นรก สวรรค์ มีจริงหรือไม่

​

หลวงพ่อไปเทศน์อบรมพระอยู่ที่จังหวัดลพบุรี ในภูเขา มีพระเถระองค์หนึ่งท่านถามว่า นรกมีไหม สวรรค์มีไหม ถ้ามีอยู่ที่ไหน ท่านถามว่าอย่างนั้น ทีนี้ถ้าหากว่า เรื่องนรก สวรรค์ ถ้าใครไม่ปลงใจเชื่อ ก็ให้พยายามเชื่อว่าสวรรค์ในอก นรกในใจ ขณะใดที่จิตของเราเดือดร้อนวุ่นวาย มีทุกข์หนัก ในขณะนั้นนรกเกิดขึ้นในใจของเรา ขณะใดที่จิตใจแช่มชื่นเบิกบาน มีความสุข ในขณะนั้นสวรรค์เกิดที่ใจของเรา

นรก แปลว่า แดนหาความเจริญมิได้ เมื่อใจไม่มีความเจริญ มีแต่ความทุกข์ ใจก็เสื่อม ในเมื่อเสื่อมแล้วนรกก็ปรากฏขึ้นในใจ

สวรรค์ แปลว่า แดนให้อารมณ์เลิศด้วยดี เมื่อจิตใจเบิกบานแช่มชื่น มีความสุขสันต์หรรษา ในขณะนั้นใจของเราก็อยู่ในระดับแห่งสวรรค์ เรื่องที่ว่านรก สวรรค์ มีหรือไม่นั้น เราพึงสันนิษฐานว่า อันใดที่มีภาษาพูดกล่าวขวัญถึง อันนั้นต้องมีแน่นอน ถ้าไม่มีเขาเอาคำพูดนั้นมาจากไหน อันนี้เป็นทางสันนิษฐาน หลวงพ่อพูด ก็พูดโดยสันนิษฐานเหมือนกัน เพราะว่านรกก็ยังไม่เคยเห็น ที่ว่านรกมีเท่านั้นหลุม เท่านี้หลุมก็ยังไม่เคยเห็น ก็ว่ากันตามคัมภีร์เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น อะไรที่เรายังไม่รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเอง รับฟังไว้ก่อน อย่าเพิ่งรับรอง และอย่าเพิ่งปฏิเสธ ถ้าได้ยินแล้วเชื่อเลยทีเดียวก็โง่ ถ้าไม่เชื่อปฏิเสธเลยทีเดียวก็โง่

ยกตัวอย่างเรื่องแปลจากหนังสือฝรั่งเล่มหนึ่ง มีนายคนหนึ่งเป็นนักปาฐกถา เป็นนักพูด วันหนึ่งมีนักปราชญ์ท่านหนึ่งมาพูดเรื่องวิญญาณมีวิญญาณไม่มี เขาก็ไปนั่งฟังอยู่ แต่เขาไม่แสดงอาการคัดค้านหรือออกความเห็นอย่างใดทั้งสิ้น ซึ่งโดยปกติแล้วอะไรที่เขาไม่เห็นด้วย เขาจะคัดค้าน พอผู้ปาฐกถาพูดเรื่องวิญญาณจบ มีท่านผู้หนึ่งถามว่า เรื่องนี้ท่านเห็นว่าอย่างไร เขาก็ตอบว่า ขอเวลาอีก ๗ ปีจึงจะพูด พอครบ ๗ ปี เขาสามารถพิสูจน์เรื่องวิญญาณ ถึงขนาดสร้างกล้องถ่ายรูปวิญญาณมาพิมพ์ลงในหนังสือที่เขาเขียนด้วย

อันนี้เรื่องที่เราว่าอาจจะเป็นไปไม่ได้ แต่มันก็เป็นไปได้ ในสมัยปัจจุบันนี้เราว่า โลกมันเจริญ วิชาการต่างๆ เจริญรุ่งเรือง แล้วเราศึกษาจนจบระดับดอกเตอร์ แต่สิ่งที่เราเรียนไม่ถึงยังมีอยู่อีกเพราะฉะนั้นเรื่องที่เราได้ยินได้ฟัง เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อ รับฟังไว้ก่อนจนกว่าเราจะพิสูจน์รู้เห็นด้วยตัวเอง เรื่องนรกสวรรค์ก็เช่นเดียวกัน เป็นคำตอบของผู้ไม่เคยเห็นนรก สวรรค์ แต่เคยเห็นสวรรค์ในอก นรกในใจ ซึ่งมันเกิดขึ้นกับตัวเอง



