทรงรับสมณบริขารที่มหาพรหมถวาย แล้วผนวชที่ริ่มฝั่งแม่น้ำอโนมานทีบำเพ็ญเพียรประพฤติทุกรกิริยาอย่างหนัก อยู่ ๖ ปี อาทิเช่น กดฟันด้วยฟัน ใช้ลิ้นดันเพดานไว้แน่น ใช้จิตข่มคั้นจิต ทำจิตให้เร้าร้อน เมื่อทำเช่นนั้น เหงื่อก็ไหลออกจากรักแร้ทั้ง ๒ ข้าง กลั้นลมหายใจเข้า-ออกทั้งทางปาก-จมูก ทำให้ลมออกทางหูทั้ง ๒ ข้าง มีเสียงดังอู้ ๆ และเกิดลมแรงกล้าเสียดแทงศีรษะ ทำให้เกิดทุกขเวทนาในศีรษะอย่างแรงกล้า ทำให้เกิดลมอันแรงกล้าบาดในช่องท้อง
    เมื่อ พระองค์ประพฤติตนเช่นนี้แล้ว ทำให้เกิดความกระวนกระวายในร่างกายอย่างแรงกล้า ทำให้เกิดกายกระสับกระส่ายไม่สงบ ต่อมาก็ลดอาหารที่ละน้อย จนฉันอาหารประมาณเท่าเมล็ดถั่วพูและเมล็ดบัว จึงทำให้ร่างกายซูบผอมมาก เดินไปไหนก็ซวนเซล้มลง ณ ที่นั้น จนชนทั้งหลายเห็นแล้ว พากันทักต่าง ๆ นานา ทำให้ได้คิด จึงเปลี่ยนวิธีปฏิบัติเสียใหม่ กลับมาฉันอาหารตามเดิม แล้วปฏิบัติฌาน ๔ และวิชชา ๓ จึงตรัสรู้พระพุทธเจ้า (จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ) ภายใต้ต้นโพธิ
    เรื่องบุพกรรมของพระพุทธองค์ดัง ที่กล่าวมานี้ เป็นการชี้ให้เห็นว่า ผู้ใดผู้หนึ่ง ไม่ว่าเป็นผู้มีพระคุณมากมายปานใด เช่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือแม้แต่พระคุณน้อยนิดเช่น เด็กน้อยเดียงสาแกล้งผู้อื่นก็ตาม ผู้ที่ได้กระทำบุญหรือบาปไว้ ย่อมจะต้องได้รับผลของกรรมนั้น ๆ อย่างแน่นอน ตราบที่ยังเวียนว่ายตายเกิด ยังไม่สิ้นอาสวะกิเลส หรือแม้แต่สิ้นอาสวะกิเลส ยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่ปรินิพพานก็ย่อมได้รับผลของกรรมเช่นเดียวกัน ซึ่งตรงกับเนื้อความกล่าวรับรองไว้ว่า เรามีกรรมเป็นของตน เป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมใด เป็นบุญหรือเป็นบาปก็ตาม เราจะต้องรับผลของกรรมนั้น
    ท้ายนี้ ฝากคติธรรมว่า เวรกรรมที่แต่ละคนได้กระทำไว้นั้น อย่าคิดประมาทว่าเป็นกรรมเล็กน้อยและจักไม่ให้ผล กรรมที่กระทำไว้นั้นรอวันให้ผลทั้งนั้น แต่จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับว่ากรรมนั้นหนักหรือเบานั่นเอง สุดท้ายนี้ ขอให้ท่านผู้อ่านจงโชคดีและมีความสุขทุกเมื่อเทอญ.

    ที่มา : คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา


     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    บุพกรรมของพระมหาโมคคัลลานะ
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง


