บุญฤทธิ์อิทธิบารมี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย pongio, 29 กันยายน 2014.

  1. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    บุญฤทธิ์อิทธิบารมี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสีffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>


    โดย เสฏฐ์ เสกสรรค์

    บทความจาก ปีที่ 2 ฉบับที่ 14 เดือนพฤศภาคม 2549



    ในทุกครั้งที่ไปถึงวัดระฆังโฆสิ ตาราม ไม่ว่าผู้เขียนหรือใครๆ ที่นับถือ พระพุทธศาสนา มี คุณพระเป็นที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นต้องกล่าวถึงบุญฤทธิ์อิทธิบารมีที่ยิ่งใหญ่หาใด เปรียบปานได้ของสมเด็จพระ พุฒาจารย์โต พรหมรังสี ความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ในพระคาถาชินบัญชรขององค์ท่านและไม่อาจเว้นที่จะกล่าว ถึงอย่างชื่นชมในความศักดิ์สิทธิ์ อัศจรรย์ได้เช่นกันคือ เรื่องราวที่ เกี่ยวกับ พระสมเด็จวัดระฆัง สุดยอดอมตะวัตถุมงคลไร้เทียมทานในปฐพี! ซึ่งเป็น พระที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี สร้างขึ้นเป็น กำนัลน้ำใจแก่ผู้มาร่วม ทำบุญกับทางวัด กับท่าน เป็นการสืบทอดพระ พุทธศาสนาความขลังความ ศักดิ์สิทธิ์ของพระ สมเด็จวัดระฆัง ดัง ที่รู้กันแล้วว่ามีเห ตุปาฏิหาริย์เป็นที่ ควรอัศจรรย์กล่าว ขานกันอย่างลือลั่นมาก อีกทั้งสูงค่ามากราคาเป็นอย่างยิ่งด้วย ทำให้เป็นสุด ยอดปรารถนาของทุกผู้คนต้องการมีไว้ เป็นสรณะบูชา ทราบดีกันว่าอานุภาพพระสมเด็จ วัดระฆัง เป็นยอดในทางแคล้วคลาดเมตตามหานิยมเป็นเยี่ยมป้องกันศัตรู หมู่พาล ห่างไข้ไกลทุกข์ อุบาทว์ลี้หนี เป็นมวลสารวิเศษศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้พระ สมเด็จวัดระฆัง (บางองค์)งอกได้!ได้รู้มาอย่างนั้นค่อนข้างนาน พอสมควร<O:p></O:p>



    กระทั่งต่อมาประมาณ 5-6 เดือนก่อนหน้านี้ ผู้เขียนได้รับพระ สมเด็จมาจากพระเกจิอาจารย์ที่เคารพ ท่านหนึ่งท่านใส่กรอบเลี่ยมให้อย่าง ดีพร้อมมีแหนบสำหรับเหน็บให้ด้วย ดู เหลืองอร่ามเตะตามาก ท่านว่าพระน่ะ ของเก่าของแท้ที่หาได้ยากในทุกวันนี้ จริงแท้แน่นอนเพราะฉันได้มาจากมือ หลวงพ่อที่วัดเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ได้ มา 3 องค์จึงแบ่งให้คุณเป็นที่ระลึกองค์ หนึ่ง แต่กรอบจีวรที่เห็นเป็นทองคำน่ะถอดแลกเป็นเงินเป็นทองไม่ได้นะ บอก กันให้รู้ไว้ก่อนจะได้ไม่มาต่อว่าต่อขาน กันในภายหลัง...ท่านว่าอย่างนั้น และบอกให้รู้ถึงที่มาว่าท่านพระองค์ที่มอบให้นี้มาจาก จากวัดใหม่อมตรส เมื่อหลายสิบก่อน คือได้มาแต่ท่านยังเป็นพระหลวงพ่อ ของคนทั้งหลายยังไม่ได้เป็นหลวงปู่ผู้มีอายุเฉียดร้อยเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ ได้รับมาจากท่านด้วยความปีติดีใจ เป็นล้นพ้นอย่างไร้ข้อกังขาสงสัยและ เมื่อมีโอกาสพบเจอกับผู้รู้เช่น นพ ท่าพระจันทร์ผู้เด่นดังและตาถึงในวง การพระเครื่องวัตถุมงคลซึ่งรู้จักกันเป็น ส่วนตัว พบเจอท่านมานพก็อดนำพระ สมเด็จซึ่งได้มาอย่างไม่คาดคิดดังกล่าว ให้ท่านดูหมายใจว่าจะได้รับคำการันตี รับรองให้รู้ว่าเป็นพระสมเด็จจากวัดใด รุ่นไหน ใช่พระที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ท่านสร้างหรือไม่ ให้เป็นที่ชื่นใจใน
    โอกาสวาสนาสักเล็กๆ น้อยๆ ท่านมานพรับไปพินิจนิดหนึ่งแล้ว ถามว่าพี่ได้มาจากไหน ใครให้พี่มา เขา ว่าอย่างไร?Ž พอเรียนให้ทราบถึงที่มาดังกล่าวท่านก็ส่งพระคืนให้โดยไม่มีการหยิบ กล้องออกมาส่องดูเนื้อพระอย่างที่ บรรดาเซียนพระทั้งหลายเขาทำกันสัก นิดบอกว่า ดีพี่ เป็นพระสมเด็จหลวงปู่โต แล้วดีทั้งนั้นยิ่งพระท่านเป็นผู้ให้มา อย่างนั้นต้องดีแน่ๆ ว่าดังนั้นแล้วก็ชวนคุยเรื่องอื่น ไม่ กล่าวถึงหรือวิจารณ์พระสมเด็จที่ให้ ดูอีกแม้คำเดียวทำให้ไม่กล้าที่จะรบเร้า เซ้าซี้ให้ท่านเป็นที่รำคาญใจ ถึงท่าน จะเรียกผู้เขียนว่าพี่ ก็ไม่อาจเอื้อมบังอาจ จึงได้เก็บงำความใคร่รู้ข้อเท็จจริงนั้น เรื่อยมา
