นิพพานเป็น-นิพพานตาย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย สมถะ, 25 ธันวาคม 2008.

  1. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    ศาสนาที่สอนเรื่องโลกในอุดมคติสอนว่า เราสามารถทำโลกนี้ให้สวยงามน่าอยู่ได้ หากว่ามนุษย์เพียรพยายาม แต่โลกมนุษย์ที่ถูกสร้างด้วยคุณธรรมของมนุษย์นี้ก็ยังเทียบไม่ได้กับโลกในอุดมคตินั้น ตัวอย่างที่ชัดเจนประการหนึ่งสำหรับช่วยให้เราเข้าใจเรื่องที่ว่านี้คือ โลกมนุษย์เป็นโลกที่ต้องเปลี่ยนแปลง สุขที่มนุษย์ร่วมกันสรรค์สร้างขึ้นในโลกนี้อย่างไรก็ไม่ใช่สุขอมตะ แต่สุขในโลกของพระเจ้าเป็นสุขที่ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นสุขนิรันดร ศาสนาพราหมณ์จึงสอนให้ทำดีเพื่อสร้างโลกให้งดงามด้วย และในขณะเดียวกันก็เพียรชำระจิตใจให้สะอาดหมดจดขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเข้าถึงโลกแห่งพระเป็นเจ้าที่เรียกว่าโลกแห่งปรมาตมันนั้น ศาสนาคริสต์และอิสลามก็เช่นเดียวกัน ศาสนาเหล่านี้จะสอนให้ศาสนิกทำความดีสำหรับจรรโลงโลกให้งดงาม และในขณะเดียวกันก็สอนให้มุ่งจิตไปที่โลกในอุดมคติ เป้าหมายสุดท้ายของศาสนาเหล่านี้อยู่ที่การเข้าถึงโลกนั้น ไม่ได้อยู่ในโลกนี้


    (ดู เสรี พงศ์พิศ, วิจิตร เกิดวิสิษฐ์, พิเชษฐ์ กาลามเกษตร์ และ บัณฑร อ่อนดำ, คนในทรรศนะของพุทธศาสนา อิสลาม และคริสต์ศาสนา(กรุงเทพมหานคร : สภาคาทอลิกแห่งประเทศไทยเพื่อการพัฒนา, ๒๕๒๔))




    พุทธศาสนาเองก็มีแนวคิดเรื่องโลกในอุดมคติ แม้ว่าพุทธศาสนาจะสอนให้ศาสนิกทำความดีเพื่อสร้างสรรค์โลกที่เราอาศัยนี้ให้สดสวย งดงาม และสุขสงบ แต่นี่ก็หาใช่เป้าหมายสุดท้ายไม่ เป้าหมายชีวิตสุดท้ายของชาวพุทธคือ นิพพาน




    นิพพานนี้มีความหมายสองความหมาย

    ความหมายแรกนิพพานได้แก่การที่เราสามารถขจัดกิเลสอันเป็นสาเหตุแห่งทุกข์ได้หมด คนที่เข้าถึงนิพพานในความหมายนี้จะยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ แต่เขาจะต่างจากคนที่ยังมีกิเลสอยู่ตรงที่ เขาจะไม่มีทุกข์ที่มีสาเหตุมาจากกิเลส เช่น ทุกข์เพราะไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ทุกข์เพราะพลัดพรากจากสิ่งรักสิ่งหวง เป็นต้น หรือกล่าวให้ง่ายเข้าคือ คนที่ถึงนิพพานแบบนี้จะไม่มีทุกข์ทางใจแต่ทุกข์ทางกายที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องกิเลสก็ยังมีเหมือนคนทั่วไป ผู้เข้าถึงนิพพานแบบนี้แล้วก็เหมือนคนปกติที่เมื่อทำมีดบาดมือก็รู้สึกเจ็บ เมื่อเป็นไข้ก็รู้สึกไม่สบาย ทุกข์ทางกายนี้ไม่มีสมุฏฐานมาจากกิเลส หากแต่เป็นปรากฏการณ์ทางกายภาพ ผู้เข้าถึงนิพพานแบบแรกนี้จึงไม่อาจรอดพ้นจากทุกข์ประเภทนี้ได้




