ธัมมัตถสังคหะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย รสมน, 1 สิงหาคม 2009.

  1. รสมน

    รสมน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,451
    ค่าพลัง:
    +2,047
    พระอภิธัมมัตถสังคหะคืออะไร
    [FONT=Browallia New,Browallia New][FONT=Browallia New,Browallia New]ต่อมาประมาณปี พ.ศ. ๑๒๐๐[/FONT][/FONT][FONT=Browallia New,Browallia New][FONT=Browallia New,Browallia New][/FONT][/FONT][FONT=Browallia New,Browallia New][FONT=Browallia New,Browallia New]มีพระเถระผู้ทรงความรู้ในพระไตรปิฎกท่านหนึ่งมีนามว่า [/FONT][/FONT]พระอนุรุทธเถระ [FONT=Browallia New,Browallia New][FONT=Browallia New,Browallia New](พระอนุรุทธาจารย์) ท่านเป็นชาวกาวิลกัญจิ แขวงเมืองมัทราช ภาคใต้ของประเทศอินเดีย ท่านได้มาศึกษา พระอภิธรรมอยู่ที่สานักวัดตุมูลโสมาราม เมืองอนุราธบุรี ประเทศลังกา จนมีความแตกฉานและได้รับยกย่องว่าเป็นปราชญ์ทางพระอภิธรรมท่านหนึ่ง ต่อมาท่านได้รับอาราธนาจากนัมพะอุบาสกผู้เป็นทายกให้ช่วยเรียบเรียงพระอภิธรรมปิฎก ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่ละเอียดลึกซึ้งมากนั้นให้สั้นและง่ายเพื่อสะดวกแก่การศึกษาและ[/FONT][/FONT]
    [FONT=Browallia New,Browallia New][FONT=Browallia New,Browallia New]จดจา ด้วยความมุ่งหมายที่จะให้เป็นประโยชน์แก่นักศึกษาพระอภิธรรมทั้งหลายในอนาคต พระอนุรุทธาจารย์ได้อาศัยพระอภิธรรมปิฎกทั้ง ๗ คัมภีร์ มาเป็นหลักในการเรียบเรียงพระอภิธรรมฉบับย่อและเรียกชื่อคัมภีร์นี้ว่า [FONT=Browallia New,Browallia New][FONT=Browallia New,Browallia New]พระอภิธัมมัตถสังคหะ
    [/FONT][/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New][FONT=Cordia New,Cordia New]ปฏิสัมภิทัปปัตตะ [/FONT][/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New][FONT=Cordia New,Cordia New]= [/FONT][/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New][FONT=Cordia New,Cordia New]ผู้ที่ได้ปฏิสัมภิทา ๔ คือผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจธรรมะอย่างแตกฉาน สามารถแยกแยะและขยายความได้อย่างละเอียดลึกซึ้น มีปฏิภาณไหวพริบ มีโวหารและวาทะที่จะทาให้ผู้อื่นรู้ตาม เข้าใจตามได้โดยง่าย [/FONT][/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New][FONT=Cordia New,Cordia New][/FONT][/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New][FONT=Cordia New,Cordia New]ฉฬภิญญะ [/FONT][/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New][FONT=Cordia New,Cordia New]= [/FONT][/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New][FONT=Cordia New,Cordia New]ผู้มีอภิญญา ๖ อันได้แก่ ๑ แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้ ๒ .มีหูทิพย์ ๓. ทายใจผู้อื่นได้ ๔.ระลึกชาติได้ ๕. มีตาทิพย์ ๖. สามารถทาลายอาสวะกิเลสให้สิ้นไป [/FONT][/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New][FONT=Cordia New,Cordia New][/FONT][/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New][FONT=Cordia New,Cordia New]เตวิชชะ [/FONT][/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New][FONT=Cordia New,Cordia New]= [/FONT][/FONT][FONT=Cordia New,Cordia New][FONT=Cordia New,Cordia New]ผู้ที่ได้วิชชา ๓ ได้แก่ ๑. ระลึกชาติได้ ๒. รู้การจุติและการอุบัติของสัตว์ ๓. มีปัญญาที่ทาอาสวะกิเลสให้สิ้นไป ๙ หลักฐานบางแห่งระบุว่า ประมาณปี พ.ศ. ๑๕๐๐ [/FONT][/FONT]
