บุคคลผู้เข้าถึงพระรัตนตรัยย่อมจะไม่สลาย

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย piyaa, 25 พฤษภาคม 2010.

  1. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    <table width="100%" border="0"><tbody><tr><td valign="middle">
    </td> <td style="font-size: smaller;" valign="bottom" align="right" height="20">
    </td> </tr></tbody></table> <hr class="hrcolor" size="1" width="100%"> "บุคคลผู้เข้าถึงพระรัตนตรัยย่อมจะไม่สลาย คือ จะต้องไม่พินาศไปด้วยอำนาจของโลกซึ่งเต็มไปด้วยความแปรปรวน"


    จาก หนังสือ กรรมฐาน ๔๐


    ปี ใหม่ก็จะคืบคลานเข้ามาถึง ก็เป็นอันวาชีวิตของเราก็ล่วงเข้ามาอีก ๑ ปี ปีใหม่ที่เคลื่อนเข้ามาเราก็จะแก่เข้าไปอีก ชีวิตของเราก็จะเดินเข้าไปหาความดับ เพราะธรรมดาของชีวิตเมื่อมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้นและก็มีความเปลี่ยนแปลง ไปในท่ามกลาง และมีการตายแตกทำลายพันธุ์ไปในที่สุด นี่เป็นกฎธรรมดาของสิ่งมีชีวิตที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ.ศ. ๒๕๑๙ ที่จะเข้ามาถึงจัดว่าเป็น พ.ศ. ที่มีความวิกฤติที่สุดของชีวิตประเทศไทยในยุคนี้ เพราะว่าตกอยู่ในเขตที่มีความวิกฤตอย่างหนัก ความแปรปรวนเป็นไปของโลก ของชีวิตมนุษย์

    อันนี้ก็ถือว่าเป็นปกติธรรมดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า โลกมีอันจะต้องฉิบหายไปในที่สุด ไม่มีอะไรทรงตัว ทีนี้สำหรับเราเหล่าพุทธบริษัทในฐานะที่ท่านทั้งหลายเป็นพุทธมามกะ คือนับถือพระพุทธเจ้าเป็นสำคัญ พระบาลีกล่าวว่า บุคคลผู้เข้าถึงพระรัตนตรัยย่อมจะไม่สลาย คือ จะต้องไม่พินาศไปด้วยอำนาจของโลกซึ่งเต็มไปด้วยความแปรปรวน ทั้งนี้ก็เพราะว่าองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ ไว้ว่า สิ้นเวลา ๒,๕๐๐ ปีเศษ สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสแก่พระอานนท์ว่า อานันทะ ดูก่อน อานนท์ เมื่อพระพุทธศาสนาล่วงไป ๒,๕๐๐ ปีเศษ คือ หลังจากกึ่งพุทธกาล ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี คือ พ.ศ. ๒๔๘๕ เป็นต้นมา โลกจะเต็มไปด้วยความวิกฤต ไฟจะตกจากอากาศ ไฟจะลุกในอากาศ ฝนเหล็กจะตกจากอากาศ บรรดาคนจะมีความทุกข์ยากล้มตายเป็นอันมาก และองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงกล่าวต่อไปอีกว่า อานันทะ ดูก่อน อานนท์ ความวิกฤตคือความร้ายแรงของโลกก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี จะมีความร้ายแรงก็จริงแหล่ แต่ทว่ายังไม่ร้ายแรงเท่าหลังกึ่งพุทธกาล อันนี้องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ดูก่อน อานนท์ ยักษ์หินที่ถูกสาปจะลุกขึ้นอาละวาด ยักษ์นอกพุทธศาสนาจะรบราฆ่าฟันล้มตายกันฝ่ายละครึ่งจึงจะหยุดยั้ง สมณะชีพราหม์จะล้มตาย แต่ว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาจะมีภัยอันนี้เหมือนกัน แต่ทว่าไม่ร้ายแรงนัก ไม่ถึงกับพินาศ นี่เป็นคำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ ไว้