    ท่านสาธุชนพุทธบริษัท ทั้งหลาย ตอนนี้ขอนำเรื่องราวกรรมเก่าของพระโมคคัลลานะ มาแสดงแก่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจะเห็นว่า ท่านที่มีบุญใหญ่ คือ พระโมคคัลลานะ เป็นถึงอัครสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นพระสาวกฝ่ายซ้ายที่มีฤทธิ์มาก ไม่น่าจะถูกคนฆ่าตาย นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าเรื่องกฎของกรรมที่ท่านทั้งหลายชอบบ่นกัน บอกว่าทำบุญทำทานมามาก ทำไมบุญที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า ทำดีจะได้รับผลดี แต่ว่าพวกเรานี้กลับได้รับผลร้าย ถ้าคิดอย่างนี้ละก็ นึกถึงเรื่องราวของกฎของกรรมเก่า ๆ ที่เล่าสู่กันฟัง เอาเข้ามาคิด จงคิดว่า ชาตินี้เราไม่ได้ทำ แต่ว่าชาติก่อน ๆ เราอาจจะทำก็ได้ เพราะเราเองก็ทราบไม่ได้เหมือนกันว่า ชาติก่อน ๆ เราทำอะไรไว้บ้าง ถ้าหากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ การระลึกชาติหนหลังได้ มันก็เป็นของไม่ยาก แล้วการบำเพ็ญปุพเพนิวาสานุสสติญาณให้ปรากฎนี้ ความจริงมันก็ไม่ยากเหมือนกัน ทำไมจึงกล่าวว่าไม่ยาก ถ้าหากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทปฏิบัติตามคำแนะนำขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค เจ้า เรื่องปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติหนหลัง ท่านจะมีความรู้สึกเหมือนกับเรียนหนังสือชั้นประถมเท่านั้นเอง ยังไม่ใช่ใหญ่โตมโหฬารอะไรนัก แต่ทว่าเรื่องของการปฏิบัติ บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังกันในเรื่องของการเจริญพระกรรมฐานดีกว่า ถ้ามีเวลา จะอธิบายให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังว่า การที่จะได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้นั้น เขาทำกันอย่างไร เอาไว้ฟังกันในเรื่องของพระกรรมฐาน นี่เราคุยกันเรื่องของพระสูตร เล่านิทานสู่กันฟัง แต่เป็นนิทานเรื่องจริง ๆ ไม่ใช่นิทานเล่าโกหกกันเล่น เว้นไว้แต่ว่า ไปหยิบเอาตัวนิทานมาแสดงให้แก่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยทั่วหน้าไม่ ได้ แต่เรื่องขององค์สมเด็จพระจอมไตร พระองค์ก็ทรงรับรองอยู่แล้ว องค์สมเด็จพระประทีบแก้วบอกว่า ถ้าใครไม่เชื่อเชิญมาพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติตาม ฉะนั้น ขอบัณฑิตทั้งหลายที่ทรงความเป็นบัณฑิต ประเภทไหนก็ช่าง ถ้าอยากจะรู้ความจริงเรื่องกฎของกรรมเก่า ๆ ก็ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะรู้เรื่องได้ไม่ยากไม่ลำบากอะไร ต่อไปนี้ มาคุยกันถึงเรื่องบุพกรรมของพระมหาโมคคัลลานะ
    ในสมัยนั้น เมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงได้พระมหาโมคคัลลานะและพระสารีบุตรมาเป็นคู่อัครสาวกซ้ายขวา อัคร แปลว่า ผู้เลิศ พระสารีบุตรเป็นผู้มีปัญญาชั้นเลิศ ประเสริฐ ไม่มีใครเสมอเหมือน นอกจากพระพุทธเจ้า พระมหาโมคคัลลานะก็เช่นเดียวกัน เรื่องการมีฤทธิ์แล้ว ใครไม่ยิ่งไปกว่าพระมหาโมคคัลลานะ พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่า เป็นผู้เลิศเรื่องมีฤทธิ์
    อาศัยความมีฤทธิ์ของพระมหาโมคคัลลานะ ท่านเป็นพระขยัน เวลากลางคืน ท่านมักจะไปเที่ยวสวรรค์บ้าง ไปเที่ยวเมืองนรกบ้าง ไปพบเทวดาก็ดี ไปพบพรหมก็ดี ไปพบสัตว์นรก เปรต อสุรกายก็ตาม ท่านก็ถามถึงประวัติเดิม เกิดที่ไหน ใครเป็นพ่อ ใครเป็นแม่ ใครเป็นดี่ ใครเป็นน้อง ทำความดี ทำความชั่วอะไร จึงมาเกิดในแดนนี้ เมื่อท่านทราบแล้ว ก็มาถามองค์สมเด็จพระชินสีห์ ให้ประกาศแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท
    เมื่อองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ทรางทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่า เรื่องนี้พระโมคคัลลานะไม่ได้กุขึ้น พระพุทธเจ้าเมื่อทราบว่าจริง ก็ทรงรับรอง แล้วประกาศให้เขาทราบ แล้วในสถานที่ใดเป็นที่ยากลำบาก คนเจริญศรัทธาไม่ดีพอ พระอื่นมีความสามารถไม่พอ พระพุทธเจ้าก็ทรงส่งพระมหาโมคคัลลานะไป
    เมื่อพระมหาโมคคัลลานะไปถึงแล้ว ก็แสดงปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ด้วยความชำนาญในการแสดงฤทธิ์ เป็นการน้อมจิตให้บุคคคลทั้งหลายเหล่านั้นมีความเชื่อถือ เห็นเป็นอัศจรรย์ แล้วองค์สมเด็จพระภควันต์ก็เสด็จตามไปทีหลัง ตอนนี้พระพุทธเจ้าเทศน์ธรรมะโปรดบรรดาท่านทั้งหลายเหล่านั้น ก็พากันบรรลุมรรคผลไปตาม ๆ กัน