    กระทั่งถึงวันงานทำบุญประจำปี ของนิตยสารศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งผู้เขียนเป็น หนึ่งในทีมงานเวลานั้น ปีนั้นจัดที่วัด ระฆังโฆสิตาราม ด้วยบรรยากาศอันอบอุ่นรื่นเริงใจในบุญกุศลที่ได้ร่วมกัน ทำ ผู้เขียนได้พกพระสมเด็จองค์ที่ได้รับ มาไปด้วย โดยเหน็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ อย่างมิดชิด ถึงเวลาผู้ดำเนินพิธีนำหมู่คณะไป สวดเจริญพระคาถาชินบัญชรบูชา สมเด็จพระพุฒจารย์โต พรหมรังสี ขอพรบารมีองค์ท่านแผ่ปรกให้เป็นโชค เป็นลาภ มหามงคลแก่ชีวิต ในวิหารประดิษฐานด้านหน้าพระอุโบสถ ร่วม สวดเจริญพระคาถาชินบัญชรกันแล้ว ชาวคณะทุกๆ คนค่อยทยอยกันออกมา เพื่อเดินกลับไปยังศาลาริมแม่น้ำเจ้า พระยา คณะ 1 เพื่อร่วมพิธีสำคัญใน ลำดับต่อไปแต่เนื่องจากประตูเข้า-ออก ค่อนข้างเล็กเมื่อคนจำนวนมากจะออก ไปในเวลาเดียวกันพร้อมๆ กันจึงเกิด แออัดยัดเยียด ผู้เขียนจึงก็ปลีกตนออก มาจากกลุ่มไปยืนรอให้ท่านทั้งหลาย เดินออกกันไปก่อน <O:p></O:p>
    ขณะยืนดูกลุ่มคนเดินผ่านประตู อันคับแคบนั้นอยู่เพลินๆ ก็ต้องเหลียวไปดูด้านหลังบริเวณหน้าพระอุโบสถ เมื่อได้ยินเสียงคล้ายทักทายชวน สนทนาดังขึ้นในระยะใกล้ๆ บารมีสมเด็จโตท่านยิ่งใหญ่ ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ คนทั้งหลายจึงเคารพบูชาท่านมากๆ มาทุกยุคทุกสมัย เหลียวไปดูจึงเห็นท่านเจ้าของเสียง เป็นชายชราผิวค่อนคล้ำ ร่างใหญ่ดูน่า เกรงขามด้วยหนวดเครารกครึ้ม ผมยาวสีดอกเลาแซมดำแซมขาวทั้ง หนวดเคราและเผ้าผมซึ่งถูกรวบไว้ด้าน หลังทำให้ดูไม่รกรุงรังกลับขับความ ผ่องใสของผิวพรรณบนใบหน้าให้เด่น ชัดยิ่งขึ้นจนประมาณอายุไม่ถูกว่าแก่ เฒ่าหรือวัยฉกรรจ์กันแน่ ท่านผู้นั้นอยู่ในชุดผ้าฝ้ายสีขาว หม่น ทั้งเสื้อและกางเกง สะพายย่ามไว้ ใบหนึ่ง จึงดูคล้ายผ้าขาวชาวป่าในชุดเดินทาง หรือฤๅษีชีไพรยุคใหม่ที่สลัด ชุดหนังเสืออย่างฤๅษีโบราณ หันมา สวมชุดขาวแทนกันแล้วหันไปมองสบ ตาอันดำขลับประกายเจิดจ้ากับท่านผู้ นั้นยังไม่ทันเอ่ยปากกล่าวตอบประการ ใด ท่านก็พูดขึ้นมาอีกว่า อย่างพระสมเด็จในกระเป๋าเสื้อ นั้นก็เหมือนกัน ลงได้ชื่อว่าเป็นพระ สมเด็จของเจ้าประคุณท่านแล้ว ขลังศักดิ์สิทธิ์ด้วยฤทธิ์แห่งบารมีของพระ คุณท่านทุกองค์! <O:p></O:p>
    คำนั้นทำให้แปลกใจว่าท่านผู้ยืน ห่างจากที่ผู้เขียนยืนอยู่ประมาณครึ่งวา และกล่าวทักเชิงชวนสนทนาจากด้านหลัง รู้ได้อย่างไรว่าในกระเป๋าเสื้อผมมี พระสมเด็จอยู่องค์หนึ่ง และแปลกใจยิ่ง ขึ้นในคำที่ได้ฟังเป็นลำดับต่อมา ไม่ต้องถามหาให้ใครเขาก็ไม่พบเจอท่านผู้นั้นเช่นกัน ได้มาลองนึกๆ ดูถึงเหตุการณ์ที่ พบเจอมากับเรื่องราวที่เคยได้รับคำบอก เล่าจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่งในครั้งที่ท่านป่วยหนักถึงกับต้องไปพักรักษาที่ สถาบันจิตเวชศาสตร์ สมเด็จเจ้าพระยา ระยะหนึ่ง ท่านต้องเผชิญผจญกับฤทธิ์ เดชวิญญาณชั่วร้ายอย่างหนักและ รุนแรงแต่ด้วยความที่ท่านมีจิตศรัทธา บูชาในคุณของสมเด็จพระพุฒจารย์โต พรหมรังสี อย่างท่วมท้นใจ แม้จะอยู่ใน อาการเจ็บป่วยจนบุคคลใกล้ชิดทุก คนหวาดหวั่นวิตก
    เมื่อรู้ว่าถูกนำส่งให้ เข้าพักรักษาในโรงพยาบาล แม้ไม่ สามารถจะลุกขึ้นนั่งกราบไหว้บูชาพระ อธิษฐานบารมีคุณพระอันมีสมเด็จพระ พุฒาจารย์โต พรหมรังสีเป็นที่สุดให้คุ้ม ครองปกปักรักษาอย่างที่เคยทำเป็น ปกติเสมอมาไม่ได้ ได้น้อมใจและ พยายามฝืนสังขารอย่างเพียรพยายาม พนมมือไหว้อาราธนาคุณพระแผ่บุญฤทธิ์อิทธิบารมีอย่างที่เคยจนได้ เหตุนั้นเมื่อวิญญาณร้ายสำแดงเดช ด้วยประสงค์ร้าย ไม่ว่าจะสำแดงฤทธิ์ แสดงเดชอย่างสุดฤทธิ์สุดเดชให้เป็นที่ สะเทือนฝันประสาทผวาประการใด ก็ตาม สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหม รังสี ก็แผ่ฤทธิ์บารมีแห่งท่าน อภิบาล ปกปักรักษา ขจัดภัยวิญญาณมิจฉาทิฐิ ให้สยบสิ้นทุกครั้งไป และผ่ายแพ้ในบุญฤทธิ์อิทธิบารมีในที่สุด! นอกจากนั้นยังบันดาลอาการเจ็บ ป่วยขนาดหนักของท่านให้ทุเลา บรรเทาลงอย่างรวดเร็วจนเป็นที่ อัศจรรย์แก่คนทั้งหลายทั่วหน้ากัน
    แต่ทั้งนี้เป็นด้วยความรู้ความ สามารถของแพทย์ พยาบาล ที่เชี่ยวชาญ ชำนาญ ให้การพยาบาลรักษาอย่างเต็มที่ และใกล้ชิด เป็นประการสำคัญด้วย เหตุที่ทำให้ต้องระลึกถึงกรณีที่ ผู้ใหญ่ท่านนั้น ต้องเจ็บป่วยและต้อง เผชิญผจญกับฤทธิ์เดชวิญญาณร้าย มาก ในมิจฉาทิฐิ ดังกล่าวมานั้น เป็นเพราะ คราวนั้น ผู้เขียน ภรรยาและบุตรสาววัย 6 ขวบ ได้พากันไปเยี่ยมท่านยังสถาน พยาบาลที่พักรับการรักษาในวันที่ท่าน มีอาการทุเลา ดีขึ้นพอสมควรแล้วแม้จะลุกขึ้นนั่งพูดคุยกับผู้ที่มา เยี่ยมไม่สู้สะดวกนัก แต่สติสัมปชัญญะ ความจะความจำก็ยังปราดเปรื่องแม่นยำ พูดจาฉาดฉานฟังชัดเช่นปกติ ท่านจึง เล่าให้ฟัง...