    ทีนี้คำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรากฎเป็นความจริง คือตั้งแต่ปี ๒๔๘๕ สงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็เกิดขึ้น เมื่อสงครามสงบแล้ว ความวิกฤติของโลกยังไม่สงบ มีการรบราฆ่าฟันเป็นปกติ ระยะนี้เป็นระยะหลังกึ่งพุทธกาล มีสมณะชีพราหมณ์ทั้งหลายล้มตายเป็นอันมาก คำพยากรณขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรงตามความเป็นจริง อีกข้อหนึ่งที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาจะมีภัยเหมือนกันแต่ไม่ร้ายแรงนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย ก็ถือกันว่าเป็นประเทศที่ทรงพระพุทธศาสนา

    ถ้า เราจะพิจารณากันตามความเป็นจริง จะเห็นว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาทั้งหมดไม่มีประเทศใดที่ทรงคำสั่งสอน ขององค์สมเด็จพระบรมสุคตบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ได้ครบถ้วนเช่นประเทศ ไทย ในประเทศไทยเรามีทั้งพระสูตร พระวินัย ปรมัตถ์ คือพระอภิธรรม สำหรับประเทศอื่น เช่น ประเทศพม่า โดยมากจะไม่เคร่งครัดในเรื่องของพระวินัย โทษในเรื่องพระวินัยเขาไม่เคร่งครัดเพราะถือว่าไม่สำคัญ จะนิยมแต่ในเฉพาะด้านของปรมัตถ์ คือ อภิธรรมเท่านั้น ตามบาลีว่า พระสูตรคือประเทศไทย พระวินัยคือมอญ อภิธรรมพม่า หมายความว่าในประเทศไทยเรานิยมพระสูตร แต่ว่าเรามีพระวินัยและพระอภิธรรมครบถ้วน สำหรับวินัยมอญก็มายถึงว่าประเทศมอญเขาเคร่งครัดในพระวินัยแบบชาวมอญ สำหรับพม่านั้นยกพระสูตรทิ้งไป พระวินัยทิ้งไป เหลือพระอภิธรรม เราก็จะเห็นว่าในประเทศไทยยังคงทรงไว้ได้ทั้ง ๓ ประการ คือ พระสูตร พระวินัย และพระอภิธรรม ทั้ง ๓ ประการ เมื่อเราพิจารณาตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระพุทธญาณท่านทรง พยากรณ์กับพระอานนท์แล้ว จะเห็นว่าประเทศไทยเราคงพระวินัย คือ เคารพองค์สมเด็จพระจอมไตรไว้ตามพระพุทธพยากรณ์ จึงถือว่าประเทศไทยอยู่ในเขตคำพยากรณ์ที่พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ คือ อาจจะต้องไม่สลายไป ในการนับถือองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาที่มีพระบาลีว่า พุทโธ อัปปมาโณ คือว่า คุณของพระพุทธเจ้าหาประมาณมิได้ การเคารพในพระธรรมว่า ธัมโม อัปปมาโณ การเคารพในพระธรรมว่าหาประมาณมิได้ หรือคุณของพระธรรมหาประมาณไม่ได้ สังโฆ อัปปมาโณ คุณของพระอริยสงฆ์หาประมาณมิได้

    การเคารพในคุณพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สามารถจะยังชีวิตและความสุขของเราให้คงอยู่ได้ปลอดภัยจากอันตราย ดูตัวอย่าง เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงชีวิตอยู่ในขณะนั้น องค์สมเด็จพระบรมครูเสด็จประทับอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหาร ในขณะนั้นปรากฎว่าพระเจ้าพิมพืสารบรมกษัตริย์ถูกพระยาชมภูบดีรุกราน เหมาะขึ้นมาในอากาศเห็นยอดปราสาท่ของพระเจ้าพิมพืสารบรมกษัตริย์มีความสวยสด งดงามยิ่งกว่า ความริษยาก็เกิดขึ้น จึงได้ลงมาจากอากาศมายืนอยู่บนยอดปราสาท ชักพระขรรค์อันประจำพระองค์ขึ้นฟันยอดปราสาท ความจริงพระขรรค์นี้ แม้แต่เหล็กท่อนใหญ่ ๆ กระทบแล้วไม่หนักนักก็จะขาดไปทันที แต่อาศัยที่พระเจ้าพิมพิสารมีความเคารพในองค์สมเด็จพระมหามุนี คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นไตรสรณาคมน์ทั้ง ๓ ประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระองค์เป็นพระโสดาบัน ด้วยอำนาจของพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ จึงป้องกัน แทนที่ยอดปราสาทจะขาด พระขรรค์ของพระยาชมภูก็บิ่นทำลายไป พระยาชมภูมีความเจ็บใจ จึงได้ยกเท้าขึ้นกระทืบยอดปราสาทก็เป็นเหตุให้เหล็กยอดปราสาททิ่มทะลุ รองเท้าไปโดนเท้าบาดเจ็บ ถึงกับมีความโกรธมากจึงเหาะกลับประเทศของพระองค์ และก็ใช้ อวิตาศรไปร้อยพระกรรณ คือ ร้อยหูของพระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์ คือมีศรเป็นกรณีพิเศษ เมื่อศรเข้ามาประกาศว่า เราจะร้อยหูของพระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์ พระเจ้าพิมพิสารได้ทราบแล้ว ได้ยินแล้ว เห็นแล้ว ก็มีความกลัว จึงเสด็จไปเฝ้าองค์พระประทีปแก้วบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ในที่สุดบารมีของพระรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประมุขก็ระงับอันตรายนั้น เสียได้ ในที่สุดบังคับให้พระยาชมภูบดีเข้ามาเฝ้าสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ได้ฟังพระธรรมเทศนามีความเลื่อมใสอุปสมบทในพระพุทธศาสนา และก็ได้สำเร็จพระอรหัตผล เป็นอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา แสดงว่าที่พระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์พระบาทท้าวเธอพ้นจากอันตรายได้เพราะ อาศัยคุณพระรัตนตรัยเป็นสำคัญ ในฐานะที่พระองค์เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน มีความมั่นคงในคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีศีลห้าเป็นสมุจเฉท คือ รักษาศีลห้าเป็นปกติ

    ฉะนั้น วันนี้เป็นวันที่สุดของปี ๒๕๑๘ ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ เข้ามาถึง ก็เป็นปีที่เต็มไปด้วยความวิกฤตของประเทศไทย ฉะนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา จงอย่าประมาทในชีวิต จงทรงจิตของท่านให้มีควมมั่นคงในคุณพระรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการ คือ คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ปฏิบัติจิตให้ตรงต่อเฉพาะพระพุทธองค์ว่าที่องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถทรงสั่ง สอนไว้ เราทำอย่างไรที่ว่าทรงความดีตามที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธ เจ้าท่านทรงกล่าวให้พวกเราทุกคนเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ทุกสิกขาบท คือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภิกษุ และสามเณร มีความจำเป็นจะต้องทรงสิกขาบททั้งหมดให้ครบถ้วนบริบูรณ์ สำหรับฆราวาสก็มีความจำเป็นอยู่เหมือนกัน แต่ทว่าบางท่านก็สามารถรักษาสิกขาบทให้ครบถ้วนได้ เพราะความจำเป็นในชีวิต ฉะนั้น ขอให้ตั้งสัจธรรมไว้ว่า ถ้าศีลข้อใดก็ดีใน ๕ ข้อนี้ เราจะทรงไว้ได้ตลอดชีวิต จะไม่ละเมิด ให้ตั้งจิตถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ในชีวิตของเรานี่ สิกขาบทใดสิกขาบทหนึ่งหรือสองสิกขาบทก็ตามที ซึ่งไม่เกินวิสัยเราจะทรงไว้ให้ครบถ้วน ไม่ยอมให้มัวหมอง สำหรับท่านผู้ใดสามารถจะทรงสิกขาบททั้ง ๕ ประการได้ หรือ ๘ ประการได้ก็ยิ่งดี อย่างนี้ได้ชื่อว่ามีความเคารพในองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธ เจ้า ในการปฏิบัติ กาย วาจา ใจ และสำหรับกำลังใจนั้นมีความสำคัญ บรรดาพุทธบริษัททุกท่านทรงความดี คือ นึกถึงบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ให้มีจิตยึดพระพุทธคุณไว้เป็นสำคัญ