ที่มา เกร็ดธรรมหลวงพ่อพุธ ฐานิโย

 

อนุโมทนาครับ สำหรับผมแม้ไม่เคยเห็น ผมก็เชื่อครับว่ามีจริง 100%

 

ถ้ามีใครมาถามว่า นรกสวรรค์ มีจริงหรือไม่
ควรตอบว่า พระพุทธเจ้าสอนว่ามีจริง(ตามหลักฐานในพระไตรปิฏก)
แต่ยังไม่เชื่อ เพราะเกิดมาไม่เคยเห็นสักที แต่ที่แน่ ๆ คือ"ไม่ประมาท" คือเราต้องมีความมั่นใจในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องของเราเองว่า ถ้าหากมันเกิดมี "นรก"จริงขึ้นมาละก้อ สถานที่เช่นนั้นคงจะไม่ใช่จุดหมายปลายทางของชีวิตเราอย่างแน่นอน

 

ใช่ค่ะ ไม่ว่าจะมีจริงหรือไม่มีจริง เราควรใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาทเถิด อนุโมทนาสาธุด้วยค่ะ

 

อนุโมทนา สาธุ สาธุค่ะ เชื่อค่ะเรื่อง นรก สวรรค์ค่ะว่ามีจริง

 

เชื่อว่ามีจริงครับ เพราะมีข้อมูลรวมถึงประสบการณ์ของผู้ที่ตายแล้วฟื้นหรือเคยไปนรกสวรรค์มาแล้วมากมายครับ

 

ธรรมจักรวาล
ดวงจิตวิญญาณ เป็น พลังงาน?><O></O>


หลักปกิจสมุทปบาท (ทฤษฎีสัมพันธภาพ)<O></O>​

ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า <O></O>

ทุกสรรพสิ่งในสากลจักรวาล มีหน่วยย่อยที่เล็กที่สุด เป็น สิ่งเดียวกัน<O></O>​

นั่นคือ<O></O>
สรรพสิ่ง คน สัตว์ พืช มวลสาร เทหวัตถุใดๆ ในสากลจักรวาล ประกอบด้วย<O></O>
โมเลกุล หลายๆโมเลกุลรวมกัน ซึ่งแต่ละ โมเลกุล ประกอบด้วย<O></O>
อะตอม หลายๆอะตอมรวมกัน ซึ่งแต่ละ อะตอม ประกอบด้วย<O></O>
อิเล็กตรอน วิ่งรอบ นิวเคลียส ซึ่งมี โปรตรอน นิวตรอน ฯลฯ เช่นเดียวกันหมด <O></O>
โดยมี พลังงาน แรงยึดเหนี่ยว(พันธะ-สัญญา) ต่อกันและกัน จึงคงอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล<O></O>
สิ่งมีชีวิตจิตใจ ประกอบด้วย<O></O>
กาย+จิตวิญญาณ โดยมี แรงยึดเหนี่ยว คือ เวทนา สัญญา สังขาร ก็คือ ขันฑ์ 5 นั่นเอง<O></O>
ดังนั้น<O></O>
จิตวิญาณ คือ รูปของพลังงาน มวลสาร นั่นเอง โดยมี สัญญา เวทนา สังขาร ทำให้เราระลึกได้ว่าเป็นเรา และหลอมรวมพลังงานจิตวิญญาณ ให้เป็นหนึ่งเดียวคือ เรา เพียงแต่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หยาบๆของมนุษย์เรา ยังไม่สามารถสัมผัสได้ ยกเว้น พระอริยะ หรือผู้มีสมาธิขั้นสูง<O></O>
ดังนั้น<O></O>
จิตวิญาณ จึงไม่มีวันสูญหาย ตามกฎพลังงาน แม้กายหยาบจะสลาย?(ตาย)??ไปก็ตาม<O></O>
และแน่นอนพลังงานสามารถถ่ายเท แบ่งปันได้(ไฟฟ้า แบ่ง อนุกรม ขนาน) จึงไม่น่าแปลก ที่เราจะถอดจิตวิญญาณได้ ในขณะที่ ร่างกายยังคงมีชีวิตอยู่ โดยใช้พลังงานจิตวิญญาณต่ำที่สุด คือ การหายใจ ท่านจึงสอนไว้ว่า การทำสมาธิ ที่ถูกต้องโดยกำหนดการกำหนดลมหายใจ พุธ โธ เพื่อรักษาชีวิตอย่างง่าย และประหยัดพลังงาน สงบ นั่นเอง<O></O>

