นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้น จากการปฏิบัติธรรมของแม่ละม้าย

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Lukhgai, 27 พฤษภาคม 2009.

  1. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,240
    คุณนายละม้าย เกษแก้ว เป็นคนอ่านหนังสือไม่ออก สามีเป็นทหารอากาศ ชื่อ นาวาอากาศตรีวาท เกษแก้ว เป็นหัวหน้าฝ่ายการเงินของกองบิน 2 โคกกระเทียม ลพบุรี ซึ่งเป็นยุคที่นาวาอากาศเอก (พิเศษ) จรรยา สุคนธทรัพย์ เป็นผู้บังคับการขณะนี้ท่านมียศเป็นพลอากาศเอกไปนานแล้ว

    คุณนายละม้ายกับสามี มาเข้าวัดทำบุญที่วัดอัมพวันก็ไม่กี่ปีอาตมาก็ชี้แจงชักจูงให้คุณนายนั่งกรรมฐาน เดินจงกรม-ขวาย่างหนอซ้ายย่างหนอ เพราะว่าคุณวาทสามีทำแล้ว แต่คุณนายพอลงมือปฏิบัติก็ทำไม่ได้ ขวาเป็นซ้าย-ซ้ายเป็นขวา พองหนอ-ยุบหนอก็กำหนดไม่ได้

    อาตมาก็มาคิดหาอุบายที่จะสงเคราะห์คุณนายให้ทำให้ได้ สงสารคนประเภทนี้ อยากจะทำนัก แต่ทำไม่ได้ เดินจงกรมก็เซ


    วันหนึ่งแกก็มาที่วัดถามว่า " หลวงพ่อมีคาถาไหม ฉันทำกรรมฐานไม่ได้แน่ อยากจะสวดมนต์ อาตมาก็เลยบอกว่า " โยมจะท่องได้หรือ อ่านหนังสือไม่ออก " แกก็บอกว่า " ฉันจะให้ลูกสอน " อาตมานึกได้ข้อหนึ่ง ต้องให้คุณนายสวดพุทธคุณธรรมคุณ สังฆคุณ เพื่อเป็นอุบาย หนักเข้าแม่ละม้ายท่องได้ ลูกสอนวันละตัวสองตัวท่องได้หมด ก็สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณพาหุง มหากา (รุณิโก) พอจบแล้วหันมาเอาพุทธคุณอย่างเดียวให้สวดเท่าอายุเกินกว่า 1 เกิดยึดมั่นสติดี ก็สวดหนักเข้าทุกวัน ๆจนสบายใจ ญาณวิถีเข้าสู่สติสัมปชัญญะ "สติมา" มันเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติของแกอีก ก็ทำให้เกิดสติดีขึ้น พอสติดีขึ้น แกก็มาเล่าอะไรแปลก ๆ ให้ฟัง บอกว่า"ฉันสวดได้หมดแล้ว แล้วมันคล่องแคล่วในใจ" พอให้เดินจงกรมก็เดินได้เพราะสติดีเสียอย่าง แล้วบอกว่าพองหนอ ยุบหนอได้ไหม ก็กำหนดได้อีกเหมือนกัน และคล่องได้จากสวดมนต์ อันนี้เป็นไปได้เหมือนกัน

    แล้ววันหนึ่งมาถามอาตมาว่า หลวงพ่อทำอย่างไรจึงรู้ทางใน สามีโกหกเก่ง อยากจะจับนัก หลวงพ่อบอกว่ามีสติดีทำอย่างไร ?เลยอาตมาก็ใช้อุบายจะบอกตามตรงไม่ได้ เธออยากนั่งทางในให้รู้ว่าสามีซื่อสัตย์ต่อฉันไหม มันสังหรณ์ในใจแล้ว ว่าสามีไม่ซื่อตรงต่อภรรยา อาตมาก็บอกว่า สวดใหญ่เลย สวดให้ได้ 108 จบสวดแล้วนั่งสมาธิ พองหนอยุบหนอก็พอไปได้ พอสวดและนั่งสมาธิแบบนี้จิตก็เข้าสู่ภาวะ "สติดี" นั่นเอง ไม่ใช่สวดพุทธคุณแล้วก็จะขลังเสก อะไร ได้

