บารมีธรรม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 17 พฤศจิกายน 2012.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    [​IMG]

    บารมีธรรม


    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

    เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๓๓



    พ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านเล่าเรื่องกรุงเทพฯ ให้ฟังตั้งแต่ท่านอยู่กรุงเทพฯ น่าฟังนะ โอ๊ย อยู่ไหนสงัดหมด วัดบรมนิวาสเขาเรียกวัดนอก วัดบวรนิเวศเขาเรียกวัดใน เดินไปสบายๆ ไม่มีคน มันเป็นเหมือนบ้านนอกเรานี่แหละ สงบสงัด อยู่ไหนสงัดหมด ในกรุงเทพฯ ก็เหมือนกับเราอยู่บ้านนอกนี่แหละ สงัดทั้งนั้น จากวัดสระปทุมมาวัดบรมนิวาสท่านก็เดินมา ไม่มีบ้านมีเรือนเล้ย ท่านเล่าให้ฟัง เวลามีโอกาสท่านก็เล่าของท่านไป ผู้ฟังก็ฟังอย่างเพลินใจไปตามท่าน

    เดี๋ยวนี้ดูเอา ไม่ว่าที่ไหนมันเหมือนกันหมดละคนมาก-มากขึ้นๆ คนมากก็เรื่องมาก ไม่เหมือนสิ่งอื่นทั้งหลายมาก ไม่ค่อยมีเรื่องมาก ถ้าคนมากนี้เรื่องมาก ยุ่งมาก วุ่นมาก ย่นเข้ามาในใจอีก ถ้าเป็นนักภาวนาก็เห็นเรื่องใจนี่ยุ่งมาก ถ้าไม่ภาวนาก็ไม่เห็น ต่างคนต่างดิ้นตายกันอยู่อย่างนั้นแต่ไม่เห็น ต่างคนต่างดิ้นต่างดีดเพราะหัวใจนี่พาให้ดิ้นให้ดีด แม้เช่นนั้นก็ไม่เห็นสิ่งที่ใจก่อขึ้นมา พระพุทธเจ้าจึงเป็นศาสดาองค์เอก เพราะท่านรู้จุดก่อเหตุ เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตÿ ตถาคโต เตสญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ. นี้คือพระอัสสชิเทศน์ย่อๆ ภาษิตย่อให้พระสารีบุตรฟัง ตอนนั้นพระสารีบุตรเป็นปริพาชกอยู่ในสำนักสญชัยสำนักเดียวกันกับพระโมคคัลลาน์

    พระโมคคัลลาน์แต่ก่อนชื่อโกลิตะ พระสารีบุตรนี้ชื่ออุปดิส ท่านเหล่านี้เป็นสกุลเศรษฐีไม่ยินดีในสมบัติ คิดอยากจะออกหาที่สงัดโดยถ่ายเดียว นั่นละบารมีเมื่อพร้อมแล้วเป็นอย่างนั้น บารมีหากหนุนเองนะ สมบัติเงินทองมีมากมีน้อยไม่ยินดีไม่สนใจ มีแต่อยากหลบอยากหลีกหาที่สงบสงัดอารมณ์ทางใจ นั่นอุปนิสัยเหมือนว่าดึงดูดให้ออกบวช ความดีของเราเวลาสร้างแล้วก็เป็นอย่างนั้น สร้างมากเข้าๆ เป็นเครื่องดึงดูดในทางดี อย่างพระยสกุลบุตรก็เหมือนกัน พ่อกับแม่เอากองเงินกองทองกองสมบัติมากมายมากองไว้ต่อหน้า คนหนึ่งอยู่ทางฟากโน้น คนหนึ่งอยู่ฟากนี้มองไม่เห็นกัน มอบให้ลูก-ลูกบอกไม่ยินดีไม่เอา สิ่งของอย่างนี้อยู่ในโลกเต็มไปหมด อย่าว่าเพียงสิ่งของที่กองอยู่ในนี้เลย สมบัติมีเต็มโลกยังมากกว่านี้ก็ไม่เห็นช่วยทุกข์ได้ แน่ะฟังซิ บทเวลาบารมีของท่านเต็มแล้วมีแต่จะไปๆ ท่าเดียว สุดท้ายก็ไปจริงๆ

    พระยสกุลบุตรเห็นไหมล่ะ เมื่อไปพอได้ฟังเทศน์พระพุทธเจ้าท่านก็บรรลุธรรมขึ้นมาในเวลานั้นเลย นั่นละอำนาจของบารมีเวลามากแล้วดึงเจ้าของให้หลุดออกจากกองทุกข์โดยถ่ายเดียว อยู่กับอะไรก็ไม่ยินดี อยู่ที่ไหนก็ไม่ยินดี เพราะสิ่งที่เลิศกว่านี้ยังมี มีอยู่ในหัวใจนี้จะดึงไปหาธรรมอันเลิศนั้นเอง สิ่งเหล่านี้แต่ก่อนก็ว่าให้ความร่มเย็นเป็นสุข ครั้นนานเข้าๆ บารมีแก่กล้าเข้าไปถึงกาลเวลา ก็เหมือนผลไม้ที่จะสุก จะรดน้ำพรวนดินเท่าไรก็ไม่ยินดีในปุ๋ย มีแต่จะแก่จะสุกท่าเดียว อันนี้ก็เหมือนกัน แล้วก็ออก

    พระสารีบุตรออกก็ไปเจอพระอัสสชิ มองดูเห็นท่านบิณฑบาต พระอัสสชิท่านเป็นพระอรหันต์แล้วนี่ เพราะท่านอยู่ในเบญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ไปเห็นท่านบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ มองดูแล้วกิริยามารยาทสวยงาม สำรวมไม่เคยเห็น พูดง่ายๆ ว่าไม่เคยเห็น เกิดความเคารพเลื่อมใสตั้งแต่ยังไม่ได้พูดได้คุยอะไรกันเลย มองดูกิริยาอาการของท่านที่เหลือบซ้ายมองขวาก้าวหน้าถอยกลับ สวยงามน่าดูทั้งนั้น จึงได้ด้อมตามหลังไป พอพ้นจากหมู่บ้านแล้วก็ถามท่านว่า ท่านบวชในสำนักใด ใครเป็นครูเป็นอาจารย์ของท่าน แล้วครูอาจารย์ของท่านสอนธรรมว่าอย่างไร นี่พระสารีบุตรถามเพราะเป็นคนฉลาดอยู่แล้วนี่ เวลามาบวชได้รับแต่งตั้งเป็นเอตทัคคะเลิศในทางปัญญา

    พระอัสสชิทั้งๆ ที่ท่านก็เป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ท่านไม่ได้นำออกมาพูด ท่านพูดจุดที่จำเป็นๆ จะเป็นประโยชน์เท่านั้น ว่าอาตมานี้เพิ่งมาบวชมาถึงธรรมวินัยใหม่ๆ ยังไม่รู้กว้างขวาง จะพูดให้ท่านฟังได้เพียงย่อๆ เท่านั้น ก็ยกขึ้นอย่างที่ว่านี้ เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา ฯ ธรรมทั้งหลายทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากเหตุ ตัวมหาเหตุคือใจ ถ้าว่าดับก็ดับตรงนี้ เมื่อดับเหตุนี้แล้ว ผลก็ไม่แสดง ผลที่แสดงมากน้อยไปจากเหตุเป็นผู้หนุนออกๆ พระสารีบุตรรู้ทันทีและบรรลุพระโสดา พอใจแล้วถามถึงสำนักท่านอยู่ที่ไหนๆ ก็บอกว่าวัดเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ ก็ไปเล่าเรื่องให้พระโมคคัลลาน์ฟัง ว่าได้ไปพบพระอัสสชิท่านเทศน์ให้ฟังอย่างนั้นๆ นำภาษิตนี้ให้พระโมคคัลลาน์ฟัง พระโมคคัลลาน์ก็บรรลุโสดาขึ้นในขณะนั้น