    นิพพานในความหมายที่สองหมายเอานิพพานที่คนเราจะเข้าถึงได้เมื่อตายแล้ว นิพพานในความหมายนี้สืบเนื่องมาจากนิพพานในความหมายแรก กล่าวคือผู้ที่ดับกิเลสได้จะไม่มีทุกข์ทางใจขณะยังมีชีวิตอยู่ แต่ยังมีทุกข์ทางกาย เมื่อเขาตายลง ทุกข์ทางใจและทุกข์ทางกายจะหมดสิ้นไป นิพพานในความหมายที่สองนี้ท่านไม่พูดเอาไว้ชัดเจนว่าเป็นสถานที่สำหรับเสวยสุขอย่างเช่นโลกของพระเจ้าหรือไม่ ท่านกล่าวเอาไว้เพียงว่าเป็นภาวะสิ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง ข้อนี้หมายความว่า ผู้เข้าถึงนิพพานในความหมายที่สองนี้แล้วจะไม่มีวันหวนกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏอีกต่อไป เมื่อไม่มีตัวตนอยู่ในสังสารวัฏทุกข์ย่อมไม่มี




    สรุปความว่านิพพานเป็นสิ่งที่คนเราเข้าถึงได้ทั้งในขณะที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้และเมื่อตายไปจากโลกนี้แล้ว นิพพานจึงมีทั้งนิพพานในโลกนี้และนิพพานที่เป็นภาวะหนึ่งต่างหากจากภาวะในโลกนี้ นิพพานในความหมายหลังนี่เองคือสิ่งที่ผู้เขียนเรียกว่าโลกในอุดมคติของชาวพุทธ การเรียกนิพพานว่าโลกในอุดมคติอาจไม่ค่อยตรงกับความหมายของนิพพานนัก แต่ที่เรียกเช่นนั้นเพื่อความสะดวกในการทำความเข้าใจโดยเปรียบเทียบกับแนวคิดเรื่องโลกในอุดมคติของศาสนาอื่นเท่านั้น




    นายขาวเป็นชาวพุทธ เขามีภารกิจที่ต้องกระทำอยู่สามประการในฐานะที่เป็นชาวพุทธ คือ ไม่ทำชั่ว ทำดี และทำใจให้สว่างใส การดำเนินชีวิตตามหลักสามประการนี้ นอกจากจะเป็นการสรรค์สร้างสังคมให้สงบสุขน่าอยู่ ยังเป็นการพัฒนาตนเองให้สูงขึ้นเพื่อเข้าถึงจุดหมายสูงสุดคือนิพพานด้วย




    สมมติว่าวันหนึ่งนายขาวบำเพ็ญภารกิจที่ว่านี้จนสมบูรณ์ถึงระดับเพียงพอที่จะได้สัมผัสนิพพาน กิเลสในใจของนายขาวย่อมถูกทำลายลงหมดสิ้น นับจากวันที่กิเลสถูกทำลาย ความทุกข์ในใจอันสืบเนื่องมาจากกิเลสจะไม่มีวันเกิดขึ้นกับนายขาว(ซึ่งตอนนี้กลายเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว)ชีวิตของนายขาวช่วงนี้พุทธศาสนาเรียกว่า กำลังได้สัมผัสสอุปาทิเสสนิพพาน เมื่อนายขาวสิ้นชีวิตลงตามอายุขัย พุทธศาสนาไม่ระบุชัดว่านายขาวจะไปไหน บอกเพียงว่านายขาวนี้จะไม่ไปเกิด ณ ภพภูมิใดอย่างเด็ดขาด ชีวิตของนายขาวเป็นชีวิตที่ดับสนิทแล้วเหมือนเปลวเทียนที่ดับลง เราบอกไม่ได้ว่าเปลวเทียนที่มอดลงนี้ไปอยู่ ณ ที่ใด ชีวิตของนายขาวก็ฉันนั้น บอกไม่ได้ว่าหลังตายแล้วเขาไปอยู่ไหนและอยู่ในสภาพเช่นใด ภาวะของนายขาวหลังจากตายนี้พุทธศาสนาเรียกว่าอนุปาทิเสสนิพพาน


