นรก สวรรค์ อยู่ที่ใจ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Reynolds, 10 สิงหาคม 2010.

  1. Reynolds

    Reynolds เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    578
    ค่าพลัง:
    +1,501
    นรกสวรรค์ในพระไตรปิฎก ๒
    พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)
    บรรยายแก่คณะอาจารย์และนักศึกษาวิทยาลัยครูสวนดุสิต
    [​IMG]
    ๒. นรก-สวรรค์ ที่อยู่ในใจ
    ต่อไป ระดับที่สองเลยเพื่อย่นเวลา นรกสวรรค์ในอันดับที่สองก็คือที่เราพูดกันว่า "สวรรค์ในอก นรกในใจ"
    เป็นเรื่องที่มีในชาตินี้ นรก-สวรรค์ แม้ในชาติหน้ามันก็สืบไปจากที่มีในชาตินี้ เพราะอะไร เพราะมันอยู่ในสภาพจิต ภูมิของจิต ชั้นของจิต ระดับของจิตใจ
    จิตของเราไปอยู่ในระดับไหน ถึงเวลาตาย ถ้าระดับจิตเป็นนรกก็ไปนรก ถ้าระดับจิตเป็นสวรรค์ก็ไปสวรรค์ นี่เกี่ยวกับสภาพจิตที่เป็นอยู่ตลอดเวลา
    คือว่าโดยหลักทั่วไปแล้วในการดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นระยะเวลายาวนานหลาย ๆ ปี ระดับจิตของเราอยู่แค่ไหน เวลาตายโดยทั่วไปถ้าไม่ใช่กรณียกเว้น มันก็อยู่ในระดับนั้นแหละ
    ส่วนในกรณียกเว้น ถ้าเวลาตายนึกถึงอารมณ์ที่ดี เช่นทำกรรมชั่วมาก แต่เวลาตายนึกถึงสิ่งที่ดี ก็ไปเกิดดีได้
    ถ้าหากเวลาอยู่ทำกรรมดีแต่เวลาตายเกิดจิตเศร้าหมอง ระดับจิตตกลงไป ก็ไปเกิดในที่ต่ำ เมื่อการไปเกิดขึ้นอยู่กับระดับจิตอย่างนี้แล้ว ก็หมายความว่า เราพร้อมจะไปนรก-สวรรค์ได้ตั้งแต่ปัจจุบัน
    หรือพูดอีกอย่างก็คือ คนที่จะไปนรกคือคนที่อยู่ในระดับนรกอยู่แล้วในชาตินี้ หรือคนที่จะไปสวรรค์เขาก็มีจิตใจระดับสวรรค์อยู่แล้ว
    ตกลงก็ว่าเรื่อง นรก-สวรรค์มันมีตั้งแต่เดี๋ยวนี้อยู่แล้ว ปัจจุบันนี่เองมันส่อข้างหน้า เพราะฉะนั้นถ้าจะคาดการณ์เรื่องข้างหน้า เราไม่จำเป็นต้องไปพูดถึงสวรรค์ที่ไกลด้วยซ้ำ เอาปัจจุบันนี่เป็นเกณฑ์
    เพราะคนเราสร้างสมกรรมด้วยชีวิตที่เป็นอยู่ สร้างระดับจิตของตนไว้ สั่งสมระดับจิตให้พร้อมอยู่เสมอ เพราะฉะนั้น เรื่องสวรรค์ในอก นรกในใจก็ย่อมมีได้ เพราะถือตามหลักนี้
    ระดับจิตของเรานั่นเอง ที่มันอยู่ในนรกหรือสวรรค์ ถ้าระดับจิตของเราอยู่ในนรกก็เป็นนรก ถ้าระดับจิตของเราอยู่ในสวรรค์ก็เป็นสวรรค์
    เอาละ ทีนี้เราทำกรรมดีกรรมชั่วไว้ เรารู้ เรามีความรู้สึกเป็นประสบการณ์เฉพาะตัวเกี่ยวกับกรรมดีกรรมชั่วที่ทำไว้ ทางพระท่านใช้คำว่า "วิปฏิสาร"