    ทั้งสองก็ไปชวนหมู่เพื่อนปริพาชกด้วยกันที่อยู่ในสำนักสญชัย ชักชวนด้วยเรื่องราวเหล่านี้ที่เจ้าของได้มหามงคลมาจากพระอัสสชิที่เป็นลูกศิษย์ตถาคต ปริพาชกเหล่านั้นก็มีความยินดีพอใจไปด้วยกัน ๒๕๐ คน แล้วไปลา สญชัยที่เป็นอาจารย์ สญชัยไม่ยินดี จากนี้เราพูดย่อๆ เลยทางนี้ขอไปเลย ไปฟังธรรมพระพุทธเจ้าทรงแสดง ท่านเหล่านี้มีอุปนิสัยเต็มที่เหมือนกันหมดนี่ พอพระพุทธเจ้าแสดงธรรมให้ฟังเท่านั้น เพื่อนฝูงที่ไปด้วยกัน ๒๕๐ คนนั้นบรรลุถึงอรหัตภูมิหมดเลย พระโมคคัลลาน์ไปทำความเพียรเกิดความโงกง่วง เป็นอุปสรรคต่อการบรรลุธรรมเบื้องสูง พระองค์ก็ได้แสดงธรรมแก้ความโงกง่วงให้พระโมคคัลลาน์ฟัง จึงได้บรรลุอรหัตภูมิหลังจากบวชแล้วได้ ๗ วัน พระสารีบุตร ๑๕ วัน ได้สำเร็จ ตอนพระสารีบุตรสำเร็จนี้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแก่ทีฆนขะ อัคคิเวสสนโคตร พระสารีบุตรนั่งอยู่ข้างหลังฟังเลยบรรลุธรรมขึ้นในเวลานั้น

    นี่พูดถึงเรื่องอุปนิสัยเมื่อมากแล้วเป็นอย่างนั้น ค่อยดึงค่อยดูดเจ้าของออกๆ คนมีบาปมากมันก็คอยดึงดูดเช่นเดียวกัน ถ้าไม่ได้ทำความชั่วอยู่ไม่ได้วันหนึ่งๆ ความชั่วก็เป็นเครื่องดึงดูดทางหนึ่งของมันให้ได้ทำจึงอยู่ได้ เช่นคนขโมยนี่ไม่ได้อะไรก็ ภาษาภาคอีสานว่า ได้สากมองเหี้ยนหรือเศษเหล็กก็เอา มันไม่เสียลวดลายของนักเลง ไปหาฉกหาขโมยที่ไหนไม่ได้ได้สากมองเหี้ยนก็เอา (คำว่าสากมองเหี้ยนได้แก่สากครกกระเดื่อง ที่เขาทิ้งแล้ว) เป็นยังงั้นนักเลงขโมย คนที่ทำความชั่วไม่ได้ทำอะไรอยู่ไม่ได้ ต้องให้ได้ทำวันหนึ่งๆ นิสัยมันเป็นอย่างนั้น มีแต่สั่งสมความชั่วเข้าสู่ใจ-เข้าสู่ใจก็จมลงๆ ช่วยดึงกันลงๆ นี่ละความชั่วก็มีอำนาจเป็นเครื่องดึงดูด เมื่อมากเข้ายิ่งดึงเจ้าของให้จมลงๆ หาเวลาฟื้นไม่ได้

    ตรงกันข้ามความดีมีมากเท่าไรยิ่งดึงเจ้าของขึ้นโดยลำดับ คิดดูให้อยู่กับอะไรๆ อยู่ไม่ได้เลย ไม่มีอะไรเจริญหูเจริญตาเลย มีแต่ให้ออกหาที่วิเวกสงัดจากความยุ่งเหยิงวุ่นวายถ่ายเดียวเท่านั้น นั่นฟังซิ ทางนี้ไม่วุ่นวาย ทางนี้พอใจเสาะแสวงหา แต่ทางนั้นเกลื่อนกล่นวุ่นวายไม่สะดวกไม่สบาย นั่นดึงดูดออกๆ แล้วเวลาฟังธรรมก็เพราะพร้อมแล้วๆ นี่ ประเภทดอกบัวพ้นน้ำแล้ว พอฟังเท่านั้นก็ดีดผึงๆ เรื่อยไปเลย จากนั้นก็ค่อยลำดับลำดาขึ้นๆ ผู้ที่ยังไม่เต็มก็ฟังทุกวัน บำเพ็ญทุกวันแล้วค่อยหนุนขึ้น ๆ เต็ม หนุนขึ้นเต็มๆ นี่เรื่องอุปนิสัยของคนเรา เรื่องที่ว่านี้พอมีขึ้นมากแล้วอยู่ไม่ได้นะ หากเป็นอยู่ในใจนั่นแหละ ดึงดูดให้อยากออก ไม่ยินดีกับอะไร มีแต่จะออกบำเพ็ญธรรมท่าเดียว แล้วออกก็สำเร็จดังใจหมาย

    ศาสนาคู่โลกคู่ธรรมก็คือพุทธศาสนานี่แล ที่ว่าได้สร้างบารมีมาเท่าไรๆ ท่านเหล่านี้เป็นผู้สร้างมาจริงๆ สร้างมาแทบเป็นแทบตายกว่าบารมีจะเต็ม อันนี้เป็นภูมิบารมีของสยัมภู คือรู้เองไม่ต้องอาศัยใครมาแนะนำสั่งสอนให้อุบายต่างๆ เหมือนบรรดาสาวกทั้งหลาย สาวกต้องได้ยินได้ฟังเสียก่อน จะอุปนิสัยสามารถแก่กล้าขนาดไหนก็ต้องได้ยินได้ฟังเสียก่อน ถึงจะรู้แล้วผ่านไปได้

    อย่างพระพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้านี้เป็นสยัมภูเหมือนกัน แต่พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านรู้เฉพาะๆ อย่างเงียบๆ ไม่มีใครทราบแหละ เพราะท่านไม่ได้สอนใคร ท่านรู้เฉพาะเท่านั้น ปัจเจกๆ แปลว่าเฉพาะ พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงรู้เอง แล้วก็ประกาศธรรมสอนโลก ชีวิตอายุยืนนานต่างกัน ส่วนมากพระพุทธเจ้าทั้งหลายอายุยืนนะ มีพระพุทธเจ้าของเรานี้กับพระนรสีหพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งในอนาคตวงศ์นี้ที่มีอายุ ๘๐ ปีเหมือนกัน นอกนั้นมีแต่ ๘ หมื่นปี ๙ หมื่นปี ๑๐ หมื่นปี ครองราชสมบัติอยู่ส่วนมากครึ่งหนึ่งๆ เป็นพระราชา แล้วเสด็จออกบวชไม่นานก็ได้สำเร็จๆ พระองค์ก็ทรงนำมาแสดงหมด ที่ยากก็คือเรา แน่ะ ท่านก็บอก อายุน้อยที่สุดก็คือเรา ท่านบอกตั้งแต่ยังไม่ตาย อายุน้อยที่สุดคือเราแค่ ๘๐ ปี ฟังซิก็บอกไว้แล้ว ยังไม่ตาย บอกไว้แล้ว นอกนั้นท่านอายุยืนทั้งนั้น