    เรื่องพระมหาโมคคัลลานะมีความสามารถเป็นอัจฉริยบุคคล เลิศกว่าบุคคลอื่น แม้แต่พวกเดียรถีย์ทั้งหลายก็เศร้าสร้อยหงอยใจ บรรดาบริษัทบริวารของเดียรถีย์ทั้งหลายพากันมาเคารพในพระพุทธเจ้า สร้างความยากสร้างความลำบากให้เกิดแก่เดียรถีย์ เพราะเขาทั้งหลายเหล่านั้นมีความสามารถไม่พอ และก็ดีไม่จริง เป็นเหตุให้บริษัทชายหญิงของเขามาติดพระพุทธเจ้ากันเสียเกือบหมด
    เขาจึงได้พากันพิจารณาว่า องค์สมเด็จพระบรมสุคตที่มีคนนับถือมาก มีลาภสักการะมาก ก็เพราะอาศัยพระโมคคัลลาน์เป็นกำลังสำคัญ เพราะท่านเที่ยวไปยังที่ต่าง ๆ เที่ยวเมืองนรกบ้าง เมืองสวรรค์บ้าง ปลุกใจประชาชนให้มีความเคารพในองค์สมเด็าจพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเหตุ
    เขาจึงคิดกันต่อไปว่า ถ้าเราจะทำลายองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ คือพระพุทธเจ้า ทำลายไม่ได้แน่ เพราะคิดทำลายมาหลายวาระแล้ว เคยใช้นางจิญจมาณวิกา แกล้งทำเป็นคนท้องไปประกาศให้คนทราบว่า พระพุทธเจ้าทำให้ท้อง แต่หนูจัญไรกลับไปกัดเอาเชือกที่ผูกไม้ที่แกล้งทำเป็นคนท้องให้ขาดลงมา เป็นเหตุให้นางจิญจมาณวิกาได้รับโทษลงอเวจีทั้งเป็น
    แล้วก็พระเทวทัตได้หาทางกลั่นแกล้งพระพุทธเจ้า สั่งนายขมังธนูยิงบ้าง ปล่อยช้างนาฬาคีรีให้ไล่แทงพระพุทธเจ้าบ้าง กลิ้งหินให้ทับบ้าง พระพุทธเจ้าก็ไม่มีอันตราย
    การที่คิดจะฆ่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นของทำได้ยาก แต่ว่าถึงกระไรก็ดี ถ้าตัดแขนขาขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสียได้แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็จะต้องเศร้าไป แขนขาที่สำคัญขององค์สมเด็จพระจอมไตรก็คือ พระมหาโมคคัลลานะ ที่มีฤทธิ์มาก และปลูกศรัทธาคนได้ดี
    บรรดากลุ่มเดียรถีย์ทั้งหลายพร้อมใจกัน แต่ความจริงเขาประกาศว่า เขาเป็นพระอรหันต์ แต่กลับมีอารมณ์จิตอิจฉาพระพุทธเจ้า คิดจะฆ่าสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูเอาเถิดบรรดาท่านพุทธบริษัท เขาประกาศตนว่า เขาเป็นคณาจารย์ใหญ่สอนให้บุคคลอื่นทำความดี แต่ว่าจิตใจของตัวนี้เลวทรามยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพราะอะไร เพราะสัตว์เดรัจฉานมันยังมีความกตัญญูรู้ความดีของคน แต่ว่าบรรดาเดียรถีย์หน้ามนพวกนี้ เขาไม่เคยเห็นความดีของพระพุทธเจ้าและพระมหาโมคคัลลานะ มีอย่างเดียวท่านทั้งหลายเหล่านี้ดีกว่าเขา เขาต้องคิดทำลาย สมัยนี้มีบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ บรรดาท่านพุทธบริษัทที่คณาจารย์ทั้งหลายตั้งสำนักกันขึ้นมา แต่เห็นว่าสำนักอื่นเขาดีกว่า มีอารมณ์อิจฉาริษยา มีหรือเปล่าอาตมาไม่ทราบ ถ้าบังเอิญมีก็รู้สึกว่าน่าสลดใจ แต่เข้าใจว่าไม่มี แต่ก็ไม่แน่นัก เพราะเคยพบท่านผู้เฒ่าท่านหนึ่ง ท่านตั้งสำนักสมถวิปัสสนาของท่านขึ้นมา ปรากฎว่าคนอื่นเขาตั้งทีหลัง ท่านเป็นพระ เป็นพระราชาคณะ เป็นเจ้าคณะจังหวัด เห็นว่าคนอื่นเขาดีกว่าตนทนไม่ไหว แทนที่จะมีมุทิตาในพรหมวิหาร 4 กลับหาทางย่ำยีกลั่นแกล้งด้วยประการทั้งปวง เป็นที่น่าสงสาร ปรากฎว่าท่านผู้นี้เมื่อตายลงไป เวลาก่อนจะตายถูกทุกขเวทนาครอบงำมากต้องทุรนทุรายไค้สติสัมปชัญญะ ตายแล้วลงอเวจีมหานรก กฎของกรรมนี้ผ่านมาแล้วไม่นาน
    ความจริงเรื่องราวในสมัยที่องค์สมเด็จพระพิชิตมากทรงพระชนม์อยู่ ก็มีตัวอย่างมากมาย ท่านบวชภายหลัง มีตำรามากเรียนได้ครบ เรียนจบเป็นมหาเปรียญ แล้วก็เป็นเจ้าคุณฯ เป็นเจ้าคณะจังหวัด ไม่น่าจะประพฤติความชั่วแบบนั้น แต่ทั้งนี้ไม่ใช่อะไร บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เพราะว่าการปฏิบัติธรรมของท่านนั้น ไม่ได้เข้าถึงธรรมขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้ จริง ท่านตั้งสำนักหลอกชายและหญิงเพื่อนำทรัพย์สินไปให้เท่าเท่านั้น ลูกศิษย์ของท่านอาจจะดีได้ แต่ตัวของท่านเองลงอเวจีมหานรก ที่พูดอย่างนี้ก็พูดตามสำนักของท่านอาจารย์ใหญ่ท่านหนึ่ง ซึ่งพวกเรายกย่องกันว่าท่านเป็นผู้ประเสริฐ เมื่อท่านกล่าวขึ้นมาอย่างนั้นก็สร้างความแน่ใจว่า คงจะเป็นแบบนั้น เพระาว่าดูจริยาของท่านผู้นั้น ก็คงจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน
    บรรดาเดียรถีย์เหล่านั้น เมื่อฆ่าพระมหาโมคคัลลานะแล้ว ต่อมาองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ไม่ได้ทรงว่าอะไร และก็กรรมของเดียรถีย์ทั้งหลายเหล่านั้นคือ โจรที่รับอาสา 500 คนถูกฆ่าหมด พวกเดียรถีย์ถูกปลดจากความดี การที่พระมหาโมคคัลลานะถูกฆ่าในคราวนี้ ความจริงท่านทราบก่อน เพราะมีญาณพิเศษ ประเดี๋ยวจะมานั่งสงสัยกันว่า มีฤทธิ์ขนาดนั้น มีญาณขนาดนั้น ทำไมไม่หนีพวกโจรที่เข้าไปฆ่าตัวเอง ความจริงโจรมาล้อมแล้ว 2 ครั้ง ท่านรู้ เมื่อรู้ตัวแล้ว ท่านก็เหาะหนีไป โจรเข้ามาล้อมครั้งที่ 3 ท่านก็มานั่งพิจารณาว่า นี่มันเรื่องอะไร ถอยหลังชาติเข้าไป ด้วยอำนาจปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ก็ทราบว่ากรรมเก่าของท่านที่ทำไว้แล้วในกาลก่อน
