นี่ละทางพ้นทุกข์ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 20 มิถุนายน 2012.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    [​IMG]

    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

    เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔

    นี่ละทางพ้นทุกข์

    เมื่อเช้าดูปรอทที่หน้ากุฏิอยู่ต้นเสา เมื่อวานลงเท่าไร ๑๖ ครึ่งวันนี้ปาเข้าไป ๒๐ แล้วนี่ เรียกว่าความหนาวลดลงไปแล้ว ข้างขึ้นมักจะหนาว ข้างแรมไปแล้วมันก็ลด ๆ มีหนาว ๒-๓ วัน ตอนที่เราจะมาจากแม่สอด คืนนั้นหนาวมากอยู่

    ตอนที่เราอยู่ในป่าในเขา น้ำค้างมันตกมาเกาะบนใบไม้เวลาตีสามตีสี่ น้ำที่เกาะบนใบไม้มันหยดลงมาเหมือนห่าฝนนี่นะ มันไม่มีปรอทไม่รู้ ก็คิดดูกลางคืนบางคืน นอนไม่หลับเลย ตลอดรุ่งหลับไม่ได้เลย น้ำค้างเสียงลั่นตอนเช้า เราไม่มีปรอท เราก็ไม่เคยสนใจกับมันด้วย มันคงจะหนาวมากอยู่ อันนี้มันไม่มีน้ำค้างนี่ หนาวยังไง ๆ ก็เงียบไม่เห็นมีน้ำค้างมาเกาะตามใบไม้แล้วตกลงมา อันนั้นเหมือนห่าฝนโน่น ตอนตีสี่ตีห้านี่ เสียงดังลั่น ซ่า ๆ ๆ โอ้โห มันคงจะหนาวมากอยู่นะ กลางคืนบางคืนนอนไม่หลับ ไม่หลับทำไง ต้องภาวนา เวลาจิตเข้าภายในแล้วความหนาวเหล่านี้มันก็หายไปนะ จนกระทั่งหายเงียบเลย นี่แหละจิตเข้าข้างใน มันไม่ออกมารับหนาวร้อนอะไรนะ

    ตอนนั้นไม่มีอะไรกังวล มีแต่ภาวนา ทีนี้พอหยุดออกจากภาวนาแล้วก็จะนอนให้หลับ หนาวมันก็มีของมันอยู่อย่างนั้นแหละ มันก็รับกันละซีกับร่างกาย หนาวมากเข้า ๆ อ้าวนอนไม่หลับ คือความหนาวมันมีน้ำหนักมากกว่า เกินกว่าที่เราจะหลับได้ มันก็หลับไม่ได้นะ มันไม่ไหวก็ลุกขึ้นนั่งอีก นั่งภาวนามันก็สงบ นั่งเพียงสองหนเท่านั้นมันก็พอแล้วแหละตลอดรุ่งเลย ก่อนที่เราจะนอน นั่งซะพอ แล้วก็นอน นอนก็นอนภาวนาเพื่อจะให้มันหลับ ความหนาว ๆ มากมันหากหลับไม่ได้ ต้องลุกขึ้นมาภาวนาอีก มันก็สว่างเลย จะไปลงเดินจงกรม โอ๋ย อย่าหวังนา เดินได้ยังไง มันตัวแข็งไปหมด มันหนาวขนาดนั้นนะ สองทุ่มเข้าที่แล้ว พอสองทุ่มแล้วออกไปเดินไม่ได้ มันไม่ทราบน้ำค้างน้ำอะไร เย็นไปหมดผ้าชุ่มเข้าไป ๆ ต่อไปมันเปียก ผ้าห่มเรานี่ ใครจะไปเดินจงกรมได้เวลาสองทุ่มแล้ว ต้องเข้าที่พัก

    หน้าหนาว ๆ จริง ๆ ขนาดนอนไม่หลับ เรื่องเอาผ้าห่มไปด้วยนี่ เราไม่เคยมีนะ มีผ้าสามผืน สี่กับผ้าอาบน้ำ สบง จีวร สังฆา เอาสังฆาฏิกับจีวรพับกัน พับแล้วก็ซ้อนนอน นั่นแหละได้เท่านั้น หลับก็หลับได้ หลับไม่ได้ก็ให้เท่านั้น มีเป็นบางคืน บางคืนนอนไม่หลับจริง ๆ เลยตลอดรุ่ง หลับไม่ได้นะ โอ ขนาดนั้นนะ ใครจะว่าเราไม่มีผ้าห่ม เราก็มีประจำอยู่นั้นแหละ หน้าหนาวก็ไม่เคยมีผ้าห่ม ไม่ใช้เลย ๓ ตัว ๆ จีวร สบง สังฆาฏิ ผ้าอาบน้ำ มีเท่านั้น

    นี่เหล่านี้ โอ๋ย มันตกกระหมดเหล่านี้ ตกกระดำหมด ปากแตก ตามเหล่านี้ตกกระหมด ไม่เคยสนใจมัน พอหมดหน้าหนาวมันก็หายของมันเอง คือแต่ก่อน หนึ่งไม่มีปรอท สองเราก็ไม่เคยใช้ผ้าห่มด้วย แต่ที่แน่ใจอยู่ก็คือว่า หนาวขนาดนั้นคงจะเป็นเพราะป่าไม้มันแน่นหนามั่นคงเป็นธรรมชาติของมัน ไม่เหมือนทุกวันนี้ซึ่งไม่มีป่าเลย นั่นเป็นดงหมดเลย น้ำค้างมันมาเกาะใบไม้ พอดึกเข้า ๆ มันก็หยดย้อยลง ตกลงมาปุปปับ ๆ ห่าง ๆ ก่อนนะ ตั้งแต่สามทุ่มล่วงไปแล้วเริ่มแหละ น้ำค้างที่มันเกาะอยู่ใบไม้เริ่มตกห่าง ๆ ปุบปับ ๆ พอดึกเข้าไปเริ่มถี่เข้า ๆ พอตีสี่ตีห้า โอ๋ย เหมือนห่าฝนย่อย ๆ นั่นแหละ เสียงมันซ่า ๆๆ เวลาอยู่ในป่า ป่ามันก็หนาแน่นเป็นปกติ อันนี้ก็ป่าเหมือนกันแต่มันก็ไม่เห็นมีนะนี่ ไม่เห็นมีน้ำค้างนี่ มันแปลกอยู่นะ ยอมรับว่าน้ำค้างระยะนี้ไม่มี ไม่เหมือนแต่ก่อน มันจะเป็นเพราะเหตุไรก็ไม่ทราบ

