บันทึกสิ่งที่พบเห็นมาในการฝึกมโนมยิทธิ

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 21 กรกฎาคม 2012.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    ผมขอนำเอาบางส่วนของบันทึกของแฟนผมมาลงให้อ่านกัน แกได้เขียนไว้หลังฝึกมโนมยิทธิเผื่อว่าสามารถเอามาอ่านทบทวนตัวเองในภายหลัง เผื่อเป็นประโยชน์ต่อท่านที่ปฏิบัติมโนมยิทธิและผู้สนใจกำลังจะฝึก




    6 ต.ค. 47 ประมาณ 14.30 น.

    วันนี้กำหนดลมหายใจและภาวนานะมะ พะธะ ได้ประมาณ 100 คู่ก็ตัดสินใจลองขึ้นไปข้างบนดู เพราะเกรงว่าหากรวบรวมนานกว่านี้เดี๊ยวจะไม่มีโอกาสได้ขึ้นเพราะหลานๆอยู่ บ้านทั้งสองคน กลัวว่าจะมากวนเรียกไปให้ทำโน้นทำนี่ให้อีก

    ตอนแรกก็ตัดใจว่าหากขึ้นไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเดี๊ยวหาโอกาสทำตอนกลางคืนก็ได้ แต่ก็โชคดีที่ไปได้ถึงไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ก็เถอะ เมื่อขึ้นไปได้ที่แรกไปก็คือวิมานพระพุทธองค์ เข้าไปถึงก็ไปกราบท่านและไม่ปล่อยเวลาให้เนิ่นนานรีบถามท่านเกี่ยว กับ........ภิกขุ ตามที่พี่ฝากถาม เมื่อว่าท่านมรณะแล้วตอนนี้ท่านไปอยู่ที่ไหน ขอให้ได้เห็นภาพด้วย ก็นั่งรอคำตอบจากพระองค์อยู่สักพักก็เห็นภาพเหมือนกับในนรก เห็นภาพคนนั่งอยู่ในกระทะใบใหญ่อยู่หลายคน ด้านล่างมีไฟติดอยู่ด้วย คิดว่าน่าจะเป็นกระทะทองแดง ข้างๆมีท่านคนถือหอกปลายแหลมคอยทิ่มแทงพวกที่อยู่ในกระทะนั้น และทางด้านหน้ามีคนซึ่งร่างกายใหญ่โตคอยนั่งคุมอยู่ด้วย

    ก่อนเห็นภาพเหล่านั้นจะมีความรู้สึกว่ารอบๆจากความสว่างใสของแดนพระนิพพาน กลับกลายเป็นความมืดสนิทแวบหนึ่งและภาพที่ปรากฏให้เห็นนั้นมีสีแดงเหมือนเรา ใส่แว่นตาสีแดงมองภาพยังไงยังงั้น

    เมื่อได้เห็นภาพแล้วใจก็อยากกลับไปยังวิมานพระพุทธองค์เหมือนเดิม แต่แปลกที่กลับไม่ได้ ภาพมันยังติดตาจนต้องตัดสินใจขออาราธนาบารมีพระพุทธองค์และบารมีหลวงพ่อให้ ช่วยพาลูกกลับไปยังวิมานพระพุทธองค์ พอกล่าวจบก็กลับมาอยู่ในสภาวะปรกติคือ นั่งอยู่ด้านหน้าของพระพุทธองค์ เมื่อเห็นพระพุทธองค์ท่านก็เกิดความรู้สึกอุ่นใจรีบกราบลาท่านและไปยังวิมาน องค์พระปฐมต่อ ก่อนเข้าไปในวิมานก็กราบท่านเทพที่เฝ้าหน้าประตูทั้งสององค์ พอก้าวผ่านประตูเข้าไปก็นั่งตรงด้านหน้าองค์พระปฐมแล้วจึงกราบท่านและขอให้ ท่านประทานพรให้ ท่านก็ทรงพระทัยดีประทานพรให้ว่า "จงประสบความสำเร็จ ร่างกายแข็งแรงไม่มีโรคภัยมาเบียดเบียน" (ไม่ตรงกับคำที่ท่านให้ซะทีเดียวแต่ความหมายไม่หนีไปจากนี้)

    เมื่อท่านให้พรจบท่านก็ใช้พระหัตถ์ของท่านลูบมาบนหัวเบาๆ จากนั้นก็กราบขอบคุณท่านที่ทรงเมตตา

    พอกราบเสร็จนึกขึ้นได้ว่า พี่ให้ลองมองตัวเองในกายทิพย์ดู ก็เลยก้มลงมองตัวเองซึ่งมีเครื่องทรงดังนี้

    - นิ้วมือเรียวค่อนข้างใสมีแหวนใส่นิ้ว 2-3 วงแตละวงสวยงามมาก
    - ข้อมือและข้อเท้ามีผ้าที่ปักด้วยเพชรหรือพลอยอันนี้ก็ไม่ทราบเป็นสีขาวรัดรอบข้อมือและข้อเท้าทั้งสองข้าง
    - บนไหล่มีอะไรเหมือนภู่แหลมๆประดับไว้ทั้งสองข้าง
    - บนหัวมีชฏายอดแหลมแพรวพราวสีเงิน
    - เสื้อปักด้วยเพชรแพรวพราวเป็นสีขาว
    - กางเกงก็ลักษณะคล้ายกางเกงพวกโขนมีสีออกขาวเงิน
    - รองเท้ามีปลายแหลม