    ถ้าไม่พูดถึงความรู้ความชำนาญที่ เก่งกล้าสามารถ และการดูแลรักษาผู้เจ็บ ป่วยอย่างใกล้ชิดและจริงใจของแพทย์ พยาบาล และพนักงานทุกระดับชั้นของ สถาบันแล้ว
    ต้องยอมรับว่าด้วยบุญฤทธิ์อิทธิ บารมีของท่านสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ที่เคารพบูชาอย่างสูงยิ่งได้แผ่ เมตตาบารมีปกปักรักษา ให้ความคุ้มครองและบันดาลให้อาการป่วยค่อย ทุเลาอย่างรวดเร็วและมีชีวิตปลอดภัย จากอันตรายทั้งหลายทั้งปวงมาได้ในที่ สุด เล่าให้ฟังดั่งญาติพี่น้องร่วมครอบครัวว่าในเมตตาบารมี แห่งสมเด็จพระ พุฒาจารย์โต พรหมรังสี ที่แผ่ถึงท่านนั้น นอกจากสัมผัสในรังสีอันเป็นอภินิหาร ความศักดิ์สิทธิ์แห่งองค์ท่านซึ่งเป็นมหาเถระอันเป็นที่สุด ของที่สุดในสุด ยอดอมตะพระเกจิอาจารย์แห่งแผ่นดิน นิรันดร์กาล สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี โดยตรงแล้ว จิตสัมผัสในความรู้สึกทุกเมื่อ ทุกขณะที่อยู่ในสถานพยาบาลแห่งนั้น จะรู้สึกได้ว่ามีท่านผู้หนึ่งคอยเฝ้าดูแลให้ <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ดูหรอกว่าเป็นของแท้จริงหรือไม่ อย่าง ที่เคยรู้เคยได้ยินมา ถึงจะไม่ช่วยให้รู้ละเอียดลึกซึ้งขนาดเซียนพระสมเด็จชื่อ ดัง ก็พอจะหาคำตอบที่สงสัยได้ระดับ หนึ่งแล้ว ลองไปนึกๆ ดูเอาเองนะเป็นคำพูดที่บอกให้รู้ว่า ไม่ใช่จะรู้เฉพาะพระสมเด็จที่เหน็บแหนบอยู่ใน กระเป๋าเสื้อที่สวมอยู่อย่างมิดชิดเท่านั้น แม้ความคิดอ่าน ความวาดหวังที่ อยู่ในใจท่านก็รู้ได้ถูกต้องอย่างควร อัศจรรย์! แต่ยังไม่ทันที่จะซักไซร้ไล่เรียงใน สิ่งที่ตนเองอยากรู้ หรือชื่อเสียงเรียงนาม ท่านผู้นั้นว่าเป็นใครอยู่ที่ไหน บังเอิญมี สมาชิกท่านหนึ่ง แม้จะไม่รู้จักชื่อนาม ของสมาชิกท่านนี้ แต่ก็เป็นที่รู้จักคุ้น หน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี พบเจอและคุย กันอย่างออกรสออกชาติทุกงานบุญที่ บังเอิญไปร่วมไปเจอกันได้เดินเข้า มาทักทาย ผู้เขียนจึงต้องหันมาตอบรับ ในมิตรไมตรี หันหน้ามาทักทายท่านสมาชิก 2-3 คำ เหลียวกลับไปดูก็เห็นท่านผู้นั้นเพียง เบื้องหลังไวๆว่ากำลังเดินเข้าไปในพระ อุโบสถเสียแล้ว คิดจะเดินตามไปก็เห็น ไม่สมควร เพราะยังมีคู่สนทนาอีกท่าน หนึ่งยังยืนอยู่ อีกทั้งภาระหน้าที่ที่ศาลาคณะหนึ่งก็รออยู่ด้วย จึงได้แต่คาดหวัง ว่าเสร็จงานพิธีแล้วจะต้องถามหา สนทนากับท่านในสิ่งที่คั่งค้างต่อให้ จงได้ซึ่งได้เป็นความคาดหวัง แต่บัดนั้นจนบัดนี้วันนี้ เพราะหลังเสร็จพิธี ได้ ย้อนกลับมาถาม หาท่านผู้นั้นในเขต พระอุโบสถ จากทุกผู้คนที่อยู่ในบริเวณ นั้น แต่ไม่มีท่านใดรู้เห็นและรู้จักท่านผู้มีลักษณะดังที่ว่ามานั้นเลยแม้แต่ คนเดียว วันหลังจากนั้นต่อมาได้ พยายามไปสังเกตเฝ้าดูเป็นอีก 2-3 ครั้ง การปกป้องคุ้มครองพิทักษ์รักษาเพื่อ ความปลอดภัยทุกขณะจากจิตสัมผัสรู้ว่าท่านผู้นั้นเป็นผู้ เรืองฤทธิ์เรืองเดชอย่างสูงยิ่ง เป็นผู้รับ บัญชาให้มาคุ้มครองปกป้องรักษาเพื่อ ความปลอดภัยจากสมเด็จพระ พุฒาจารย์โต
    พรหมรังสีโดยตรง ท่านผู้นี้เป็นชายสูงอายุ รูปร่าง ลักษณะคล้ายดั่งฤๅษีชีไพรแต่โบราณ แต่สวมใส่ชุดขาว นุ่งขาวห่มขาว เป็น คนสูงอายุผิวคล้ำ ร่างใหญ่ดูน่าเกรงขาม
    แต่แฝงไว้ด้วยจิตเมตตาปรานี! จากคำบอกเล่าถึงบุรุษลึกลับที่ สัมผัสได้จากจิตรู้สึกแม้ท่านจะไม่ได้ อธิบายคุณลักษณะเฉพาะตนว่าเป็น เหมือนอย่างที่ผู้เขียนพบเจอในอาณาเขตพัทธสีมาบริเวณพระอุโบสถ วัดระฆังโฆสิตารามซึ่งพบเจอในใน ช่วงกลางวันแสกๆ ขณะที่แสงสูรน์ สุริยายังแผดกล้า!ว่าท่านผู้นั้นมีลักษณะเหมือนกันอย่างกับแกะก็ตาม แต่ก็อดที่ จะคิดเข้าข้างตนเองไม่ได้ว่า อาจเป็น ด้วยเมตตาความเมตตาบารี ที่สมเด็จ พระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านแผ่ถึงบันดาลให้ท่านผู้มีฤทธิ์มีเดช ในบัญชา ของท่านมาให้สติ เกิดความคิดพิจารณา ในข้อเคลือบแคลงสงสัยและใคร่รู้มา นานแก่ตนเองมิได้ ความคล้ายคลึงในรูปร่างลักษณะของบุรุษลึกลับที่ปรากฏตัวให้เห็นดัง กล่าวเป็นไปได้ด้วยปาฏิหาริย์ฤทธิ์ บันดาลของ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสีหรือเป็นเพราะประจวบ เหมาะ‚เพราะเหตุบังเอิญ?ขอฝากไว้ แต่ท่านผู้อ่านได้พิจารณาด้วย! <O:p></O:p>
    สำหรับความรู้ที่ได้รับมาจากที่ กล่าวแต่ตอนต้นว่า ท่านผู้รู้วิสัชนาให้ ฟังเมื่อนานมาพอสมควรว่าที่บรรดาเซียนพระทั้งหลายไม่อาจปลอม แปลงพระสมเด็จวัดระฆังที่ท่านเจ้า ประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์โตสร้าง ไว้ได้ เพราะท่านเจ้าประคุณสมเด็จท่าน ใส่ผงวิเศษ