    พูดถึงเรื่องหนาวเรื่องร้อน มันหนาวจริง ๆ ในระยะนั้นก็ยังหนุ่มน้อยด้วย ก็ไม่เห็นมีอะไรกับหนาวกับร้อนด้วยนะ สังขารร่างกายสมบูรณ์ ไม่ได้เป็นกังวลกับร้อนกับหนาว ทั้ง ๆ ที่มันโดนกันอยู่อย่างนั้น บางคืนจนนอนไม่หลับตลอดรุ่งก็มี หลับไม่ได้ก็ไม่เห็นเป็นกังวล แบ่งเวลาเอา เจ้าของแบ่งเวลาเอาเจ้าของเอง ถ้ามันเป็นหน้าหนาวมาก ๆ แล้วอย่างนั้นนะ กลางวันเราจะต้องเดินให้มากทีเดียว สงวนเวลาเดินให้มากที่สุด นั่งกลางวันเพียงชั่วโมงเท่านั้นแหละ นั่งภาวนากลางวันเราพักกลางวันเพราะกลางคืนนอนไม่หลับ กลางวันก็ต้องพักบ้าง มันก็ไม่หลับมากแหละ พอตื่นขึ้นมาเท่านั้นนั่งภาวนาไม่ให้เลยชั่วโมง แหละ บังคับเอาไว้หนึ่งชั่วโมงออกแล้ว จากนั้นเรียกว่าเดินนะ ไม่เดินไม่ได้กลางคืนตัวแข็ง ลงเดินจงกรมไม่ได้มีแต่นั่ง ๆ ตัวแข็งไปหมด กลางวันนี้เดินให้มากทดแทนกันเวลากลางคืนนั่งมาก กลางวันต้องเดินมาก

    อยู่คนเดียวมันไม่มีงานอะไร ไม่มีจริง ๆ สำหรับเราออกภาวนา ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็ตามก็เป็นอย่างที่ว่านี่แหละ เรื่องวัตถุยุ่งไม่ได้เลย เรียกว่าหมุนกันอยู่ตลอดเวลา เราไม่เคยปรากฏว่าเราไปหาก่อสร้างอะไรที่ไหน ตั้งแต่วันก้าวขึ้นสู่เวทีอะไรมายุ่งไม่ได้เลย มีอันเดียว ๆ นี้ตลอด ฟัดกันอยู่อย่างนั้นตลอดว่าไง งานการที่ไหนไม่เคยปรากฏ มีแต่ภาวนาเป็นงานเป็นการจริง ๆ ทีนี้พอถึงหน้าหนาวมันก็อยู่ในย่านสองเดือนกว่า หน้าหนาวบางปีมันก็อาจถึงสามเดือน ตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนมันหนาวไปแล้ว โน่นฟากมกรา ธันวามกรานี้เต็มเหนี่ยวเลยความหนาว กุมภาพอต้นเดือนไปแล้วก็จะค่อยเริ่มไปแหละ ประมาณวันที่ ๙ ที่ ๑๐ ความหนาวลดลง ๆ พอกลางเดือนกุมภาจะเริ่มปกติ จากนั้นก็ร้อน นี่แหละระยะสามเดือนหน้าหนาว มันไม่เป็นกังวลนะ

    ขอให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ว่า จิตนี้พุ่งใส่กับอะไรแล้ว มันมีกำลังมากทุกอย่าง ถ้าทางชั่วมันก็ขาดสะบั้นไปเหมือนกัน ทางดีก็แบบเดียวกันขาดสะบั้นเหมือนกันเลย นี่เราพูดถึงเรื่องทางดี ที่จิตมันมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า จึงไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคได้เลย อำนาจของจิตนี้พุ่ง ๆ คิดดูซิเดินไปบิณฑบาตในหมู่บ้านเขาไปไม่ถึง นั่นฟังซิ กำหนดไว้แล้วกะว่าพรุ่งนี้คงเดินถึงหมู่บ้านเขา เพราะอดอาหารมาหลายวันมันโซเซพอแล้ว เดินจงกรมไม่กี่ตลบก้าวไม่ออกแล้ว ต้องยืนบ้างนั่งบ้าง จากนั้นก็เข้าที่ภาวนา กำลังมันอ่อนทางร่างกาย แต่ใจมันไม่เป็นอย่างนั้นนะ ใจมันเหมือนจะเหาะเหินเดินฟ้าโน่น

    นี่ซีที่มันหมุนกันมันดึงกันนะ เดินไปหมู่บ้านเขา ร่างกายจะไม่ถึงหมู่บ้านก็พักนะ แต่จิตมันไม่ได้ถอย จิตมันยิ่งหมุนดี อดอาหารหลายวันเท่าไรทะเลาะกันระหว่างขันธ์กับจิต ธาตุขันธ์มันก็จะตาย จิตมันก็หมุนของมันเบาหวิว ๆ ทีนี้เวลาจะฉันนี่มันทะเลาะกัน คือจิตไม่อยากฉัน ถ้าฉันแล้วมันเหมือนรถบรรทุกของหนัก มันมีลักษณะอืดอาด ถ้าฉันไปมากกว่านั้นอืดอาด นั่นน่ะ ชัดเจนอย่างนั้น ดูจิตดูอย่างนั้นตลอดเวลา การฝึกทรมานทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็มุ่งอยู่ที่จิต ๆๆ ที่ธรรม มันมีอุปสรรคอะไรมันจึงมาไม่ได้