    โดยรวมจะบอกว่าเป็นชุดคล้ายตัวพระในการแสดงโขนก็ว่าได้ เมื่อสังเกตุตัวเองเสร็จก็กราบขอขมาเหล่าเทพเทวดานางฟ้าในที่นั้นที่เราได้ ล่วงเกินโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ต่อจากนั้นไปที่วิมานหลวงพ่อ คราวนี้เห็นหลวงพ่อและท่านแม่ทั้ง 3 พระองค์ เราก็เลยแยกตัวเป็น 4 ตัวเพื่อกราบท่านพร้อมๆกัน หลังจากนั้นได้ถามหลวงพ่อว่าเราเคยมีความเกี่ยวพันกับหลวงพ่อไหม เพราะมีความรู้สึกผูกพันกับหลวงพ่ออย่างบอกไม่ถูก คำตอบที่ได้ก็คือ "เคยเป็นลูกตอนที่ท่านเป็นสามัญชนธรรมดา" แต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดีเพราะสมาธิเริ่มตกเนื่องจากเสียงปู่เถียงกับลุง เปี๊ยกมันดังเข้ามา แต่ไม่เป็นไรเอาไว้ขึ้นมาใหม่



    18 ต.ค. 47 เวลาประมาณ 9.30 น.

    วันนี้ตั้งใจไว้แล้วว่าจะทำมโนมยิทธิเพราะไม่ได้ทำมาหลายวันแล้วด้วยเหตุผล ต่างๆ อีกทั้งเมื่อคืนได้ฝันว่ามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดินตามหาและเรียกชื่อเรา พอเห็นหน้าก็คุ้นๆเหมือนหลานที่ชื่อน้ำอ้อย ซึ่งไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว

    ตอนแรกเลยก็คิดว่าหากไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอกำหนดลมหายใจและภาวนานะมะ พะธะ อย่างเดียวก็ได้แต่สุดท้ายก็ทำได้ถึงแม้จะไม่ชัดเท่าไรก็รู้สึกดีและพอใจ อย่างมาก

    ที่แรกก็คือไปกราบพระพุทธเจ้าแล้วก็ได้ขอพรท่านว่า "ขอให้แม่ น้อง และป๋าปลอดภัยจากอันตรายทั้งหลายด้วยเถอะเจ้าคะ" ต่อจากนั้นก็ไปกราบองค์พระปฐม และหลวงพ่อ วันนี้แปลกจังตอนไปกราบหลวงพ่อ ท่านนอนอยู่ท่าเหมือนพระนอนที่เคยเห็นก็คือนอนเหยียดเท้าตรงและใช้แขนขวา เท้าศรีษะไว้ เห็นท่านพักผ่อนอยู่ก็เลยไม่รบกวนท่านแค่กราบที่เท้าแล้วไปกราบหลวงปู่ปาน ต่อ

    พอกราบหลวงปู่ปานท่านก็ทรงสอนว่า "จงตั้งมั่นและตั้งใจ"

    แล้วท่านก็ลูบหัวและเราก็กราบขอบคุณท่านอีกครั้ง

    วันนี้ลองไปกราบพระกัสสปซึ่งไม่เคยไปกราบมาก่อน เคยได้ยินแต่ชื่อ เมื่อเห็นท่านก็กราบลงตรงฐานที่ท่านประทับอยู่ เนื่องจากท่านนั่งขัดสมาธิอยู่และอยู่ในรูปของพระอินเดีย คือท่านมีผมมวยจุกใส่ชุดเหมือนพระแต่ออกสีน้ำตาลเลือดหมูรูปร่างงดงามเหมือน ผู้หญิง เราจึงขอเห็นท่านในชุดเต็มยศคือใส่ชฏาชุดเหมือนตัวพระ พอขอเสร็จท่านก็เมตตาให้เห็น ตอนนั้นสว่างมาก สักพักจึงลาท่าน

    ต่อมาไปกราบท่านปู่ท่านย่า และไปเที่ยวสวนนันทวัน ที่นี่สวยมากมีสระน้ำขนาดใหญ่ มีน้ำตกรอบๆ เต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้ ในสระมีเหล่าเทวดานางฟ้าเล่นน้ำกันอยู่เต็มไปหมด พอไปถึงที่นั้นได้พักหนึ่ง ก็มีนางฟ้ามาดึงยื้อแขนให้ลงไปเล่นน้ำแต่เราไม่ไป ในใจนึกอยากเดินเล่นรอบๆมากกว่า พอนึกอย่างนั้นนางฟ้าที่มาดึงก็หายไป

    ด้วยความสงสัยว่าที่เราเห็นอยู่นั้นเป็นเพราะอุปาทานไปเองรึเปล่า ก็อธิษฐานว่าหากภาพที่เห็นทั้งหลายเป็นเพียงอุปาทานก็ขอให้ภาพต่างๆหายไป แต่พอลืมตาขึ้นมาก็เห็นภาพยังคงเหมือนเดิม จึงทำให้มั่นใจว่านี้ไม่ใช่เป็นเพียงอุปาทานของเรา แต่เราสามารถมาได้จริงๆ จึงได้เดินเล่นดูรอบๆ มีความรู้สึกเย็นสบายทำให้เกิดความสบายใจอย่างบอกไม่ถูก สักพักจึงกลับไปลาหลวงปู่ปาน หลวงพ่อ องค์พระปฐม และพระพุทธเจ้าเพื่อกลับลงมาเพราะกลัวว่าเดี๊ยวจะมีคนโทรเข้ามาหาเพราะไม่ ได้ยกสายโทรศัพท์ไว้ จะทำให้เขาบาปโดยไม่รู้ตัว แต่พอลงมาใจยังคงนิ่งอยู่จึงท่องคาถาที่หลวงปู่ปานให้ไว้ 15 จบก็ออกจากสมาธิ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2021
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    19 ต.ค. 47 เวลาประมาณ 13.30 น.