    การนึกถึงพระ พุทธคุณทำอย่างไร ว่ากันมากไปก็ไม่ถนัด อิติปิ โส ภควา ฯ จนจบก็ไม่ไหว ฉะนั้น โบราณาจารย์จึงกำหนดไว้ว่าบุคคลใดผู้ใดมีความนึกถึงบารมีขององค์สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าก็ให้ภาวนาว่า ?พุทโธ? ใช้คำว่า พุทโธ ให้เป็นปกติ ภาวนาไว้ทุกวันทุกคืนตลอดเวลา และการที่จะภาวนาไปได้ตลอดเวลา และการที่เราจะภาวนาไปได้ตลอดวันตลอดคืนก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะจิตย่อมมีภาระนึกคิดอย่างโน้นคิดอย่างนี้ บางทีก็ต้องสนทนาปราศรัย ในการที่จะนึกทุกวันทุกเวลาเป็นไปไม่ได้ แล้วทำอย่างไรจึงจะไม่ขาด พระโบราณาจารย์ที่มีความฉลาดได้สั่งสอนไว้ว่า ถึงเวลาก่อนหลับให้บรรดาพุทธบริษัทกำหนดใจนนึกถึงคุณของสมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ จะกำหนดการเข้าออกของลมหายใจว่า พุทโธ เวลาหายใจเข้านึกว่า พุธ เวลาหายใจออกนึกว่า โธ อย่างนี้เป็นความดี หรือนึกถึงคุณความดีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็เป็นการป้องกันภัยอันตราย เวลาที่ท่านทั้งหลายภาวนาว่า พุทโธ อมน้ำลายไว้ในปาก ภาวนาไว้จนขึ้นใจ ในจิตมีความสุข ค่อยกลืนน้ำลายลงไป อย่างนี้คุณพระรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น จะคุ้มครองสรรพอันตรายแก่พุทธบริษัทได้ และเวลาตื่นขึ้นมาใหม่ ๆ และก่อนหลับทุกวัน ทำแบบนี้เป็นปกติ เวลาที่ยังตื่นอยู่ ถ้าคิดขึ้นมาได้เมื่อไรก็ทำใจให้นึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้า ภาวนาว่า พุทโธ เป็นปกติ อย่างนี้จิตของบรรดาท่านพุทธบริษัท ชื่อว่าเป็นผู้เข้าถึง พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะได้ ทั้ง ๓ ประการ แล้วการนึกถึงความดีของสมเด็จพระพิชิตมารก็ได้ชื่อว่าเข้าถึงความดีทั้ง ๓ ประการครบถ้วน คือ พระพุทธเจ้าจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ก็ต้องอาศัย พระธรรม เมื่อทรงธรรมแล้วพระองค์ก็บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ธรรมะของพระพุทธองค์ที่เราจะพบได้ก็อาศัยบรรดาพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ประชุมสังคายนากันร้อยกรองเอาไว้ จึงได้ตกทอดถึงพวกเรา ฉะนั้น การนึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงชื่อว่าเข้าถึงความดี ครบไตรสรณาคมน์ทั้ง ๓ ประการ

    การนึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระ พิชิตมาร ใช้คำว่า พุทโธ เป็นปกติ ถ้าหากว่ากล่าวโดยธรรม ถ้าเรามีอารมณ์อ่อน ที่ว่ามีอารมณ์จิตเข้าไม่ถึงฌาน เวลาตายแล้วก็ไปสู่สวรรค์เทวโลก มีชั้นดาวดึงส์ เป็นต้น ดูตัวอย่าง มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร หรือ สุปติฏฐิตเทพบุตร เป็นต้น หรือสาตะกีเทพธิดา นี่ใช้กำลังจิตมีศรัทธายังอ่อน นึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าชั่วเวลาเล็ก น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุปติฏฐิตเทพบุตร ทำความชั่วคือฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาตลอดชีวิต เมื่อเวลาจะตายไม่กี่นาที จึงได้นึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้อาศัยนึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเวลานั้น จิตผ่องใส เวลาตายแทนที่จะไปรับอกุศลในอบายภูมิ กลับไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก ต่อมาเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไปเทศน์โปรดพระพุทธมารดา สุปติฏฐิตเทพบุตรได้ฟังอุณหิสวิชัยสูตร จบลง ปรากฎว่าได้บรรลุพระโสดาบัน บาปทั้งหลายที่ท่านทำไว้ไม่มีโอกาสจะให้ผล

    นี่การนึกถึงคุณความดีของ องค์สมเด็จพระทศพลมีผลต่อบรรดาท่านพุทธบริษัท ถึงแม้ว่าเราจะทำบาปทำกรรม มากมายเพียงใดก็ตามที่อาศัยความดีขององค์สมเด็จพระชินสีห์สามารถจะบำบัดให้ เราพ้นไปจากภัยพิบัติ คือ พ้นจากอบายภูมิได้ ฉะนั้น ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจงอย่าประมาทในชีวิต คิดว่านับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ปีเก่าจะหมดไป ปีใหม่จะเข้ามาถึงเราจงรักษาสัจธรรม ทรงความดีเข้าไว้ คือ จะนึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่หยุดยั้ง คือว่าปี พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นปีที่จะเต็มไปด้วยวิกฤติการณ์อย่างที่สุด โดยวิธีที่เราจะใช้ในฐานะที่เป็นมนุษย์ธรรมดาเพื่อความพ้นอันตราย ดูตัวอย่างพระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์ พระบาทท้าวเธอต้องถูกทำร้ายจากพระยาชมพูบดี แต่อาศัยที่มีความเคารพในองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาอย่างมั่นคง ในที่สุดอันตรายก็ยุติลงด้วยอำนาจของพระพุทธเจ้า นี่ ในสมัยพระพุทธเจ้า ถ้ามาในสมัยหลัง เมื่อสมัยที่พระมหากษัตริย์มีอำนาจเป็นพิเศษ ขณะนั้น ปรากฎว่าข้าราชบริพารของพระองค์ท่านหลายท่านที่อาตมารู้จักเป็นกลุ่ม ๆ บุคคลกลุ่มใหญ่มีความเคารพองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็น ปกติ คือ ในยามปกติพวกเขาเหล่านั้นจะไม่คล้องพระเครื่องอยู่ในตัว เขาถือว่าจิตใจของเขาเข้าถึงพระอยู่เป็นปกติ แต่ว่าภาวนาของบุคคลพวกนี้ไม่ขาด พอตื่นขึ้นมาเช้าก็จับคำว่าพุทโธอยู่เป็นปกติ เวลายามว่าง เมื่อจิตว่างจากกิจอื่นก็ใช้คำภาวนาว่าพุทโธ เวลาที่ไม่ลืมเกรงว่าจะลืม เวลาเช้า เวลาที่จะไปไหนหรืออยู่บ้านก็ตาม เกรงว่าอันตรายจะมีต่อเขา เขาแนะนำ นี่อาตมาเคยได้รับทราบมาเอง คือ ได้รับคำแนะนำจากคนผู้นั้นจากปากเขาเอง บอกว่า เวลาที่เราเกรงว่าจะเกิดอันตรายต่อร่างกายให้อมน้ำลายไว้ในปาก ภาวนาว่า พุทโธ ให้ขึ้นใจ เป็นการเสกน้ำลายแล้วกลืนลงไป ๓ ครั้ง บุคคลประเภทนี้ แม้จะปะทะข้าศึกหนัก ศัตรูหนักเพียงใดก็ตาม ก็มีการแคล้วคลาด