    [FONT=Cordia New,Cordia New][FONT=Cordia New,Cordia New]อภิธัมมัตถสังคหะ [FONT=Browallia New,Browallia New][FONT=Browallia New,Browallia New]แยกออกเป็น [/FONT][/FONT]อภิ+ธัมมะ+อัตถะ+สัง+คหะ [FONT=Browallia New,Browallia New][FONT=Browallia New,Browallia New]อภิ [/FONT][/FONT][FONT=Browallia New,Browallia New][FONT=Browallia New,Browallia New]= อันประเสริฐยิ่ง [/FONT][/FONT][FONT=Browallia New,Browallia New][FONT=Browallia New,Browallia New]ธัมมะ [/FONT][/FONT][FONT=Browallia New,Browallia New][FONT=Browallia New,Browallia New]= สภาพที่ทรงไว้ไม่มีการผิดแปลกแปรผัน [/FONT][/FONT][FONT=Browallia New,Browallia New][FONT=Browallia New,Browallia New]อัตถะ [/FONT][/FONT][FONT=Browallia New,Browallia New][FONT=Browallia New,Browallia New]= เนื้อความ [/FONT][/FONT][FONT=Browallia New,Browallia New][FONT=Browallia New,Browallia New]สัง [/FONT][/FONT][FONT=Browallia New,Browallia New][FONT=Browallia New,Browallia New]= โดยย่อ
    [/FONT]
    [/FONT][FONT=Browallia New,Browallia New][FONT=Browallia New,Browallia New]คหะ [/FONT][/FONT][FONT=Browallia New,Browallia New][FONT=Browallia New,Browallia New]= รวบรวม
    อภิธัมมัตถสังคหะ จึงหมายถึง คัมภีร์ซึ่งรวบรวมเนื้อความของ พระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ ไว้โดยย่อ อันเปรียบเสมือนแบบเรียนเร็ว พระอภิธรรม แบ่งเป็น ๙ ปริจเฉท (๙ ตอน) แต่ละปริจเฉทมีเนื้อหาโดยสรุปดังนี้
    [/FONT]
    [/FONT]ปริจเฉทที่ ๑ จิตตสังคหวิภาค
    [FONT=Browallia New,Browallia New][FONT=Browallia New,Browallia New]แสดงเรื่อง ธรรมชาติของจิต ประเภทของจิต ทั้งโดยย่อและโดย พิสดาร ทาให้เข้าใจถึงจิตประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกุศลจิต อกุศลจิต วิบากจิต กิริยาจิต มหัคคตจิต และโลกุตตรจิต
    [/FONT]
    [/FONT]ปริจเฉทที่ ๒ เจตสิกสังคหวิภาค
    [FONT=Browallia New,Browallia New][FONT=Browallia New,Browallia New]แสดงเรื่องเจตสิก คือ ธรรมชาติที่ประกอบกับจิตเพื่อปรุงแต่งจิต มีทั้งหมด ๕๒ ลักษณะ แบ่งเป็น เจตสิกที่ประกอบกับจิตได้ทุกประเภท เจตสิกฝ่ายกุศล และเจตสิกฝ่ายอกุศล
    ปริจเฉทที่ ๓ ปกิณณกสังคหวิภาค
    [FONT=Browallia New,Browallia New][FONT=Browallia New,Browallia New]แสดงการนาจิตและเจตสิกมาสัมพันธ์กับธรรม ๖ หมวด ได้แก่ ความ รู้สึกของจิต (เวทนา) เหตุแห่งความดีความชั่ว (เหตุ) หน้าที่ของจิต (กิจ) ทางรับรู้ของจิต (ทวาร) สิ่งที่จิตรู้ (อารมณ์) และที่ตั้งที่อาศัยของจิต (วัตถุ)
    [/FONT]
    [/FONT]ปริจเฉทที่ ๔ วิถีสังคหวิภาค