    ได้เคยมาพูดให้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาฟัง เวลาไปนั่งอยู่กลางทางมันไปไม่รอด ตั้งหน้าตั้งตาพยายาม คิดแล้วว่ากะว่าวันพรุ่งนี้จะไปถึงบ้าน ถ้าเลยจากนั้นแล้วไปไม่ได้ ก็ต้องไปฉันให้เสียวันพรุ่งนี้ ถึงขนาดนั้นยังไม่ถึงบ้าน ไปนั่งเจ่าอยู่นั่น แต่เจ่าแต่ร่างกายนะ จิตมันหมุน ๆ ตลอด มันเบาของมันทุกอย่างว่างั้นเถอะ เพราะงั้นมันถึงทะเลาะกัน เวลาธาตุขันธ์จะตายมันก็หน่วงเหนี่ยวที่จะให้ฉันจังหัน ทางจิตก็หน่วงเหนี่ยวที่จะดึงขึ้น ฉันแล้วภาวนาไม่ดี ไปอย่างนั้น จนกระทั่งมันมาปรากฏขึ้นอย่างที่ว่า กิเลสเกิดธรรมเกิด

    คือในเวลาที่เรานั่งอยู่นั่น อยู่ดี ๆ ผุดขึ้นมาเป็นคำพูดเลยทีเดียวนะ ขึ้นมาจากใจ เป็นคำพูดเหมือนเราพูด แต่มันเป็นอยู่ภายใน นี่เห็นไหมขึ้นเลย ก็เงียบ ๆ จิตมันเงียบตลอด ท่านอดอาหารเพื่อจะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่กิเลสยังไม่ตาย เวลานี้กิเลสยังไม่ตาย ท่านกำลังจะตายรู้ไหม นั่น นี่กิเลสเกิดนะนี่ มันจะสร้างอุปสรรคให้เราอ่อนแอละซิ เรากลัวตายเราก็หยุดละซีอ่อนแอละซี ขึ้นเป็นถ้อยเป็นคำชัดเจนทีเดียว นั่นแหละที่เรียกว่ากิเลสเกิด นี่เห็นไหมว่างั้นนะ ท่านอดหารจะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่เวลานี้กิเลสยังไม่ตาย ท่านกำลังจะตายรู้ไหม นั่นว่างั้น

    ทางนี้ก็ขึ้นรับกัน นั่นเบื้องต้นกิเลสเกิดเสียก่อน พอที่สองธรรมก็เกิด การกินนี้ก็กินมาตั้งแต่วันเกิด เห็นไหมเวลามันตอบกัน การกินนี้กินมาตั้งแต่วันเกิดก็ไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร อดเพียงเท่านี้จะตายเหรอ นั่นถามแล้วนะ ปัญหาซัดกันแล้ว อดเพียงเท่านี้จะตาย อ้าว. ตายก็ตาย นั่นทางนี้ไม่ถอยมีแต่จะพุ่ง กิเลสมันก็ล้มไป ธรรมะเหยียบหัวมันไป นั่น ถ้าตามกิเลสมันก็อ่อนเลย กลัวตาย ไม่กลัวว่างั้นเลย กินมาตั้งแต่วันเกิดไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร อดนี้อดเพื่ออรรถเพื่อธรรม เพื่อความเลิศเลอ มันจะตายเหรอ เอ้า. ตายก็ตาย นั่น มันก็ซัดกัน ทางนี้ก็ผาง เหยียบหัวกิเลสไปเลย ตามเดิม ฟัดกันตามเดิม ถ้าลงว่าเราได้หลงกลของมันแล้ว เราอ่อนทันที มันก็เหยียบหัวเราไปเลย

    นี่แหละเรื่องธรรมกับกิเลส ให้มันเกิดในผู้ปฏิบัติบนเวทีมันถึงขัดเจนกันหมดทุกอย่าง บอกใครไม่ได้นะ เรื่องเหล่านี้ ปัญหากิเลสกับธรรมจะฟัดกันตลอดเลย ฟัดกันบนเวที แก้กันตก ๆ ซัดกันทางนั้นขึ้น ทางนี้รับกัน ทางนี้ขึ้นทางนี้ทางนั้นรับกันทางนี้ สุดท้ายกิเลสโผล่ขาดสะบั้นๆ นั่น ถึงเวลาธรรมมีกำลังมากเป็นอย่างนั้นนะ ในหัวใจเจ้าของ นี่แหละธรรมของพระพุทธเจ้าเลิศเลอขนาดไหน ประกาศป้างๆ แล้วท่านทั้งหลายว่าเราอวดเหรอ เราอยากถามชัดๆ มันเต็มหัวใจอยู่นี่จะว่ายังไง เราอยากให้มาเห็น มาดูซิหัวใจดวงนี้ มันเป็นยังไง กำลังเสียงว่อๆๆ มันจะกัดจะฉีก มันเป็นยังไงหัวใจดวงนี้นะ อยากถามว่างั้นนะ เพราะมันชัดอย่างนั้นนะ สันทิฏฐิโก พระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างนั้นนะ สันทิฏฐิโก พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว ไปที่ไหนให้ดูที่หัวใจ พระพุทธเจ้าสอนลงที่จุดนั้น ซึ่งเป็นจุดที่รู้ที่เห็นทุกอย่างนี่วะ

    นี่ขนาดนั้นนะ เวลากิเลสมันมีกำลัง มีแต่กิเลสนี่นะ กระดิกพับกิเลสออกแล้ว ลากแล้ว โลกจึงมีแต่กองทุกข์ เราอย่าเอาใครมาอวดมาอ้างนะ กิเลสครองหัวใจบีบหัวใจอยู่แล้ว ว่าใครมีความสุข ความสบายที่จะมาออกหน้าออกตา ออกตลาดนี้อย่ามาอวดธรรมนี้ว่าอย่างนั้นเลยนะ ธรรมเพียงความสงบนี้พอแล้วนะ เวลามันดีดมันดิ้นด้วยอำนาจของกิเลสลากถูกันไป ทั้งๆ ที่สู้มันสู้ไม่ไหวถลอกปลอกเปิกไปตามมัน มันลากไป ถึงขนาดที่น้ำตาร่วง พูดหาอะไร