    เรื่องนี้ องค์สมเด็จพระชินวรเคยเทศน์ให้พระฟัง เพราะพระท่านมีความสงสัยว่า พระมหาโมคคัลลานะนี้มีบุญใหญ่ ทำไมจึงได้ถูกโจรทุบตาย แต่ความจริงระหว่างที่ถูกโจรทุบนั้นท่านไม่ตาย เขาทุบแล้วก็คิดว่าท่านตาย กระดูกแหลกเหลวหมด เขาลากท่านไปทิ้งไว้ที่กอไผ่ เมื่อโจรไปแล้วท่านก็อธิษฐานจิต ด้วยอำนาจของกำลังฤทธิ์ ประสานกระดูกทั้งหมดให้ติดกัน แล้วก็เหาะมาเฝ้าองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอลาเข้าสู่พระนิพพาน เมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงอนุญาตแล้ว จึงได้กราบลาพระประทีปแก้วไปนิพพานในที่สมควร
    เมื่อพระมหาโมคคัลลานะนิพพานแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงพาพระสงฆ์ทั้งหลายนำอัฐิธาตุของพระมหาโมคคัลลา นะ บรรจุเข้าไว้ในสถูปให้เขาสร้างสถูป เป็นที่บรรจุกระดูกไว้ สถูปนั้นก็ทำเหมือนกับบาตรคว่ำ คือทำดินนูนขึ้นมาเป็นโคก เป็นสัญญลักษณ์ คนจะได้ไม่เดินข้าม และท่านกล่าวกฎของกรรมว่า ถอยหลังไปประมาณ 1,000 ชาติ เรื่องนี้พระมหาโมคคัลลานะก็ทราบตอนโจรมาล้อมครั้งหลังว่า
    พระมหาโมคคัลลานะเป็นลูกชายของพ่อแม่ ที่ทั้งพ่อและแม่ตาบอดทั้งคู่ โฉมตรูโมคคัลลานะในเวลานั้น เป็นคนที่ประกอบไปด้วยความกตัญญูรู้คุณบิดาและมารดา เลี้ยงดูบิดามารดาด้วยดีทุกประการ เมื่อทำงานกลับมาแล้วก็ต้องมาหุงข้าวเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ คนดีอย่างนี้หายาก
    ต่อมาท่านพ่อท่านแม่เห็นว่าลูกชายลำบาก ก็อยากจะหาเมียให้จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระ แต่ทว่าพระมหาโมคคัลลานะก็คัดค้านว่า อย่าเลย หญิงที่นำมา ดีไม่ดีเขาจะไม่รักพ่อไม่รักแม่ก็เป็นได้ แต่ว่าบิดาและมารดาทั้งสองนั้นไซร้ก็บอกว่า ไม่เป็นไรลูก จะหาคนที่มีตระกูลเสมอกัน คือตำแหน่งของท่านก็เป็นเศรษฐี เป็นคนมั่งมีทรัพย์มาก จึงไปขอหญิงในตระกูลอื่นเข้ามา
    ในตอนแรก ๆ แม่ลูกสะใภ้คนดี ก็มีความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดาของผัวเป็นอย่างดี แต่ว่าพระมหาโมคคัลลานะท่านมีความรักในพ่อและแม่ท่านมาก เวลากลับมาจากทำงาน แทนที่จะเข้าไปจู๋จี๋กับเมียก่อน แต่กลับเข้าไปจู๋จี๋กับพ่อแม่เสียก่อน เหตุนี้เองเป็นเหตุให้นางเมียไม่พอใจ คิดจะฆ่าทั้งสองคนเสีย จึงได้หาอุบายด้วยประการทั้งปวง
    ในที่สุด ก็บอกกับพระมหาโมคคัลลานะว่า บิดามารดาของท่านเป็นคนใจร้าย หุงข้าวให้กินก็ไม่กิน แต่ความจริงเวลาที่ทำอาหารให้ผัวมีรสอร่อย แต่ทำอาหารให้แก่พ่อผัวแม่ผัว บางทีก็เค็มจัดเกินไป เผ็ดจัดเกินไป เปรี้ยวจัดเกินไป พ่อผัวแม่ผัวกินไม่ไหวก็เลยไม่กิน นางก็ฟ้องบอกว่า นี่แหละ อาหารมันเหมือนกัน แต่ว่าท่านทั้งสองไม่ยอมกิน ท่านลูกชายก็ยังไม่ว่าอะไร
    ต่อมา นางในก็เอาใหม่อีก ทำอาหารรสจัด ในเมื่อท่านทั้งสองไม่กิน นางก็เทราดไปเต็มบ้าน เมื่อลูกชายกลับมาก็ฟ้องบอกว่า ท่านผู้เฒ่าทั้งสองคนทำอาหารให้ก็ไม่กิน แล้วก็เทราดไปบนบ้านเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด ฉันปัดกวาดไม่ไหว เช็ดถูไม่ไหว อย่างนี้ไม่ไหวแล้ว ฉันขอลากลับบ้าน
    อาศัยที่จอมนงคราญอกตัญญูไม่รู้คุณคน ทำให้พระโมคคัลลาน์หน้ามนซึ่งเป็นคนกตัญญู รู้คุณ เป็นคนอกตัญญูไป เพราะการนั่งทูลนอนทูลของเมียสาว มันก็มีความสำคัญเหมือนกัน นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ฟังไว้แล้วก็คิดด้วยว่า ความดีที่เรามีอยู่ เราจงอย่าเชื่อคนอื่น อย่างไร ๆ ก็สอบสวนให้ดีเสียก่อน เป็นเหตุให้พระมหาโมคคัลลานะคิดผิดในตอนนั้น เพราะอาศัยเมียออดอ้อนสนับสนุน หาทางกลั่นแกล้งด้วยประการทั้งปวง จนเห็นว่าบิดามารดาของตนนี้เป็นคนไม่ดี
    วันหนึ่ง คิดจะฆ่าพ่อฆ่าแม่เสียในป่า จึงได้บอกกับบิดาและมารดาว่า ญาติผู้ใหญ่ที่อยู่ทางฝั่งป่าทางโน้นเป็นญาติกัน ความจริงบิดามารดาก็รู้จัก ท่านสั่งให้ท่านทั้งสองไปเยี่ยมและเวลานี้ท่านก็เตรียมเกวียนไว้แล้ว จะให้บิดามารดาทั้งสองนั่งไปในเกวียน ท่านจะเป็นคนบังคับเกวียนไป เมื่อท่านบิดามารดาทั้งสองได้ฟังก็เห็นใจ คิดว่าลูกชายของเรานี้เป็นคนดี จึงให้ลูกชายประคองบิดามารดาทั้งสองศรีนั่งบนเกวียน
    พอเข้าไปถึงป่าลึก ท่านพระมหาโมคคัลลาน์คิดจะฆ่าพ่อฆ่าแม่ในป่า จึงได้บอกกับท่านบิดาว่า คุณพ่อช่วยจับเชือกบังคับวัวไว้ให้ที กระผมนี้กำลังปวดอุจจาระ จะไปถ่ายอุจจาระ ท่านพ่อก็จับเชือกเข้าไว้ บังคับวัวให้เดินตรง