    นี่คือศาสนาที่ท่านได้บำเพ็ญมาเต็มภูมิแล้ว มาตรัสรู้แล้วก็เป็นศาสดาสอนโลก จึงเรียกว่าศาสนานี้เป็นคู่โลกคู่สงสาร คือศาสนาของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ นี่ละที่ว่าสร้างบารมีเกี่ยวกับเรื่องศาสนานี้ถูกต้องดีงามเต็มภูมิ นอกนั้นธรรมก็เกิดประโยชน์ไม่ปฏิเสธว่าไม่เกิด แต่ว่าเกิดเต็มเม็ดเต็มหน่วยกับเกิดไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยมันต่างกัน พุทธศาสนานี้ก็บอกไว้ประกาศไว้ เหมือนกับว่าเปิดทางโล่งเอาไว้ถึง ๕๐๐๐ ปี ถ้าบันไดก็พาดเอาไว้ให้ขึ้น ถ้าว่าทางก็เปิดโล่งเอาไว้ ๕๐๐๐ ปี พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วทางก็ยังเปิดโล่งเอาไว้ ใครมาก็มาถึงเช่นเดียวกัน ทางนี้ตถาคตยังไม่ได้รื้อได้ถอนได้ปิด คือถ้าไม่ประทานโอวาทไว้ก็เหมือนกับว่าปิดทาง ใครไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ก็โดนเอาตั้งแต่บาป นี้บอกไว้ บาปก็บอก บุญก็บอก นรก สวรรค์ ซึ่งเป็นของมีอยู่ดั้งเดิมก็บอก ถ้าไม่ได้บอกไว้สิ่งเหล่านั้นมีอยู่มันก็ไม่รู้ ก็จะโดนเอาๆ ท่านก็บอกไว้ถึง ๕๐๐๐ ปี นี่ก็ ๒๕๐๐ แล้วครึ่งไปแล้ว

    ที่ท่านบอกไว้นี้ไม่ใช่ท่านบอกไว้เฉยๆ นะ พระญาณของท่านหยั่งทราบไว้หมดแล้ว ตั้งแต่ท่านปรินิพพานไปแล้ว จะถึงเพียง ๕๐๐๐ ปีเท่านั้น จิตใจของคนที่รักใคร่ใฝ่ธรรมนี้จะสุดแค่นั้น นอกนั้นไม่มี ค่อยเรียวลงไปๆ ผู้มีความสนใจรักใคร่ต่ออรรถต่อธรรมเชื่อบุญเชื่อบาปซึ่งเป็นของมีอยู่ดั้งเดิม ความเชื่อจะลดน้อยลงๆ อันหนึ่งน้อยลง อันหนึ่งหนาแน่นขึ้น ความชั่วคือกิเลสที่จะทำให้มืดมิดปิดตานี้หนาแน่นขึ้นๆ พอไปถึง ๕๐๐๐ ปีแล้วหมดที่นี่ คำว่าบาปไม่มีใครสนใจฟัง บุญไม่มีใครสนใจฟัง คำว่าธรรมไม่มีใครสนใจฟัง มันก็เป็นเหมือนสัตว์ตัวหนึ่ง นั่นละหัวใจของคนเวลามันพลิก-มันพลิกอย่างนั้น จำให้ดีนะ

    เวลามันยอมรับความจริงอยู่ ความจริงคือธรรมนี้เป็นความจริงล้วนๆ ไม่เป็นอื่นเลย เวลายอมรับความจริงก็ดำเนินตามนั้น บาปมีให้ละบาปให้ระวังบาป ถ้าเราทำตามธรรมก็ไม่เจอความทุกข์ บุญให้พากันสั่งสมให้มี บุญเป็นของดีเป็นสิริมงคลแก่ตัวเราก็สร้างบุญ ผลก็ได้แต่ของดีๆ นี่ทำตามท่าน ทีนี้เวลานานเข้าๆ ความที่เคยเชื่อบาป สัตว์ทั้งหลายค่อยถ่ายค่อยทอดกันไปเรื่อย เคยเชื่อบาปเชื่อบุญหมดแล้ว ทีนี้ไม่เชื่อ ว่าอะไรไม่สนใจ สุดท้ายคำที่ว่าบาปว่าบุญก็ไม่มีใครมาพูดเลย หมด ทีนี้ก็มีแต่จม จมท่าเดียวๆ นั่นเป็นวาระที่กรรมอาภัพมากที่สุดก็ไปโดนเอาระยะนั้น

    ระยะศาสนาไม่มีท่านกล่าวไว้ในธรรมนี้น่าสลดสังเวชเอามากมายนะ ท่านบอกว่าคนเหมือนสัตว์ สัตว์เหมือนคน ไม่มีอะไรผิดแปลกต่างกันเลยในความรู้สึก เพราะไม่มีใครมีจิตใจสูง จิตที่เป็นธรรมเรียกว่าจิตใจสูงไม่มี เป็นแบบเดียวกันหมด แล้วจมลงๆ พระพุทธเจ้ากว่าจะมาตรัสรู้องค์หนึ่งๆ นี้นานแสนนานนะไม่ใช่ธรรมดา ที่ท่านเรียกว่าพุทธันดร ระหว่างพระพุทธเจ้าองค์นี้กับองค์นี้จะมาตรัสรู้นี้ห่างกันมากมาย นี่เรียกว่าพุทธันดร แปลว่าระหว่างแห่งพระพุทธเจ้าที่จะ มาตรัสรู้สืบต่อกันนี้ห่าง

    นี่ละตรงนี้เองที่สัตว์ทั้งหลายได้รับความทุกข์ความทรมาน ใครมีกรรมหนักกรรมหนาสาโหดก็จะมาโดนเอาตรงนี้ๆ ถ้าผู้ที่มีคุณงามความดีก็ไปอยู่สวรรค์ ไม่ได้มาทุกข์ทรมานกับสิ่งเหล่านี้ อำนาจแห่งความดีพาคนไปสู่ทางดีไปอยู่สวรรค์ ไม่ได้มายุ่งมาทุกข์อย่างนี้ เขาตกนรกเราก็อยู่สวรรค์เสีย คนบุญไปอยู่บนสวรรค์ คนบาปไปอยู่ในนรก ความจริงก็เป็นอย่างนั้น ทีนี้พอถึงกาลเวลาที่ควรจะเคลื่อน ก็เคลื่อนออกมาหาความเป็นสิริมงคลพอดี เช่นพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา เหมาะแล้วมาสร้างบารมีเพิ่มเข้าๆ ดีไม่ดีก็ได้บรรลุธรรมสุดขีดเสียในพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ ผู้ที่ยังไม่ได้ก็สร้างบารมีไป สูงขึ้นไปเรื่อยๆ นี่ละที่ว่าศาสนาคู่บ้านคู่เมืองเป็นอย่างนี้