    ฟังซิพี่น้องทั้งหลาย มันเก่งไหมกิเลส ถึงขนาดน้ำตาร่วงสู้มันไม่ได้ สู้ยังไงก็สู้มันไม่ได้เลย นี่ละเวลามันเก่ง มันเก่งขนาดนั้นนะ เราก็ตั้งหน้าจะสู้มัน มันฟัดทีไรเราหงายหมา ๆ คือหงายไม่เป็นท่า เขาเรียกหงายหมา ถ้าหงายเป็นท่าเขาเรียกหงายแมว มันตบได้นะแมว ล้มทั้งหงาย มันตบได้นะแมว หมามีแต่ร้องแหงก ๆ ๆ ลูกศิษย์หลวงตาบัวนับแต่หลวงตาบัวลงไป พวกแหงก ๆ มาก่อนทั้งนั้น หลวงตาบัวนี้แหงก ๆ มาก่อนแล้ว กลับมาสอนวิชาให้ลูกศิษย์ลูกหาทราบ ลูกศิษย์ลูกหาก็เลยเรียนวิชาแหงก ๆ ไปเสีย มันแทนที่จะให้กิเลสแหงก ๆ ไม่ แหงกนะ มันกลับเป็นเรื่องเราแหงก ๆ ไป มันเป็นอย่างนั้นนะ

    นี่แหละเวลามันแรงกล้า ๆ แต่สำคัญที่จิตมันไม่ถอย ถึงขนาดกูมึง ฟังซิ จนถึงขนาดนั้นนะ ความเคียดแค้นนี่ กูมึงอยู่ในใจนะ ไม่ได้ออกมา อยู่คนเดียวจะไปพูดกับใคร เหอ. มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ โน้นนะ เอาละยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง นั่นนะ เรียกว่าเด็ดขาดใส่กันละ เวลานี้กูสู้มึงไม่ได้กูยอมรับ สู้มึงไม่ได้ แต่ยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย นั่นนะ กลับไปก็ไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่น ก็เคยพูดแล้วนี่นะ ไปอบรมแล้ว พอนั่นก็กลับมาอีก ฟัดอีกหงายหมาอีก ซัดหลายครั้งหลายหนก็หงายแมวละซิ ต่อหงายแมวแล้วก็ฟาดเป็นเสือโคร่ง ฟัดกันทั้งนั้นๆ ทีนี้ก็เอ้า. กิเลสร้องแหงกๆๆ ทางนี้ก็ตีหัวมันลงเลย

    มันไม่ลืมนะ อำนาจแห่งความเคียดแค้นที่เป็นธรรมนี้เป็นธรรมล้วนๆ มุมานะนี้แข็งแกร่งเลยนะ นี่แหละความโกรธอันนี้โกรธให้กิเลสจะฆ่ากิเลส ซึ่งจะเป็นข้าศึกต่อหัวใจเรานี้เป็นธรรม โกรธมากเท่าไรนี้ยิ่งมุมานะหนักมากไม่รู้จักเป็นจักตายเลย มันเป็นอยู่ในหัวใจอยู่แล้ว เอามาพูด มาหลอกพี่น้องทั้งหลายเหรอ

    เวลาสู้มันไม่ได้จนน้ำตาร่วงถึงกูถึงมึงเชียวนะ นี่แก้ได้ไหมฟังซิ ขนาดนั้นนะ มันฟัดเราจนน้ำตาล่วง ทีนี้ก็ซัดกันเลย ล้มทั้งหงาย ๆๆ มาก็ไม่ถอยเอาอีกมาอีกล้มอีก มาอีกล้มอีก ล้มหลายครั้งหลายหนก็เป็นล้มแมวเข้าไป จากนั้นก็กลายเป็นเสือโคร่งไปละซิ ตบทีเดียวหงายเลยกิเลส นั่น นี่แหละอำนาจของสติปัญญา ที่เป็นธรรม อันนี้เป็นฝ่ายธรรม อยู่ในหัวใจดวงเดียวนี้นะ เวลานี้หัวใจเรามันมีแต่กิเลสห้อมล้อม มองดูคนมันไม่เห็นนะ มันเห็นแต่กิเลสเต็มตัวๆ มองหาอรรถหาธรรมไม่เห็น เพราะมันขึ้นไม่ได้ซิ กิเลสเหยียบหัวมันๆ เวลาฟิตเข้าๆ หลายครั้งหลายหน ธรรมก็ค่อยมีแวว ความสงบเย็นใจก็ค่อยปรากฏขึ้นๆ เป็นสักขีพยาน ความพากความเพียรก็ค่อยหมุนกันเข้าๆ

    ทีนี้จิตมันก็ขยับๆ มันก็รุนแรงขึ้น ทางนั้นก็อ่อนลง ทางนี้ก็ซัดกัน นั่น อย่างนั่นซิ แก้กันได้ แก้ไม่ได้พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาไม่ได้ แก้ถึงขนาดสลบ สามหน ฟังซิ เราไม่เคยสลบเราพูดจริงๆ เรื่องสลบเรายังไม่เคยมี ฟาดกันถึงจะเป็นจะตาย ร่างกายนี้สั่นสะเทือนไปหมดเลย มันทุกข์มาก จนจะล้ม เอา. อะไรจะตายก่อนตายหลังจะดูความตายอีกนู้นนะ มันไม่ได้ถอยนะ เอ้าอะไรจะตายก่อนตายหลัง ในร่างกายอันนี้จะดูให้มันชัดเจนวันนี้ ดูของจริงนี่วะ พระพุทธเจ้าว่า อริยสัจเป็นของจริง มันอยู่กับเรามันจะปลอมไปไหนวะ ท่านสอนให้จริง มันก็ฟัดกันนั่น มันก็เห็นขึ้นมาละซิ

    นี่ละความเพียร กิเลสเวลามันหนานี่ กระดิกปั๊บนี้เป็นกิเลสทั้งนั้นๆๆ มันเป็นของมันเองนะ เป็นอัตโนมัตินะ มันไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาจะเป็นกิเลส แน่ มันเป็นอัตโนมัติของมัน คิดออกมามีแต่เรื่องที่จะผูกพัน ด้วยอำนาจของกิเลสทั้งนั้นๆ นะ ทีนี้เราตั้งสติสตางค์ด้วยความพากเพียรหนักเข้าๆ สตินี้คือ ธรรม สติจะฆ่ากิเลส สติเป็นธรรม ปัญญาเป็นธรรม หมุนไม่ถอยๆ หลายครั้งหลายหน ทางนี้ก็มีกำลังขึ้น ๆ ทางนั้นก็อ่อนลงๆ ทางนี้ก็หนักเข้าๆ ก็ซัดกันเลย นั่น