    นั่งในห้องนอนที่บ้านขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันและถามท่านเกี่ยวกับ วิมานข้างบนได้คำตอบที่กระจ่างมากเพราะได้เห็นเป็นภาพขึ้นมาว่า "วิมานของเรากับของพี่อยู่ติดกัน โดยวิมานพี่อยู่ทางด้านขวามือของวิมานเราเมื่อหันหน้าเข้าหาวิมาน"

    ถามพระองค์ถึงเรื่องที่แม่จะมาทำธุระในเร็วๆนี้ว่ามีอุปสรรคหรือไม่ แตไม่ได้คำตอบมีเพียงแค่ความรู้สึกที่สบายใจและโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก และนั่นเราจะถือว่าคือคำตอบของพระองค์ว่า "ไม่มีอุปสรรคอะไรที่น่าเป็นห่วง"

    ไปยังวิมานหลวงพ่อเราขอให้ท่านสั่งสอน ท่านก็เมตตาสั่งสอนให้ดังนี้ "จงปล่อยให้มันเป็นไปตามกรรม หากทำกรรมชั่วก็ต้องชดใช้หนี้กรรม หนีไม่พ้น อย่าไปยึดมั่นถือมั่นกับมัน"

    กราบหลวงปู่ปาน ท่านอนุญาติให้บอกคาถาที่ท่านให้ไว้เมื่อวันที่ 12 ส.ค. 47 กับแม่ได้ แล้วยังสอนให้เราหมั่นทำกรรมดี มีความเพียรให้มากขึ้นและจะประสบความสำเร็จ

    ที่วิมานท่านปู่ท่านย่า ได้ขอให้ตายายและชวดมาปรากฏให้เห็น ถึงแม้ไม่ค่อยชัดสักเท่าไหร่ แต่เราก็ขอให้ตากับยายช่วยดลใจให้พวกลุง ป้า และน้ายอมทำตามที่แม่ต้องการเพื่อความสงบสุขของลูกหลาน

    12 พ.ค. 49 (วิสาขบูชา) 13.25-14.07 น.

    นั่งสมาธิในห้องพักตรงข้ามมหาลัย นั่งภาวนา นะมะ พะทะ ได้สักพักก็อาราธนาบารมีพระพุทธองค์ หลวงพ่อ และหลวงปู่ ช่วยอนุเคราะห์พาอาทิสสมานกายของเราขึ้นไปยังเทวสถาน สถานที่ๆเหล่าเทพ เทวดา นางฟ้ามารวมกันเพื่อรับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เมื่อไปถึงที่นั่นก็มีความรู้สึกว่าในสถานที่นั้นมีองค์เทพ เทวดานางฟ้าเต็มไปหมด โดยมีพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนั่งเป็นประธานอยู่ตรงกลาง พระองค์ท่านมีรูปร่างใหญ่โตดูเด่นเป็นสง่ากว่าองค์อื่นๆ ทั้งหมดในสถานที่นั้น เมื่อมองไปโดยรอบจนทั่วจึงตั้งใจกราบทุกองค์ที่อยู่ในเทวสถานแห่งนั้น เมื่อกราบเสร็จถึงแม้จะมองไม่เห็นทุกๆองค์ ไม่ชัดเจน แต่ก็มีความรู้สึกมีแสงแวววาวระยิบระยับตลอดเวลา

    นั่งอยู่ได้สักพักก็ได้ยินเสียง ไม่ใช่ซิมีความรู้สึกว่าพระองค์ทรงเมตตาสอนเราขึ้นมาว่า

    "สิ่งไหนที่เป็นของเรา มันต้องเป็นของเรา ไม่ช้าก็นาน ไม่ต้องไปวิ่งไล่มันให้เหนื่อย แต่ถ้าของนั้นมันไม่ใช่ของเรา ให้เราพยายามไขว่คว้าสักเท่าไร ให้เหนื่อยสักเท่าไร มันก็ไม่เป็นของเรา อย่าไปคิดอย่าไปวิตกกังวลในสิ่งนั้นให้มาก มันจะทำให้เราทุกข์เสียเปล่าๆ สุดท้ายแม้แต่ร่างกายของเรามันก็ไม่ใช่ของเรา เมื่อตายก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง เอาไปได้แต่ความดีความชั่วของเรา มีความดีมากก็เข้านิพพาน มีความชั่วมากก็กลับมาเกิดให้ทุกข์กายทุกข์ใจอีก สิ่งที่เที่ยงแท้ที่สุดคือ นิพพาน ตอนนี้สิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำได้ จะดำรงชีวิตอยู่ไปได้จนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพานคือ หมั่นทำความดี อยู่อย่างพอดีไม่มากไป ไม่น้อยไป"

    (คำสอนข้างต้นอาจไม่เหมือนที่พระพุทธองค์สอนทั้งหมด หรือไม่ตรงกับคำสอนทุกคำ แต่ด้วยความรู้สึกและเข้าใจของเราเองในขณะนั้นเป็นเช่นนี้จริงๆ)


    จบครับ ผมคัดมาแต่ส่วนที่ไม่ค่อยมีเรื่องส่วนตัวของแฟนผมมากนักมาลง เธอทำตอนช่วงระหว่างเรียนมหาลัยจนถึงก่อนที่จะทำงาน หลังจากนั้นจนบัดนี้ยังไม่เคยทำอีกเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2021
  3. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    ข้างบนเป็นบันทึกในสิ่งที่แฟนผมคนปัจจุบันได้ฝึกมโนยิทธิมา ผมเคยเขียนถึงแฟนคนแรกของผมในสิ่งที่เขาได้ปฏิบัติมาในหลายๆปีที่เรายังเป็นแฟนกันอยู่ ผมนำลงในกระทู้ผมในประสบการณ์เรื่องเล่าไปแล้วครั้งนึง ขอนำมาลง ณ ที่นี้ในส่วนนี้อีกครั้งครับ