    ต่อมาวันหนึ่ง นาวาตรี วาท ผู้สามีก็บอกภรรยาว่าจะไป เก็บค่าเช่านาที่ทางเหนือ แล้วหายไปเลย 3-4 วัน คุณนายมาที่นี่ถามว่า หลวงพ่อบอกซิว่าจะให้ทำอย่างไร ก็เลยบอกว่า สวดมนต์เข้าแล้วนั่งสมาธิ ก็เกิดขลัง สติเป็นตัวบอก ไม่ใช่ตาทิพย์ไปเห็นที่ไหนหรอก คุณนายละม้ายก็เริ่มเข้านั่งสวดที่ห้องพระ ทีแรกก็สวดเท่าอายุอายุ 50 กว่าไปแล้ว อาตมาก็บอกว่า โยมเอาอย่างนี้ มีไม้ขีดไหมเอาไม้ขีดมานับเข้า อายุเท่าไหร่ อายุ 55 สวด 56 ถ้าอายุ 58 สวด59 จบ แต่ให้สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุง มหากาฯให้จบก่อน สักก็ยึดมั่นอยู่ในการสวดอย่างนี้ว่าเป็นได้แน่ ต่อไปนี้แกก็ไม่ใช้ไม้ขีด แกก็นึกในใจก็ว่าได้ครบเลย ว่าได้คล่องแคล่วว่องไว และเดินจงกรมได้เอง ไม่ต้องสอนเลย ตอนเราสอนทำไม่ได้สติไม่ดี ถ้าสติดีแล้วเดินได้เองโดยอัตโนมัติ


    ในที่สุดแกก็เล่าว่า วันนั้นสวดมนต์ดึก และนั่งสมาธิหน้าพระแล้วก็นึกในใจ ถามเอง ตอบเอง ถามว่า" นายวาทเขาไปไหนเขาไปจริงไหม" สติบอกว่า" ไปที่ไหนเล่า มาที่ท่าวุ้ง เอาเงินให้ผู้หญิงไป 200 บาท แล้วกินข้าวบ้านโน้นบ้านนี้ สติ-บอกเป็นช่องไป พอตอนเช้านาวาตรีมาล้วนจะรีบไปทำงาน พอแต่งตัวเสร็จ คุณนายละม้ายบอกว่า" นี่คุณมานี่เดี๋ยว ไปไหนมาเมื่อวานคุณนายก็เริ่มออกแขกเลย" นี่เมื่อวานนี้กินข้าวบ้านโน้นใช่ไหม"แล้วคุณเอาสตางค์ไปให้นังคนนั้นใช่ไหม คุณวาทสามีก็นึกอยู่ในใจ ต้องไปต่อว่าหลวงพ่อวัดอัมพวัน เป็นหมอดูให้ภรรยาจึงบอกได้อย่างนี้

    สติที่มันบอกเหตุการณ์ชนิดนี้เรียกว่า ปัญญา นี่มันเกิด ทั้งทางโลกทางธรรมควบคู่กันไป คุณนายละม้ายโดยที่ไม่รู้หนังสือโดยที่ไม่รู้อะไรเลย แล้วก็จริงด้วย พอตอนเย็นนาวาตรี วาทขับรถมาต่อว่าอาตมาใหญ่ บอกว่าหลวงพ่อไปบอกอะไรกับแม่บ้านผมว่าผมไปบ้านโน้นบ้านนี้ เอาสตางค์ให้เขา ผมสงสัยหลวงพ่อแน่นอน อาตมาก็เลยบอกว่า ยังไม่เจอกันเลย ไม่ได้บอกแน่นอนเขาก็เชื่ออาตมาเพราะไม่เคยโกหกใคร แล้วเขาก็กลับไป แล้วก็คิดว่าภรรยาเราไปให้เจ้าเข้าทรงที่ไหน ถือได้รู้เหตุการณ์ได้ชัดเจนอย่าง ตา เห็น