    ศาสนาที่จะมีมาแต่ละครั้งๆ นี่ โถ ไม่ใช่ของเล่นๆ นะ เรานี้ยังเกิดในแดนพุทธศาสนา ถึงพระองค์ปรินิพพานไปแล้วก็ตาม หนทางชี้บอกไว้แล้วให้เดินตามนั้น จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม สวฺากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมนี้ตรัสไว้ชอบแล้ว ทั้งๆ ที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ก็ตรัสไว้ชอบแล้ว นิพพานไปแล้วทางนี้ก็ชอบ ไม่ได้เหลวไหล พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วทางนี้กลับเหลวไหล ธรรมนี้กลับเหลวไหลไม่เคยมี คงเส้นคงวา ให้เดินตามนั่นท่านบอก ความดีก็ได้อยู่อย่างเดิม

    พวกเรานี่เกิดมาพอดี จากนี้ก็พระอารยเมตไตรยแต่เราอย่าไปคิดมาก ให้เอาตรงนี้ ตักตวงเอาเวลาที่มีชีวิตอยู่นี้ พระอารยเมตไตรยยังไม่มาเราจะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ คิดบ้างตรงนี้ เราจะเพื่อพระอารยเมตไตรย บทเวลาจะตายไม่เห็นคิด มันต้องแก้กันตรงนั้นซิ เวลานี้เป็นเวลาที่ควรตักตวง ชีวิตมีอยู่ บาปบุญคุณโทษมีอยู่ รู้อยู่เห็นอยู่เชื่ออยู่ ทำเอา ตายแล้วไม่มีประโยชน์ละ

    พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ก็ไม่เกิดประโยชน์กับคนตายแล้ว ใครจะไปหาโปรดคนตาย คนเป็นนี้ไม่ต้องไม่จำเป็น เวลาตายเสียก่อนข้าจึงจะไป กุสลา ธมฺมา ยังงั้นเหรอ อะไรกัน เห็นไหมพระพุทธเจ้าพอตรัสรู้ปึ๋งทรงเล็งญาณดู ว่าใครมีอุปนิสัยสามารถที่จะบรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็ว ทรงเล็งดูดาบสทั้ง ๒ ที่เคยเป็นครูเป็นอาจารย์สอนท่านมา โถ เสียดายล่วงไปเสีย ตายไปเสียตั้งแต่เมื่อวานนี้หมดหวัง เล็งญาณทั่วแดนโลกธาตุ อ๋อ นี่ยังพวกเบญจวัคคีย์ทั้ง ๕ นี่แน่แล้วถึงเสด็จมา ดูซิท่านทรงดำเนินมาอย่างนั้นท่านทรงดำเนินไปอย่างนั้นนะ

    ท่านเล็งญาณดูสัตว์ ผู้ตายแล้วท่านก็หยุดเสีย ดาบสทั้ง ๒ ท่านก็ไม่ไป เออดี ดาบสทั้ง ๒ ตายแล้วจะได้ไปโปรดง่ายๆ นะ กุสลา ธมฺมา ไปเดี๋ยวนี้นา ท่านไม่เห็นว่า มีแต่โอ๋ย หมดหวังน่าเสียดายท่านว่า แล้วก็หันมาหาพวกเบญจวัคคีย์ทั้ง ๕ มีพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นหัวหน้า มาทรงแสดงธรรม ขึ้นธรรมจักร จักรคือธรรม หมุนติ้วๆ ธรรมจักรๆ แปลว่า จักรคือธรรม ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร จักรคือธรรมอันพระพุทธเจ้าให้เป็นไปแล้วแก่เบญจวัคคีย์ทั้งหลาย คลังอริยสัจ ๔ อยู่ตรงนั้น ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ขึ้น นั่นคลังอริยสัจ ๔ ที่จะรื้อภพรื้อชาติมีอริยสัจ ๔ เท่านั้น นอกจากอริยสัจ ๔ ไม่มีอะไรรื้อได้เลย ธรรมพระพุทธเจ้าที่เป็นคลังของมรรคผลนิพพานโดยสมบูรณ์ก็คืออริยสัจ ๔ เปิดทางโล่งไว้ เอ้าไป พ้นได้เลย เบญจวัคคีย์ก็หลุดพ้น

    ทรงเล็งญาณดูสัตวโลกใครที่ควรจะได้บรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็ว แต่จะเสียชีวิตเสียก่อนนี้ ก็รีบไปหาคนนั้นก่อน เป็นอย่างนั้น ท่านไม่ได้หาสอนคนตายนี่ คนตายเป็นสิ่งที่สุดวิสัย บุญกุศลที่จะทำเพื่อคนตายเป็นอีกประเภทหนึ่ง ทำเพื่อคนเป็นก็เป็นอีกประเภทหนึ่ง มันคนละประเภทๆ ประเภทที่เยี่ยมก็คือยังมีชีวิตอยู่นี้แล อย่างพระสาวกทั้งหลายได้บรรลุธรรมเป็นสาวกพระพุทธเจ้ามีเท่าไร เป็นล้านๆ ๆ ท่านบรรลุในเวลามีชีวิตอยู่ทั้งนั้นๆ เลย นี่ประเภทหนึ่ง ประเภทที่ตายแล้วทำบุญอุทิศส่วนกุศลหรือแผ่เมตตา อันนี้เป็นอีกประเภทหนึ่ง แต่ประเภทยังมีชีวิตนั้นเป็นความจำเป็นมาก

    อย่างเวลานี้เราอยู่ในความจำเป็นมากที่จะต้องทำเป็นอันดับหนึ่งอยู่แล้ว ก็ทำเสียซิ ตายไปแล้วจะให้ไป กุสลา ธมฺมา อย่ามานิมนต์หลวงตาบัวนะ ฆ่าคนดะไปเลย เวลาสอนอยู่นี้ไม่สนใจ เวลาตายแล้วมานิมนต์หลวงตาบัวไปกุสลา สันพร้า เราจะว่าอย่างนั้น คำนี้เป็นภาษาอีสานเขาพูดหยอกกันเล่น เวลาถูกถามว่าไปไหนมา สันพร้า ว่าแล้วเฉยเสีย ทางนี้ก็ขบขัน ผู้ได้สันพร้านั่นแหละขบขัน ทางนั้นไปเฉย นี่ก็เหมือนกัน เวลาสอนอะไรไม่สนใจ บทเวลาตายนิมนต์หลวงตาบัวไป กุสลา ธมฺมา จะว่าสันพร้านะ เราจะว่าอย่างนั้น ไม่ไป สอนอยู่ยังไม่เอา

    พูดถึงเรื่องเวลาศาสนามีอยู่ก็เหมือนยากับหมอมีอยู่ เครื่องบรรเทารักษาโรคให้หายมีอยู่ บรรเทาโรคมีอยู่ หมอมีอยู่ ก็พอเป็นพอไป ถ้าหมอไม่มีซิ โรคมันมีอยู่นี้ตลอด ของแสลงก็เต็มบ้านเต็มเมือง ทีนี้เมื่อไม่มีหมอไม่มียา คนไข้ก็หมุนติ้วเข้าหาแต่ของแสลง แล้วตายได้ง่ายๆ นั่น อันนี้เรื่องธรรมไม่มี ไม่เชื่อธรรมมันก็ต้องเชื่อกิเลสละซิ หมุนติ้วไปเลย นี่เวลานี้เรายังมีผู้ฉุดผู้ลากเราอยู่ ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นธรรมชาติที่ฉุดที่ลากเราอยู่ ให้รีบขวนขวายเสีย เวลาตายนี้หมดจริงๆ นะ ขาดไปหมด ไม่มีอะไรที่จะสืบต่อให้ได้สร้างความดีต่อไป ในชีวิตนี้ขาดเลย กำลังก้าวอยู่นี้ได้หยุดกึ๊กเลย เพราะชีวิตหาไม่แล้ว จะก้าวไปไหนอีก คนตายก้าวไปได้เมื่อไร