    นี่แหละกิเลสอยู่กับใจ ธรรมอยู่กับใจ ยกธรรมขึ้นมาตีกิเลสก็ตีได้ กิเลสตีธรรมตีได้ เวลากิเลสมีกำลังตีแต่ธรรมจนไม่มีเหลือละ คนทั้งคน เมื่อเวลาธรรมมีกำลังแล้วก็เหมือนว่า เป็นพระอรหันต์น้อยๆ องค์หนึ่ง มันเป็นอยู่ในหัวใจนี่นะ มันหมดเลย มันเงียบหมด เหอ. เรานี่ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ องค์หนึ่งแล้วเหรอวะ แต่ก็รู้อยู่ว่ากิเลสยังอยู่ มันอดภาคภูมิใจไม่ได้ ในความแปลกประหลาดอัศจรรย์ของใจ เหอ. เรานี่ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ แล้วเหรอ ว่างั้นนะ ทั้งๆที่เจ้าของก็รู้อยู่ว่าเจ้าของก็มีกิเลส แต่มันก็อดภูมิใจภาคภูมิใจ ผลแห่งความแปลกประหลาดอัศจรรย์ไม่ได้ใช่ไหมละ มันก็ยกขึ้นมาพูด เหอ. มันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ องค์หนึ่งแล้วเหรอนู้น

    นี่เวลากิเลสมันหมอบ หมอบขนาดนั้นนะ มีแต่ธรรมจ้าๆๆ เห็นไหมจิตดวงนี้นะ จิตดวงนี้แหละ ถ่ายทอดกิเลสออกไปมากเท่าไรยิ่งสว่างขึ้น ๆ ทีนี้เรื่องความเพียรมันยิ่งหมุนของมัน ถึงขนาดที่ว่าเป็นอัตโนมัติ ทีแรกกิเลสเป็นอัตโนมัติหมุนไปไหน คิดไปเรื่องอะไรๆ มีแต่กิเลส ทีนี้เวลาธรรมมีกำลังมากแล้ว หมุนไปเรื่องไหน มีแต่เรื่องธรรมแก้กิเลสๆ นี่เป็นอัตโนมัติแล้วนะทีนี้นะ เมื่อธรรมเป็นอัตโนมัติแล้ว กิเลสนี้หาที่หลบที่ซ่อน หลบซ่อนไม่ทันขาดไปเลย ๆ นี่อำนาจของธรรมมีกำลัง ฟังท่านทั้งหลายฟัง ถอดออกมาจากเวทีนี่ มาพูดมาโกหกท่านทั้งหลายเหรอ เหอ. พูดแล้วมันโมโหนะนี่นะ

    เวลามันได้ขึ้นเต็มเหนี่ยวแล้วนี่ สติปัญญาเป็นธรรมทั้งแท่ง กลายเป็นอัตโนมัติในจิตแล้วจะมีแต่เรื่องฆ่ากิเลสทั้งนั้นละ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเป็นแบบเดียวกับกิเลสทำลายเรา แต่ก่อนที่มันมีกำลังกล้า มันยิบแย๊บไปทางไหนเป็นกิเลสทั้งนั้นๆๆ เจตนาไม่เจตนามันก็เป็นของมันเอง เป็นอัตโนมัติ ทีนี้เวลาธรรมมีกำลังกล้าแล้วๆ ธรรมก็เป็นอัตโนมัติแบบเดียวกันเลย อยู่ที่ไหนก็มีแต่ฆ่ากิเลส ไม่ว่าอิริยาบทใด เราไม่อยากพูดว่า อิริยาบทนั้น อิริยาบทนี้ หนักความเพียรนะ มันไม่มีนะมันเสมอกันหมด หมุนติ้วอยู่ตลอดเวลา เหมือนกิเลสอยู่ในใจ อยู่ในอิริยาบทใด กิเลสมันมีกำลังมากกำลังน้อย มันไม่เห็นมี ที่ไหนเป็นกำลังของกิเลสทั้งนั้น เวลามันเป็นอัตโนมัติ ที่นี้เวลาธรรมเป็นอัตโนมัติ อยู่ที่ไหนเป็นพลังของธรรมออกตลอดเวลา อยู่ที่ไหนไปที่ไหน มองไปอะไร ๆ นี่มันเป็นธรรมทั้งหมด แก้กิเลสเป็นลำดับลำดาไป

    นี่ละทางพ้นทุกข์ ท่านทั้งหลายจำเอานะ ไม่ใช่นอนติดกับหมอน นอนกับเสื่อ เสื่อขาดหมอนแตก เป็นทางก้าวเดินเพื่อพระนิพพานนะ ทางสมบุกสมบันนี้ละ ฟัดกับกิเลส เอ้า. กิเลสไม่ตายเราต้องตาย นี้คือทางเพื่อมรรคผลนิพพาน ทีนี้พอหนักเข้า ๆ จนจิตมันเป็นอัตโนมัติ สติปัญญาเป็นอัตโนมัติ ไม่มีคำว่า เผลอ ไปหามาจากไหน แต่ก่อนมันเผลอหรือไม่เผลอ จนล้มหงายหมา ๆ สู้กิเลสไม่ได้ เวลามันไม่เผลอแล้ว ทำยังไงมันก็ไม่เผลอ มันเป็นหลักธรรมชาติอันหนึ่งในขั้นนี้ ขั้นนี้ๆ เป็นลำดับ ละเอียดเข้าไปๆ คำว่า เผลอไม่มี มีแต่ฆ่ากิเลสตลอดเวลา แย๊บออกตรงไหนๆ ตามฆ่ากันตลอดเวลา

    แม้ที่สุดเวลาฉันจังหันอยู่เวลานี้ มันไม่ได้อยู่กับอาหารการกินนะ อันนั้นเผ็ดอันนี้เค็มอันนี้จืดอันนั้นจาง อันนี้อร่อยอันนั้นไม่อร่อย ไม่เคยสนใจมันหากหมุนของมันอยู่ ลึกๆ ภายใน เหมือนเรารับทานอาหารอยู่นี่ มันก็หมุนไปเรื่องกิเลสของมันอยู่ตลอดเวลา เอ้า. ดูเอาดูหัวใจเจ้าของซิ มันหมุนไปตามเรื่องของมันอยู่ตลอดเวลา มันหมุนเป็นอัตโนมัติของมัน เวลามีกิเลสหนาเป็นอย่างนั้นนะ