    ท่านมหาโมคคัลลานะไปแล้ว ก็ทำเสียงดังเหมือนกับโจรจะเข้ามาปล้น ท่านพ่อท่านแม่ทั้งสองคนได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย เข้าใจว่าโจรร้ายมาปล้น ห่วงลูกชายของตนคือพระมหาโมคคัลลานะผู้เป็นลูกชาย ท่านทั้งสองจึงได้ร้องประกาศไปว่า ลูกเอ๋ย พ่อแม่ทั้งสองคนแก่แล้ว ปล่อยให้พ่อแม่ตายเถิด ลูกยังมีความเป็นหนุ่มอยู่ หนึเอาตัวรอดไปก่อน ไม่ต้องห่วงพ่อห่วงแม่
    นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท น้ำใจของบิดามารดาย่อมมีความสำคัญแก่บุตรเพียงนี้ ยอมตายแทนลูก แต่ว่าลูกคนนี้สิ บรรดาท่านพุทธบริษัท พระโมคคัลลานะเองที่ปลอมมาเป็นโจร เมื่อพ่อแม่พูดอย่างนั้น ใจไม่ยักอ่อน พ่อบังอรใช้ไม้ทุบพ่อและแม่ตายทั้งคู่ เมื่อพ่อโฉมตรูฆ่าพ่อและแม่ตายแล้ว ก็แจวอ้าวกลับบ้าน
    องค์สมเด็จพระพิชิตมารกล่าวว่า เขาก็ไม่มีความสุข เพราะกฎของกรรมที่ทำกับบิดามารดา เมื่อตายแล้วจากชาตินั้น ต้องไปเกิดในอเวจีมหานรก เมื่อตกอเวจีมหานรกสิ้นเวลากัปหนึ่ง พ้นจากนั้นก็มาเกิดเป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร คือเป็นมนุษย์บ้าง เทวดาบ้าง เป็นพรหมบ้าง เฉพาะเป็นมนุษย์ 1,000 ชาติพอดี ต่อมาก็พบองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า อาศัยบุญเก่าที่เคยบำเพ็ญบารมีร่วมกันมาในสมัยที่องค์สมเด็จพระศาสดาเป็นสุเมธาบส
    ตอนนั้น องค์สมเด็จพระบรมสุคตบูชาพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระปทุมุตตระ ท่านอยู่ในป่า เมื่ออาราธนาพระพุทธเจ้ามาถึงลำรางเล็ก ๆ ท่านก็ทอดกายเป็นสะพานให้พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เดิน เมื่อมาสู่สำนักของท่านแล้ว ท่านก็ประกาศตนปรารถนาพระโพธิญาณ ก่อนที่จะถวายอาหารให้พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ พระปทุมุตตระจึงได้เข้านิโรธสมาบัติ พระอรหันต์ทั้งหมดเข้าผลสมาบัติ สมาบัติทั้งสองนี้มีกำลังมาก เพราะดลบันดาลให้บรรดาท่านพุทธบริษัทที่บำเพ็ญกุศล เมื่อออกจากสมาบัติทั้งสอง จะมีการคล่องในกิจการของตน คือในความเป็นอยู่ ถ้าปรารถนาความร่ำรวย ก็จะร่ำรวยสมความปรารถนา ถ้าปรารถนาความสำเร็จมรรคผล ก็จะสำเร็จมรรคผลสมความปรารถนา เมื่อองค์สมเด็าจพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว ทรงรับพระกระยาหาร หลังจากนั้นแล้ว พระพุทธเจ้าก็ทรงให้พร และก็ทรงพยากรณ์ว่า นับตั้งแต่นี้ไปอีก 91 กัป ท่านสุเมธดาบสจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า มีพระนามว่าพระสมณโคดม
    ในขณะนั้นเองพระโมคคัลลานะและพระสารีบุตร ทั้งสองท่านเป็นสาวกของสุเมธดาบส จึงได้เข้ามากราบองค์สมเด็จพระบรมสุคตองค์หนึ่งบอกว่า ข้าพระพุทธเจ้าขอเป็นอัครสาวกเบื้องขวา อีกองค์หนึ่งประกาศกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ข้าพระพุทธเจ้าขอเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระสมณโคดม
    เป็นอันว่า อาศัยบุญบารมีที่ติดตามกันมาอย่างนี้ สิ้นเวลา 91 กัป แต่ความจริงมากกว่านั้น องค์สมเด็จพระทรงธรรม์จึงกล่าวว่า มหาโมคคัลลานะชาตินี้มาพบเรา จึงได้กลายเป็นคนมีฤทธิ์มาก เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย แต่ว่าโมคคัลลานะถึงแม้ว่าจะตาย ท่านก็ไปนิพพาน ไม่มีความทุกข์อะไร
    แล้วองค์สมเด็จพระจอมไตรจึงได้ตรัสแก่บรรดาภิกษุสงฆ์ทั้งหลายว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอทั้งหลายจงอย่าประมาทในกรรมเล็กน้อยว่าจะไม่ให้ผล ดู ตัวอย่างพระมหาโมคคัลลานะเป็นสำคัญ ท่านเป็นอริยสงฆ์ เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย มีฤทธิ์มาก แต่ก็ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงกฎของกรรมได้ ขึ้นชื่อว่ากรรมใดที่เราทำไว้แล้ว ถ้าไม่ให้ผลในชาตินี้ ก็จะให้ผลในชาติต่อ ๆ ไป
    ฉะนั้น ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ที่เคยบ่นบอกว่าทำบุญให้ทานแล้ว ก็มีความไม่สบาย เมื่อฟังเรื่องราวของพระมหาโมคคัลลานะแล้วไซร้ ก็โปรดทราบว่า กฎของกรรมเก่าของเราทำไว้มากเพียงใด เราไม่ทราบ ฉะนั้น ถ้ากรรมใดที่มันเกิดขึ้นกับเรา ทำให้เราได้รับความลำบาก ก็คิดไว้ในใจว่า เราจะใช้หนี้มัน
    นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ขึ้นชื่อว่ากฎของกรรมเราหนีไม่พ้น สำหรับตอนนี้ก็ขอยุติเรื่องราวของพระมหาโมคคัลลานะในเรื่องบุพกรรม คือกรรมเก่าไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน สวัสดี