    อีกวันหนึ่งก็บอกกับคุณนาย " ผมจะไปเก็บค่าเช่านา คุณนายก็บอกว่า " ตามสบาย แล้วเอาเงินมาให้ได้ปรากฏว่าก็ไม่ได้ไปอีก ตอนแรกก็ตั้งใจจะไปเก็บค่าเช่านา แต่ทีนี้มาถึงท่าวุ้งก็บอกว่าข้าวยังไม่ได้ตวง ไปก็เสียเวลา เลยไปกินข้าวบ้านเก่าอีกเอาเงินไปให้ผู้หญิงอีก เป็นแม่ม่าย แม่ละม้ายก็นั่งสมาธิ พอนั่งสมาธิเสร็จแล้ว " ก็ถามหน่อยเถอะสติเอ๋ย นายวาทเขาไปไหน " ไปบ้านเก่าอีกแล้ว " สติบอกอย่างนั้น แม่ละม้ายรู้หมด พอกลับมายังไม่ทันขึ้นบันได ยังไม่ทันจะแต่งตัวไปทำงาน " นี่คุณเอาเงินไปให้เขาอีกแล้ว " สามีบอกว่า " เดี๋ยวค่อยคุยกัน ผมไปทำงานก่อนพอกลับมาแล้วอารมณ์ดีแล้วก็คุยกัน " ถามจริง ๆ เถอะ รู้ได้อย่างไร

    คุณนายละม้ายด่าเก่ง แต่พอเจริญสติแล้วไม่ด่าไม่ว่า แต่พูดในแต่ละคำให้เจ็บในทรวง ให้สามีกลับไปคิดเอาเอง บอกว่า " พุทธคุณรู้ว่าคุณไปกินข้าวบ้านใคร เอาสตังค์ไปให้แม่ม่าย ชอบเขาหรือไงจะได้ยกให้เลย ดิฉันไม่อยากได้แล้ว " นาวาตรีก็เลยตั้งใจว่า อำนาจธรรมะสามารถจะรู้ได้ละเอียดอย่างนี้ละหนอ เลยทำให้นาวาตรีละได้ทันที ไม่ไปบ้านผู้หญิงอีกต่อไป

    นี่สมาธิเป็นประโยขน์ ไม่ใช่นั่งไปนิพพาน แค่นี้ก็ใช้ได้คุณนายละม้ายก็เลยเลิกเลี้ยงหมู เลี้ยงวัว ก็เลิกหมด ตอนนี้ก็เลยแนะแนวให้ลูกหมดทุกคนว่า คนนั้นคนนี้จะเป็นอะไรในอนาคตสามีไม่ได้จัด สติตัวนี้เป็นผู้จัด และเดี๋ยวนี้ลูกมีหลักฐาน มีงานทำทุกคน และในที่สุดนาวาตรีวาทก็ปลดเกษียณ ก็มาที่วัดกันสองคนตายาย มาทำบุญที่นี่ อยู่ลพบุรีแสนจะไกล ก็มาเรื่อย ๆ


    เหตุที่เกิดขึ้นในเวลากาลต่อมา อันนี้นาวาตรี วาท ผู้สามี ก็ต้องตายร่วมกับอาตมา เพราะเป็นกฎแห่งกรรมร่วมกัน แต่อาตมาไม่เป็นไร คอหัก ต้องหายใจทางสะดือ อย่างที่ว่าพองหนอยุบหนอหายใจทางสะดือได้แน่ แต่ก่อนนี้อาตมาถ้าเจริญอานาปา ภาวนา"พุทโธ" กำหนดที่จมูกของเรา ที่เราทำมาเป็นเวลา 10 ๆ ปี มันก็ตายไปแล้ว ยังมีการระบายลมได้ทางสะดือ โดยกำหนดรู้เหตุการณ์ชีวิตที่อยู่ในครรภ์ของมารดา ตามคำสอนพระพุทธเจ้าเรียกว่า ปฏิสนธิ อันนี้เป็นหลักความจริงที่ปฏิบัติได้ บางคนก็ไม่ทราบหายใจทางจมูกเสมอ คนที่หายใจไม่ได้ มี 4 ประเภท

    1. ดิ่งพสุธาหายใจไม่ได้ จนกว่าร่มจะกางมีอากาศหายใจ

    2. ดำน้ำหายใจไม่ได้

    3. ก็อยู่ในครรภ์ ไม่มีการหายใจทางจมูก แต่มีการสูบลมที่เลือดเลี้ยงร่างกายทางสะดือแน่นอน