    อยากเล่าถึงเรื่องคนใกล้ตัวผมคนนึงครับ เป็นแฟนคนแรกผมเอง ชื่อเล่นว่า เม้ง (ชื่อเป็นผู้ชายแต่เป็นผู้หญิงครับ) ชื่อจริงผมขอสงวนไว้นะครับเพราะปัจจุบันเธอก็ยังไปวัดท่าซุงและบ้านซอยสายลม ประจำอยู่ทุกเดือนๆ ถึงตอนนี้น่าจะมีเพื่อนทางธรรมที่สายลมโขอยู่ อาจมีใครมาอ่านในเวบนี้บ้าง เกิดรู้ว่าผมมานินทาแกในนี้ เดี๊ยวผมจะเดือดร้อนเอา

    เม้งเขามีความใฝ่ ฝ้นความปราถนาสูงสุดอย่างแรงกล้าและอย่างเดียวในชีวิตคือ "ต้องการที่จะตายให้ได้ก่อนอายุขัยจริง" แต่เป็นการตายแบบว่าไปด้วยมโนมยิทธิ ไปแล้วไม่กลับเข้าร่างอีก คงน่าจะเป็นเพราะเห็นทุกข์จากการเจ็บไข้ไม่สบายจากแม่ผมที่ต้องเข้าๆออกๆ รพ.เพื่อให้ยาคีโมมาตลอด 3 ปี และได้อ่านเรื่องของคุณแม่จันทนา วีระผล ถึงการที่ท่านถึงนิพพานได้โดยทิ้งขันธ์ 5 ไปก่อนยังไม่ถึงอายุขัยด้วยมโนมยิทธิ ไปแบบสบาย ไม่ทรมาน รวมถึงลูกศิษย์ฆราวาสของหลวงพ่อหลายต่อหลายท่านที่สามารถตัดกิเลสได้เด็ดขาด เข้านิพพานขออยู่บนโน้นเลยไม่กลับเข้าร่างอีก ปล่อยให้ขันธ์ 5 ค่อยๆเหี่ยวหมดลมไปเองโดยไม่ต้องรอจนหมดอายุขัย ตายแบบนี้ถ้าพิสูจน์ศพก็จะเป็นว่า ตายด้วยโรคหัวใจล้มเหลว


    เป็นเพราะแฟนผมคนนี้ ทำให้ผมได้เข้าใจได้สัมผัสด้วยตัวเองเลยว่าคนเราถ้าปฏิบัติธรรมเข้าถึงระดับ นึงแล้วสามารถให้ความร่มกับคนใกล้ตัวให้เย็นกายเย็นใจได้จริงๆ มาอยู่ใกล้ก็พลอยเย็นใจสบายใจไปด้วย การปฏิธรรมถึงระดับนึงแล้วสามารถทำให้คนที่ไม่หล่อ ไม่สวย ดูมีเสน่ห์ มีแรงดึงดูด อยากมาอยู่ มาใกล้ชิดด้วย ช่วงที่เม้งสามารถทรงสมาธิได้ดี เธอจะเป็นคนน่ารักมาก น่าอยู่ใกล้ พูดจาอะไรออกมาก็จะเนิบๆช้าๆ นุ่มนวล มีใจเป็นกุศล ใจพร้อมสละให้ได้หมด จะขออะไรช่วงนี้ ไม่เคยปฏิเสธ

    ในช่วงที่เม้งสามารถทรงสมาธิและทรงมโนมยิทธิได้ระดับนึง นอกจากผมจะพลอยเย็นใจไปด้วยแล้ว ผมยังสนุกกับการถามให้เธอใช้มโนมยิทธิไปดูโน่นดูนี่สารพัดอีกต่างหาก เม้งก็ถือว่าเป็นการฝึกฌาณ 8 ไปในตัว เช่นผมให้ดูว่าลูกในท้องเมียเพื่อนสนิทผมคนนึงเป็นหญิงหรือชาย แกดูแล้วก็ว่าเป็นชาย แต่เพื่อนผมไปทำอุลตร้าซาวด์ หมอว่าเป็นผู้หญิง วันที่เมียมันคลอดเพื่อนผมโทรมาบอกแต่เช้าเลยว่าคลอดแล้วเป็นผู้ชายจริงๆ ด้วย ให้ดูท้องเมียเพื่อนอีกคนเหมือนกัน แกว่าเป็นหญิง แต่ผลอุลตร้าซาวด์เป็นชาย เพื่อนผมคนนี้ยังพูดขำๆว่าสงสัยลูกตรูจะเป็นกระเทยนะ พอคลอดออกมาก็เป็นผู้หญิงจริงๆ หรืออย่างผมให้ช่วยดูว่าราคาหุ้นตัวนึงจะขึ้นสูงสุดเท่าไหร่ ปรากฏว่าราคาหุ้นตัวนั้นขึ้นถึงระดับที่ว่าจริง แต่พอราคาแตะระดับนั้นแล้วก็ตกลงมาทันทีเหมือนกัน แต่เคยลองให้แกดูว่าเลขท้าย 2 ตัวล่างว่าจะออกเลขอะไรเหมือนกัน ผลคือเลอะเทอะทุกครั้งที่ให้ดู ออกเลขมาไม่มีเฉียดหรือใกล้เคียงเลย