    -http://kaskaew.com/index.asp?contentID=10000004&title=%BA%D8%BE%A1%C3%C3%C1%A2%CD%A7%BE%C3%D0%C1%CB%D2%E2%C1%A4%A4%D1%C5%C5%D2%B9%D0&getarticle=105&keyword=&catid=3-




    .


    http://kaskaew.com/index.asp?content...yword=&catid=3
    .
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    บุพกรรมขององคุลีมาล

    -http://kaskaew.com/index.asp?contentID=10000004&title=%BA%D8%BE%A1%C3%C3%C1%A2%CD%A7%CD%A7%A4%D8%C5%D5%C1%D2%C5&getarticle=34&keyword=&catid=3-


    “หลวงพ่อคะ หนูเคยอ่านเรื่องกฎของกรรมเรื่องหนึ่ง คือ นายแดงเป็นคนเนรคุณพ่อแม่และเคยทุบตีพ่อแม่ พอแกมีลูกออกมาลูกก็มีอาการเหมือนกับพ่อค่ะ คงจะเป็นกฎของกรรมของนายแดง แต่หนูคิดว่าลูกของนายแดงจะต้องมีบาปเหมือนกันใช่ไหมคะ....”

    ก็ไม่ใช่บาป

    “แล้วกฎของกรรมจะบันดาลให้เป็นอย่างไรคะ...”

    นายแดงเป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณพ่อแม่ ตีพ่อตีแม่ นายแดงก็เป็นคนมีจิตเลว ฉะนั้นเด็กที่จะต้องมาเกิดด้วยก็ต้องเป็นเด็กเลว ๆ มาเกิด คือว่าเด็กที่จะมาเกิดร่วมกันส่วนใหญ่จะต้องมีศรัทธาเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน เสมอกับพ่อแม่ จึงจะเข้าสู่ครรภ์ตระกูลนั้นได้

    แต่ว่าไอ้กรรมที่เป็นอกุศลย่อมให้ผลต่างวาระ บางทีตอนเป็นเด็ก ๆ แกดี ตอนโตอาจเลวไปชั่วขณะหนึ่งก็ได้

    หมายความว่า กรรมที่เป็นอกุศลเดิมเข้ามาสิงจิตในช่วงกลางนะ และในช่วงหนึ่งของชีวิต เขาอาจจะมีดีในตอนปลายมือก็ได้ เพราะว่าตอนต้น ๆ พ่อเลวแม่เลว แต่เขาอาจมีดีอยู่ เป็นเพราะช่วงของกรรมเขาเกิดมาในช่วงนั้น กรรมที่เป็นอกุศลมันให้ผลไปก่อน แต่ว่ากรรมที่เป็นกุศลคือความดีมันอาจจะมาทีหลัง



    องคุลีมาล

    “อย่างนั้น พระองคุลีมาลที่ต้องเป็นโจรฆ่าคนเอานิ้วมือ ก็คงเป็นกฎของกรรมใช่ไหมคะ......”