    พอพูดนี้ก็เลยทำให้ระลึก นี่เราเคยพูดในเทปก็เคยพูดเหมือนกัน แต่นี้เรื่องมาสัมผัส จะว่าเป็นสักขีพยานแก่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายก็ถูก เพราะเรื่องที่จะมาโอ้อวดนี้เราไม่เคยมีในหัวใจของเรา นอกจากเป็นคติเท่านั้น เพราะความเมตตาสงสารสอนให้เป็นคติให้เป็นเครื่องฉุดลากกันตลอด ไม่อยากกดลง มีแต่ดึงขึ้น ปีพ่อแม่ครูอาจารย์มรณภาพเป็นปีที่ทุกข์ที่สุด หัวเลี้ยวหัวต่อ หมุนติ้วๆ ไม่มีเวล่ำเวลาเลย เข้ากับใครไม่ได้ ตั้งแต่พ่อแม่ครูจารย์ยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ความจำเป็นท่านป่วยมันก็ต้องบังคับตัวเองเพื่อท่าน เพราะความจำเป็นของท่านเหนือนี่ ท่านเป็นเจ้าบุญเจ้าคุณของเรา เราจึงต้องติดพันกับท่านตลอดเลย เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยไม่ได้ห่าง ทางนี้มันก็หมุนของมัน ทางนั้นก็หมุน หมุนเพื่อท่านและหมุนเพื่อตัวเอง

    ทีนี้สรุปเอาเลย พอท่านมรณภาพแล้วก็ดีดผึงเลย เข้ากับใครไม่ได้นะ เข้าในป่าในเขาอยู่คนเดียวๆ ไม่เอาใครไปด้วย ใครไปด้วยไม่ได้เลย ขนาดนั้นถึงเวลามันเป็น เวลาอยู่คนเดียวไม่ได้ก็มี คืออยู่คนเดียวมันก็เหมือนกับสัตว์ตัวหนึ่งอยู่ในป่านั่นแล ก็อยู่ในป่าภาวนาไม่ได้เรื่องมันก็เป็นทำนองสัตว์ป่าไปเสีย ป่าดงพงไพรสงัดแต่หัวใจมันไม่สงัด มันดิ้นของมันอยู่นั่นละ กิเลสละพาให้ดิ้น จนถึงกับอุทานในใจ โถ ถ้าเป็นอย่างนี้ เราอยู่คนเดียวได้ยังไง นี่อยู่ไม่ได้ ปราศจากครูบาอาจารย์ไม่ได้ถ้าเป็นอย่างนี้ มันจึงต้องอยู่กับท่านๆ ออกไปชั่วคราวแล้วเข้ามา ออกไปชั่วคราวถ้าเห็นว่าแปลกๆ แล้วก็รีบเข้ามาๆ นี่เวลามันอยู่คนเดียวไม่ได้มันก็เป็นให้เห็นอยู่ชัดๆ ในหัวใจเรานั่นแหละ เอาหัวใจผู้ปฏิบัตินี้ดีกว่ามันถึงชัดเจนดี ในระยะที่อยู่คนเดียวไม่ได้ก็เห็นอยู่ชัดๆ ในเจ้าของคนเดียวนี่แหละ

    เอ้า ทีนี้พลิกออกมาจากนี้ ถึงระยะที่จะอยู่กับหมู่เพื่อนไม่ได้ เอาอีกละนะ มันอยู่ไม่ได้จริงๆ เสียเวล่ำเวลา ใครมายุ่งไม่ได้นะ คิดดูซิไปบิณฑบาตที่ไหนหมู่บ้านใหญ่ๆ ไม่อยู่ ไปหาอยู่บ้าน ๕ หลังคาเรือน ๖ หลังคาเรือน บ้านใหญ่ไม่เอา ถ้ายิ่งบ้านไหนไปแล้วเขารุมมาหา โอ๋ย บ้านนี้ไม่ได้เรื่องแน่ นั่น เขาจะมายุ่งเราหาเวลาภาวนาไม่ได้ ไม่เอา หนีไปหาอยู่หมู่บ้าน ๓ หลังคาเรือน ๔ หลังคาเรือน บิณฑบาตกับเขาพอมีชีวิตบำเพ็ญธรรมให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่านั้น ไปบิณฑบาตก็ทำความเพียรตลอด ยุ่งกับใครเมื่อไร ทั้งไปทั้งกลับมีแต่เรื่องความเพียรเหมือนกับเดินจงกรม มันเป็นอยู่ในหลักธรรมชาติของมันเอง เวลามันหมุนของมันเห็นชัดๆ อยู่ในหัวใจว่าอยู่กับใครไม่ได้ นี่มันก็รู้อยู่กับใจเราเอง

    ระยะหนึ่งมันบอกว่าอยู่คนเดียวไม่ได้ ต้องได้วิ่งหาครูหาอาจารย์ไม่งั้นจมแน่ๆ มันรู้ชัดอยู่ ก็ต้องได้เข้าหาครูหาอาจารย์ ถึงวาระที่จะอยู่คนเดียวนี่ จะอยู่กับใครไม่ได้แล้วมันก็รู้อีก ใครติดตามไม่ได้นะ โอ๋ย ขโมยหนีจากพระจากเณร เหมือนขโมย ขโมยใหญ่ๆ เลยนี่ โน่นหัวโจรหัวโจกนั่น ขโมยหนีกลางคืน กลางวันหมู่เพื่อนจะเห็น ถ้าพอไปกลางวันได้ก็ไป พอไปกลางคืนได้ก็ไปกลางคืน ดึกดื่นไม่ว่านะ หนีจากหมู่เพื่อน มันไม่สบายมันอยู่ไม่ได้ ก็งานของเราเป็นอยู่อย่างนี้มีเวลาว่างเมื่อไร อยู่อย่างนี้ตลอด แล้วจะไปอ้าปากพูดคุยกับคนนั้นอ้าปากพูดคุยกับคนนี้ได้ยังไง งานเต็มมืออยู่นี่ นั่นถึงวาระมันเป็น มันเป็นในหัวใจรู้เอง

    นี่ละก็เข้าไปถึงบทที่ว่าไปอยู่ทางกระโหมโพนทอง บ้านกระโหมมี ๙ หลังคาเรือน ไปพักอยู่กับเขา บ้านใหญ่ก็มีแต่เราไม่เอา ไปอยู่ตีนเขา เวลาไปอยู่นั้นก็ภาวนาสนุกสนานสะดวกสบาย ไม่มีใครไปยุ่งเลยทั้งวัน สนุกฟัดสนุกเหวี่ยงกับกิเลสทั้งวัน แล้วสุดท้ายเป็นโรคอะไรขึ้นมาในหมู่บ้านโพนทองบ้านกระโหมเราก็พิสูจน์ไม่ได้จนกระทั่งทุกวันนี้ จะว่าเป็นโรคระบาดหรือไม่ระบาดก็พิจารณาไม่ถูก ถ้าอย่างภายนอกเราอยากจะว่าเป็นโรคระบาด แต่เวลามันมาโดนเราเข้านี้มันชอบกล โรคชนิดนี้เมื่อเป็นเข้าแล้ว ๒ วันตาย มันเจ็บมันขัดอก มันเหมือนกับหอกกับหลาว จามไอไม่ได้นะจะสลบไปโน่นน่ะ เมื่อเวลาจามฟิดรู้สึกจะสลบไปเลย เหมือนมันทิ่ม หายใจแรงก็ไม่ได้ คนไข้ถ้า ๓ วันล่วงไปแล้วไม่ตายนะ ส่วนมากจะตายในวันแรก ๒ วัน ๒ วันนี่สำคัญมากนะมักจะตายๆ