    เม้ง เขาก็สนุกไปกับการเที่ยวไปดูโน่นนี่ด้วยเหมือนกัน อย่างเช่นมาบอกกับผมว่าเข้าไปเที่ยวในบ้านตัวเองข้างบน ลองเอามือปัดแจกันบนโต๊ะให้หล่นลงมาแตก แต่เดี๊ยวนั้นเองแจกันที่แตกบนพื้นกลับมาเป็นรูปร่างสมบูรณ์บนโต๊ะอีกใน ทันที เขาก็เข้าใจไปด้วยเลยว่าคำว่า "พร่อง" ไม่มีบนแดนพระนิพพานเป็นยังไง หรืออย่างเธอไปเดินดูในสวน เม้งบอกว่าผลไม้ที่ถวายใส่บาตรบ้าง ถวายเพลไปบ้าง มาขึ้นเป็นต้นไม้ทิพย์พร้อมผลอยู่ในสวนหมด ผลทุเรียนบนโลกมีหนามแหลมๆ ไม่น่าดู แต่อยู่ข้างบนแล้วเป็นแก้วเป็นประกายดูสวยอย่างบอกไม่ถูก ผมเคยถามเธอว่าบ้านเราข้างบนนะหลังติดกันหรือป่าว เธอว่าห่างกัน 3 หลัง ผมก็ว่า อ้าว แล้วของใครกันละที่ติดกับผมนะ เธอก็ว่าคงเป็นอะไรๆของคุณในอดีตนั่นแหละ เม้งเขาเคยดูมาว่าในอดีตเขาเคยเป็นแม่ผมก็เคย เป็นพี่ก็เคย เป็นเมียก็เคยเป็น แต่ชาติเป็นเมียนี่น้อยกว่าเป็นพี่และแม่ซะอีก


    ถ้าผมเล่าอะไรให้เม้งเขาฟังแล้วไปสะกิดความสนใจหรือความอยากรู้ เขาก็จะพยายามไปดูไปทำหรือไปขอมาจนได้ อย่างผมเล่าว่าป้าเชิญเคยบอกในหนังสือบันทึกชาโดว์ ประมาณว่า คนปฏิบัติธรรมถ้าทำจนสามารถได้คาถามาจากพระที่ไม่มีขันธ์ 5 แล้ว ถือว่าใช้ได้ เธอก็ไปขอคาถามาจากหลวงปู่ปานมาจนได้ หลวงปู่ท่านให้คาถามา 3 ท่อนให้ท่องต่อท้ายพระคาถาเงินล้าน เม้งเขากลัวว่าจะดูจะรับมาผิด ไปถามท่านมา 3 รอบ ก็ได้คำตอบตัวคาถาเหมือนกันทุกครั้ง

    มีครั้งนึงผมไปหาป้านิภาที่บ้าน ไปได้ยินป้าแกพูดอธิบายธรรมะให้คนที่ไปหาฟัง ผมได้ยินเลาๆตอนท้ายว่า อันนี้เป็นธรรมะขั้นสูง แต่ผมฟังไม่เข้าใจเอาเลย จับความไม่ได้ว่าอะไร ผมก็มาเล่าให้เม้งเขาฟังว่าป้านิภาพูดเรื่องธรรมะขั้นสูงให้คนที่ไปหาป้าฟัง กัน แต่ผมฟังไม่รู้เรื่องเลยนะ จะเล่าก็เล่าไม่ถูกว่าป้าแกว่าอะไรบ้าง เหมือนจับความไม่ได้ อีก 2 วัน เธอก็มาเล่าให้ฟังว่า ขึ้นไปถามหลวงพ่อมาแล้วว่า ธรรมมะขั้นสูงเป็นยังไง หลวงพ่อท่านก็สอนมาว่า "เห็นก็ให้สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน"


    เคยพูดเปรยๆกับเม้งก่อนทำสมาธิด้วยกันอยู่ครั้งนึงว่าสถานที่แต่ละที่เวลา ปฏิบัติธรรม จะรวบรวมสมาธิเร็วช้าต่างกัน ถ้าที่ไหนเคยมีพระอริยเจ้าอยู่หรือที่ไหนมีพระบรรลุอรหันต์ที่นั่นจะสามารถ รวบรวมสมาธิได้ดีกว่าที่อื่น หลังจากนั่งสมาธิกันเสร็จ เธอบอกว่าเมื่อกี๊ขึ้นไปขอกับสมเด็จองค์ปัจจุบันว่าขอให้บ้านคุณเป็นสถาน ที่ๆสามารถปฏิบัติธรรมรวบรวมกำลังใจเป็นสมาธิได้ง่าย ผมก็ถามว่าแล้วท่านทำยังไงหรือ ท่านเปล่งแสงคลุมลงมาหรือไง เม้งบอกเปล่า ท่านยื่นพระบาทท่านลงมาจากข้างบน เหยียบลงมาที่บ้านคุณทั้งหลังเลย ที่ผมถามไปแบบนั้นเพราะก่อนหน้าไม่นาน ผมกับเม้งไปหาเช่าพระพุทธรูปบูชาประจำวันเกิดกันคนละองค์ และรูปหล่อแม่พระธรณี 2 องค์มาจากร้านแถววัดสุทัศน์ จะมาบูชาไว้ที่บ้านเม้งและบ้านผม เช่ามาแล้วก็มานั่งคิดกันว่าจะนำไปเข้าพิธีพุทธาภิเษกที่วัด จะยกไปทั้ง 4 องค์ก็องค์ใหญ่ และก็ยังอีกนานกว่าจะถึงกำหนดพิธีของที่วัด นึกไปนึกมาก็เลยบอกเม้งว่าให้ทำมโนมยิทธิขึ้นไปขอพระ ขอหลวงพ่อท่านให้ช่วยสงเคราะห์บรรจุพุทธคุณให้ก็แล้วกัน เธอก็ลองทำดู ก็เปิดเทปบวงสรวงฯ สมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานเสร็จแล้ว เม้งก็ลองทำมโนฯ ไปหาหลวงพ่อ เสร็จกลับมาเม้งบอกว่าหลวงพ่อบอกว่าให้ทำแบบนี้ติดต่อกัน 3 วันท่านจะมาทำให้ ให้เอาจิตขึ้นไปหาท่านแล้วให้สวดอิติปิโสฯอยู่ข้างบน(กี่จบจำไม่ได้แล้ว) ถามเธอว่าแล้วหลวงพ่อทำยังไงตอนที่สวดอิติปิโส เม้งก็เล่าว่าเห็นแสงออกจากอกหลวงพ่อลงมาคลุมโต๊ะหมู่ที่วางพระทั้งหมดรวม ที่เช่ามาใหม่ 4 องค์ ครั้งนั้นก็เลยได้พระรุ่นพิเศษมาบูชากันสองคน