    อันนี้ก็เป็นกฎของกรรม คือถอยหลังจากชาตินี้ไปหนึ่งชาติ ก่อนที่จะเกิดมาเป็นคน ท่านเกิดเป็นควายป่า เป็นควายแต่ว่ามีความสามารถมาก มีความเก่งกล้ามาก สัตว์ในป่าทุกประเภทไม่มีใครสู้ได้เลย มีความว่องไว เขาก็แหลมคม มีกำลังดีมาก ปะทะกันก็แพ้หมดทุกประเภท สัตว์ในป่าทุกประเภทเห็นท่านเดินไปก็ยอมซูฮก

    ทีนี้แกก็นึกในใจว่า อ้ายสัตว์ที่อยู่ในป่าทั้งหมดเป็นลูกน้องของเราทั้งหมด แต่อ้ายสัตว์ชาวบ้านเขาเลี้ยงมันจะเก่งแค่ไหน เลยออกมาก็ไล่ขวิดวัวควายช้างม้าเตลิดเปิดเปิงหมด ออกมาทีไรก็ทำแบบนั้นทุกคราว ชาวบ้านเขาก็รำคาญ เขาก็โกรธอ้ายควายป่าตัวนี้ ออกมาทีไรทำควายเราตายเสียบ้าง ทำให้ทุพพลภาพไปบ้าง บางทีก็เพลียไปบ้าง ใช้งานไม่ได้ตั้งหลายวัน เพราะวิ่งหนี

    วันหนึ่งคนหมู่บ้านแถวนั้นก็มาคิดกันว่า อ้ายควายตัวนี้ในไม่ช้ามันก็มาอีก ถ้ามาทีนี้จะต้องฆ่าให้ตาย คนทั้งหมดมันมีพันคนเศษ ก็ทำคอกให้แน่นหนาไว้ แล้วก็ทำเป็นซองคล้าย ๆ โป๊ะ รู้จักโป๊ะไหม

    “ไม่รู้จักค่ะ”

    เหมือนอย่งกับโป๊ะปลาทำปากกว้าง ๆ ซองแคบ ข้างในเขาทำแน่นหนา ถ้าวิ่งเข้ามา พอถึงซองแคบตัวก็จะติด เข้าถึงคอกไม่ได้ เขาก็เอาควายไปไว้ในนั้น

    ทีนี้ควายป่าตัวนั้นก็ออกเบิ่งหน้าเบิ่งหลังซิ ควายอื่นเห็นก็วิ่งหนีหมด อ้ายควายคอกไม่หนี หนีไปไหนล่ะ ใช่ไหม แกก็โมโห อ้ายนี่มันหยิ่งนี่ ไม่กลัว กูต้องจัดการ วิ่งไปวิ่งมา มองหาทางเข้า อ้อ..ไอ้ทางปากช่องเข้าได้ พอถึงที่แคบ ตัววิ่งมาแรง กระแทกเข้าไปก็ติด ขยับตัวไม่ได้ เขาก็เสียบไม้ กันออก

    ทีนี้ก็เอาซิ เข่าเข้าไป ศอกเข้าไป แต่วาคนพันคน ไม่ได้ทุบทั้งพันคนนะ พวกผู้หญิงพวกผู้ชายไม่ได้ลงมือตีทั้งหมด แต่ว่าพร้อมใจตีให้ตาย พอตีลงไปแล้ว ก่อนจะสิ้นใจตายแกก็ลืมตาดู ไอ้พวกนี้มันมาก กูคนเดียว มึงรุมฆ่ากู ถ้าชาติหน้ามีจริงก็ขอฆ่ามึงบ้าง นี่เป็นเวรที่จองกันไว้

    พอเกิดมาอีกชาติหนึ่ง พ่อตั้งชื่อให้ว่า อหิงสกกุมาร แปลว่ากุมารผู้ไม่เบียดเบียน พอเกิดมาแล้ว สติปัญญาดี จริยามรรยาทก็ดี ความจริงท่านเป็นคนดีมาก พอโตขึ้นมาหน่อย พ่อก็พามาเฝ้าประเจ้าปเสนทิโกศล



    กรรมเก่าเข้ามาสนอง

    ทีนี้เวลาไปเรียนศิลปวิทยา เพราะความดีของท่าน เขาเรียนกัน 4 ปี ท่านเรียน 2 ปี จบหลักสูตรทั้งหมด ทั้งฝ่ายบู๊ ฝ่ายบุ๋น ทั้งเพลงอาวุธด้วย เมื่อลูกศิษย์คนอื่น ๆ สู้ไม่ได้ อาจารย์ก็ให้เป็นครูสอนแทน ทีนี้ไอ้เพื่อนที่ไปด้วยกันมันอิจฉา มาด้วยกันเสือกมาเป็นครู ตอนนี้กรรมเก่าเข้ามาสนอง ก็หาทางจะฆ่า เลยไปยุอาจารย์ บอกว่าอหิงสกกุมารมันคิดจะตั้งตัวเป็นอาจารย์เสียเอง มันจะฆ่าท่านอาจารย์

    ไอ้ลมพายุมันพัดแล้วก็ไป แต่ไอ้ลมปากคนมันพัดบ่อย ๆ ก็ชักไหวเหมือนกัน ตอนหลังท่านอาจารย์ก็เชื่อ ก็คิดในใจว่า ถ้าเราจะฆ่าเสียเองมันจะเสียชื่อ ทางที่ดีให้คนอื่นเขาฆ่าดีกว่า