ธรรมจักรวาล<O></O>


ธรรม ธรรมชาติ สรรพสิ่งในสากลจักรวาล<O></O>

ทุกสิ่งคงอยู่ได้ด้วยหลักแห่ง​

 

คุณ yutkanlaya แสดงความเห็นได้ละเอียดและใช้หลักความรู้ที่น่าเชื่อถือดีครับ ถึงแม้จะขาดไอเดียที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับประเด็นนรก-สวรรค์ดังกระทู้ แต่ก็ถือเป็นการอธิบายเนื้อหาบางส่วนทางพุทธศาสนาที่กลั่นกรองมาจากหลักการคิดทางวิทยาศาสตร์ของตนเองจริงๆ

ส่วนประเด็นเรื่อง นรก-สวรรค์ ดังกระทู้ ก็ขอร่วมแสดงความเห็นโดยหลักพุทธสัจธรรมที่กระผมเองเห็นว่าเชื่อถือได้อย่างแท้จริง กล่าวคือ โดยหลักพระอริยสัจธรรม4 นั้นเป็นหลักใหญ่และสรุปครอบคลุมเป็น 4 อาการโดยแท้จริงทั้งปวงในธรรม แม้มิอาจทราบถึงรายละเอียดของนรก-สวรรค์หรือรายละเอียดอื่นๆในสังขตธรรมได้จากพระอริยสัจธรรม4 แต่โดยหลักความมีอยู่หรือไม่ของนรก-สวรรค์ หลักพระอริยสัจธรรมย่อมอ้างอิงให้ทราบเป็นเค้าลางได้ว่า อาการทุกข์อย่างยิ่ง อาการทุกข์น้อย อาการทุกข์น้อยมาก จนถึงอาการไม่เป็นทุกข์อย่างแท้จริงสิ้นเชิง(เป็นอสังขตธรรม) นั้นเป็นความจริงในธรรม (แต่อาการทุกข์อย่างแน่นอนเป็นอนันตทุกข์ซึ่งเป็นอาการอันเที่ยงแท้ในสังขตธรรมนั้น ย่อมไม่มี ด้วยผิดหลักพระไตรลักษณ์ของสังขตธรรมที่ยืนยันว่า อาการทุกข์ย่อมเกิดขึ้น ย่อมเปลี่ยนแปร ย่อมสิ้นสุด)

หลักพุทธสัจธรรมที่สำคัญยิ่งอีกหลักหนึ่งช่วยอธิบายรายละเอียดของสังขตธรรมได้มากขึ้น คือหลักพระปฏิจจสมุปบาท ส่วนรายละเอียดการอธิบายเรื่องของ นรก-สวรรค์ ตามหลักพระปฏิจจสมุปบาท ก็ขอช่วยแวะเข้ามาพิจารณาดังที่กระผมได้เสนอแนวคิดไว้ในกระทู้ดังกล่าวอีกกระทู้ด้วยนะครับ ข้อวิจารณ์กลั่นกรองความถูกผิดจากท่าน อาจเป็นธรรมทานที่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้อ่านและกระผมได้ครับ

 

ท่านทั้งหลาย การที่จะพิสูจน์ภพภูมิอื่นได้ด้วยตนนั้น จิตเราต้องเสมอกับภพภูมินั้นๆ จึงจะสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตน เพราะฉะนั้นมาทำสมาธิกันเถิด

 

ผู้ที่ไม่เชื่อเรื่อง โลกนี้ โลกหน้า นรก สวรรค์ ถือว่ามีความเห็นเป็นมิจฉาทิฏฐิ นะครับ
ขออนุโมทนากับท่านที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ทุกท่านครับ
สาธุ...สาธุ...สาธุ ดังให้ถึงพระนิพพาน