    [FONT=Browallia New,Browallia New][FONT=Browallia New,Browallia New]แสดงวิถีจิต อันได้แก่กระบวนการทางานของจิตที่เกิดทางตา ทาง หู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เมื่อได้ศึกษาปริจเฉทนี้แล้วจะทาให้ รู้กระบวนการทางานของจิตทุกประเภท บุญบาปไม่ได้เกิดที่ไหน เกิดที่วิถี จิตนี้เอง ก่อนที่จะเกิดจิตบุญหรือจิตบาป มีจิตขณะหนึ่งเกิดก่อน คอยเปิด ประตูให้เกิดจิตบุญหรือจิตบาป จิตดวงนี้เกี่ยวข้องกับการวางใจอย่างแยบ คาย (โยนิโสมนสิการ) หรือการวางใจอย่างไม่แยบคาย (อโยนิโสมนสิการ) หากเราได้เข้าใจก็จะมีประโยชน์ในการป้องกันมิให้จิตบาปเกิดขึ้นได้
    [/FONT]
    [/FONT]ปริจเฉทที่ ๕ วิถีมุตตสังคหวิภาค
    [FONT=Browallia New,Browallia New][FONT=Browallia New,Browallia New]แสดงถึงการทางานของจิตขณะใกล้ตาย ขณะตาย (จุติ) และขณะ เกิดใหม่ (ปฏิสนธิ) กล่าวถึงเหตุแห่งการตาย การเกิดของสัตว์ในภพภูมิต่างๆ โดยแบ่งได้ถึง ๓๑ ภพภูมิ (มนุษยภูมิเป็นเพียง ๑ ใน ๓๑ ภูมิ) ขณะเวลาใกล้จะตายภาวะจิตเป็นอย่างไร ควรวางใจอย่างไรจึงจะไปเกิดในภพภูมิที่ดี พระพุทธองค์ทรงอธิบายไว้อย่างชัดเจนว่าตายแล้วต้องเกิดทันที มิใช่ ตายแล้ววิญญาณ (จิต) ต้อง
    เร่ร่อนเพื่อไปหาที่เกิดใหม่ และยังได้อธิบาย เรื่องของกรรม ลาดับแห่งการให้ผลของกรรมไว้อย่างละเอียดลึกซึ้งอีกด้วย
    [FONT=Browallia New,Browallia New][FONT=Browallia New,Browallia New]ปริจเฉทที่ ๖ รูปสังคหวิภาค และนิพพาน
    [/FONT][/FONT]เมื่อได้ศึกษาทาความเข้าใจเรื่องจิต และเจตสิก อันเป็นนามธรรม มาแล้ว ในปริจเฉทที่ ๖ นี้พระอนุรุทธาจารย์ได้แสดงองค์ประกอบที่สาคัญ อีกอย่างหนึ่งของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย นั่นก็คือเรื่องของรูป ร่างกาย (รูปธรรม) โดยแบ่งรายละเอียดออกเป็นรูปต่างๆ ได้ ๒๘ ชนิด และอธิบายถึงสมุฏฐาน (เหตุ) ในการเกิดรูปต่างๆ ไว้อย่างละเอียดพิสดาร
    ในตอนท้ายได้กล่าวถึงเรื่องพระนิพพานว่ามีสภาวะอย่างไร อันจะ ทาให้เข้าใจเรื่องของพระนิพพานได้อย่างถูกต้องชัดเจน
    [FONT=Browallia New,Browallia New][FONT=Browallia New,Browallia New]ปริจเฉทที่ ๗ สมุจจยสังคหวิภาค
    [/FONT][/FONT]เมื่อได้ศึกษาปรมัตถธรรม ๔ อันได้แก่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน มาจากปริจเฉทที่ ๑ ถึง ๖ แล้ว ในปริจเฉทนี้จะแสดงธรรมที่เป็นฝ่ายกุศล ซึ่งให้ผลเป็นความสุข และธรรมที่เป็นฝ่ายอกุศลซึ่งให้ผลเป็นความทุกข์ ในสภาวะความเป็นจริงแล้วกุศลจิต (จิตบุญ) และอกุศลจิต (จิตบาป) จะเกิดสลับสับเปลี่ยนกันอยู่ตลอดเวลา ส่วนจะเกิดจิตชนิดไหนมากน้อยเพียงใดนั้นย่อมขึ้นอยู่กับคุณธรรมและจริยธรรมของแต่ละบุคคล คนเราทั่วไปมักไม่เข้าใจและไม่รู้จักกับกุศลและอกุศลเหล่านี้ จึงทาให้ชีวิตตกอยู่ในวัฏฏทุกข์ไม่รู้จักจบสิ้น ในปริจเฉทที่ ๗ นี้ได้แสดงธรรมที่ควรรู้ที่สาคัญๆ ได้แก่ อุปาทานขันธ์ (ขันธ์ที่ถูกอุปาทานยึดมั่นอย่างเหนียว
    แน่น), อายตนะ ๑๒ (สิ่งเชื่อมต่อเพื่อให้รู้อารมณ์), ธาตุ ๑๘ (ธรรมชาติที่ทรงไว้ซึ่งสภาพ ของตน), อริยสัจ ๔ (ความจริงของพระอริยะ) และโพธิปักขิยธรรม (ธรรมที่เกื้อกูลการตรัสรู้, ธรรมที่เกื้อหนุนแก่อริยมรรค) มี ๓๗ ประการ คือ สติปัฏฐาน ๔, สัมมัปปธาน ๔, อิทธิบาท ๔, อินทรีย์ ๕, พละ ๕, โพชฌงค์ ๗ และมรรคมีองค์ ๘