    วันหนึ่งจึงเรียกอหิงสกกุมารเข้าไปถามว่า เวลานี้เจ้าเก่งมากทั้งวิชาฝ่ายบู๊ และฝ่ายบุ๋นทั้งหมด แม้ในการรบก็เก่ง แต่ทว่าวิชาของอาจารย์ยังมีอีกหน่อย เขาเรียกว่า วิษณุมนต์ ถ้าหากใครเรียนได้จะปราบได้ทั่วไตรภพ มนุษย์ก็ปราบได้ เทวดาก็ปราบได้ พรหมก็ปราบได้ ทีนี้คนเป็นวัยรุ่นและก็เก่งอยู่แล้วก็อยากเก่งต่อไป ก็อยากเรียน อาจารย์ก็เลยบอกว่า

    คนอื่นเรียนไม่ได้แต่อย่างเธอนี่เรียนได้แน่ จะให้ได้คนเดียว แต่ก่อนที่จะเรียนต้องยกครูเสียก่อน แต่ว่าการยกครูนี่ไม่ใช้ของ แต่ต้องฆ่าคนให้ได้หนึ่งพันคน ถ้าฆ่าคนได้หนี่งพันคนละก็ เธอจึงจะเรียนได้ ท่านก็เลยตกลงยกครูโดยการไล่ฆ่าคน ทีนี้คนที่แกจะฆ่าได้ง่าย ๆ ก็แค่ 2-3 คนแรกเท่านั้นแหละ ตอนหลังเขารู้ข่าวว่าอีตาคนนี้ไล่ฆ่าคน ใครเขาฟังข่าวก็ไม่อยากจะเห็นแก เห็นเข้าเขาจำรูปร่างได้เขาก็หนี กว่าจะไล่ฆ่าได้ก็แย่

    ทีนี้ฆ่าไปฆ่าไป ลืมนับจำนวน หนัก ๆ เข้าก็ลืม ไม่รู้เท่าไร ทีหลังก็เริ่มต้นใหม่ ฆ่าได้หนึ่งคนตัดเอานิ้วไว้หนึ่งนิ้ว ตอนนี้จึงมีนามว่า องคุลีมาลโจร แปลว่า โจรผู้ฆ่าคนเอานิ้วมือ ฆ่าไปจนได้ 999 นิ้ว นี่ถ้านับจริง ๆ มันเกิน 1,000 แล้วนะ ใช่ไหม อีตอนที่ไม่ได้เอานิ้วไว้ไม่รู้เท่าไร แต่ว่าคู่ปรับยังมีอีกคนเดียว ถ้าได้อีกนิ้วเดียวก็ครบคู่ปรับพอดี และคู่ปรับที่จะต้องฆ่าก็คือแม่ แต่ความจริงท่านไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าแม่ แต่ว่ามันเหลืออีกนิ้วเดียว แต่ละนิ้วก็หาได้ยาก วันพรุ่งนี้จะเข้าไปกรุงพาราณสี จะเป็นใครก็ตามที ถ้าเห็นต้องฆ่า

    ทีนี้คืนนั้น แม่ได้ยินข่าวว่าลูกชายจะมาอยู่ใกล้ ก็ตั้งใจว่าพรุ่งนี้เช้าจะไปเยี่ยมลูก จะไปห้าม ถ้าแม่ไปก็ถูกฆ่า เพราะว่าเป็นคู่ปรับเดิม สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรวจอุปนิสัยของสัตว์ตอนเช้ามืด ทรงทราบว่า ถ้าอหิงสกกุมารฆ่าแม่ จัดเป็นอนันตริยกรรม มรรคผลจะไม่ได้เลย ท่านทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ต้องการให้คนที่จะดีก็ขอให้ดีต่อไป ไม่ให้ความชั่วเข้ามาทับถม ท่านจึงเสด็จไปก่อน ไปก่อนแม่

    อหิงสกกุมารเห็นพระพุทธเจ้านึกว่าหวานแล้ว อีตานี่เดินนวยนาด สวย หล่อ ลีลาดีหม่ำสบายละ แกก็วิ่งกวดเลย พระพุทธเจ้าทรงเดินเฉย ๆ ท่านทำให้แผ่นดินสูง ๆ ต่ำ ๆ สูง ๆ แกก็วิ่งไม่ถนัด แกเห็นแกก็กวดไม่ทัน แกก็ร้องบอก เอ้า...สมณะหยุดก่อน พระพุทธเจ้าบอกตถาคตหยุดแล้ว แล้วท่านก็เดินต่อไป แกก็วิ่งไม่ทัน พอเหนื่อยเข้าก็ร้องบอก ไง...สมณะทำไมพูดมุสาวาท ท่านบอกว่าท่านหยุดแต่ท่านยังเดินอยู่

    พระพุทธเจ้าก็ทรงหยุดหันมาบอกอหิงสกกุมาร ตถาคตหยุดจากบาปกรรมธรรมอันลามกมานานแล้วนะ เธอน่ะยังไม่หยุดอีกรึ เพราะกรรมที่เป็นกุศลเดิมให้ผลก็รู้สึกตัวทันที วางดาบ วางพวงนิ้วมือแล้วก็นุ่งผ้าให้เรียบร้อย ทำผมให้เรียบ วิ่งเข้าไปกราบพระพุทธเจ้า ท่านก็ทรงให้โอวาทนิดหนึ่ง ท่านก็ขอบวช ท่านก็ให้บวช บวชแล้วก็ได้เป็นอรหันต์

    นี่เรื่องนี้บางคนสงสัยว่า ทำไมองคุลีมาลฆ่าคนเหยง ๆ แต่ไปเป็นพระอรหันต์ ก็ท่านทำบุญไว้ดีน่ะซิ แต่ไอ้บุญประเภทนี้เราก็ไม่อยากทำนะ



    (จาก หนังสือธรรมสัญจร เล่มที่ 4)


     

แชร์หน้านี้

Loading...