    ถ้ามี ความดีเป็นที่สุดขนาดหนัก ถ้ามีจิตทรงความดีขนาดกลาง เขาบอกว่ายิงของเขาไม่ออก ถ้าว่าทรงความดีขนาดเบา ใจยังเบาอยู่ ยังไม่เข้าถึงที่สุด ยิงไม่เข้า เขาว่าอย่างนั้น ความจริงก็เป็นไปตามนั้น เพราะเคยไปด้วยกัน เขาปลอดจากอันตรายจากสรรพาวุธทุกอย่าง ฉะนั้น ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทจงอย่าวางใจ จงอย่าประมาทในชีวิต จงคิดว่าคุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์ทั้ง ๓ ประการ จะสามารถทรงเราให้มีชีวิตอยู่ได้ นี่กล่าวโดยเฉพาะ ถ้าเราสิ้นอายุขัย การนำถึงความดีขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะทำให้เรา พ้นทุกข์

    ฉะนั้น นับตั้งแต่นี้ต่อไป ตั้งใจไว้ว่า จนกว่าจะสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ที่เต็มไปด้วยความวิกฤตทุกทิศของโลกจะเต็มไปด้วยความเร่าร้อน เราจะยึดเอาคุณความดีขององค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไว้ เป็นประจำ คือ คำภาวนาว่า พุทโธ พุทโธ เป็นปกติ ถ้าเป็นอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจะมีความสุขในชีวิต คือ จิตของท่านจะทรงสมาธิ อำนาจบารมีของพระพุทธเจ้าจะทำจิตใจของท่านให้เยือกเย็นมีความสุข อันตรายจะเกิดขึ้นกับท่านทั้งหลายก็จะพ้นภัย และด้วยอำนาจของพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ แต่ถ้าชีวิตอายุขับที่จะสิ้นไปเมื่อไร ความดีขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะบันดาลให้เราพ้น อบายภูมิทั้ง ๔ ประการ คือ ไม่เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน อย่างเลวที่สุด เราก็จะเป็นเทวดา ถ้าจิตใจมีสมาธิแรงกล้า เราจะเข้าถึงการเป็นพรหม ถ้าจิตของเราโดยนิยมไม่ยึดในขันธ์ห้า หรือว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา จิตเราเกาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน เราจะไปที่นั่น เอาใจตรงนี้ยึดองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดานั่นเอง ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วพุทธบริษัททั้งหลายถ้าจะพ้นจากกิเลสจะเข้าถึงพระนิพพาน ได้

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับปีเก่าจะสิ้นไป ปีใหม่จะเข้ามา ขออำนาจพุทธบารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็น ประธาน และพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อม ไปด้วยพระอริยสงฆ์ทั้งหมดที่มีความเคารพในองค์สมเด็จพระบรมสุคตศาสดาสัมมา สัมพุทธเจ้าเป็นที่สุด จงปกปักรักษาบรรดาท่านพุทธบริษัททุกที่านให้มีความมั่นในคุณพระรัตนตรัย ขอให้ปลอดภัยจากภัยอันตรายทั้งหมด ภัยใด ๆ ที่ปรากฎต่อโลกจงอย่ามีกับพุทธบริษัท ขอให้จิตใจของท่านพุทธบริษัทมีความปลอดโปร่งพ้นจากกิเลสเป็นสมุจเฉทปทาน เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ในชาตินี้

    เราท่านพุทธบริษัททุกท่าน กาลเวลาที่จะพูดก็เลยมาแล้ว ต่อแต่นี้ไปขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจงปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์ สมเด็จพระประทีปแก้ว ยึดอานาปานสติเป็นอารมณ์ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เวลาหายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า เวลาหายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออกนึกว่า โธ หรือว่าท่านพุทธบริษัทท่านใดจะพิจารณาวิปัสสนาญาณ กรรมฐานบทใดไปตามควมประสงค์จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา
     
  2. ไอยเรศ

    ไอยเรศ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +27
    อนุโมทนาบุญ กับเจ้าของกระทู้ด้วยครับ

    ขอยึดมั่นคำสั่งสอน จนกว่าดวงจิตจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพานครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...