ธรรมะฮาวทู (16) ทำบุญกันได้หลายวิธี

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 27 พฤศจิกายน 2005.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,492




    โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

    ออกพรรษาไม่นาน ขณะเขียนนี้เพิ่งกลับจากไปแสวงบุญที่สังเวชนียสถานที่อินเดีย จะเขียนเรื่องอื่นก็ไมเหมาะเพราะใจกำลัง "อิ่มบุญ" มาคุยกันเรื่องการทำบุญก็แล้วกันนะครับ

    ชาวไทยพอพูดถึงการทำบุญ ก็นึกไปถึงการให้ทาน ไม่นึกถึงการทำบุญวิธีอื่น และ "ทาน" ที่ว่านี้นึกถึงแต่การใส่บาตร ถวายจตุปัจจัยไทยธรรมแก่พระเท่านั้น ความรับรู้เรื่องทานเพียงแค่นี้นับว่ายังแคบ เพราะเหตุนี้แหละจึงต้องมาจับเข่าคุยกัน

    ความจริงการทำบุญมีตั้ง 10 วิธี เรียก "บุญกิริยาวัตถุ" สำหรับชาวบ้าน

    พระพุทธเจ้าท่านสรุปไว้ 3 วิธี คือ ทาน ศีล ภาวนา

    1.ทาน (การให้) มี 2 อย่าง คือให้เพื่อทำบุญ กับให้เพื่อสงเคราะห์

    การถวายสังฆทานใส่บาตร หรือบริจาค สิ่งอันควรใช้สอยต่างๆ แก่พระภิกษุสงฆ์เรียกว่าให้เพื่อทำบุญ การให้ชนิดนี้จุดประสงค์เพื่อฟอกจิตของตนให้สะอาด หรือเพื่อละกิเลส ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น

    การให้ข้าวปลาอาหาร ทรัพย์สินเงินทอง แก่คนขอทาน หรือบริจาคเพื่อทำประโยชน์แก่สาธารณะต่างๆ เรื่องว่าให้เพื่อสงเคราะห์

    การให้ ไม่ว่าจะให้เพื่อทำบุญ หรือให้เพื่อสงเคราะห์ จะมีผลมากอยู่ที่เจตนาของการให้เป็นสำคัญกว่าอย่างอื่น

    ถ้าให้เพื่อเอาหน้า เช่นให้เพื่อให้คนเขาเห็นว่าเราเป็นคนใจบุญ

    ให้เพื่อแสดงว่าตนเป็นคนร่ำรวย ทำบุญคราวละมากๆ

    ให้เพื่อผลประโยชน์บางอย่างเช่น "เพื่อหาเสียง" เพื่อแลกสวรรค์วิมานในชาติหน้า ถึงของที่ให้นั้นจะมากมาย ราคาแพงๆ การให้ทานชนิดนี้มีผลน้อย พูดง่ายๆ ว่าทำบุญไม่ได้บุญ หรือได้ก็ได้น้อย

    แต่ถ้าให้เพราะจิตเลื่อมใส ต้องการให้จริงๆ ก่อนให้ หลังจากให้แล้ว จิตใจเลื่อมใสไม่คิดเสียดาย การให้อย่างหลังนี้ แม้ของที่ให้จะเล็กน้อยราคาถูกๆ ก็เป็นบุญกุศลแท้จริง คนจนทำบุญทำทานได้ และอาจได้บุญมากกว่าคนรวยเสียด้วยซ้ำ

    2.ศีล (การรักษาศีล) การทำทานนั้นจะต้อง "ลงทุน" พอสมควรจึงจะได้ อย่างน้อยเราต้องจัดหาข้าวปลาอาหาร หรือสิ่งของมาเสียก่อน จึงจะให้ท่าน เช่น ใส่บาตร หรือบริจาคได้ แต่การทำบุญด้วยการรักษาศีลนี้ไม่ต้อง "ลงทุน" อะไร คือไม่ต้องจัดหาสิ่งของภายนอกใดๆ ทุกอย่างมีที่ตัวเราแล้ว เพียงแต่เราตั้งใจงดเว้น จะไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดในกาม ไม่พูดเท็จ และไม่ดื่มสุราเมรัย แล้วควบคุมมิให้ละเมิดด้วยจิตใจแน่วแน่มั่นคง ก็นับว่าเราได้ทำบุญแล้ว

    ถ้าถามว่า ทำไมเพียงเท่านี้จึงเป็นบุญ คำตอบก็คือ ถ้าเราตั้งใจแน่วแน่จะไม่ทำชั่วดังกล่าวข้างต้น แล้วพยายามรักษาไว้ไม่ให้เสียความตั้งใจ จิตใจของเราก็จะเข้มแข็งบริสุทธิ์สะอาดขึ้น ความสะอาดของจิตนี้แหละคือบุญ

    ความสกปรกคือบาป

    โลภ โกรธ หลง มันคือสิ่งที่คอยรุกรานจิตใจตลอดเวลา ถ้าตกเป็นทาสของมัน จิตเราก็จะสกปรก

    โลภ คอยดลใจให้อยากลัก อยากขโมย ยิ่งโกงเขาเท่าไรมันยิ่งกำเริบ เท่ากับเราให้น้ำให้ปุ๋ยแก่มัน

    โกรธ คอยยุให้ทำลายคนอื่น ยิ่งฆ่าทำลายคนอื่นได้ ยิ่งมันในอารมณ์ ดุจดังให้เชื้อแก่ไฟ