    เขาหามคนตายมาทั้งวัน เราก็อยู่ในป่า ป่าช้าก็ไปอยู่ด้านเราอยู่นี่ เขาไปอยู่โน้นไกลๆ ป่าช้าเขามาอยู่ทางบ้านนี้แล้วก็หามกันมา ไปกุสลามาติกาทั้งวัน เลยไม่ได้กลับวัด ตาย....ทำยังไงอย่างนี้ ทีนี้ไปกุสลามาติกาให้เขาไม่ได้กุสลาให้เจ้าของเลย เป็นยังไงกันนี่ เพราะคนตายวันหนึ่งอย่างน้อย ๕ คน มากกว่านั้นวันละ ๙-๑๐ คน ใครเป็นเข้าก็ ๒ วันตาย ๓ วันตาย สุดท้ายก็หนีจากป่าช้าไม่ได้ เดี๋ยวคนนั้นหามมาแล้วอยู่อย่างนั้นหนีไม่ได้ ก็เลยเฝ้าอยู่ป่าช้านั้น ไม่ต้องทำงานอื่นใดแหละ

    ที่พูดว่าเขาตายๆ ด้วยโรคพรรค์นี้ แล้วสุดท้ายก็มาโดนเราเข้า ก็บอกเขาเลยว่านี่อาตมาเป็นแล้วนะ โรคขัดหัวอกนี้เป็นแล้วนะ เวลานี้เริ่มแล้วจะลาไปละนะ จะไม่มากุสลามาติกาให้ละบอกตรงๆ เลย เวลานี้เริ่มเป็นหนักแล้ว เขาก็เห็นใจเพราะเห็นคนตายถูกหามมาเรื่อยๆ โอ๊ย ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จำเป็นละเขาว่างั้น เราก็หนีจากป่าช้านั้นเลย โรคก็เอาใหญ่เลยนะ มันอย่างนี้ มันเหมือนหอกเหมือนหลาวทิ่มแทงในหัวอก หายใจแรงก็ไม่ได้มันสะดุ้งๆ มันเจ็บ อ๋อ อย่างนี้เองที่ว่าโรคขัดหัวอก ที่เขาตายๆ เป็นอย่างนี้เอง นี่ถ้าหากว่าเอากันไม่ไหวเราต้องตายแน่ๆ โรคอันนี้ก็เห็นชัดๆ อยู่แล้วนี่ในป่าช้านั้น มาถึงที่พักก็ฟัดกันใหญ่เลย

    พวกญาติโยมเขากลัวเราตายเลยรุมกันมา พอค่ำยกกันมาทั้งบ้านเลย พวกนี้จะมากวนเราละนะ เพราะอารมณ์ของเราไม่ได้อยู่กับใครนี่ อยู่กับตัวนี้เท่านั้น ถ้าคนมายุ่งมันก็ได้ห่างจากงานสำคัญนี่ละซิ ถ้าเป็นจับปากกาเขียนอย่างนี้ มีคนมาพูดด้วยก็ต้องจับปากกาไว้เฉยๆ เขียนไม่ได้ มันต้องรอซิ นี้คนมามากก็ไล่เขากลับไป ไม่เป็นไรหรอก พากันไปพากันกลับ ไม่พูดมากบอกเท่านั้นก็พอ ให้กลับเดี๋ยวนี้อย่าอยู่นาน ไม่เป็นไรไม่ตาย ไปเถอะๆ ตายก็ตายเป็นไรไป โลกเขายังตายนี่นะ เวลานี้เหมือนว่ามันร้อนจี๋ๆ อยู่ภายในนี้ ห่างกันไม่ได้มันจะฟัดกัน โรคมันหนักพอแล้ว พอไล่เขาไปหมดแล้วก็เอาละที่นี่นะ ประมวลมาแล้วที่นี่ ประมวลเรื่องความพากความเพียรความสมบุกสมบัน บนเวทีที่เราเคยต่อกรกันมากับกิเลส ทุกขเวทนามามากน้อยเท่าไร วันนี้จะต้องเป็นวันที่สำคัญมากทีเดียว เอ้า ถ้าไม่ดีต้องตายวันนี้ ถ้าดีก็เอาพ้นวันนี้

    พอไล่เขาหนีหมดแล้วก็ขึ้นร้านเล็กๆ ภาวนา ที่ว่ามันเป็นโรคระบาดมันจะระบาดได้ยังไง มันเป็นในเรารู้มันชัดๆ จะว่าเป็นโรคระบาดได้ยังไง เราว่าไม่ใช่โรคระบาด สติปัญญาที่เคยใช้มาสักเท่าไรแล้ว อย่างที่เคยว่านั่งจนหามรุ่งหามค่ำจนก้นพองก้นแตก นั่นก็ทุกข์มากขนาดไหนแล้ว นี่ก็เป็นทุกข์ประเภทเดียวกัน ก็เคยได้ประมวลมาแล้วนี่สงสัยกันที่ตรงไหน จิตก็อาจหาญละซิ ฟัดกัน เอ้า อันนี้ไม่พังเราก็พังเท่านั้น วันนี้ นี่ละอันหนึ่งที่มันแย็บขึ้นนะ โอ้ นี่ถ้าหากว่าเราตายนี้เสียดาย เรายังไม่อยากตายตอนนี้ คือมันมีอะไรๆ อยู่ในนี้ จิตนี่ถึงจะละเอียดขนาดไหนมันยังมีอยู่ยังไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์มันก็รู้ ถ้าสมมุติว่าเราตายนี้อันนี้มันก็จะต้องติดตัวเราไป จะเกิดในสถานที่ใดเราไม่อยากเกิด เราไม่อยากอยู่ กี่วันก็ไม่อยากอยู่ ให้มันพุ่งเสียทีเดียว แล้วไปเวลาใดก็ไปเถอะ คือหมายความว่าตายเมื่อไรก็ตายได้ ขอให้พ้นไปเสียอย่างเดียว แต่เดี๋ยวนี้มันยังอยู่น่ะซิ ยังไม่สิ้นเชื้อนี่

    นี่ละมันเป็นอารมณ์อาลัยอาวรณ์อยู่ ทำให้จำได้ติดหัวใจนะ ที่ว่าไม่อยากตายนี้ไม่ใช่ไม่อยากตายเพราะกลัวตายนะ ยังไม่อยากตายเพราะงานยังไม่เสร็จ ถ้างานเสร็จเมื่อไรไปเถอะว่างั้นเลย นี่มันยังไม่เสร็จ มันจะละเอียดขนาดไหนก็รู้ว่ามันยังๆ อยู่ๆ ก็มีธรรมชาติหนึ่งสะกิดขึ้นมาว่า เอ๊ ยังไงกัน เราจะมารำพึงอยู่นี้ได้หรือ เรื่องความตายไม่ได้อยู่กับความรำพึงไม่รำพึงนี่นะ ฟัดกันลงไปซิ มีเท่าไรก็ฟาดลงไป ตายก็ตาย เป็นก็เป็นเท่านั้นซิ หายก็หาย ไม่หายก็ไม่หาย มันย้อนปั๊บขึ้นมาทันที พุ่งกันเลย ขึ้นเวทีฟัดกันตั้งแต่หัวค่ำถึง ๖ ทุ่มกว่าๆ นะ เอากันหนักทีเดียว