 

<o></o>

หลวงปู่ดุลย์ อตุโล​

วัดบูรพาราม จ. สุรินทร์​

​

ผู้ปฏิบัติที่แท้จริงนั้น ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงชาติหน้า ชาติหลังหรือนรก-สวรรค์
อะไรก็ได้ ขอให้ตั้งใจปฏิบัติให้ตรงตาม ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างแน่วแน่ก็พอ
ถ้าสรรค์มีจริงถึง 16 ชั้น ตามตำราผู้ปฏิบัติดีแล้ว ก็ย่อมได้เลื่อนฐานะของตนเองตามลำดับ
หรือถ้าสวรรค์ นิพพานไม่มีเลย ผู้ปฏิบัติดีในขณะนี้ก็ย่อมไม่ไร้ประโยชน์
ย่อมอยู่เป็นสุข เป็นมนุษย์ ชั้นเลิศ. <o></o>

 

ก็เพราะว่า

คนเดี๋ยวนี้เขาเป็นคอมมิวนิสต์กันไปหมด

แต่จดทะเบียนในสัมมโนครัว ว่า เป็น พุทธศาสนิกชน

ปากก็บอกว่า นับถือศาสนาพุทธ ๆ ๆ ๆ

ที่บอกว่าคนเดี๋ยวนี้เป็นคอมมิวนิสต์ก็เพราะว่า

"นรก สวรรค์ ผี เปรต เทวดา นิพพาน ไม่มี "

"เกิดมาเพียงหนเดียว มีชาติเดียว ชาติหน้าไม่มี ตายแล้วเป็นสูญ"

นั่นมันเป็นคำพูดของพวกคอมมิวนิสต์เขา และพวกที่ไม่มีศาสนา

แต่ศาสนาอื่นเขาบอกว่ามีนะครับ

งั้นถามหน่อยว่า "หุงข้าว ปลาอาหาร เชือดไก่ ล้มหมู เบียดเบียนชีวิตสัตว์อื่นเพื่อนำมา

ถวายพระทำไม แล้วบวชลูก บวชหลาน มาวัด ฟังธรรม สร้างศาลา สร้างกุฏิ สร้างเจดีย์

สร้างวิหารอุโบสถ์ไปกันเพื่ออะไร ในเมื่อทำบุญไปแล้วผลบุญที่ทำไว้ชาตินี้ที่ส่ง

ไปยังชาติหน้าภพหน้าไม่มีจริง อุทิศส่วนกุศลไปทำไม อุทิศแล้วก็ไม่ได้รับบุญ เทวดาไม่มี

ในเมื่อไม่มีสวรรค์ แล้วยังอยากจะไปอีกทำไม ทำบุญอีกทำไม ทำบาปไม่ดีกว่าหรอ เพราะ

ว่านรกไม่มีอยู่จริง จะได้ไม่ต้องกลัวบาป บวชเข้ามากันเพื่ออะไร บวชมาแล้วก็ไม่ได้มี

อะไร ปฏิบัติแล้วไปที่ไหน ในเมื่อไม่เชื่อว่า นรก สวรรค์ พรหม พระนิพพานมีจริง

ต้องอดเมีย อดข้าวเย็น ไปเพื่ออะไร มาอยู่บ้านเฉย ๆ ไม่ดีกว่าหรอ"

แล้วคุณยังจะพูดออกมาอีกทำไม ว่า

"นรก ไม่มี สวรรค์ไม่มี เทวดาไม่มี พระนิพพานไม่มี ชาติหน้า ไม่มี เกิดมาแล้วตายไป

แล้วก็เป็นศูนย์ "

พูดอย่างนี้ เท่ากับว่า คุณไม่นับถือ พระพุทธเจ้าท่าน ไปปรามารถท่าน

เพราะว่าในคำสอนของพระองค์ท่าน ท่านบอกว่ามีอยู่จริง

นี่เท่ากับว่าคุณโกหก พระพุทธเจ้า โกหก คนอื่น และโกหกตัวคุณเองด้วย

 

มีจริงค่ะ ผีมีจริงด้วย เค้ามาเล่าให้ฟังมาตกนรกทรมานมาก