    ทีนี้เวลาธรรมะหนาแน่นเข้านี้ หมุนไปทางไหนมีแต่แก้กิเลส ฉันจังหันอยู่มันไม่ได้สนใจกับอาหารการกินนะ มันหมุนของมันอยู่ภายในของมัน เป็นเอง นี่จึงเรียกว่า เป็นอัตโนมัตินะ ไม่ได้ตั้งใจจะชำระความพากความเพียร อะไรๆ ละ ไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นอยู่แล้ว ตั้งอยู่แล้ว หมุนติ้วๆๆ อยู่อย่างนั้น นี่แหละที่ว่า มันนอนไม่ได้นะ จะว่าไง ก็มันหมุนอยู่ตลอดเวลา ฟัดกับกิเลสอยู่นี้ นักมวยต่อยกันจะไปหลับครอกๆ เวลาต่อยกันมีอย่างเหรอนักมวย ต่างคนต่างจ้อใส่กันซิ อันนี้กิเลสกับธรรม เมื่อเกรียงไกรด้วยกันแล้วมันก็หมุนของมันอย่างนั้นแหละ

    ทีนี้นอนมันก็ไม่หลับละซิ กลางคืนตลอดรุ่งเลยมันไม่หลับ หมุนอยู่ตลอดอยู่อย่างนั้น มันเพลินต่อความพ้นทุกข์ เรื่องกิเลสนี้เหมือนกับ ยักษ์ กับผี กับโจร กับมาร เสือโคร่งเสือดาววิ่งตามหลังเรา มรรคผลนิพพาน เหมือนกับเปิดช่องไว้ ให้มาๆ โบกมือให้เข้าหาที่หลบภัย ๆ หรือหันหน้าต่อสู้ มีสองอย่าง หลบภัยด้วย ต่อสู้ด้วย แต่เวลาแก่กล้าเข้ามาแล้วมันไม่มีนะ คำว่าหลบภัย มีตั้งแต่ต่อสู้ตลอดถึงขั้นต่อสู้หลบภัยไม่มี ปั๊บมาก็ขาดสะบั้นๆ จะไปหลบที่ไหน กิเลสขาดแล้วให้เห็นต่อหน้าต่อตา นั่น มันเป็นอย่างนั้นนะ

    นี่แหละ ภาคปฏิบัติ จะเห็นว่า พุทธศาสนาของเราว่าเลิศเลอขนาดไหน ประจักษ์ใจของผู้ขึ้นเวที เพียงเรียนเฉย ๆ ไม่ว่าท่านว่าเราเหมือนกันหมดนั้นละ ได้คัมภีร์ใบลานมาว่า ชื่อบาป ชื่อนรก สวรรค์ นิพพาน เปรต ผี ประเภทต่างๆ มันก็ว่าไปตั้งแต่ตัวหนังสือนั่นแหละ ใจมันยังไม่เป็นมรรคผลนิพพาน มันเป็นกิเลสวันยังค่ำ แล้วจะเอามรรคผลนิพพานมาจากไหน มีแต่เรียนเฉย ๆ ถ้าเรียนด้วย ตั้งใจประพฤติปฏิบัติไปด้วย ได้สติไปด้วย ๆ นั่นเป็นภาคปฏิบัติ ติดตามตัวไป อันนี้พอออกภาคปฏิบัติล้วนๆ แล้วทีนี้มีแต่ท่าต่อสู้ท่าเดียว ทีนี้เรื่องเหตุเรื่องผลก็มีปรากฏขึ้นมาละซิ เมื่อปฏิบัติ สิ่งที่ไม่เคยรู้ รู้ จิตใจที่ว้าวุ่นขุ่นมัวจนเป็นฟืนเป็นไฟ แทบจะไม่เป็นตัวของตัวเหมือนหนึ่งว่า จะเป็นบ้าสดๆ ร้อนๆ มันก็ค่อยๆ สงบตัวของมันลงได้นะ

    เมื่อความเพียรของเราหนักเข้าๆ ต่อไปก็เป็นอัตโนมัติอย่างว่าน่ะ เมื่อถึงขั้นธรรมะนี้ นิพพานเหมือนอยู่ชั่วเอื้อม ๆ ๆ นะ หวุดหวิด ๆ ๆ นั่นที่ว่ามันบืนนะ กิเลสก็ซัดกันไป ทั้งศอก ทั้งเข่า ถองกันไป ถีบกันไป ยันกันไป ทีนี้ก็ยันใส่นิพพาน มันก็ลืมนอน

    นั่งก็มีแต่หมุนติ้วๆ นอนจะให้หลับสักหน่อยมันก็หมุนอยู่ข้างในนั้น นอนก็นอนต่อยมันไม่ใช่นอนหลับนะ นอนต่อย สุดท้ายก็ไม่ไหวแล้วลุกขึ้นนั่งอีก นั่งอีกก็ฟัดอีกแล้วก็แจ้ง วันนี้แจ้งแล้วไม่หลับเลย พอขึ้นมาวันใหม่ กลางวันเอาอีกนะมันจะไม่หลับอีก โอ๊ยมันจะตายแล้วนะนี่ มันถึงขนาดนี้แล้วมันจะตาย หักห้ามเข้ามาสู่สมาธิ คือความสงบใจพักงานอยู่กับความสงบ จิตใจมีกำลังวังชาเรียบร้อยแล้วถอนออกมานี้ผึงเลย สู้เลยอย่างงั้น