    4. พระเข้านิโรธสมาบัติ 7 วันเลย แต่ในระยะ 7 วันนี้ ระบายลมได้ทางเส้นโลหิตทางขุมขนได้ทั้งหมด อันนี้มันละเอียดอ่อน

    สำหรับโยมหายใจ ไม่ใช่หยุดหายใจเลย หัวใจไม่สูบโลหิตตายนี่เรื่องสมาบัตินี่ หัวใจยังสูบฉีดโลหิตอยู่ แน่นอนบางคนรู้ไม่จริงในหลักนี้ เช่น บอกว่าไม่หายใจเฉย ๆ แต่ไม่หายใจทางจมูกมันมีวิธีการที่พิสูจน์ได้จากสติปัฏฐาน 4 ได้แน่ชัดมาก จากการขอให้ทำได้ให้ถึงขั้นตอนของมัน

    นี่กลับย้อนมาถึงคุณนายละม้าย สามีก็ไม่สามารถจัดระบบ ชีวิตของลูกได้ คุณนายละม้ายเป็นผู้จัดเจริญสติปัฎฐาน 4 ลูกคนนี้สั่งให้เข้าทำงาน ลูกคนนั้นก็ส่งเรียนไป แล้วก็ได้หลักฐานมาตามจริงของคุณนายละม้ายทุกประการ โดยไม่มีความรู้อะไรเลย อ่านหนังสือก็ไม่ออก เลยสามีก็คล้อยตามภรรยา ภรรยาว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้นก็เลยเลิกเกเรหมดเลย อันนี้ก็เป็นทางปัญญาสำหรับทุก ๆ ครอบครัวสามารถจะรู้ทั่วได้ โดยใช้สติ การเจริญพุทธคุณ การสวดมนต์ไหว้พระ เป็นภาวนาเบื้องต้น สามารถให้เรามีสติเกี่ยวกับ

    พุทธานุสติ มีสติในการเจริญพุทธคณ
    ธัมมานุสติ มีสติในการเจริญธรรมคุณ
    สังฆานุสติ มีสติในการเจริญสังฆคุณ

    ที่เราสวดมนต์กันนี่มันไม่ค่อยเจริญสติเท่าไหร่ ก็ว่าไปตาม ที่จำได้ ก็ไม่ซึ้งถึงใจ ขอเล่าต่อไปถึงคุณนายละม้าย แยกมาซื้อบ้านแกก็รู้แนะแนวว่าจะซื้ออะไรก่อนหลัง โดยไม่รู้หนังสือ ไม่ได้เรียนสติบอกว่าทำอย่างนั้น ๆ สามารถทำตามแนวสติปัฎฐาน 4 แกก็รู้ดีมาเป็นลำดับ ก็ปลูกเรือนไว้ แล้วก็วัวควายไม่มีแล้ว เลิกแล้วลูกก็เข้างานได้ตามลำดับ ได้เป็นทหารบ้าง ตำรวจบ้าง นี่สตินี่มีประโยชน์มากเหลือเกิน


    รู้วันตาย

    ปีที่ 3 พอลูกเรียนจบหมด นี่สามารถอยู่ได้ 3 ปี ที่หมอบอกว่าเดือนเดียวตายเมื่อปีก่อนโน้น พอลูกเข้างานหมดได้เรียบร้อยเรียกลูกให้บวช บอกว่า"แม่จะตายแล้ว เดือนหน้านี้แล้ว เดี๋ยวจะไปฝากหลวงพ่อวัดอัมพวัน ฝากศพไว้ที่นี่ แกก็เดินทางมา บอกแม่ครัววัดอัมพวัน บอกให้ช่วยในงานศพ คนบ้านเหนือบ้านใต้รู้จักกันบอกให้มาทำบุญที่นี่ มาเผาฉันด้วยนะ ฉันจะตายแล้ว ไม่ต้องแจกการ์ด อาตมาว่าดี ไม่เปลืองการ์ด