    [FONT=Browallia New,Browallia New][FONT=Browallia New,Browallia New]ปริจเฉทที่ ๘ ปัจจยสังคหวิภาค
    [/FONT][/FONT]ในปริจเฉทนี้ ท่านได้แสดงเรื่องปฏิจจสมุปบาท (เหตุและผลที่ทาให้มีการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์) และปัจจัยสนับสนุน ๒๔ ปัจจัย ในตอนท้ายยังได้แสดงความหมายของบัญญัติธรรม ซึ่งเป็นธรรมที่ไม่ใช่เป็นความจริงแท้ แต่เป็นจริงตามสมมุติ (สมมุติสัจจะหรือสมมุติโวหาร) ตามกติกาของชาวโลก
    [FONT=Browallia New,Browallia New][FONT=Browallia New,Browallia New]ปริจเฉทที่ ๙ กัมมัฏฐานสังคหวิภาค
    [/FONT][/FONT]ในปริจเฉทนี้ ท่านกล่าวถึงความแตกต่างของสมถกรรมฐาน และ วิปัสสนากรรมฐาน เพื่อให้เห็นว่าสมถกรรมฐานหรือการทาสมาธินั้นเป็นการปฏิบัติเพื่อให้จิตเกิดความสงบ และเกิดอภิญญา (เกิดอิทธิฤทธิ์ต่างๆ) เท่านั้น ซึ่งไม่ใช่จุดมุ่งหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา เพราะผลของการทา สมาธิหรือสมถกรรมฐานนั้นเป็นการข่มกิเลสไว้ชั่วขณะเท่านั้น ไม่สามารถ ทาลายกิเลสได้ ถึงแม้จะเจริญสมถกรรมฐานถึงขั้นอรูปฌานจนได้เสวยสุข อยู่ในอรูปพรหมภูมิเป็นเวลาอันยาวนาน แต่ในที่สุดก็ต้องกลับมาเวียนว่าย ตายเกิดไม่รู้จักจบจักสิ้น
    จุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือการเจริญวิปัสสนากรรม ฐาน เพื่อให้เกิดปัญญารู้แจ้งในสภาวธรรมตามความเป็นจริงว่า จิต+เจตสิก และรูป ซึ่งเป็นองค์ประกอบของชีวิตต่างก็มีการเกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - ดับไป - เกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - ดับไป ต่อเนื่องกันไปอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา เป็นสภาพที่ไม่เที่ยง ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตนอะไรของใคร ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาได้ ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งในสภาวธรรมตามความเป็นจริงเช่นนี้ เมื่อมีกาลัง แก่กล้าก็จะสามารถประหาณกิเลสและเข้าถึงพระนิพพานได้ในที่สุด
    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT]
     
  2. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    กรรมใครกรรมมัน เปลี่ยนไม่ได้ ถ้ารู้เรื่องนี้อยู่นานแล้วน่าจะช่วยขยายความให้ทุกคนเข้าใจบ้างตั้งนานแล้ว ตัวผมไม่ได้ศึกษาธรรมจากคัมภีร์มากนักบางอย่างก็ถูกหาว่าเลื่อนลอยทั้งที่มันเกิดขึ้นอย่างนั้นจริงๆ เพราะเป็นธรรมของสรรพสิ่งอยู่แล้ว
    อนุโมทนาครับ
     
  3. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    คัมภีร์ สำคัญของเถรวาท นอกจากพระไตร ที่ยกไว้แล้ว.....มีอีก 3 เล่มที่สำคัญมากและควรศึกษาคือ

    1.อภิธัมมัตถสังคหะ รจนารวบรวมโดย พระอนุรุทธาจารย์
    2.วิสุทธิมรรค รจนารวบรวมโดย พระพุทธโฆสาจารย์
    3.มิลินทปัญหา รจนารวบรวมโดย พระติปิฎกจุฬาภัยเถราจารย์

    ผู้ที่ศึกษาจบครบถ้วนทั้ง 3 เล่ม ย่อมเข้าใจเนื้อหาในพระไตรได้ไม่ยาก...และจักเป็นผู้ทรงปริยัติปัญญายิ่ง...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...