    นี่ละถึงขั้นที่ว่าถอยไม่ได้แล้วมันมีในหัวใจของผู้ปฏิบัติ ถอยได้ยังไงกิเลสมันเคยเป็นภัยกับเรามากี่กัปกี่กัลป์ พอธรรมปรากฏขึ้นใหม่เอี่ยมๆ ที่จะทันกัน ฆ่ากันๆ มันจะไม่คว้ามาซัดกันยังไง มันก็ต้องซัดกัน ซัดตรงไหนก็เห็นผลๆ มันก็ต้องเอาใหญ่ละซิ ถึงขนาดไม่ได้หลับได้นอน เอาฟาดมันลงไป เอากิเลสมันจะละเอียดขนาดไหน สติปัญญานี้ยิ่งละเอียดตามกันๆ เหนือกันไปตลอดสุดท้ายพอโผล่แพล็บขาดสะบั้นพร้อมเลยไม่ต้องได้พิจารณา นี่ละอำนาจของสติปัญญาที่เกรียงไกรแล้วเป็นอย่างงั้น พอกิเลสแย็บเท่านั้นขาดไปพร้อมเลยไม่ต้องได้ต่อสู่ท่านั้นท่านี้เหมือนแต่ก่อน

    นี่ถึงเวลามันเกรียงไกรเป็นอย่างงั้น หมุนเข้าๆๆ นิพพานเหมือนอยู่ชั่วเอื้อมๆ อยู่อย่างนั้นนะ สดๆ ร้อนๆ มันก็บืนละซิคนเรา ชัดจนกระทั่งขาดสะบั้นลงไปหมด พอไม่มีอะไรเหลือมันก็ประจักษ์ ใจเป็นนักรู้มันไม่รู้ได้ยังไง กิเลสครอบหัวมันอยู่มันยังรู้นี่วะ กิเลสหมดไปแล้วมันจะไม่รู้ได้ยังไง มันก็จ้าขึ้นมา ทีนี้ความเพียรของเราที่เอาเป็นเอาตายเข้าว่าคุ้มค่าทันทีเลย ปลื้มปิติในความเพียรของตัวเอง นี่คุ้มค่า ถ้าไม่ถึงขนาดนั้นจะไม่รู้อย่างนี้ไม่เห็นอย่างนี้นั่น มันกลับไปปลื้มปิติในความเพียรของเรา คือว่ามันสมดุลย์กัน

    นี่เวลาเอาเต็มเหนี่ยวมรรคผลนิพพานก็เห็นชัด ๆ เต็มเหนี่ยว ๆ จนกระทั่งถึงที่สุดจุดหมายปลายทางเต็มที่ขาดสะบั้นลงไปแล้ว บรรดาสมมุติสามแดนโลกธาตุไม่มีอะไรมาข้องใจเลย ถ้าเรียกว่าแม่น้ำก็คนละฝั่งแล้ว ฝั่งนั้นฝั่งนี้แล้ว ฝั่งสมมุติ ฝั่งวิมุติขาดสะบั้นเห็นประจักษ์อยู่ในหัวใจ จะไปทูลถามพระพุทธเจ้ายังไง มันเกี่ยวพันกันมาเท่าไรระหว่างกิเลสตั้งแต่ส่วนหยาบถึงส่วนละเอียด มันเกี่ยวพันมาเรื่อยๆ ตามขั้นหยาบขั้นละเอียดของมัน เวลามันขาดสะบั้นลงไปแล้วทำไมจะไม่รู้ จ้าขึ้นมาแล้วไปถามใคร พูดแล้วสาธุขึ้นทันทีเลยนะ ถามพระพุทธเจ้าหาอะไร ก็ธรรมะสิ่งอันเดียวกันรู้อย่างเดียวกันเห็นอย่างเดียวกันแล้วถามกันหาอะไรเท่านั้น ขาดสะบั้นลงไปเลย นั่น

    นี่แหละอำนาจแห่งการประกอบความเพียร ธรรมมีอยู่ในหัวใจ แต่เวลานี้ถูกกิเลสซึ่งเป็นส้วมเป็นถานปกคลุมหุ้มห่อไว้ ให้เห็นเป็นของเหล่านี้เป็นของเลิศเลอไปเสียหมด มันไม่เห็นธรรมเป็นของเลิศเลอนะเวลานี้ มันถึงไม่ได้เรื่องได้ราว ถ้ามีบึกมีบืน บึกบืนต้องใช้สติปัญญาอย่าบืนเฉยๆ ทนเฉยๆ ต้องมีสติปัญญาใช้จึงเรียกว่าความเพียร ทนเฉยๆ ไม่เรียกว่าความเพียรนะ ต้องมีสติปัญญาหมุนกันเข้าไปด้วย มันถึงเป็นความเพียร ฟาดมันขาดสะบั้นลงไปไม่ว่าพระพุทธเจ้าองค์ใด สาวกองค์ใดรู้แล้วแบบเดียวกันหมดไม่ต้องไปทูลถามกัน ไปทูลถามพระพุทธเจ้า ทูลถามท่านหาอะไร ท่านก็สอนมาที่จุดนี้ว่า สันทิฏฐิโก ผู้ปฏิบัติจะรู้เองเห็นเองตามกำลังความสามารถของตน ธรรมขั้นไหนก็รู้เอง ขั้นไหนๆ ก็รู้เอง เห็นเองๆ จนกระทั่งวิมุติหลุดพ้น รู้เองเห็นเองเต็มสัดเต็มส่วน ถามพระพุทธเจ้าหาอะไร นั่น มันก็อย่างนั้นละซิ

    นี่ พอธรรมถึงขั้นเป็นอย่างนั้นแล้ว ใครเป็นก็ตามไม่ว่าหญิงว่าชายจิตไม่มีเพศ จิตไม่มีเพศหญิงเพศชาย กิเลสไม่มีเพศหญิงเพศชาย ธรรมไม่มีเพศหญิงเพศชาย เป็นธรรมและกิเลสได้ด้วยกันทั้งนั้นใจจิตทุกดวง ถ้าเราปฏิบัติได้ด้วยกันเห็นด้วยกัน ไม่ปฏิบัติก็หมอบให้มันเหยียบหัวไปอีกอย่างนี้ ทั้งหญิงทั้งชาย ทั้งนักบวชและฆราวาสไม่มีอะไรแตกต่างกันนะ สำคัญที่ใจที่มีธรรมต่างหรือไม่ต่างกันเท่านั้นเอง