    ถ้าทำกรรมชั่วไว้ เรารู้สึกเดือดร้อนใจความวิปฏิสารนี่แหละ เป็นสภาพจิตที่เป็นทุกข์ นับเป็นนรก หรืออีกอย่างหนึ่ง ในนิวรณ์ ๕ ต้องมีข้อหนึ่งว่า "กุกกุจจะ"
    กุกกุจจะ ก็คือความไม่สบายใจ กังวลใจ รำคาญใจ ไม่สบาย เดือดร้อนว่าสิ่งที่ดีเรายังไม่ได้กระทำ ได้แต่ทำสิ่งที่ชั่วที่ไม่ดี
    ทีนี้ในทางตรงข้ามถ้าทำกรรมดีก็เกิดความปราโมทย์ มีปีติ มีความอบอุ่นใจ มีความเปรมใจ มีความสุข จิตใจอยู่ในระดับสวรรค์ เป็นเรื่องสวรรค์ในอก นรกในใจ
    ถ้าพูดถึงเรื่องวิปฏิสาร เรื่องปีติปราโมทย์ในการทำชั่ว ทำดีอย่างนี้ มันก็มีในพระไตรปิฎกมากมายเช่นเดียวกัน ไม่จำเป็นจะต้องอ้างขึ้นมาเลย
    เป็นอันว่านรก-สวรรค์ในแง่นี้เป็นเรื่องระดับจิต ซึ่งมีอยู่แล้วตั้งแต่ปัจจุบัน
    ๓. นรก-สวรรค์ แต่ละขณะจิต
    ทีนี้ไปสู่ระดับที่สาม จะพูดในแง่หลักวิชาการก่อน เรื่องวิจารณ์ไว้ทีหลัง คือการที่เราปรุงแต่งสร้างนรก-สวรรค์ของเราเองตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน
    ท่านบอกว่าคนที่ยังไม่รู้อริยสัจ ๔ ยังไม่แทงตลอดสัจจธรรม ไม่เข้าใจในหลักการเรื่องสัจจะของอริยชน ก็ยังปรุงแต่งสร้างสวรรค์-นรกกันอยู่ตลอดเวลา ด้วยอายตนะของเรานั่นแหละ คือ ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กายของเรา ข้อนี้ก็คล้าย ๆ กับข้อที่ ๒ แต่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนขึ้นไปเท่านั้นเอง คือเป็นเรื่องสัมพันธ์กับระดับจิตใจ เมื่อเรายังเป็นปุถุชนเราก็ยังปรุงแต่งอยู่เสมอ คือปรุงแต่งด้วยกิเลส มีความดี-ความชั่ว มีกุศล-อกุศลในจิตของเราเอง
    เมื่อยังมีความรู้สึกด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย เราก็ยังปรุงแต่งอยู่เรื่อยไป แต่การปรุงแต่งแบบนี้ เป็นเรื่องปฏิกิริยาต่อสิ่งที่รับเข้ามา เช่นเมื่อเราได้เห็นสิ่งที่สวยงามชอบใจ เราก็มีความสุข ไดเห็นสิ่งที่เราไม่ชอบ เราก็ขัดใจเกิดความทุกข์ หรือว่าได้รับประทานอาหาร ได้รับประทานขนม ลิ้นได้รับรสที่อร่อย เราก็มีความสุข ถ้าหากว่าเราได้รับรสที่ขมไม่อร่อย เราก็มีความทุกข์ อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา
    ทีนี้บางทีเราปรุงแต่งกลับ ไม่ใช่สิ่งภายนอกฝ่ายเดียวที่ปรุงแต่ง เราปรุงแต่งเหมือนกัน ใจคอเราไม่ดี เราเกิดความโมโห เกิดอารมณ์ค้างเห็นอะไรขัดใจไปหมด ทั้งที่ของนั้นไม่ได้ทำอะไรเรา ไม่ได้มาเบียดเบียนไม่ได้มากระทบกระทั่งเรา คนโน้นเดินมาดี ๆ ไม่ได้ทำกิริยากระทบกระทั่งเรา เรามองเห็นเป็นว่าเขาล้อเรา หรือเขามีใจคิดไม่ดีต่อเราต่าง ๆ นานา เพราะใจของเราเองปรุงแต่ง อาศัยพื้นจิตของเราไม่ดีอยู่แล้ว มีอกุศลขึ้นมาในใจ ใจเราไม่ดี มองอะไรขัดใจไปหมด มีทุกข์เรื่อย ๆ ตลอดวัน แต่ถ้าเราใจดี บางทีไปประสบอะไรที่ดีใจขึ้นมา วันนั้นก็ยิ้มได้ทั้งวัน เห็นอะไรดีไปหมด
    อย่างนี้เรียกว่าการปรุงแต่งสวรรค์-นรกของเรา เพราะว่านรก-สวรรค์ อย่างนี้เป็นเรื่องทันตาทันใจอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องรอชาติหน้า อยู่ที่การสร้างจิตใจของเรา ถ้าหากว่าจิตใจของเรามีภูมิธรรมดี สร้างกุศลไว้มาก ทำจิตใจให้อิ่มเอิบเป็นสุข พยายามมองในแง่ดี ก็รับอารมณ์ที่เป็นสุขไว้ได้มาก
    หากว่าเราสร้างพื้นภูมิจิตไว้สะสมไว้ในทางที่ทำให้จิตมีกิเลสมาก มีกิเลสต่าง ๆ ที่ทำให้จิตเศร้าหมองบ่อย ๆ ต่อไปเราก็จะสร้างนรกของเราเรื่อยไป เห็นอะไรก็ไม่ดี ไปไหนใจมันก็ไม่สบาย มีแต่ความทุกข์มากมาย ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วเรายังไม่ต้องคิดเลยไปถึงนรก-สวรรค์ชาติหน้า เพราะปัจจุบันที่เป็นอยู่กลายเป็นเรื่องที่เราควรจะเอาใจใส่มากกว่า เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเราได้รับผลอยู่ตลอดเวลา
    นรก-สวรรค์ข้างหน้ายังไกล แต่ในปัจจุบันใจเรามีแต่ความทุกข์อยู่เสมอน่ากลัวว่าเราจะไปไม่ดี
    ฉะนั้นท่านจึงให้เอาใจใส่นรก-สวรรค์ที่มีอยู่ตลอดเวลาที่เราปรุงแต่งอยู่เรื่อย ๆ สอนให้เรายกระดับจิตขึ้นไป คือขั้นต้น ถ้าเราสร้างสมพื้นจิตใจไว้ในทางไม่ดี มีกิเลส โลภะ โทสะ โมหะมาก มันก็ทำให้รับอารมณ์โดยปรุงแต่งสร้างนรกขึ้นมามาก
    ถ้าเราสร้างสมพื้นจิตใจไว้ในทางที่ดี มีเมตตา ความเสียสละ สร้างปัญญาไว้มาก ใจเราดีมีความสบาย เราก็สร้างสวรรค์ได้เสมอ มีสวรรค์ได้ แม้ว่าสภาพแวดล้อมอาจไม่ดีเท่าที่ควร แต่เราทำจิตของเราได้ ใจเราสบายมันก็สามารถทำสภาพที่จะนำไปนรก ให้กลายเป็นสวรรค์ไปได้ หรือในชั้นสูงขึ้นไปอีกคือ มีปัญญาที่รู้เท่าทันสิ่งต่าง ๆ การมีปัญญารู้เท่าทันทำให้เราเข้าใจโลกและชีวิตดี ทำให้วางท่าทีต่อสิ่งทั้งหลายถูกต้อง