    เป็นมวลสารสร้างพระ ของท่านโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นมวลสาร ผงวิเศษที่ไม่อยู่ในสาระบบ การสร้าง พระเครื่อง พระผงจากตำราคัมภีร์ใดๆ ทั้งสิ้น!ก็ใคร่ขอนำความดังกล่าวมาบอก เล่าแก่กันฟังในที่นี้ต่อท่านผู้อ่านได้ พิจารณาตามเหตุผลที่ได้รับรู้มาว่าเป็น ไปได้หรือไม่ อย่างไร?ทั้งนี้ถือเป็นการลับสมองให้เกิด ปัญญาในสิ่งที่ต่างศรัทธาและสนใจด้วย กันทั้งสองฝ่าย! การณ์นี้อาจจะเขียนบอกเล่าแก่กัน ฟังไปด้วยความโง่เขลาเบาปัญญาซึ่งอาจ
    จะทำให้ท่านผู้อ่านหลงไปด้วย ผู้เขียน ก็พร้อมที่จะรับการวิพากษ์วิจารณ์ตราบ เท่าที่การวิพากษ์วิจารณ์นั้นชอบด้วย เหตุผลไม่ใช่แบบถูลู่กัง เช่น ฉันไม่เชื่อ มันจึงเป็นไปไม่ได้เถียงค้านอย่างหัวชนฝาโดยไม่คิด พิจารณาในเหตุในผล ด้วยยึดถือว่า ข้าก็เป็นผู้รู้ เป็นหนึ่งในตองอูเรื่อง นี้เหมือนกัน!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2014
  2. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    เกี่ยวกับมวลสารผงวิเศษ ที่ไม่ ปรากฏในสาระบบผงมงคลซึ่งนิยม แสวงหามาจักสร้างพระสมเด็จ พระ เครื่อง พระผงต่างๆ ที่น่าจะเชื่อได้ว่าสม เด็จพระพุฒาจารย์โต
    พรหมรังสี ท่านมี อยู่เป็นจำนวนมากและนำมาใส่ไว้ใน พระสมเด็จวัดระฆังฯ ที่ท่านสร้างนั้น เรื่องนี้ได้ความรู้มาจาก คุณลุงประโพธ เปาวโรหิต อดีตเสรีไทยผู้มีใจรักชาติ เทิดทูนศาสน์กษัตริย์ราชวงศ์อย่างสูงยิ่ง ท่านเป็นนักศึกษาค้นคว้าเรื่องราวลี้ลับ ตัวยง ให้ความสนใจในวัตถุมงคลของ ขลังของศักดิ์สิทธิ์และอิทธิฤทธิ์แห่งมน ตราคาถาอาคมเป็นพิเศษ หลายปีมาแล้ว ในครั้งที่ท่านยังมี ชีวิตอยู่และเปิดสำนักงานดำเนินธุรกิจ ของท่านบนอาคารหลังใหญ่ย่านราช เทวี ผู้เขียนมักถือโอกาสในยามว่างไป รับความรู้ในเรื่องที่สนใจซึ่งท่านรอบรู้ บ่อยๆ บางครั้งว่างจัดถือโอกาสขลุกตัว อยู่ที่สำนักงานของท่านเป็นวันๆ ก็มี ได้ความรู้และแง่คิดพิจารณาอย่างมีเหตุ มีผลเกี่ยวกับเรื่องที่ท่านศึกษาค้นคว้า ทั้งจากที่ท่านเล่าให้ฟังโดยตรง และได้ ฟังจากการสนทนาระหว่างเพื่อนฝูงที่รักชอบทางเดียวกันของท่านมาไม่ น้อย ค่อยจดค่อยจำนำมาเรียบเรียง เสนอแด่ท่านผู้อ่านได้พิจารณามา ก็หลายเรื่อง เป็นแต่ไม่ได้อ้างถึงท่าน เท่านั้น
    ในเรื่องของพระสมเด็จวัดระฆัง เท่าที่ได้ฟังมามากครั้งพอประมวลได้ว่า ท่านเคยสะสมพระเครื่องในอดีต ได้ พานพบมากมายหลายชนิด ทั้งของแท้ และของเก๊ แต่ก็เป็นความโชคดีอย่างยิ่ง ที่ไม่เคย พัง เพราะเช่าหาเรียกพระเก๊ไว้ ครอบครอง เปิดเผยให้ทราบว่าท่านได้ศึกษา หาความรู้ในเรื่องนี้มาจาก ผู้รู้ ที่เรา เรียก อาจารย์ ไม่ได้เรียนรู้มาจากผู้ที่ ได้ชื่อว่าเป็น เซียน ซึ่งเป็นสมญานาม บ่งบอกเป็นนัยว่าเขาผู้นั้นช่างเต็มไป ด้วยเล่ห์เหลี่ยมสามารถทำอะไรๆ ได้ เพื่อเงิน ในขณะที่อาจารย์พระเครื่อง หมาย ถึงผู้ที่มีความสนใจใฝ่ศึกษา ไม่ใช่เพื่อ ค้าขายพระหากำไร แต่จะแลกเปลี่ยน หาความรู้เพื่อเกิดความสว่างระหว่าง พระแท้และพระเก๊ เพื่อกันการถูกต้มตุ๋น เพราะไม่ว่าพระเครื่องชนิดใดก็ตาม ถ้า เกิดมีราคาค่างวดขึ้นมาแล้ว พระเก๊ ก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นเงาตามตัว พระสี่กร มอญแปลง ปรกชุมพล และพระประคำรอบ ที่เรียกว่าพระชุดกิมตึ๋งนั้น ราคาพระแต่ละองค์เป็นร้อยๆ ซึ่งนับว่าแพงมาก สมัยนั้น คนแต่ก่อนเขาถือว่าพระ 4 องค์นี้ แต่ละองค์ประกอบด้วยผงพุทธคุณแต่ ละอย่าง คือ ผงมหาราช ผงอิทธิเจ ผงกะเตสิกและผงมหาพุทธา ถ้าใครมี ห้อยคอครบทั้ง 4 องค์ ถือว่าครบเครื่อง เพราะจะเกิดตบะเดชะ มีเมตตามหา นิยม แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี และ ป้องกันอุปัทวันตรายนานัปการทั้งยัง เกิดโชคลาภทำมาค้าขึ้นอีกด้วย ราคาพระแต่ละองค์แพงกว่าพระ สมเด็จวัดระฆัง ทั้งๆ ที่พระสมเด็จวัด ระฆังก็เป็นที่นิยมไม่น้อย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะพระสมเด็จหาได้ง่ายกว่าพระชุด กิมตึ๋ง ราคาพระสมเด็จจึงด้อยไป พระชุดกิมตึ๋ง เป็นพระดินผสม ผงขนาดกลาง เทอะทะ พิมพ์ตื้นไม่สวย งาม ในภายหลังต่อมาความนิยมจึงลด น้อยถอยลงขณะที่พระสมเด็จพุ่งขึ้นสู่ ความนิยมของนักสะสมตลอดเวลา