    สอนนี้พยายามสอนให้เต็มกำลังความสามารถ สอนออกมานี้สอนอย่างยืนยันเลยไม่มีอะไรสงสัยในหัวใจที่มาสอนบรรดาประชาชนทั้งหลายไม่ว่าธรรมขั้นใด เราไม่มีคำว่าสงสัย เพราะฉะนั้นเวลาเทศน์ออกมาแล้ว มีผู้มาอ่านทบทวนให้เราเป็นคนฟังเหมือนหนึ่งว่าได้ผ่านเราไปแล้วอย่างนี้ มาอ่านให้เราฟัง อ่านก็ฟังไปเฉยๆ ไม่มีแก้แม้ตัวเดียวไม่เคยแก้ก็มันพร้อมมาแล้วออกมาแล้วสมบูรณ์แบบๆ เวลาออกเป็นเนื้อความนั้นก็เป็นเนื้อความสมบูรณ์แบบ ถอดออกมาพิมพ์มันก็เป็นสมบูรณ์แบบตามเดิม แล้วจะไปแก้อะไร

    อย่างที่เขาอ่านให้ฟังก็ว่าผ่านแล้ว คือหมายความว่าผ่านเราผู้เทศน์แล้ว ก็เป็นที่ตายใจๆ อย่างนั้นเท่านั้นเองนะ ธรรมชาติแท้แล้วอ่านไม่อ่านมันก็ไปเลย เราไม่ได้สงสัยในการเทศน์แล้ว อ่านไม่อ่านก็ธรรมชาติอันนั้นเอง เวลาอ่านมันก็แบบเดียวกันนั้นไม่เห็นแก้ตรงไหนๆ เลย หากจะมีบ้างก็เป็นความสำคัญผิดของผู้พิมพ์ ฟังเสียงไม่ชัด เช่นอะไรลืมเสียแล้ว มันฟังคำพูดผิด แล้วไปถอดเทปผิดไป พออ่านนี้มันสะดุดกึ๊ก อันนี้ผิดนั่น มันจะบอกทันทีเลย มันก็ผิดจริงๆ คือผู้นั้นสำคัญผิดฟังเสียงคำเทศน์นี้ว่าเป็นอย่างนี้ เจ้าของก็เข้าใจว่าเป็นอย่างนั้นไปเสีย แล้วเขียนไปตามนั้น

    ทีนี้เวลามาฟังมันไม่เข้ากับหลักที่เทศน์ มันก็ค้านกันทันที อันนี้มีอยู่บ้าง แต่มันเป็นไปจากผู้ฟังนะ ไม่ได้เป็นไปจากเราว่าเทศน์ผิดไปนะ ผู้ฟังจำผิดหรือเข้าใจผิดต่างหาก มีอย่างนั้นมีบ้าง ส่วนที่จะให้อันนี้ผิดไป เทศน์โอ๊ยผิดไป อย่างนี้ไม่มี ไม่ว่าจะธรรมขั้นใดก็ตามถอดออกมาจากหัวใจทุกอย่าง แน่นอนเหมือนกันหมดแล้วผิดไปที่ตรงไหน หนึ่งก็เป็นหนึ่งเต็มตัวจะว่ายังไง สองเป็นสองเต็มตัว สามเต็มตัว สิบเต็มตัวร้อยเต็มตัว พันเต็มตัวมันจะผิดไปไหน มันก็เท่ากันๆ เต็มหน่วยๆ นี่ละธรรมมีอยู่อย่างนี้มีที่หัวใจนะ

    เวลานี้กิเลสมันพอกพูนบีบบังคับหัวใจ จึงเหมือนหนึ่งว่าไม่มีราค่ำราคา อยู่ไปกินไปวันหนึ่งๆ เสกสรรปั้นยอกันไปให้กิเลสแหละเสกสรรด้วยความสำคัญมั่นหมาย ความหวังนั้นหวังนี้ วาดหวังกันตั้งแต่ตื่นนอนจนหลับ หลังตื่นนอนจนหลับตั้งแต่วันเกิด หวังจนกระทั่งวันตายไม่มีอะไรสมหวังก็กิเลสหลอก ถ้ากิเลสแล้วไม่มีอะไรสมหวัง ถ้าธรรมสมแน่ๆ เอาตามธรรมนี้สมเป็นลำดับลำดาไป ถ้ากิเลสหลอกตลอด เรื่องความหวังไม่มีทางอย่าไปหวัง หวังจากกิเลส ถ้าธรรมนี้มีหวังละ เอาเท่านั้นแหละวันนี้เทศน์ก็นานอยู่นะ เอาละ

    คัดลอกมาจาก Luangta.Com -
     
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    นี่แหละธรรมแท้

    สาธุธรรมหลวงตา กราบพ่อแม่ครูอาจารย์

    คนที่มันดับกิเลสไม่เป็น พวกนี้มันปล่อยให้กิเลสสนตะพาย มันก็ออกมาอวดรู้เกินพ่อแม่ครูอาจารย์ครับ
     
  3. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ใจนี้เป็นตัวการสำคัญมาก มหันตทุกข์ก็อยู่ที่ใจ บรมสุขก็อยู่ที่ใจ ถ้าใจปล่อยตามกิเลสตัณหาให้ฉุดลากไปนั้นก็เป็นมหันตทุกข์ตลอดไม่มีจุดหมายปลายทาง ภพใดชาติใดก็มีแต่ภพมหันตทุกข์ของสัตว์โลกที่หนาแน่นไปด้วยการวิ่งตามกิเลส นั่น ถ้าผู้มีอรรถมีธรรมก็มีช่องทางที่จะแหวกว่ายให้หลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ไปโดยลำดับ จนกระทั่งหลุดพ้นไปโดยสิ้นเชิงได้ดังพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ ท่านไม่มีทุกข์ในใจตั้งแต่วันท่านบรรลุธรรมตรัสรู้ธรรมผางขึ้นมาเท่านั้น ก็ชี้นิ้วได้เลยว่ากิเลสเท่านั้นไม่ว่าประเภทใดที่ยุแหย่ก่อกวนทำลายจิตใจให้หาความสงบไม่ได้ ไม่มีสิ่งอื่นใดสามโลกธาตุนี้ มีกิเลสเท่านั้น พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วไม่มีอะไรกวนใจเลย บรมสุขมาทันทีทันใด ให้พากันตั้งใจประพฤติปฏิบัตินะ

    คัดลอกมาจาก Luangta.Com -
     

แชร์หน้านี้

Loading...