    เพื่อนๆ ในเวบที่อ่านมาแต่ต้นอาจสงสัยว่าในเมื่อเม้งทำมโนมยิทธิได้ค่อนข้างดีอยู่ แล้ว ทำไมผมยังไปถามเรื่องดวงหรือเรื่องคนตายเอากับป้านิภาหรือป้าเชิญอีก ก็ต้องบอกว่าเพราะว่าเม้งเขาไม่สามารถทรงได้ตลอด ทำได้ดีเพียงแค่ช่วงๆนึง และเป็นระยะๆนึง เท่านั้นครับ ถ้าแกสามารถทรงได้ตลอดไม่มีหลุดเลย ป่านนี้ผมอาจไม่ได้มานั่งเขียนเรื่องของเม้งให้อ่านก็ได้ครับ ผมอาจกลายเป็นคนดูแลตำหนัก หรือสำนักอะไรซักที่นึงไปแล้ว เพราะเคยแซวเม้งไปว่า ถ้าทรงได้นานๆ ทำได้เป็นปรกติ น่าจะไปเปิดตำหนักรับดูดวง สะเดาะเคราะห์ ใบ้หวย ท่าจะรุ่งกว่างานส่วนตัวที่เขาทำอยู่

    ที่เขียนเล่ามาข้างบนทั้งหมดไม่ใช่มาจากการที่เม้งเขาสามารถทรงสมาธิได้ในระยะ เดียวกันหมดนะครับ แต่เป็นเรื่องที่เก็บมาจากความทรงจำของผมในช่วงที่เม้งสามารถทำได้ดีเป็น ระยะๆจากในระยะเวลาหลายๆปีมารวมกัน สมาธิของเม้งเขาก็ขึ้นๆลงๆแบบนี้ตลอดมาจนกระทั่งถึงตอนที่แม่ผมอาการป่วย เริ่มไม่ดีมากแล้ว มะเร็งลามถึงกระเพาะอาหาร ทานอะไรก็อาเจียรหมด เริ่มปวดภายในมากขึ้นกว่าเดิม ยาแก้ปวดที่เคยฉีดทุก 4 - 5 ชั่วโมงก็เริ่มเอาไม่อยู่ จะร้องครวญครางจนต้องไปบอกพยาบาลให้แจ้งหมอขอให้สั่งเพิ่มยาแก้ปวดมากขึ้น ใครได้เห็นสภาพแม่ผมตอนนี้แล้วจะรู้ซึ้งถึงทุกข์ของการมีร่างกาย ทุกข์เพราะความแก่ ทุกข์เพราะความป่วย ได้เป็นอย่างดี


    ถึงตอนนี้เม้งเขาก็ฮึดรวบรวมสมาธิทำมโนมยิทธิขึ้นมาอีกครั้งนึง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2021
  4. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    แม่ผมเริ่มได้รับมอร์ฟีนทางน้ำเกลือแทนการฉีดยาแก้ปวดเป็น ระยะ อาหารเริ่มให้ทางหลอด หมอเจ้าของไข้ก็แจ้งตรงๆว่ามะเร็งลามที่ลำไส้และกระเพาะอาหารและกระดูกเกือบ ทั้งตัวแล้ว เป็นช่วงระยะสุดท้าย แม่ผมเริ่มสลึมสลือ ตื่นลืมตาขึ้นมาบ้างเป็นระยะ เม้งถามผมว่า ถ้าแม่คุณตายไปเลยนะ ไม่ต้องอยู่ทรมานต่อ จะรู้สึกยังไง ผมก็บอกไปว่า ยังไงก็ต้องตายอยู่แล้ว ระยะสุดท้าย เริ่มจะไม่รู้ตัวแล้วด้วย ตายยังไงสบายกว่าอยู่แน่นอน

    จากนั้นอีกวันนึง วันนั้นเป็นวันพุธครับ เธอก็โทรมาเล่าว่าวันนี้ขึ้นไปหาหลวงพ่อแล้วอาราธนาหลวงพ่อไปที่ รพ. ด้วยกัน ไปดึงแม่คุณออกมาจากร่างมาคุยกัน ท่านเทศน์สอนแม่คุณสั้นๆ ตอนท้ายหลวงพ่อถามแม่คุณว่า (เรียกชื่อแม่ผม).......ถ้าต้องไปเลยก่อนอายุขัย จะไปไม๊ แม่คุณก็บอกว่า ไป อยู่แล้วทรมาน หลวงพ่อท่านก็บอกว่า จากนี้ไปอีก 7 วัน แม่ผมจะค่อยๆหมดลมหายใจไปเอง ฟังแล้วใจนึงก็ใจหาย อีกใจนึงก็ดีใจที่แกจะไปสบายซักทีแล้ว