    ก่อนที่จะตาย ก็บอกว่าเอารถไปรับหลวงพ่อมาคุย 2 คำ ก่อนที่จะมาวัดอัมพวันนี่ แกก็สั่งว่าหลวงพ่อให้สัญญาหน่อยได้ไหมว่าเป็นคนจุดไฟให้หน่อย เผาศพฉัน อาตมาก็ตกลงจะจดให้ แล้วแกก็สั่งลูกสาวคนที่เป็นอาจารย์บอกว่า"เวลาแม่ตายช่วยเอาเหรียญบาทใส่ปากที" แกก็ยังถือเหมือนคนโบราณ ยังคงต้องใส่ปากให้ได้นะเพราะแกเชื่อมั่นของแก เหรียญบาทรัชกาลที่ 5 เป็นเงิน คงจะเป็นรางวัลพวกสัปเหรอที่จะเผาศพ บอกรับปากได้ไหม ใกล้จะตายในวันนั้นก็เอารถมารับอาตมาให้ไปเทศนาสอนครั้งสุดท้ายให้ด้วย

    วันที่จะตายก็ให้ลูกมาบอกทางวัดจัดศาลา ขอให้รถรับ อาตมาไปหาหน่อย บอกว่ามาไม่ได้ กรุณาเมตตาหน่อย ครั้งสุดท้ายพอดีอาตมาออกจากวัดไปก่อน จะต้องไปนครราชสีมา เขาให้ไปบรรยายที่กองทัพภาคที่ 2 ถึง 4 วัน อาตมาก็ไปเสียก่อน ลูกมารับก็ไม่พบ ก็กลับไปบอกว่าหลวงพ่อออกจากวัดไปเสียแล้ว 3 คืนจะ กลับ

    ท่านไม่น่าออกไปก่อน เอ็งอยากไปช้า เลยตายก่อน ตาย ในวันนั้น เช้าก็เอาศพมาไว้ศาลาที่จัดเตรียมไว้แล้ว รู้ก่อนตายรู้ว่าวันตายวันไหน ให้ลูกมาสวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณสอนวิปัสสนาไปจนกระทั่งขาดลมตายไป มีหลายคนเหมือนกันแล้วจะว่าสติปัฏฐาน 4 ไร้สาระได้อย่างไร? มันเป็นทางสายเอกแน่ ๆอาตมากลับมาตั้งศพสวดแล้วที่ศาลา

    พอคืนที่ 2 ลูกสาวคนเป็นอาจารย์ดิ้นจะตาย ต้องเอาไป โรงพยาบาล พอฟื้นขึ้นมาก็ได้ยินเสียงแม่พูดว่า"ทำไมลูกเสียสัจจะสั่งไว้ไม่ทำตามสั่ง บอกให้เอาเหรียญบาทรัชกาลที่ 5 ใส่ปากทำไมไม่เอาใส่ปาก เลยต้องเอาเหรียญมาใส่ปากให้จนได้ ในวันเผาศพอาตมาก็สั่งไว้ อาตมาจะต้องไปบรรยายที่วัดธาตุทองหน้าเมรุ จะกลับมาเผาศพตอนบ่าย 4 โมงไม่ทัน ให้ทำพิธีไปก่อน2 ทุ่มจะจุดไฟตามสัญญาของแม่ละม้าย


    สุดท้ายก็คนเต็มวัดไปหมด นางละม้ายที่ไม่รู้ธรรมะอะไร แต่มีธรรมะสติปัฏฐาน 4 เท่านั้นเดินจงกรมได้หมด แล้วสอนลูกด้วย อาตมากลับจากวัดธาตุทองมันก็มืด มาถึงนี่ 2 ทุ่ม แขกก็กลับหมดแล้วเหลือแต่ญาติแล้วก็ลูก ๆ ที่จะรอเผาศพ ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ พออาตมามาถึง ศพอยู่ที่บนเมรุแล้ว สุนัขหอนเป็นชั่วโมง อาตมาก็พูดดัง ๆ ว่าแม่ละม้ายมาแล้ว เดี๋ยวเผาให้ เงียบหมาหายหอนเลย พอขึ้นเมรุก็บอกให้ลูก ๆ เขามาเข้าแถว กายะกัมมัง วจีกัมมัง มโนกัมมังต่อแม่ ขออโหสิกรรมต่อแม่เสีย เดี๋ยวจะเผาแล้ว พอใส่ไฟเข้าสุนัขหอนอีกแล้ว ผลสุดท้ายเจ้าภาพไม่มีใครอยู่สักคน กลับบ้านหมดแล้ว ตอนเช้าจะฉลองธาตุทำบุญหน่อย ไม่มีใครอยู่ตอนเช้าสละเวลามาในวัดนี้ ใครจะมาผิดช่องผิดทางเดึ๋ยวแม่ละม้ายบอกเสียงดังฟังชัด