    ก็ทำนองเราเคยพิจารณาทุกขเวทนาทั้งหลาย เพราะมันเคยมาแล้วในเรื่องเหล่านี้ มันเคยเวทีมาแล้ว ฟัดกันเสียเต็มเหนี่ยว ไม่ว่าใครดีใครอยู่ไม่อยู่ละที่นี่ บทเวลาเอาจริงๆ แยกทุกข์กับกาย ทุกขเวทนากับกายกับจิต แยกกันๆ เป็นอริยสัจ ไปๆ มาๆ ทุกขเวทนาก็ค่อยจางลง ถ้าหากว่าเป็นรูปเป็นภาพ เหมือนกับว่าอันนี้ห่างออก สติปัญญาตีเข้าตรงกลางนี้เหมือนกับว่าห่างออกๆ ก็ขับกันเรื่อยๆ จางออกๆ พรึบ หมด ทุกขเวทนาที่เป็นอย่างสาหัสที่จะเป็นจะตายอยู่ในขณะนั้นหมดไม่มีอะไรเหลือเลย เช่นเดียวกับที่เรานั่งตลอดรุ่ง เวลาพิจารณาทุกขเวทนารอบแล้วมันดับพึ่บหมดพร้อมกันเลย อันนั้นฉันใดอันนี้ก็ฉันนั้น

    แน่ใจว่าไม่ตายละที่นี่มันบอกชัดเลย แล้วก็หายในขณะนั้นเองนะ หายเงียบ กำหนดดูโล่ง ว่างไปหมดไม่มีอะไรเหลือเลย ทุกขเวทนาที่ว่ามันเหมือนหอกเหมือนหลาวมันหายไปหมดในขณะนั้น ถ้าเป็นโรคระบาดมันจะหายไปได้ยังไง จึงว่าไม่ใช่โรคระบาด นั่นน่ะที่ทำให้เราคิดว่าไม่ใช่โรคระบาด พิจารณาเห็นตัวของมันเรื่องเวทนานี้ ทุกขเวทนาเวลาสติธรรมปัญญาธรรมทันกันแล้วมันแยกกันออกๆ ออกเสียจนกระทั่งหายไปหมดเลย ยังเหลือแต่ความโล่งว่างเปล่าไปหมด ทีนี้ก็แน่ใจด้วยในขณะนั้นเลยว่าไม่ตาย กำหนดดูไม่มีอะไรเหลือเลย เหลืออะไรก็จะฟัดกันอีกหมายความว่าอย่างนั้น กำหนดดูมันมีตรงไหนจะเอาอีก สุดท้ายหมดไม่มีอะไรเหลือ ไม่ตาย ออกจากนั้นก็ลงเดินจงกรม ไม่นอนเลยในคืนนั้น

    นี่เราพูดถึงว่ามันเสียดายไม่อยากตาย มันมีอย่างนั้นนะ แต่เวลาเช่นนั้นมันบอกเหมือนกับบอกว่ามี มันจะละเอียดขนาดไหนก็ยังมี ถ้ายังมีอยู่แล้วมันจะต้องไปเกิด เอ้า เกิดภูมิไหนมันก็รู้ชัดๆ อยู่ในหัวใจเจ้าของนั่นน่ะ มันจะไปเกิดชั้นใดภูมิใดก็รู้ แต่ไม่อยากเกิด อยากผึงทีเดียวให้ถึงนิพพานแล้วพอ ไปเมื่อไรไปเถอะ ถ้าลงถึงนิพพานแล้ว ว่าอย่างนั้นนะ นี่ละที่ว่ายังไม่อยากตาย ถ้าตายแล้วก็ต้องไปพัก ระยะทางนี้ไปพักนี้ๆ มันไม่อยากพัก ให้พุ่งทีเดียวเลย นี่ซิที่ว่าไม่อยากตาย เพราะอย่างนี่เอง เสียเวลาว่างั้น ให้มันถึงทีเดียว แล้วเอ้าไปเมื่อไรก็ไปเถอะ นี่ละที่เห็นได้ชัดมันยังไม่อยากตายมีอย่างนี้ ที่เคยพูดในเทปก็ยังมี บางครั้งบางคราวที่พูดไปสัมผัสก็นำออกมาพูด มันมีอย่างนี้ละ เวลาไม่อยากตายมันมี ที่ไม่อยากตายเพราะอันนี้มันยังไม่สิ้นว่างั้นเลยนะ เอาให้เต็มยศเลยซิ ถ้ามันสิ้นแล้วไปเมื่อไรก็ไปเถอะไม่เสียดาย นี่ระยะที่ ๑

    ระยะที่ ๒ ที่เป็นที่หนองผือ มันไม่เห็นมีห่วงอะไรทั้งๆ ที่ไม่มีใครโง่ยิ่งกว่าหลวงตาบัวแหละ แต่มันไม่ห่วงก็บอกว่าไม่ห่วง ไม่ห่วงกายไม่หวงกาย ถึงวาระที่มันจะไป เช่นอย่างความรู้มันหดเข้าไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรเหลือ หือ จะไปเดี๋ยวนี้เหรอ นั่นเห็นไหมมันขออะไรที่ไหน จะไปก็ไปซิ เมื่อไม่ไป เอ้า ไม่ไปก็อยู่ซิ ก็อย่างนั้นซิ เท่านั้นเอง มันไม่เห็นเสียดายอะไร หึงหวงอะไรเลย ให้เห็นทั้ง ๒ อย่างมันถึงชัด พอถึงวาระหนึ่งไม่เสียดายอะไร โง่ก็โง่เถอะ จะไปทั้งโง่ๆ นี่แหละว่าอย่างนั้นเลย มันไม่ไป นั้นเป็นวาระที่ ๒

    วาระที่ ๓ อันนี้มีเกี่ยวกับเรื่องโลกปี ๒๕๓๐ ที่เราได้ระวังตัวของเรา เช่นว่าถ้าเรานอนหลับนี้มันจะไป เราไม่นอนเพราะยังไม่ไป กลางวันบางวันงี้ ก็มันกำเริบมันอยู่เรื่อยๆ นี่ กำเริบไม่ใช่กำเริบธรรมดานะ ถ้าไม่เอากันจริงๆ ยังไงมันก็ไปแน่ๆ ผึงออกเลยนี้บังคับกันไว้ความรู้ไม่ให้ออก เมื่ออยู่ในฐานะที่จะบังคับได้ก็บังคับเอาไว้ไม่ให้ความรู้ออก เวลาเรานอนหลับสนิทธาตุขันธ์โรคมันไม่ได้หลับด้วยนี่ มันจะกำเริบเมื่อไรมันก็กำเริบของมัน ถ้ามันไปตอนนั้นก็แก้กันไม่ทัน จึงได้เทียบอุปมาให้ฟังว่า แม้แต่นักมวยจะเป็นแชมเปี้ยนก็เถอะ ถ้าลงนอนหลับครอกๆ แล้วเขาเอาค้อนไปตีหัวมันมีท่าทางต่อสู้เขาที่ไหน ไม่มีใช่ไหมล่ะคนนอนหลับ ไม่ว่าแชมเปี้ยนไม่แชมเปี้ยนไม่มีท่าต่อสู้ด้วยกันนั่นแหละ