    เม้งก็โทรมาเล่าให้ผมฟังในตอนค่ำทุกคืนหลังจากนั้นว่าขอนิมนต์หลวงพ่อให้ ช่วยไปเทศน์ให้แม่ผมฟังที่ รพ. อยู่ทุกวัน พอวันศุกร์ผมโทรไปเล่าให้พี่ๆผมฟังถึงเรื่องแม่ผม เล่าให้ฟังตรงๆ ทุกคนรู้จักรู้เครดิตเม้งเรื่องมโนฯ ดี ผมบอกว่าเสาร์อาทิตย์นี้ควรมาดูใจพร้อมเพรียงเป็นครั้งสุดท้ายได้แล้ว ส่วนพวกน้า พวกลุง และพวกหลานแม่ผม ก็โทรไปบอกแต่ว่าหมอเขาบอกมาว่าควรมาดูใจได้แล้วอยู่ไม่เกินอาทิตย์หน้า เพราะขืนเล่าตามจริงไป เดาไม่ออกเลยว่าจะคิดยังไงกับผมกันบ้าง เสาร์อาทิตย์นั้นพี่น้องญาติผู้ใหญ่แวะเวียนมาเยี่ยมมาดูใจกันครบทุกคนครับ แม่ผมก็รู้ตัวตื่นลืมตาพยักหน้าทักทายได้หมด พอถึงวันจันทร์ แม่ผมเริ่มหลับยาวขึ้น ตื่นลืมตาน้อยลง จนถึงวันพุธ เช้าวันนั้นพอผมไปเปลี่ยนเวรกับพยาบาลเฝ้าไข้กลางคืนสักพักนึง หัวหน้าพยาบาลก็เข้ามาบอกว่า วันนี้ อาม่าชีพจรอ่อนลงมากนะ ผมก็แค่พยักหน้ารับทราบ ใจยังมึนๆชาๆ อยู่ ใจนึงก็ไม่อยากเชื่อหรอกว่าแม่ผมจะต้องไปจริงๆวันนี้ พอสายหน่อย แจ๋วที่บ้านมาเปลี่ยนเวรกับผมแล้ว ผมก็ออกไปทำธุระตามปรกติ และไม่ทันถึงเที่ยงวันนั้น แจ๋วโทรเข้ามือถือผม พอผมรับสายก็รู้แล้วว่าแม่ผมเสียแน่นอน ได้ยินแต่เสียงมันสะอื้น ไม่พูดอะไรออกมา ผมก็โทรไปบอกเม้งก่อนเลยว่า แม่ผมเสียแล้ว ไปดูหน่อยว่าแม่ผมไปอยู่ไหนกัน แล้วค่อยโทรไปบอกพวกพี่ๆผม ตอนค่ำผมโทรไปหาเม้งว่าไปดูมาเป็นไง เธอก็เล่าว่าพยายามรวบรวมกำลังใจพอไปได้อยู่ เวลาเสียใจแล้วอารมณ์สมาธิมันตกไป เธอก็เล่าว่าก็ขึ้นไปดูแต่ไม่ได้คุยอะไรกับแม่ผมเห็นแกมัวแต่คุยทักทายใคร ต่อใครที่มาหามาต้อนรับแกที่บ้านข้างบน ถามว่าแล้วแม่ผมอยู่ที่ไหนหรือ เม้งบอกว่าไม่ได้ดูตรงนี้ เห็นแต่แม่ผมใส่ชุดดูใสๆ ผมก็ว่าไม่เป็นไร เดี๊ยวไว้ไปถามป้านิภาเอา

    หลังจากแม่ผมเสียไปแล้ว เม้งก็ไม่ค่อยมีเวลาได้ทำมโนยิทธิมากเท่าไหร่ จนถึงเมื่อเธอตัดสินใจเลิกทำงานส่วนตัวที่ทำอยู่ จะหันไปทำงานอย่างอื่นแทน ช่วงนี้เธอขอพักกายพักใจ อยากไปชาร์จแรงใจที่สำนักปฏิบัติธรรมจุฬามณีของป้านิภา ที่กาญจนบุรี เธอก็ไปปฏิบัติธรรมกับป้านิภาอยู่ 7 วัน กลับมาแล้วเม้งก็เล่าว่าอยู่โน่นวันทั้งวันไม่มีอะไรต้องทำ ต้องคิดเลย ใจสงบมาก อยู่กับเรื่องธรรมะตลอด คุยก็คุยเรื่องธรรมะ ไม่ก็คุยเรื่องพรหม เทวดา อะไรต่างๆ สมาธิเธอช่วงนี้ดีมาก เธอรู้สึกทางกายนี่หัวใจมันเต้นช้ากว่าปรกติ จะทำอะไรต่างๆ ไม่เหนื่อยเลย มีความรู้สึกอิ่มใจตลอด เวลาคุยเรื่องหลวงพ่อ คุยเรื่องธรรมะอะไรหน่อย รู้สึกปิติน้ำตาจะไหลอยู่เรื่อย

    เม้งกลับมา แล้วก็ยังไม่ได้เริ่มทำงานใหม่ ยังอยู่ที่บ้านเธอปฏิบัติธรรมเองทั้งวัน พอค่ำลงก็โทรมาเล่าให้ฟังถึงผลการปฏิบัติว่าวันนี้ทำอะไร ไปหาใครมาบ้าง เม้งบอกว่าถ้าไม่มีความรู้สึกมีสติครบถ้วนนี่คงนึกว่าตัวเองบ้าไปแล้วแน่ๆ เพราะวันทั้งวันประเดี๊ยวก็คุยกับพระภูมิเจ้าที่ๆบ้านบ้าง เดี๊ยวก็คุยกับเทวดาที่รักษาพระและวัตถุมงคลของหลวงพ่อบ้าง เห็นผีมาขอส่วนกุศลบ้าง แล้วเธอก็พึ่งรู้ว่ารูปหลวงพ่อขนาดใหญ่ใส่กรอบ(รูปหลวงพ่อนั่งโซฟาเห็นเต็ม องค์)แขวนที่บ้านมีเทวดารักษาอยู่ ก็ถามท่านว่า รูปนี้ไม่ได้เข้าพิธีปลุกเสก ทำไมมีเทวดารักษาด้วย เทวดาท่านนั้นบอกว่า หลวงพ่อท่านเป็นพระที่มีความสำคัญมาก รูปใหญ่แบบนี้ต้องมีเทวดามารักษา

    อีกหลายวันต่อมาเม้งโทรมาเล่าให้ฟังว่าวันนี้ตอนกลางวัน ขณะเดินอยู่ในบ้านเห็นพระพุทธองค์มาลอยอยู่ตรงหน้านั่งขัดสมาสเปล่งฉัพพรรณ รังสี สวยงามมาก เห็นชัดด้วยตาเนื้อเป็นเวลานาน แล้วหลวงพ่อมาบอกว่า ถ้าสามารถทรงอารมณ์ใจแบบนี้ได้ตลอด อีก 7 วันจะมารับไป