     
  2. มาร-

    มาร- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    262
    ค่าพลัง:
    +487
    สาธุ สาธุ สาธุ

    ดีแล้ว ชอบแล้ว

    ขอให้สัตว์ทั้งหลาย ทุกรูป ทุกนาม จงตั้งมั่นอยู่ใน ทางแห่ง มรรคมีองค์ 8 ทุกภพ ทุกชาติไปด้วยเทอญ

    _________________


    บุญกุศลเหล่าใดที่ข้าพเจ้าได้ทำ จำได้ก็ดี จำไม่ได้ก็ดี ร้อยชาติก็ดี หมื่นชาติก็ดี อสงไขย์ชาติก็ อนันตชาติก็ดี

    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอำนาจคุณพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ทั่วทั้งอนันต จักวาลโดยมี ภันเต ภควา สมเด็จองค์พระประถม สิขี ทศพล ญาณที่ 1 เป็นองค์พระประธาน


    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอำนาจคุณพระธรรม คำสั่งสอน ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์

    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอำนาจคุณพระปัจเจกพุทธเจ้า ทุกๆพระองค์ทั่วอนันตจักวาล

    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอำนาจคุณพระสงฆ์ พระสาวกแห่งองค์ ภันเต ภควา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์

    ข้าพระพุทธขอน้อมอำนาจ คุณพระบิดา พระมารดา ของข้าพเจ้าทุกๆชาติ ทุกๆภพ ทุกๆภูมิ

    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอำนาจแห่งคุณพระอาจารย์ ทุกๆรูป ทุกๆนาม ที่ ได้ประสิทธิ ประสาท วิชา

    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอำนาจคุณของ พระพรหม และเทพ เทวา ทุกๆ พระองค์ จงร่วมกันอนุโมทนา

    ขอ ให้กุศลผลบุญ เหล่าใด ที่ข้าพระพุทธเจ้าได้ทำมา ได้บำเพ็ญมาโดยชอบ จำได้ก็ดี จำมิได้ก็ดี กุศลเหล่าใดยังประโยชน์แก่ข้าพเจ้าฉันใด ข้าพเจ้าขออุทิศกองกุศลเหล่านั้นให้ถึงทั่วพร้อมแด่ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกรูป ทุกนาม ทุกภพ ทุกภูมิ ขอให้ได้ อนุโมทนา ขอให้มีส่วนร่วมในกุศลของข้าพเจ้า เพื่อยังผลให้ที่สุดในกองทุกข์แห่งสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกรูป ทุกนาม จงหมดสิ้นไปด้วยเทอญ....
     
  3. มุกไวด้า

    มุกไวด้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +265
    อ่านเรื่องนี้แล้วจึงหายแคลงใจที่ว่า "ในที่สุดแกก็เล่าว่า วันนั้นสวดมนต์ดึก และนั่งสมาธิหน้าพระแล้วก็นึกในใจ ถามเอง ตอบเอง ถามว่า" นายวาทเขาไปไหนเขาไปจริงไหม" สติบอกว่า" ไปที่ไหนเล่า มาที่ท่าวุ้ง เอาเงินให้ผู้หญิงไป 200 บาท แล้วกินข้าวบ้านโน้นบ้านนี้ สติ-บอกเป็นช่องไป "

    เพราะบ่อยครั้งที่จิตเราจะถามเองตอบเอง และได้คำตอบ แม่นกว่าตาเห็นอีก สาธุ ๆ ๆ เพิ่งรู้ว่าเราไม่ได้คิดไปเอง ที่แท้มันมีจริง ๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...