    บัดนี้พระสมเด็จวัดระฆังองค์ละ เป็นแสนเป็นล้าน เศษหักของพระสมเด็จชิ้นเล็ก ๆ ราคาเป็นพันเป็นหมื่น เพราะผู้ซื้อจะเอาไปแกะสมเด็จองค์ เล็กๆ หลายองค์แล้วก็ขายต่อไปองค์ละ หลายพันบาท พระสมเด็จวัดระฆังเป็นพระเครื่องที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นพระ อันดับหนึ่งของยุคนี้ ถ้าเราจะมองถึง ราคาค่างวดที่เหยียบองค์ละล้านบาทใน ปัจจุบันนี้ ทั้งนี้หมายถึงความสวยงามของพระแท้เป็นที่ตั้ง ส่วนองค์ที่ด้อย ความงามลงมาก็เป็นแสนๆแต่ถ้าบังเอิญ ไปพบเจอบางองค์ราคาไม่ถึงแสน ก็ต้องคิดกันหนักสักหน่อยว่าเป็นพระ สมเด็จแท้หรือไม่หรือเจ้าของที่ขายไม่ รู้ราคา หรือเป็นของ ร้อน คือขโมยเขา มาขาย ผมเชื่อว่าราคาพระสมเด็จจะสูงขึ้น เรื่อยๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับค่าของเงินเป็น ปัจจัยการที่คนขวนขวาย ยอมทุ่มเทเพื่อ จะได้พระสมเด็จมาเป็นสมบัติของตัว นั้น อาจขึ้นกับเหตุหลายประการ แต่ สำหรับผมแล้วขอพูดอย่างเต็มปากว่าพระสมเด็จวัดระฆังจะเป็นพิมพ์ไหน ก็ตามขอให้เป็นของแท้ซึ่งสร้างขึ้นโดย เจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์(โต พรหม รังสี) จะมีอภินิหารปรากฏให้เห็นเหนือจะบรรยายทั้งที่ได้ยินจาก คนอื่นและเกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่อกาลเวลาผ่านไปไม่หวนคืนมา บรรดาอาจารย์ผู้ทรงความรู้ก็ล้มหาย ตายจากไปเป็นธรรมดา ส่วนท่านที่เหลืออยู่ก็เลิกเสาะแสวงหาเพราะ วิชาการในการปลอมแปลง ตกแต่ง เสริมสวย พระเครื่องสมัยนี้เจริญรุด หน้าตามไม่ทัน ทั้งนี้เพราะความต้องการของตลาด ในหมู่พวกมีเงินที่ยอมทุ่มเทเพื่อจะได้ พระแท้พระสวยเป็นหนึ่งไม่มีสองไว้ เกทับกันเพื่อความภูมิใจของตัว ท่านเศรษฐีเหล่านี้จะอาศัยตาเซียน เป็นผู้ชี้แนะก็เมื่อเงินเป็นปัจจัยสำคัญ เสียอย่าง ความวุ่นวายก็เกิดขึ้นอย่างนี้ เห็นๆกันอยู่ในปัจจุบันนี้
    วันหนึ่งท่านเล่าให้ฟังว่าเมื่อ 30- 40 ปีก่อนผมไม่เคยได้ยินพระชุด เบญจ ภาคี อันประกอบด้วยพระ 5 องค์คือ พระสมเด็จวัดระฆัง พระรอดมหาวัน พระนางพญาพิษณุโลก พระซุ้มกอทุ่ง เศรษฐี และพระผงสุพรรณ ที่วงการพระสมัยนี้ยกย่อง ว่าเป็นสุดยอดของ พระเครื่อง เพราะสมัยก่อนโน้นคนโบราณใฝ่ หาพระที่เรียกขานว่า ชุดกิมติ๋ง อัน ระกอบด้วย พระสี่กร มอญแปลง ปรกชุมพล ประคำรอบ พระสมเด็จวัดระฆังมีความเก่า เพียงร้อยกว่าปี แต่มีเกียรติคุณอันวิเศษ เด่นดังที่สุดในอาณาจักรพระเครื่องทั้ง หมด ยากที่จะหาพระเครื่องชนิดใด เสมอเหมือนความเลื่อมใส ของประชาชนจึงมีเป็นอันมาก ความเป็นที่นิยมของคนทั้งหลายมี
    ข้อพิจารณาประการหนึ่ง ปรากฏอยู่ใน หนังสือพระสมเด็จ ของ ตรียัมปวาย ความว่า
    ครั้งที่สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสีท่านยังมีชีวิตอยู่ มีหญิง คนหนึ่งชื่อ ขำ เป็นบ่าวอยู่วังหลัง ยายขำผู้นี้มีหน้าที่นำอาหารไปถวายสมเด็จพระพุฒาจารย์ทุกวันเป็น ประจำ ขณะคอยให้สมเด็จฯ ฉัน ภัตตาหารเพล ยายขำก็ช่วยเหลือเขาร่อน ผง นวดผง พิมพ์พระสมเด็จเป็นการฆ่า เวลายายขำจึงรู้ส่วนผสมของผงว่ามี อะไรบ้าง ครั้นต่อมาเมื่อสมเด็จพระ พุฒาจารย์โต พรหมรังสีมรณภาพ ใน วันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2415 ยายขำคนที่ว่านี้ได้ผงพุทธคุณที่เหลืออยู่ และยิ่ง ไปกว่านั้นยังได้แม่พิมพ์พระสมเด็จไป ไว้ในครอบครองอีกด้วย นำไปเป็น สมบัติของตัวแล้ว ไม่ได้นำไปเก็บไว้ เฉยๆยายขำยังแอบพิมพ์พระสมเด็จเอง และให้เช่าแก่ประชาชนผู้ต้องการเรื่อย มา เมื่อผงพุทธคุณของสมเด็จพระพุฒาจารย์หมดลง แต่ความต้องการของ ตลาดมากขึ้น ยายขำก็เอาดินสอพอง ธรรมดา มาบดแทนผงพุทธคุณที่ได้ ปลุกเสก มาใช้แทนและก็จำหน่ายให้แก่ ประชาชนเหมือนอย่างเคย การปลอมพระสมเด็จของยาย ขำทำให้ยายขำร่ำรวย สามารถซื้อเรือกสวนไร่นากลายเป็นคฤหปัตนี ที่คนทั้ง หลายเรียก คุณแม่ขำ ไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่ายายขำปลอม พระสมเด็จออกขายเป็นจำนวนเท่าใด ได้แต่ประมาณกันว่าถ้ามาถึงขั้นมีเงินมาทองซื้อเรือกสวนไร่นาได้ก็จะต้อง ปลอมเป็นจำนวนมาก อย่างน้อยๆ ก็นับ แสนองค์ทีเดียว! สำหรับพระสมเด็จแท้นั้นกล่าวกัน ว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ท่านพิมพ์ 3 พิมพ์ทรงพิมพ์ละ 84,000 องค์ เมื่อเรื่องราวข้อเท็จจริงมีมาอย่าง นั้น ก็มีปัญหาล่ะทีนี้ ปัญหาว่าเราจะรู้ได้ อย่างไรว่าพระสมเด็จองค์ไหนเป็นของ แท้และสมเด็จองค์ไหนเป็นของยาย ขำทำปลอมขึ้น เพราะแม่พิมพ์ก็อันเดียว กัน ส่วนผสมก็เหมือนกัน นอกเสียว่า ผงของยายขำไม่ใช่ผงพุทธคุณเท่านั้น! ไม่ว่าเซียนระดับไหนก็บอกไม่ได้ นอกจากจะเดาเอาเท่านั้น!