    เธอก็คุยกับผมว่า อยากไปแต่ยังห่วงแม่เขาอยู่ ผมก็ว่าผมจะคอยดูแลแม่เขาให้เอง ตัดให้ขาดอย่าให้เหลือเยื่อใยกับร่างกายไปเลย ไว้แม่เขาเสียแล้วเดี๊ยวผมก็ตามไปเอง ไม่ต้องเป็นห่วง(อันนี้โม๊นะครับให้เธอสบายใจ) แล้วก็ตกลงกันว่าจากวันนี้ไป 7 วันไม่คุยกันทางโทรศัพท์อีกนะ วันเสาร์ อาทิตย์ที่จะถึงก็ไม่ไปหาเหมือนเดิม(คือ ผมกับเม้งไม่ได้อยู่ด้วยกัน ผมจะไปหาเฉพาะวันเสาร์กับอาทิตย์ หรือไม่ก็วันธรรมดาวันไหนถ้าว่างก็จะไป) จะได้ปฏิบัติได้เต็มที่ แล้วเช้าของวันที่ 8 จะไปดูที่บ้านเอง คุยๆกันว่า ถ้าไปแล้วเจอเธอนอนหรือนั่งไม่กระดิก ชีพจรไม่มีแล้ว ก็จะโทรเรียกรถพยาบาลให้มาดู จะโทรแจ้งข่าวให้แม่ให้พี่ๆน้องๆเขาเอง ตกลงกันด้วยว่า สวดศพเอาแค่ 3 วันก็พอไม่ต้องสวดหลายคืน เผาแล้วกระดูกจะเก็บหรือไม่เก็บก็แล้วแต่ผม

    จากวันนั้นไปผมก็ไม่โทรไปอีกปล่อยให้เธอทำให้เต็มที่ ใจนึงก็แป้วเหมือนกันว่าจะต้องจากกันไปจริงๆในครั้งนี้แล้วหรือ พอถึงคืนวันที่ 7 เม้งก็โทรมาหาผม หัวเราะกิ๊กๆ มาเลยครับ บอกสมาธิหลุดแล้ว ยังทำใจตัดไม่ได้ เป็นห่วงแม่อยู่มาก และนึกถึงตอนที่ผมมาหาทุกเช้าวันเสาร์แล้วจะตะโกนขึ้นไปบอกเธอชั้น 2 ว่า "ไล้เหลี่ยว" แล้วรู้สึกอาลัยตัดใจไม่ขาด(แต่ผมสันนิษฐานว่าเธอคงอาจรู้ว่าผมแอบลิงโลดใจ เตรียมหาแฟนใหม่ก็ได้ครับ)

    และจากตอนนั้นจน ถึงวันที่เราสองคนไปจดทะเบียนเลิกกันในอีกหลายปีให้หลัง เม้งก็ยังไม่สามารถทำมโนฯได้ถึงระดับที่ดีที่สุดที่เคยทำได้อีกเลย ได้เจอกันบ้างที่บ้านซอยสายลม ทักทายถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันแล้ว ผมมักจะถามเธอว่ายังทำอยู่หรือป่าว(หมายถึงทำมโนมยิทธิ) เธอก็จะทำหน้าหงิกๆ ให้ผมดูเป็นคำตอบเกือบทุกทีไป แต่ผมเชื่อว่าท้ายสุดแล้วเมื่อภาระที่ต้องทำเพื่อเลี้ยงดูขันธ์ 5 เบาเลง เดี๊ยวเม้งเขาก็กลับมาทำของเขาเองได้ เพราะเธอก็พูดอยู่เสมอๆว่า ไม่อยากแก่ตาย ไม่อยากป่วยตาย เคยถามเหมือนกันว่าเคยดูหรือเปล่าว่าตัวเองตายด้วยโรคอะไร ตายยังไง เธอบอกว่าเคยแต่เห็นแค่ว่า ตัวเองนอนตายอยู่คนเดียวเงียบๆ ไม่มีใครอยู่ด้วยเลย

    ตอนนั้นผมมีสงสัยว่าผม หายไปไหน ทำไมตัวเองไม่ได้มาอยู่คอยดูแลเธอตอนจะสิ้นใจ หรือผมตายไปซะก่อน แต่ตอนนี้ทราบแล้ว ที่แท้เราเลิกกันนั่นเอง ส่วนที่เม้งเห็นบ้านผมกับบ้านเธอข้างบนอยู่ห่างกัน 3 หลัง ตอนนี้ผมก็ทราบแล้วใครเป็นเจ้าของบ้านหลังติดกับบ้านผม เป็นแฟนคนปัจจุบันผมเอง

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2021
  5. เกิดมานาน

    เกิดมานาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2009
    โพสต์:
    167
    ค่าพลัง:
    +2,547
    ขอบพระคุณท่านเจ้าของกระทู้มากเลยครับที่นำประสพการดีๆมาเผยแพร่ครับ ผมขออนุโมทนาในธรรมท่านในครั้งนี้อย่างยิ่งครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  6. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    [​IMG]
    [​IMG]
     
  7. รับโชค

    รับโชค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,131
    ค่าพลัง:
    +11,878
    เหรียญรุ่นนี้ ที่ซอยสายลมยังมีให้บูชาไหมครับ
     
  8. อุทยัพ

    อุทยัพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    3,564
    ค่าพลัง:
    +18,112
    รุ่นนี้ที่ซอยสายลมยังมีให้บูชาครับ แต่จะเป็นพิมพ์เล็กนะครับ เหรียญละ ๑๐ บาทครับ :cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...