    ในกรณีอย่างนี้ ท่านว่ามันพ้นเลยจากเรื่องนรก-สวรรค์ไปแล้ว คือมีจิตใจปลอดโปร่ง แจ่มใจอยู่ตลอดเวลา มีความสบายทันตาในปัจจุบัน ไม่ต้องพูดถึงข้างหน้า ซึ่งเนื่องไปจากปัจจุบันนี้ ก็จะต้องไปดีด้วย ปัจจุบันนี้เองเป็นสิ่งที่แน่นอน มันรับผลอยู่ในขณะนี้แล้ว และเป็นเครื่องส่อส่องถึงข้างหน้าต่อไปด้วย
    เพราะฉะนั้นในทางพุทธศาสนา จึงถือเรื่องปัจจุบันนี้เป็นสำคัญเพราะ
    . เราได้รับผลทันที เราต้องรับผลเห็นอยู่ชัด ๆ แน่นอน
    . ข้างหน้าก็เป็นผลสืบไปจากปัจจุบันนี้เอง เอาปัจจุบันนี้ไปทำนายข้างหน้าได้ เพราะฉะนั้นปัจจุบันจึงสำคัญกว่าในสองประการนี้เอง ถึงมองข้างหน้าก็ต้องมองที่ปัจจุบันเป็นสำคัญ
    เรื่องนรก-สวรรค์ในแง่ของการปรุงแต่งในชีวิตประจำวันและตลอดเวลา หรือนรก-สวรรค์ที่เราปรุงแต่งขึ้นมาเรื่อย ๆ นี้ก็มีมาในพระไตรปิฎกเหมือนกัน คือนรกที่เกิดพร้อมกับการได้เห็น ได้ยิน ได้รับรู้ทางอายตนะต่าง ๆ กล่าวคือการที่อินทรีย์ หรือ อายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ได้รับรู้แต่สิ่งที่ไม่ดีไม่น่าพอใจ อย่างนี้ท่านเรียกว่า "ฉผัสสายสนิกนรก" หรือ "ฉผัสสายตนิกสวรรค์" แล้วแต่ว่าเป็นฝ่ายนรกหรือสวรรค์ อันนี้มาในพระไตรปิฎกเล่ม ๑๘ ข้อ ๒๑๔ หน้า ๑๕๘
    แล้วอีกแห่งคล้าย ๆ กันเป็นเรื่องนรก คือ "มหาปริฬาหนรก" มาในเล่ม ๑๙ ข้อ ๑๗๓๑ หน้า ๕๖๒ ท่านบอกว่านรก-สวรรค์ ที่ว่านั้นไม่สำคัญเท่านรก-สวรรค์ที่เราได้รับอยู่ในปัจจุบัน ที่เราปรุงแต่งด้วยอายตนะทั้ง ๖ โดยพื้นจิตของเราสร้างขึ้นมา
    นี่ก็เป็นนรก-สวรรค์แบบระดับที่ ๓ ซึ่งพุทธศาสนาเน้นมาก คำว่า "ฉผัสสายตนะ" แปลว่าอายตนะที่รับรู้ทั้ง ๖ ก็หมายความว่า นรกที่เกิดที่อายตนะรับรู้ทั้ง ๖ หรือสวรรค์ที่เกิดที่อายตนะรับรู้ทั้ง ๖ นั่นเอง
    สาระของเรื่องนรก-สวรรค์ คืออะไร มันก็เป็นเรื่องของการรับอารมณ์ที่น่าปรารถนา และไม่น่าปรารถนาเท่านั้นเอง เราไปสวรรค์ ว่าตามที่พูดกันไว้ในทางวรรณคดี ก็ได้สิ่งที่รับรู้คือ อารมณ์ของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้เห็นสิ่งที่สวยงาม ได้ยินเสียงดนตรีทิพย์ ไพเราะเสนาะ ทางจมูกได้กลิ่นหอมหวนและลิ้นได้รับรสที่ดีอร่อย กายสัมผัสสิ่งนุ่มนวล ก็เป็นเรื่องของอายตนะทั้งนั้น หรือไปนรกก็ได้รับความทรมาน ได้เห็น ได้ยิน แต่สิ่งที่ไม่ดีจนกระทั่งร่างกายถูกบีบคั้นต่าง ๆ ก็เป็นเรื่องของอายตนะทั้งนั้น