    คุณลุงประโพธิ ท่านอธิบายให้ข้อ สังเกตตามวิธีการที่ท่านใช้และเห็น ผลมาแล้วดังนี้ ขอให้พึงจำไว้อย่างหนึ่งว่า เมื่อ หยิบพระเครื่องชนิดใดขึ้นมาดูก็ตาม พึง สังเกตการดูครั้งแรกกว่า พระองค์นี้มี ศักดิ์มีศรีหรือไม่ มันเป็นความรู้สึกชั่ว แผล็บเดียวจากใจ
    ถ้ารีบเอากล้องส่องดูเนื้อหา จงระวังกล้องมันจะหลอกเอา เพราะใจ เรา จะรู้สึกหรือไม่ก็ตาม อยากให้พระที่ ดูนั้นเป็นพระแท้เป็นทุนอยู่แล้ว ยิ่งเอากล้องมาส่องดูก็จะเห็นความสวยงาม ของมวลสาร ยิ่งดู ยิ่งเห็นเป็นของแท้ไป การใช่แว่นขยายส่องดูนั้นควร จะทำหลังจากเกิดความรู้สึกครั้งแรกดัง กล่าว แล้วค่อยๆพิจารณาอย่าผลี ผลามอย่าฟังด้วยหู แต่ดูด้วยตา พิจารณา ด้วยใจ แล้วท่านจะไม่พลาด
    ตามบันทึกเกี่ยวกับพระสมเด็จวัดระฆัง นั้นกล่าวไว้ว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสีท่านใช้ปูนขาวเป็นหลัก ผสม ด้วย เกสรดอกบัว เนื้อและเปลือกกล้วย น้ำว้า น้ำมันตังอิ๊ว ขี้รูปในพระอุโบสถ ขี้ ไคลใบเสมา น้ำอ้อยปูนและดินกรุตามเจดีย์เก่าๆ เศษอาหารที่ท่านฉันแล้ว เศษชาน หมาก ผงจากใบลานเผา น้ำมันจันทน์ เสก ข้าวสุก แร่หิน ทรายเงิน ทรายทอง ว่านวิเศษ ผงดินสอพุทธคุณ ซึ่งสมเด็จฯท่านจารอักขระขอมในเวลาทำสูตรชัก ยันต์ ทำผงปถมัง ผงอิทธิเจ ผงมหาราช และผงตรีนิสิงเห อีกทั้งยังมีการลงเลข ยันต์ทำผงนับร้อยแปด และสมเด็จฯท่านได้ผสมผงวิเศษลงไปด้วย ไม่มีผู้ใดทราบได้ว่าสมเด็จพระ พุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านผสมอะไร ลงไปรวมไว้เป็นมวลสารในการทำพระ สมเด็จของท่าน เพราะตามบันทึกของเก่า หาข้อยุติไม่ได้ ที่ทราบกันแน่ๆ ก็แต่ เพียงท่านใช้ปูนขาว เป็นหลักและใช้ ผงพุทธคุณ คือผงปถมัง ผงอิทธิเจ ผงมหาราช และผงตรีนิสิงเห ที่ท่านลบจากอักขระที่เขียนลงไปบนกระดาน ชนวน แต่อะไรล่ะคือ ผงวิเศษ ที่ตาม บันทึกของเก่าเล่มไหนก็เล่มนั้น ได้ กล่าวถึง
    ในส่วนที่สังเกตพบกันว่า พระ สมเด็จวัดระฆังบางองค์งอกได้นั้น ท่าน ได้อธิบายให้ฟังเป็นลำดับต่อมาว่าเมื่อ ตัวอยากเกิดขึ้น คืออยากรู้ ทำให้ท่านเริ่ม ศึกษาว่าทำไมพระสมเด็จวัดระฆังจึงมี อภินิหารมากมายผงพุทธคุณที่กล่าวถึง ก็เข้มขลังอยู่แล้ว ทำไมจึงจะต้องผสม ผงวิเศษลงไปด้วย จากหนังสือ อนุสรณ์ครบ 100 ปี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ได้กล่าวไว้ว่าพระเครื่องเนื้อผงสีขาวแบบ เดียวกับพระสมเด็จแต่เก่ากว่า เห็นจะมี ศึกษาเรื่องพระธาตุโดยบุกตะลุยไปถึง สามร้อยยอดที่ชาวบ้านเรียกกันว่า เมือง เทพเจ้า
    และมันเป็นความเคราะห์ดีอย่าง ยิ่งที่ได้รู้จักชายสูงอายุผู้หนึ่งซึ่งเรียกกันว่าพี่หงวน พี่หงวนมีพระธาตุสาวกหลายชนิด เพราะรู้แหล่งพระธาตุในโพรงภูเขาลึก ถึง27 วา ซึ่งถือเป็นความลับไม่บอกใคร ผมได้พระธาตุจากพี่หงวนหลายอย่าง แต่ที่สนใจมากที่สุดคือ พระธาตุสิวลี หรือ ธาตุพระฉิม ก็เรียก เพราะเป็นของ หาได้ยากยิ่ง
    คนโบราณจะไม่ยอมแลก พระธาตุสิวลี กับพระเครื่องพระบูชา ใดๆทั้งสิ้น ทั้งไม่ยอมอวดใครว่าตัวมี พระธาตุสิวลี เพราะกลัวคนขอ คนโบราณเคารพนับถือพระธาตุ
    สิวลีเป็นที่สุดเพราะต่างได้พบเห็นความ มหัศจรรย์ในสรรพคุณ ผู้ใดมีบูชา ผู้นั้น จะมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข ห่างไข้ได้ ป่วย เกิดลาภสักการะต่างๆ และร่ำรวย โดยไม่รู้ตัว สรรพคุณนี้เห็นกันมานักต่อ นักแล้ว การเคารพพระธาตุสิวลีไม่ใช่มีแต่ใน ประเทศไทย ในประเทศพม่า ในไทย ใหญ่ก็ให้ความเคารพนับถืออย่างยิ่ง ตามตำรากล่าวว่าพระธาตุสิวลีมี ลักษณะคล้ายผลยอป่า เมล็ดใน มะละกอ เมล็ดในพุทรา มีวรรณะ เหลืองแก่ เหลืองอ่อน คล้ายหวายตะค้า และสีดอกผักตบ (ยังไม่เคยเห็น) ส่วนใหญ่พระธาตุสิวลีจะงอกให้เห็น แม้เราจะใส่ตลับคล้องคออยู่ก็ตาม! การงอกของพระธาตุสิวลี จะมีจุด ใสคล้ายหัวฝี บนผิวพระธาตุ จุดนี้ จะขยายใหญ่ขึ้น
    การงอกไม่ใช่งอกทีเดียว แต่ จะงอกที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง แต่เป็นไป อย่างช้าๆ บางองค์จะค่อยๆ งอก จนเหมือนเมล็ดในพุทราในที่สุด ส่วน พระธาตุชนิดอื่นไม่เคยเห็นงอก
    แต่อาจ จะขยายองค์ใหญ่ขึ้น ซึ่งก็ยังคงลักษณะ รูปร่างเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อเอาแว่นขยายส่องดูเนื้อพระวัด ระฆัง เราจะเห็นมวลสารสีเหลืองแก่ สี ดำแกมน้ำตาล มีผงทองผงเงินปนอยู่ เป็นจุดนิดๆ ซึ่งต้องพิจารณาอย่าง ละเอียดจึงจะสามารถเห็นได้! มวลสารที่กล่าวนี้มีในพระธาตุ สิวลีทั้งสิ้น! ฉะนั้นการที่เข้าใจว่าสมเด็จฯ ท่าน เอาทองคำเปลวผสมลงไปด้วยเห็น จะตัดออกไปได้ เพราะทองคำเปลวซึ่ง เป็นแผ่นบาง เมื่อถูกคลุกเคล้ากับมวล สารอย่างอื่น โดยมีน้ำมันตังอิ๊วเป็นตัว ประสานแล้วกดพิมพ์ย่อมจะจมหายไป ในเนื้อ ไม่อาจเห็นได้บนผิวพระ แต่ ผงทองในพระสิวลีเป็นผลึกทองคำเล็ก ว่าปลายเข็ม ย่อมมีโอกาสลอยตัวอยู่ บนผิวพระสามารถมองได้ด้วยแว่นขยาย ส่วนที่ผสมทรายเงินทรายทองนั้น เห็นจะตัดออกไปได้เช่นกัน เพราะไม่ เคยเห็นว่าทรายเงินทรายทอง และถ้ามี จริงขนาดต้องใหญ่กว่าแน่ๆ และถ้าเอามาตำมาร่อนก็จะไม่ได้ขนาดเล็กเท่าที่ เห็นในเนื้อพระสมเด็จวัดระฆัง จึงเชื่อแน่ว่า ผงวิเศษที่กล่าวขวัญ กันคือ ผงพระธาตุสิวลีนั่นเอง! ทั้งพระ
    วัดพลับและวัดระฆัง ซึ่งสร้างโดย อาจารย์กับศิษย์จะมีผงวิเศษผสมอยู่ทั้ง สองชนิด! สมเด็จพระสังฆราช (สุก ไก่เถื่อน) จะต้องใส่ผงพระธาตุสิวลีลงไปมาก แต่การสร้างพระจำนวนน้อยกว่าพระวัด ระฆัง ทำให้การงอกของพระวัดพลับจึง ปรากฏให้เห็นอยู่บ่อยๆ ส่วนพระ สมเด็จวัดระฆังนั้นเนื่องจากสมเด็จพระ พุฒาจารย์โต พรหมรังสีท่านทำจำนวน แต่ พระสมเด็จอรหันต์ ของสมเด็จพระ สังฆราชสุก ไก่เถื่อน กับ พระวัดทัพเข้า ของจังหวัดสุโขทัยเท่านั้น แต่ก็ไม่อาจทราบได้ว่าใครสร้าง