    นิพพานหลังจากตายแล้วนี้จึงไม่มีความหมายตรงกับโลกของพระเจ้าเสียเลยทีเดียว จะอย่างไรก็ตาม มีพระพุทธวจนะในพระไตรปิฎกของฝ่ายเถรวาทบางแห่งกล่าวถึงนิพพานไว้คล้ายกับว่านิพพานเป็นสถานที่ที่เร้นลับ เป็นที่เสวยสุขชั่วนิรันดร สถานที่แห่งนี้ไม่เหมือนสถานที่ใด ๆ ที่มนุษย์สามารถรับรู้ด้วยประสาทสัมผัส เนื้อความของพระพุทธวจนะดังกล่าวนั้นมีว่า




    ภิกษุทั้งหลาย ในแดน(อายตนะ)ใด ไม่มีดิน ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟ ไม่มีลม ไม่มีอากาสานัญจายตนะ ไม่มีวิญญาณัญจายตนะ ไม่มีอากิญจัญญายตนะ ไม่มีเนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่มีโลกนี้ ไม่มีโลกหน้า ไม่มีพระจันทร์และพระอาทิตย์ แดนนั้นมีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เรียกแดนนั้นว่าเป็นการมา เราไม่เรียกแดนนั้นว่าเป็นการไป เราไม่เรียกแดนนั้นว่าเป็นการดำรงอยู่ เราไม่เรียกแดนนั้นว่าเป็นการจุติ เราไม่เรียกแดนนั้นว่าเป็นการอุบัติ แดนนั้นไม่ปรากฏที่ตั้ง ไม่มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง ไม่มีอารมณ์ให้ยึด แดนนั้นคือที่จบสิ้นแห่งทุกข์


    (ขุททกนิกาย อุทาน พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ ข้อที่ ๑๕๘.)




    พระพุทธวจนะข้างต้นนี้ได้บรรยายภาวะนิพพานเอาไว้ประหนึ่งว่านิพพานนั้นเป็นสถานที่ คำว่าสถานที่นี้อาจจะชวนให้นึกถึงอาณาบริเวณแห่งใดแห่งหนึ่ง พระนิพพานในพระพุทธวจนะนี้จึงดูคล้ายจะเป็นดินแดนที่เร้นลับอันตั้งอยู่ ณ ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง และเพื่อแสดงว่าดินแดนดังกล่าวไม่เหมือนกับสถานที่ที่มนุษย์เคยรู้จัก พระพุทธองค์จึงทรงบรรยายภาพของนิพพานในเชิงปฏิเสธว่าไม่ใช่สิ่งนี้สิ่งนั้น ไม่เป็นอย่างนี้อย่างนั้น ดังที่เห็นนั้น




    การตีความหมายพระพุทธพจน์ข้างต้นดังที่แสดงมานี้อาจมีผู้ไม่เห็นด้วย แต่สิ่งที่ผู้เขียนอยากเสนอ ก็คือ พระพุทธพจน์นี้บันทึกในพระไตรปิฎกของฝ่ายเถรวาท เราจึงมั่นใจได้ว่า พระพุทธพจน์นี้เป็นทัศนะของพุทธศาสนาในยุคแรก ในความเห็นของผู้เขียน การอธิบายนิพพานว่าเป็นสถานที่ไม่ขัดกับพระพุทธวจนะที่ใดในพระไตรปิฎก นอกจากไม่ขัดแล้ว ดูเหมือนว่าการอธิบายความเช่นนี้จะช่วยสะสางปัญหาบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนิพพานที่ฝ่ายเถรวาทไม่สามารถแก้ได้จนกระทั่งถึงวันนี้


    มีพระพุทธวจนะอยู่จำนวนหนึ่งที่พระพุทธองค์ตรัสไว้สั้นๆ แล้วไม่ทรงอธิบายว่าที่ตรัสเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร เมื่อเวลาผ่านมานาน คนรุ่นหลังก็เกิดความสงสัยไม่แน่ใจว่าพระพุทธวจนะนั้นหมายความว่าอย่างไร ในจำนวนพระพุทธวจนะที่เป็นปัญหานั้น มีพระพุทธวจนะเกี่ยวกับเรื่องนิพพานรวมอยู่ด้วย พระพุทธองค์เมื่อยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ได้ตรัสถึงนิพพานเอาไว้เป็นสองแง่