    ฉะนั้น ปัจจุบันเราได้รับรู้ทางอายตนะเหล่านี้อยู่แล้ว ไม่ว่านรก-สวรรค์ข้างหน้า หรือนรก-สวรรค์เวลานี้ มันก็อยู่ที่อายตนะรับรู้นี่เอง ถ้าเอาสาระแล้วมันไม่ได้ไปไหนเลย อยู่แค่นี้เอง ตกลงว่าตามหลักการนี้ เราจะต้องรู้จักนรก-สวรรค์ทั้ง ๓ ระดับ และแก่นที่แท้ของนรก-สวรรค์มันอยู่ที่ระดับที่สาม ที่ว่านี้
    นรกระดับที่หนึ่ง หลังจากตาย ไกลตัวยังไม่ได้รับ ปัจจุบันเรายังไม่รู้สึก แล้วมันยังเนื่องไปจากปัจจุบันด้วย ต้องสร้างในปัจจุบัน
    ต่อมาใน ระดับที่สอง สวรรค์ในอก นรกในใจ มันก็อยู่ที่ชีวิตที่สร้างภูมิระดับจิตในปัจจุบัน แต่ว่ายังเป็นเรื่องที่ยังเป็นครั้งคราว เอาเฉพาะที่เป็นเรื่องใหญ่
    พอมา ระดับที่สาม ก็ละเอียดลออ เป็นไปอยู่ประจำตลอดทุกเวลาที่รับอารมณ์ขณะนี้ ถ้าเราสร้างความรู้สึกที่ดีก็ทำให้เกิดสวรรค์ได้เดี๋ยวนี้
    สมมติว่าใจไม่สบาย เอ ฟังเรื่องนี้ชักไม่น่าสนใจ ชักรำคาญ เห็นอะไรไม่ดีไปหมด ชักกลุ้ม ถ้าทำให้ดีขึ้นมาว่า เอ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ยากหน่อย พยายามเอาใจใส่ให้ดี สร้างอารมณ์ให้สบายขึ้นมา ทีนี้มองอะไร ชักดีขึ้นไปหมด สวรรค์ชักมาแล้ว สวรรค์ที่มีในปัจจุบันนี้ แม้จะละเอียดอ่อน เราอาจจะนึกว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่อย่าลืมว่า การสร้างนรก-สวรรค์ใหญ่ ๆ มันก็มาจากสร้างเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้เอง คือ จากอารมณ์ที่ละเมียดละไมตลอดเวลาที่ละเอียดอ่อน
    คนเราสร้างบุคลิกลักษณะสร้างสมนิสัยใจคอจากอะไร ก็จากความคิด และพฤติกรรมทุกขณะจิต จากการดำรงชีวิตประจำวันทีละเล็กละน้อย ถ้าพยายามสร้างจิตใจของเราให้ดี ทำอารมณ์ให้ดี ค่อยเป็นค่อยไป ทำใจต่อสิ่งต่าง ๆ ให้ถูกต้อง บุคลิกก็ดีขึ้น จิตใจก็สบายขึ้น อะไร ๆ ก็ดีขึ้น นี่เป็นการสร้างสมระยะยาว เก็บเล็กผสมน้อย มันก็เหมือนวัตถุ ต้องรู้จักเก็บออม ในจิตใจก็ต้องมีการสะสมนิสัย
    นี้ก็เป็นเรื่องที่ท่านให้มามองในระดับที่สาม ซึ่งมันจะไปเป็นเหตุของสวรรค์-นรกอันใหญ่ต่อไปข้างหน้า และเป็นเรื่องที่เราต้องประสบตลอดเวลา ควรให้ความสำคัญกับมัน อย่าไปคิดว่าเป็นเรื่องเล็กเรื่องน้อย ถ้าเราทำได้ เราก็ได้รับผลในปัจจุบันนี้เลย เราจะไม่ต้องทรมานเพราะนรก เราจะมีจิตใจที่สบายและพบสวรรค์อยู่เรื่อย ๆ มีจิตใจบริสุทธิ์สะอาดผ่องใส เอาละนี้เป็นเรื่องของนรก-สวรรค์ในแง่ของความมีอยู่ ซึ่งว่าเป็น ๓ ระดับ

     

แชร์หน้านี้

Loading...