    พระวัดทัพเข้า รู้กันมาเพียงว่าสมเด็จ พระสังฆราชสุก ไก่เถื่อน คืออาจารย์ ของท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระ พุฒาจารย์โต พรหมรังสี วัดระฆังโฆสิ ตารามแน่ๆ ทำให้คิดไปได้ว่า ก็เมื่ออาจารย์ ทำพระสมเด็จอรหันต์ และสมเด็จวัด พลับ ลูกศิษย์ก็คงจะใช้สูตรเดียวกับที่ อาจารย์ทำ ใช้ผงพุทธคุณต่างๆ เช่นเดียว กับของอาจารย์ แต่คงจะเพิ่มสิ่งอื่นๆ ผสมลงไปในผงมวลสารที่พิมพ์พระ ด้วย ได้ศึกษาพระวัดพลับของสมเด็จ สังฆราช สุก ไก่เถื่อนและได้เห็นพระ หลายองค์ งอก! คำว่า งอก นี้หมายถึง การขยายตัว ของมวลสารในองค์พระ ซึ่งมิได้เกิด จากการพิมพ์พระเครื่องเป็นแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นยังเคยเห็นพระสมเด็จ วัดระฆังบางองค์ งอกอีกด้วย ถ้าจะพิจารณาว่าปูนขาวและผงดินสอ พุทธคุณแต่เพียงอย่างเดียวจะขยายตัว หรืองอกได้หรือ มันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่อะไรล่ะที่ผสมอยู่ในมวลสารที่ สามารถ งอกได้งอกเสียจนกระทั่งล้น องค์พระออกไปข้างๆ ก็มี คิดปัญหานี้อยู่หลายปีจนกระทั่งได้ มาก ผงพระธาตุสิวลีจะกระจายไป ใน องค์พระสมเด็จส่วนใหญ่จึงมีมวลสาร
    ผงวิเศษผสมอยู่ไม่มากเท่าพระวัดพลับ นอกจากบางองค์ที่มีผงพระธาตุสิวลี มากก็จะงอกให้เห็นเป็นที่สังเกตได้ แม้จะได้บทสรุปจนแน่ใจแล้วว่า ผงวิเศษ ของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ที่ท่านใส่ผสมไว้ในมวล สารสร้างพระของท่านนั้นคือ ผงพระ ธาตุสิวลี
    แต่ด้วยความเป็นนักค้นคว้าศึกษาตัวยงทำให้คุณลุงประโพธิเกิด สงสัยต่อไปอีกว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหม รังสี ท่านได้ผงพระธาตุสิวลีมาจาก ไหน? เพราะการที่จะหาพระธาตุสิวลี เป็นองค์ๆมาตำมาบดย่อมไม่สามารถ ทำได้ เนื่องจากพระธาตุสิวลีเป็นของหา ยาก ไม่ใช่มีอยู่เกลื่อนกลาด ในอาณา จักรทุ่งลอที่มีคนขุดตามเจดีย์ร้างจะหาพระธาตุสิวลีสักองค์ก็แสนยาก หรือถ้า หาได้สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหม รังสี ท่านจะไม่ตำไม่บดเด็ดขาด เพราะ เป็นการทำลายพระธาตุที่ไม่บังควร ทำเป็นอย่างยิ่งทำแล้วจะก่อโทษทัณฑ์ แก่ตัวอย่างคาดคิดไม่ถึง! เคยเห็นพระ อาจารย์องค์หนึ่งที่ประจวบคีรีขันธ์ ท่าน มีพระธาตุมากมายหลายชนิด ท่านเกิดมีความคิดจะทำผงพระธาตุสีต่างๆ ถวาย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงเอาพระธาตุมา ตำด้วยตัวของท่านเอง พอเห็นท่านทำอย่างนั้นก็ใจหาย วาบ
    เกิดความกลัวว่าสิ่งไม่ดีจะเกิดกับ ท่าน แล้วความกลัวก็เกิดเป็นจริงขึ้นมา จริงๆ หลังจากตำพระธาตุด้วยครกหิน แล้ว แขนท่านก็บวมยกไม่ขึ้น เกิดโรคแทรกซ้อนและมรณภาพต่อมาอีก 60 กว่าวัน! ตีปัญหาเรื่องผงพระธาตุสิวลีไม่ ออก
    จนกระทั่งหนึ่งปีผ่านไป ได้ไปหา พี่หงวน โดยนำสิ่งของไปฝาก จากกรุงเทพฯ
    พี่หงวนดีใจมากบอกว่า ได้ของแปลกมาจากถ้ำพระธาตุ บอกว่า ไปพบในหลืบหินยาวๆ ที่ผนังถ้ำ ของที่ พบนี้มีสองชนิด คือผงสีขาวละเอียด คล้ายแป้งกับผงสีเหลืองนวลเป็นเกล็ด เล็กๆ พี่หงวนได้ตักเอามาหมดทั้งสอง ชนิดและได้แบ่งให้มาอย่างละกระป๋อง เมื่อใช้แว่นขยายส่องดูถึงกับขนลุกเพราะผงสีเหลืองนวลคือผงพระสิวลี นั้นเอง! ส่วนผงสีขาวไม่ทราบว่าเป็นผงอะไร แต่ก็ได้ผงทั้งสองชนิดมาใส่ขวดแก้วไว้ หน้าที่บูชา หลายเดือนต่อมา สังเกตพบว่าผงพระสิวลีรวมตัวหรือจะงอกเอง ก็เหลือเดา เป็นองค์พระธาตุสิวลีเล็กๆ ส่วนผงสีขาวคงสภาพเดิมไม่เปลี่ยน แปลง จากได้ศึกษาค้นคว้าพบเห็นมา อย่างนั้น
    จึงยืนยันด้วยความมั่นใจว่า ผงวิเศษ ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ใส่ลงไปในพระสมเด็จของ ท่านคือ ผงพระธาตุสิวลี นั่นเอง
    ไหนๆ ก็ได้เล่าให้ฟังกันเป็นข้อพิจารณาถึงเรื่องราวของพระสมเด็จวัด ระฆัง มาถึงตรงนี้แล้ว ถ้าจะไม่เล่าให้ฟัง ถึงอิทธานุภาพสรรพคุณของพระ สมเด็จวัดระฆังบ้างก็ดูกระไรอยู่และในเมื่อข้อมูลความรู้ดังกล่าว ส่วนใหญ่ ประมวลมาจากคุณลุงประโพธิท่านเล่า ให้ฟังเป็นหลายต่อหลายครั้ง ประสบ การณ์ความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์ ในสรรพคุณพระสมเด็จวัดระฆัง ก็ขออิง สิ่งที่ท่านเคยเล่าให้ฟัง ต่ออีกสักเล็กน้อย ท่านว่าอานุภาพของพระสมเด็จวัด ระฆังนั้นเป็นยอดในทางแคล้วคลาด เมตตามาหานิยมเป็นเยี่ยมป้องกันศัตรู หมู่พาล ห่างไข้ไกลทุกข์ อุบาทว์ลี้หนี หายและเกิดโชคลาภต่างๆ เป็น อัศจรรย์! ถ้าท่านห้อยพระสมเด็จแท้ จะพิมพ์ ไหนก็ได้ ท่านจะไม่พบกับสิ่งหวาด สนใจ จึงคุยกันเรื่องพระนาง พญาพิษณุโลกไปสักพัก ทันใดนั้น ผมก็รู้สึกใจเต้น ปาก ก็โพล่งออกไปว่า พี่พัดลมจะตก!คุณหมอบุญจริงหัวเราะหึๆ ไม่ตอบว่า กระไร จึงพูดซ้ำไปอีก พัดลมจะตก คุณหมอบุญจริงจึงมองหน้า ผมอย่างขันๆ แล้วก็ชี้ให้ดูพัดลมเพดาน ว่ามีเหล็กประกับกับคร่าวซีเมนต์จะตก ได้อย่างไร แล้วก็ดูพระนางพญาต่อ ไม่ สนใจในคำพูดเตือนบอกอันตรายที่ จะเกิดขึ้น จะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ผมรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินไปที่มุมห้องพร้อมกับ พูดเสียงดังว่า พัดลมตก! แต่ก่อนที่คุณหมอบุญจริงจะเงย หน้าขึ้นมอง พัดลมโบราณเหล็กทั้งแท่ง ก็หลุดออกจากคร่าวทั้งๆที่ใบพัดกำลัง หมุนจี๋ ตกลงบนโต๊ะรับแขกเบื้องหน้า คุณหมอบุญจริง ทำให้โต๊ะรับแขกตัว นั้นแตกเป็นสองเสี่ยง ส่วนใบที่เป็นไม้ แตกกระจัดกระจาย ส่วนที่เป็นเหล็ก
    ก็กระเด็นตกลงไปข้างๆ เก้าอี้ที่คุณหมอ บุญจริงนั่น เศษไม้จากใบพัดกระเด็นไป ติดตัวคุณหมอบุญจริงเต็มไปหมด อันที่จริงแล้วใบพัดที่กำลังหมุนอยู่อย่างแรงน่าจะฟันศีรษะหรือลำตัวคุณ หมอบุญจริงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่คุณ หมอบุญจริงก็ไม่มีบาดแผลแม้เท่าแมว ข่วน จึงสรุปได้ว่า สมเด็จวัดระฆังนั้นเป็นพระแคล้วคลาด โดยไม่ต้องเผชิญ กับเหตุการณ์! ส่วนพระนางพญานั้น ก็เป็นพระ แคล้วคลาดแต่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์!