    อันนี้ก็เหมือนกันเวลานอนหลับ ขันธ์กับโรคมันเป็นไปได้ทุกเวลานี่ หลับก็หลับไปซิ อันนั้นพอดีดออกจากนี้มันก็ผึงเดียวแก้ไม่ทัน ไปเลย เมื่อรู้อย่างนั้นแล้วก็รั้งกันไว้ไม่ให้หลับ เวลาแสดงขึ้นมาก็ทันอยู่ๆ ดูกันอยู่ทันกันอยู่ รั้งกันได้ อันนี้เป็นกลางคืน บางคืนไม่นอนก็มี ปีนั้นละที่มันหนักๆ ที่ว่าโรคหัวใจเราแต่ก่อนมันขึ้นแค่ ๙๘ๆ ไม่เห็นถึง ๙๙ เหมือนอย่างโรคอื่น เช่นที่เราถ่ายท้องที่หนองผือมันขึ้นถึง ๙๙ อันนี้คือแค่ ๙๘

    ๙๘ เป็นยังไง ผู้ไม่เข้าใจก็มี ๙๘ นี้คือมันถอนความรู้นี้เข้าไปหมด ความรู้ในสรรพางค์ร่างกายที่ออกมาสู่ประสาทส่วนต่างๆ เอ้าฟังให้ชัดนะ เราไม่ใช่แพทย์แต่พูด ให้ฟังให้ดีนะ คือความรู้ของเรานี้มันออกไปสู่ประสาทส่วนต่างๆ ออกไปสู่ทางตา-ตาก็เห็นความรู้ที่มันออกมานี้เอาตาเป็นเครื่องใช้ในทางดูทางเห็น เอาหูเป็นเครื่องใช้ในการฟัง ความรู้มันซ่านออกมานี้ใช้ประสาทส่วนนี้ๆ แล้วก็มาตา หู จมูก ลิ้น กาย ถ้ามีเรื่องสัมผัสความรู้นี้จะซ่านออกไปหมด ความรู้อันนี้แหละมันเป็นเจ้าของๆ สำหรับใช้อวัยวะส่วนต่างๆ ประสาทส่วนต่างๆ

    ทีนี้เวลาประสาทส่วนไหนมันเสียใช้ไม่ได้ ก็เหมือนอย่างกับตามันฝ้าฟางใช้ไม่ค่อยได้แล้ว เอ้าตาบอดใช้ไม่ได้แล้ว ถึงความรู้จะมีอยู่มันก็ใช้ไม่ได้เพราะเครื่องมือเสีย หู จมูก ลิ้น กาย ถ้ามันเสียก็อย่างเดียวกัน หูก็ไม่ได้ยิน หูหนวกใช้ไม่ได้แล้ว นี่ละเครื่องมือเสีย ทีนี้เวลามันหดปุ๊บเข้าไปหมดเลย ไม่ใช้เลยนะ เครื่องมืออะไรจะดีอยู่ก็ตาม หากไม่ใช้มันก็ทิ้งโด่อยู่นั้นแหละ ทิ้งเกลื่อนอยู่จะทำอะไรก็ทำไม่ได้ เพราะเจ้าของไม่เอาเรื่องอะไรแล้ว นี่ละความรู้นี้หดเข้ามา

    เวลาความรู้นี้หดเข้ามาถึงจุดนี้แล้ว สิ่งทั้งหลายปล่อยหมดไม่มีอะไรเหลือแล้ว เป็นท่อนไม้ท่อนฟืน แต่ในจุดตรงกลางหัวอกเรานี้มันยังมีเวทนาที่เป็นทุกขเวทนาอย่างละเอียด ที่ว่าเหนื่อยเพลียยังอยู่ตรงนี้ยังไม่ปล่อย เหล่านั้นหมดแล้ว ไม่มีทุกข์มีสุขอะไรแล้วในร่างกาย อันนี้ยังมี-มีความทุกข์อย่างละเอียดที่ว่าเหนื่อย มันยังไม่ปล่อย เรียกว่า ๙๘% ถ้าปล่อยนี้ปั๊บก็ไปอีกเป็น ๙๙ ปล่อยที่สองก็ไปเลย นี่จึงอธิบายให้ฟัง และคราวนี้ได้เป็นเสียแล้วถึง ๙๙ ปล่อยนี้อีกที่ว่ามันเป็นเหนื่อยๆ คือมันหอบปั๊บๆ ๆ หายเงียบไปเลย ลมหายใจหมดไม่มีอะไรเหลือ นั่นละคนเป็นโรคหัวใจที่ตาย โรคหัวใจวายตาย ตกใจกลัวตาย ในขณะที่มันขึ้นของมันเต็มที่แล้วมันพุ่ง ลมหายใจออกหมดเลยไม่มีเหลือ

    ทีนี้ถ้าเรามีสติแล้วมันก็เห็นน่ะซี อันใดที่ยังเหลืออยู่ ความรู้ยังๆ อยู่ ลมหายใจหมดไปเฉยๆ บังคับความรู้ไว้ไม่ให้ออก ครั้นนานเข้าๆ ลมหายใจก็ค่อยมีมา แผ่วเบามาๆ มันก็รู้เพราะดูอยู่ทุกเวลา ขออย่าให้กลัวตายนะ ให้ดูความจริง อย่าไปกลัวไปกล้า ความกลัวความกล้าไม่ใช่ธรรม ถ้าพูดถึงเรื่องธรรมเต็มที่เต็มเหนี่ยวแล้ว เรียกว่าความกลัวไม่ใช่ธรรม ความกล้าไม่ใช่ธรรม ความจริงจึงเป็นธรรม มันก็ลงอยู่ในความจริง เอ้าเป็นอะไรก็ให้รู้กัน ทีนี้ความรู้นี้เวลาอะไรดับไปหมดแล้วมัน ๙๙ เท่านั้นละ ยังเหลือแต่รู้ ลมหายใจก็หมดแล้ว ไม่มีความหมายทุกอย่างในร่างกาย หมดทุกอย่างแล้ว ยังเหลือแต่จิตที่ครองร่างเฉยๆ ครองร่างก็ไม่รับผิดชอบเสียด้วย คอยแต่จะดีดออก

    บังคับมันไว้ไม่ให้ออก เมื่อบังคับอย่างนี้ อยู่ในวิสัยที่จะบังคับได้ต้องบังคับได้ซี เมื่อบังคับนี้ไว้นานเข้าๆ ลมหายใจจะค่อยเบา แผ่วเบามาๆ แล้วทุกขเวทนาจะค่อยแสดงขึ้น มันพร้อมกันนั่นละกับลมหายใจที่เริ่มไหวตัวขึ้นมา และทุกขเวทนาอันละเอียดก็ค่อยปรากฏมา พอเป็นปกติแล้วทุกขเวทนาก็มีตามเดิม ความรู้นี้ก็ถอยออกไปรับทราบตามเดิม นั่นเป็นอย่างนั้น ให้เห็นชัดๆ อย่างนั้นซิการปฏิบัติ เมื่อเห็นแล้วทำไมพูดไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านเอาอะไรมาพูด ท่านไม่รู้ไม่เห็นท่านเอาอะไรมาพูด พระสาวกทั้งหลายท่านไม่รู้ไม่เห็นท่านเอาอะไรมาพูด เราก็มีหัวใจเหมือนกันปฏิบัติให้มันรู้ซิ

    เอาละ พอ


    คัดลอกจาก Luangta.Com -
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...