    แง่หนึ่งนิพพานคล้ายจะเป็นภาวะ แต่อีกแง่หนึ่งนิพพานคล้ายจะเป็นสถานที่หรืออาณาบริเวณ ฝ่ายเถรวาทเห็นว่าพระพุทธวจนะที่ตรัสถึงนิพพานแม้จะมีสองแง่ตามที่กล่าวมา แต่ส่วนใหญ่เมื่อตรัสถึงนิพพาน พระพุทธองค์จะตรัสถึงในฐานะที่นิพพานนั้นเป็นภาวะ ภาวะที่ว่านี้หมายเอาภาวะที่คนเราสิ้นทุกข์ ดังนั้นฝ่ายเถรวาทจึงเลือกที่จะเชื่อว่านิพพานเป็นภาวะ แต่ก็ยังมีความเชื่อต่างออกไปว่า นิพพานเป็นอสังขตธรรมและเป็นสิ่งที่อยู่ต่างจากมนุษย์ แม้ไม่มีคน นิพพานก็มีอยู่ ไม่ว่าจักรวาลนี้จะมีมนุษย์ที่เพียรพยายามเพื่อบรรลุนิพพานหรือไม่ นิพพานก็มีอยู่ พระพุทธองค์เองก็ตรัสเอาไว้ว่า นิพพานไม่ใช่ผลของความเพียรพยายามของมนุษย์ นิพพานมีอยู่เสมอ ไม่ว่าจะมีคนพยายามเดินไปหานิพพานนั้นหรือไม่ก็ตาม




    หากเราตีความว่า นิพพานหมายเอาภาวะที่คนสิ้นทุกข์ นั่นแสดงว่าเรากำลังบอกว่านิพพานเป็นผลของการปฏิบัติธรรมของมนุษย์ หากไม่มีคน ก็ไม่มีภาวะสิ้นทุกข์ เมื่อไม่มีภาวะสิ้นทุกข์ นิพพานก็ไม่มี การตีความนิพพานว่าเป็นภาวะเท่านั้นย่อมขัดกับพระพุทธวจนะที่ว่า นิพพานเป็นสิ่งที่มีอยู่ต่างจากคน




    แต่ถ้าเราตีความว่านิพพานเป็นมิติหนึ่งต่างจากคน นิพพานนั้นก็ไม่ใช่ผลขอลการปฏิบัติธรรมของมนุษย์ การปฏิบัติธรรมเป็นเพียงปัจจัยให้คนเข้าถึงนิพพานเท่านั้น นิพพานเปรียบได้กับกรุงเทพฯ แม้ไม่มีคนเดินทางมาหากรุงเทพฯ กรุงเทพฯก็มีอยู่ตลอดเวลา ข้อนี้ฉันใด นิพพานก็ฉันนั้น ย่อมมีอยู่ตลอดเวลาเพราะนิพพานไม่ใช่ผลผลิตแห่งความเพียรพยายามของมนุษย์นั่นเอง




    การอธิบายความนิพพานว่าเป็นมิติหรือสถานที่เท่านั้นจึงจะสอดคล้องกับพระพุทธวจนะที่ว่านิพพานเป็นอสังขตะและเป็นสิ่งที่มีอยู่ต่างหากจากคน นี่คือที่มาของทัศนะที่ต่างกันในเรื่องนิพพาน




    ....................................
    อ่านเนื้อหาต่างๆ ที่ผมเคยโพส์ไปแล้วได้ที่นี่นะครับ จัดหมวดหมู่ไว้ให้เรียบร้อยเลย
    http://khunsamatha.com/ <!--MsgFile=1-->
     
  2. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    อ่านเนื้อหาต่างๆ ที่ผมเคยโพส์ไปแล้วได้ที่นี่นะครับ จัดหมวดหมู่ไว้ให้เรียบร้อยเลย
    http://khunsamatha.com/ <!--MsgFile=1-->
    <!-- / message -->
     
  3. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    ขอขอบพระคุณท่านอย่างสูงครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...