    อีกเหตุการณ์หนึ่งที่เล่าให้ฟังถึงเพื่อนของท่านคนหนึ่งซึ่งเคยนำพระ สมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่มาให้ท่าน ดูเพื่อเสนอให้เช่าในราคา 3 หมื่นบาท ซึ่งจำนวนนั้นสมัย 30 ปี ก่อนไม่ใช่เงิน น้อยๆจึงไม่ได้เช่าเอาไว้เพราะมีเงินไม่ พอ พระสมเด็จที่เขาเอามาให้ดูนั้น เนื้อหาพิมพ์ทรงถูกต้องทุกอย่าง ใคร เห็นใครก็อยากได้ บรรดาเซียนพระสมเด็จต่างยกนิ้วให้ว่าแจ่มแจ๋วจริงๆ วันหนึ่งเจ้าเพื่อนคนนั้น ห้อยพระ สมเด็จองค์ที่ว่านั้นไปนั่งคอยภรรยาใน รถที่เขาขับไป ทันใดนั้น ได้มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาเปิดประตูรถแล้วก็ยิงเขาทันที ถูกเข้า ที่ท้อง พลเมืองดีที่เห็นเหตุการณ์ได้ช่วย กันนำส่งไปโรงพยาบาลด่วนจึงรอด ชีวิตมาได้หลังจากอยู่รักษาตัวเป็นแรม เดือน
    จากเหตุการณ์นั้น สามารถสรุปได้ ทันทีโดยไม่มีข้อสงสัยว่าพระสมเด็จวัด ระฆังที่แจ่มแจ๋วองค์นี้เป็นพระที่ยาย ขำสร้างไม่ใช่ของแท้ที่สมเด็จโตท่าน สร้าง พระองค์นี้ถูกขายต่อไปเป็นทอดๆ ครั้งสุดท้ายได้ข่าวว่ามีมหาเศรษฐีซื้อไป เสียวที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา เช่นรถ ชนคนลงไปดิ้นตายบนถนน หรือเห็น คนเขายิงกันตาย! เหตุหวาดเสียวอย่างนั้นจะเกิดขึ้น ก่อน หรือเกิดหลังจากที่ท่านไปถึงในที่ นั้นทุกครั้งไป! เล่าให้ฟังว่าท่านกับคุณหมอบุญ จริง เจ้าของห้างขายยาทรงโอสถ ซึ่งตั้งอยู่หลังกระทรวงมหาดไทย ซึ่งบัดนี้ได้ รื้อไปแล้วเพื่อขยายกระทรวง รู้จักสนิท สนมชอบพอกันมาก เพราะคุณหมอบุญ จริงเป็นนักสะสมพระเครื่องมือหนึ่ง เหมือนกัน
    บ่ายวันหนึ่งได้ไปหาโดยห้อยพระ สมเด็จวัดระฆังไปองค์เดียว ขึ้นไปคุย กับคุณหมอบุญจริงชั้นบนที่โต๊ะรับแขก ซึ่งได้รับความเย็นจากพัดลมโบราณ 4 ใบ ก้านยาว
    สูงเหนือโต๊ะรับแขก ประมาณ 3 เมตร คุณหมอบุญจริงแต่งกายลำลองนุ่ง กางเกงแพร เสื้อผ้าป่านปล่อยชายไม่ สวนพระ แต่กำลังดูพระนาง พญาพิษณุโลก ด้วยแว่นขยายอย่าง
    ในราคา 7 แสนบาท เป็นประสบการณ์เล็กๆใน สรรพคุณของพระสมเด็จวัดระฆัง ที่คุณ ลุงประโพธิท่านเล่าให้ฟังโดยทิ้งท้ายให้ คิดในเรื่องนี้ว่าถ้าใครมีเงินเหลือเฟือขี้เกียจเก็บไว้ ให้หนักกระเป๋า ก็จงไปเล่นการพนัน การพนันอะไรก็ได้ แต่อย่าลืมห้อยพระ สมเด็จวัดระฆังไปด้วย ท่านจะเสียหมด ตัวกระเป๋าเบาพวกเราเจอกันมานักต่อ นักแล้ว! จากที่นำมาเสนอให้ได้พิจารณา สรุปได้ว่าผงวิเศษที่ท่านเจ้าประคุณสม เด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ผสมไว้ในมวลสารสร้างพระสมเด็จของท่าน คือ ผงพระธาตุสิวลี และเมื่อพระสมเด็จ วัดระฆังมีพระธาตุสิวลีผสมอยู่ด้วย พึง สังวรไว้ว่าพระธาตุสิวลีเสด็จมาได้ก็เสด็จจากไปได้ พระสมเด็จวัดระฆังมาอยู่กับท่าน ได้ ก็จากไปได้เช่นกัน! ฉะนั้นพึงประพฤติตนเป็นคนดี ถ้า ประพฤติสำมะเลเทเมา พระสมเด็จวัดระฆังก็จะจากท่านไปจนได้ จะทิ้งไว้ ก็แต่เพียงความทรงจำด้วยความอาลัย ว่า ครั้งหนึ่งท่านเคยเป็นเจ้าของพระสมเด็จ ที่ท่านรักและหวงแหน
    สุดท้ายจึงนำมาเรียน ให้ท่านที่หวังพึ่งพระ มีความเคารพบูชาในอิทธิคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสีได้ทราบเป็นที่พิจารณา ถึง พระสมเด็จ จะเป็นพิมพ์ไหนทรงใด ก็ตามก็ตามขอให้เป็นของแท้ที่สำเร็จ โดยบุญฤทธิ์อิทธิบารมี เจ้าประคุณสม เด็จพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี) จะมี อภินิหารปรากฏให้เห็นเหนือ จะบรรยาย ทั้งที่ได้ยินจากคนอื่นและ
    เกิดขึ้นกับตัวเอง ผู้รู้ท่านว่าไว้อย่างนั้นครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...