    หลง มันคอยยุให้ลุ่มหลง ยิ่งยุ่งกับสุรานารีกีฬาบัตรเท่าใด ยิ่งทำให้หน้ามืดตามัว

    จิตเราก็ไม่มีวันว่างเว้นจากอิทธิพลของ "กิเลส" สามตัวนี้ นานวันเข้า พื้นจิตก็สกปรก ตกต่ำหยาบกระด้างขึ้น

    การต่อสู้กับกิเลสก็เหมือนกับการรบทัพจับศึก ถ้าเรายังตีโต้ขับไล่ข้าศึกไม่ได้ ก็ต้องยับยั้งการรุกคืบหน้าของข้าศึกไว้ก่อน ตรึงข้าศึกไว้กับที่ก่อน มีโอกาสค่อยหาทาง "ตัดเสบียง" ของข้าศึก แล้วเข้าทำลายภายหลังเมื่อมีกำลังพร้อม

    การรักษาศีล ไม่ว่าศีลห้า หรือศีลแปด ก็คือการไม่ให้โอกาสแก่ โลภ โกรธ หลง มันรุกคืบหน้านั้นเอง ยับยั้งได้นานเท่าใด จิตใจก็ปลอดภัยนานเท่านั้น

    3.ภาวนา (การพัฒนาจิต) คนส่วนมากมักเข้าใจว่า "ภาวนา" ก็คือการนั่งหลับตา บ่นอะไรพึมพำๆ การทำบุญด้วยวิธีภาวนาก็คือ หาเวลาไปนั่งปนบริกรรมในที่เงียบๆ ไม่ต้องทำมาหากินเลี้ยงชีพเหมือนคนทั่วๆ ไป

    ถ้าเช่นนั้นคนก็ไม่พร้อมที่จะทำบุญชนิดนี้ ปล่อยให้คนเฒ่าคนแก่เขาทำกันดีกว่า!

    นั่นเป็นความเข้าใจผิด

    ภาวนา ตามศัพท์หมายถึง "ทำความดีที่ยังไม่เกิดมีให้เกิดมี และให้เจริญงอกงาม"ความดีที่จะต้องทำให้เกิดมีและให้เจริญงอกงามมีอยู่ 3 เรื่องด้วยกันคือ

    1. การศึกษา ศิลปวิทยาการต่างๆ ที่ทำให้คนฉลาดขึ้น มีประโยชน์ในการดำรงชีวิต และสร้างประโยชน์แก่สังคม เราตั้งใจศึกษาหาความรู้เข้าไว้เต็มที่ เช่น ตั้งใจอ่านหนังสือ ท่องจำ ฝึกฝน ฟังเทศน์ ฟังธรรม ฟังปาฐกถา สนทนาสอบถามเอาความรู้จากแหล่งความรู้ต่างๆ

    2.การทำงานด้วยเหตุ ด้วยผล ด้วยการใช้ปัญญา เช่นรู้จักเลือกทำแต่งานที่เป็นประโยชน์ รู้จักวางแผนงานปรับปรุงงานให้ดีขึ้น รู้จักค้นคว้าทำงานให้ก้าวหน้า รู้จักทำงานถูกกาลเทศะ รู้จักทำงานที่สุจริต

    3.การทำจิตให้สงบ คือหาวิธีควบคุมจิตไม่ให้ฟุ้งซ่าน ไม่ให้จิตมันคิดโน่นคิดนี่ตลอดเวลา และการรู้จักใช้ปัญญาพิจารณาให้เข้าใจกฎธรรมชาติและธรรมดาของชีวิต ว่าทุกอย่าง "ไม่คงที่ ไม่คงตัว" แล้วค่อยๆ ผ่อนคลายความยึดติดจนเกินไป

    การทำทั้งสามเรื่องนี้ให้พร้อมเรียกว่า "ภาวนา" การทำบุญด้วยการภาวนาตายนัยนี้ ใครๆ ก็ทำได้ เพราะฉะนั้น โปรดตรวจสอบตัวเองว่า ตนได้ทำสิ่งเหล่านั้นพร้อมหรือยัง

    - ศิลปวิทยาการต่างๆ ที่มีประโยชน์ที่ส่งเสริมให้เกิดความฉลาด ตนได้เรียนรู้แล้วหรือยัง เรียนเพียงพอแล้วที่จะดำรงชีวิตและทำประโยชน์แก่ประเทศชาติและพระศาสนาหรือไม่?

    - หน้าที่การงานที่สุจริต ตนได้ทำแล้วหรือยัง เมื่อได้ทำแล้ว ได้ตั้งใจอุทิศตนแก่งานเต็มที่ ปรับปรุงแก้ไขให้พัฒนายิ่งๆ ขึ้นหรือไม่?

    - รู้จักหาวิธีสงบระงับใจ ไม่ฟุ้งซ่าน โลเล และรู้จักใช้ปัญญาพิจารณาให้เข้าใจความเป็นไปของโลกและของชีวิตตามเป็นจริง ลดความยึดมั่นถือมั่นเกินกว่าเหตุ จนสามารถสร้างความสุขปลอดโปร่งแก่จิตใจได้บ้างหรือยัง?

    ถ้ายัง ก็จงรีบๆ ทำเข้าเถิด ทำแล้วก็เกิดผลประโยชน์แก่ท่านเองหาใช่ใครไม่




    ที่มา: มติชน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2005

แชร์หน้านี้

Loading...